ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ตอนที่ 4

ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ตอนที่ 4

การสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์


เมื่อฟาฏิมะฮ์ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และถึงเวลาที่ท่านจะได้ออกเรือนมีสามี ก็ได้มีสาวกของท่านศาสดาเป็นจำนวนมากแวะเวียนมาสู่ขอในจำนวนบุคคลเหล่านั้น ได้แก่อบูบักร และอุมัร ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ตอบปฏิเสธผู้มาสู่ขอทั้งสองว่า” ฉันเองก็กำลังรอคอยพระบัญชาเกี่ยวกับเรื่องของท่านหญิงจากอัล วะฮ์ยู อยู่”
ญิบรออีลได้ลงมาบอกข่าวแก่ท่านว่า อัลลอฮ์ทรงจัดการสมรสให้ท่านหญิงกับอะลีแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่ออะลีได้เดินเข้ามาหา ทั้ง ๆ ที่มีความละอายเพื่อจะมาสู่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงเขาไปถามท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เพื่อขอทราบความเห็นของท่านหญิง โดยกล่าวกับท่านหญิงว่า “โอ้ฟาฏิมะฮ์ แท้จริงอะลี บุตร อบีฏอลิบ ซึ่งเธอก็รู้จักเขาดีในฐานะเครือญาติ อีกทั้งในความเป็นผู้มีเกียรติ และการนับถืออิสลามของเขา แท้จริงพ่อได้วิงวอนตอต่อพระผู้อภิบาลว่า ให้พระองค์จัดการสมรสเธอกับผู้ที่ดีที่สุดสักคนหนึ่ง ที่มีความรักในพระองค์มากกว่าผู้คนทั้งหลาย บัดนี้ อะลีได้มาสู่ขอเธอแล้ว เธอจะมีความคิดเห็นอย่างไร ฟาฏิมะฮ์ นิ่งเงียบ ก้มหน้ามองดูพื้นด้วยความอาย ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงกล่าวขึ้นว่า “อัลลอฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกร การนิ่งเงียบของท่านหญิง ย่อมหมายถึง ความพึงพอใจของท่านหญิงนั่นเอง”


ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้จับมือท่านอะลี (อ.) แล้วกล่าว “ลุกขึ้นเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ และจงกล่าวเถิดว่า โดยบารมีแห่งอัลลอฮ์ โดยพระประสงค์ของอัลลอฮ์ ไม่มีพลังอำนาจใด ๆ นอกจากโดยการอนุมัติของอัลลอฮ์ ข้าขอมอบการถวายตนแด่อัลลอฮ์” หลังจากนั้นท่านก็ได้นำอะลี (อ.) เข้าไปนั่งเคียงข้างกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่อัลลอฮ์ บุคคลทั้งสองนี้เป็นผู้ที่ข้าพระองค์รักมากที่สุด ดังนั้น ของพระองค์ทรงรักเขาทั้งสอง และโปรดประทานความจำเริญให้แก่เชื้อสายวงศ์วานของเขาทั้งสอง และทรงบันดาลให้เขาทั้งสองได้รับการปกป้องจากพระองค์ด้วยเถิด แท้จริง ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองให้เขาทั้งสองและเชื้อสายของเขาทั้งสองรอดพ้นจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง”
หลังจากนั้น ท่านก็ได้จูบทั้งสองเพื่อแสดงความยินดี แล้วกล่าวว่า “โอ้อะลี ภรรยาที่ประเสริฐที่สุดนั้น คือภรรยาของเจ้า” และได้กล่าวแก่ฟาฏิมะฮ์ว่า “โอ้ฟาฏิมะฮ์ สามีที่ประเสริฐที่สุด ได้แก่สามีของเจ้า”


ท่ามกลางความยินดีของบรรดาสตรีชาวมุฮาญิรีน ชาวอันซอร และตระกูลบนีฮาชิม ครอบครัวตัวอย่างอันบริสุทธิ์ก็ได้เกิดขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ จนเป็นแหล่งกำเนิดของอะฮฺลุลบัยต์ ซึ่งอัลลอฮ์ ทรงประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้พ้นจากพวกเขา และทรงชำระขัดเกลาพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์


พิธีสมรสอันเรียบง่ายตามหลักการอันสูงส่งของอิสลามก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่อะลีไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอยู่ในครอบครอง นอกจากดาบ และเสื้อเกราะเพียงตัวเดียว เขาต้องการที่จะขายดาบ แต่ท่านศาสดาได้ห้ามไว้ เพราะอิสลามอยู่ในภาวะที่จำเป็นต้องอาศัยดาบของอะลี แต่ท่านตกลงให้เขาขายเสื้อเกราะ ดังนั้น ท่านอะลี (อ.) จึงนำไปขายแล้วเอาเงินจำนวนนั้นมามอบให้แก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)


ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้สั่งให้ซื้อสิ่งของที่ดีแต่เรียบง่าย มาใช้ตามความจำเป็นของครอบครัวใหม่ เรือนหอของอะลีก็นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ โดยได้สร้างห้องขึ้นหนึ่งห้อง เชื่อมติดกับผนังของมัสญิดนบี อัลลอฮ์ องค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงรู้ซึ้งถึงระดับของความรักที่ผูกพันในหัวใจของผู้บริสุทธิ์ทั้งสอง นั่นคือหัวใจของอะลี (อ.) กับหัวใจของฟาฏิมะฮ์ (อ.) ทั้งนี้ ก็เพราะความรักของคนทั้งสองมีเพื่ออัลลอฮ์ และอยู่ในหนทางของอัลลอฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์นั้นมีความตระหนักดีถึงงานเสียสละ และการต่อสู้ของอะลีที่มีเพื่ออิสลาม และคำสอนของบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของท่านเอง


สามีของท่านหญิงได้ทำหน้าที่ต่อสู้มาตั้งแต่ก้าวแรกของอิสลาม เขาทำหน้าที่ถือธงรบของอิสลามในทุกสมรภูมิ และทุกสงครามที่มุสลิมต้องเข้าไปต่อสู้ และแทบจะไม่เคยอยู่ห้างท่านศาสดาเลยแม้สักครั้งเดียว


ฉะนั้น ท่านจึงพยายามอย่างที่สุดในการปรนนิบัติสามี และแบ่งเบาภาระอันหนักหน่วงของเขา และเป็นภรรยาที่เชื่อฟังต่อสามีอย่างดีที่สุด


ท่านได้ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อสามีของท่านกลับมาก็ได้พบกับบรรยากาศที่น่าอยู่ ให้ความสงแก่จิตใจและความสันติสุข


ฟาฏิมะฮ์ เป็นพฤกษาชาติที่ดีที่สุด ซึ่งหยั่งรากลึกอย่างมั่นคง และชูกิ่งก้านสูงเสียดฟ้า เพราะท่านหญิงเจริญเติบมาโตมาท่ามกลางคำสอนของอัลวะฮ์ยูและได้รับการเลี้ยงดูมาตามคำสอนของอัลกุรอาน

 

ครอบครัวตัวอย่าง

 

ชีวิตการครองเรือนได้หล่อหลอมให้สองชีวิตเป็นหุ้นส่วนของกันและกันจนกลายเป็นชีวิตเดียวกัน ชีวิตครอบครัวที่ประกอบด้วยด้วยความรัก และการให้เกียรติ การดำเนินชีวิตของอะลี และฟาฏิมะฮ์ (อ.) เป็นตัวอย่างของชีวิตในการครองเรือนที่มีเกียรติ


อะลีจะช่วยเหลือฟาฏิมะฮ์ทำงานบ้านเสมอ ในขณะที่ฟาฏิมะฮ์ก็พยายามที่สร้างความพึงพอใจและทำให้จิตใจของเขามีความสุข


การพูดคุยกันระหว่างคนทั้งสองเป็นจรรยา และความเคารพต่อกันอย่างที่สุด ท่านอิมามอะลีจะเรียกท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ว่า “โอ้บุตรสาวของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์” ส่วนท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ก็จะเรียกอิมามอะลีว่า “อมีรุลมุอ์มินีน” ทั้งสองเป็นบิดามารดาตัวอย่างในการให้ความรักแก่ลูก ๆ ของตัวเอง


ในปีที่สามของฮิจเราะฮ์ศักราช ฟาฏิมะฮ์ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรก ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ตั้งชื่อให้เขาว่า “ฮะซัน” การถือกำเนิดของเขา ทำให้หัวใจของท่านศาสดาเต็มไปด้วยความสุข ท่านได้อะซานที่หูขวาและอิกอมะฮ์ที่หูซ้าย อีกทั้งได้อ่านโองการอัลกุรอานให้แก่เขาอีกด้วย หลังจากนั้นหนึ่งปี ฮุเซน (อ.) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกคน


อัลลอฮ์ ทรงประสงค์ให้เชื้อสายของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ถือกำเนิดมาจากฟาฏิมะฮ์ ท่านศาสนทูตจะอุ้มหลานสองคนของท่านเสมอ และเอาใจใส่การเลี้ยงดูเด็กทั้งสองอย่างดียิ่ง ท่านเคยกล่าวว่า “เขาทั้งสองเป็นกลิ่นหอมที่สุดสำหรับฉันในโลกนี้” ท่านจะอุ้มหลานทั้งสองออกไปพร้อมกับท่าน หรือให้นั่งในตักอันอบอุ่นของท่านเสมอ


วันหนึ่ง ท่านศาสดาไปเยี่ยมบ้านของฟาฏิมะฮ์ พอดีฮะซันร้องไห้ด้วยความหิวโหย ขณะนั้น ฟาฏิมะฮ์ กำลังนอนหลับอยู่ ท่านจึงจัดการนำภาชนะมาใส่นมและป้อนด้วยมือของท่านเอง


ท่านได้เดินผ่านหน้าบ้านของฟาฏิมะฮ์อีกในวันหนึ่ง และได้ยินเสียงร้องไห้ของฮุเซนท่านได้กล่าวด้วยความสะเทือนใจว่า “พวกเธอไม่รู้ดอกหรือว่า เสียงร้องไห้ของเขาทำให้ฉันเจ็บปวดยิ่งนัก”


เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี “ซัยนับ” ก็ได้ถือกำเนิดมาในโลก ต่อจากนั้น “อุมมุกุลซูม” ก็ถือกำเนิดตามมาอีกคนหนึ่ง บางทีท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์อาจจะนึกถึงบุตรสาวสองคนของท่านที่ชื่อซัยนับ และอุมมุกุลซูมก็ได้ จึงตั้งชื่อหลานสาวสองคนด้วยชื่อของทั้งสอง


อัลลอฮ์ ทรงมีความประสงค์ให้เชื้อสายของท่านศาสนทูต สืบมาจากการฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รออ์ บุตรสาวของท่านคนเดียว และอัลลอฮ์ ทรงได้ยินทรงรอบรู้ยิ่ง

 

ขอขอบคุณ ที่มาข้อมูลจากเว็บไซต์ Th.islamic-sources.com