เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ตอนที่ 5

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ตอนที่ 5

บ้านของฟาฏิมะฮ์


ถึงแม้ว่าชีวิตของท่านจะสั้น แต่ท่านก็เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความดีงามและความจำเริญในด้านต่าง ๆ ท่านเป็นต้นแบบ และเป็นตัวอย่างของบรรดาสตรี กล่าวคือ ท่านเป็นทั้งสตรีตัวอย่าง และภรรยาตัวอย่าง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นประมุขของบรรดาสตรีในสากลโลก


มัรยัม บินติ อิมรอน นั้นเป็นประมุขของบรรดาสตรีในยุคสมัยของท่าน ท่านหญิงอาซียะฮ์ ภรรยาฟิรอูนเป็นประมุขของบรรดาสตรีในสมัยของท่านหญิง ทำนองเดียวกับคอดิญะฮ์ บินติ คุวัยลิด แต่สำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซ ซะฮ์รออ์ ท่านเป็นประมุขของบรรดาสตรีตลอดไปทุกยุคทุกสมัย


ท่านเป็นแบบอย่างในทุกด้านกล่าวคือ สมัยที่ท่านยังเป็นหญิงสาวท่านก็ได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติบิดา และมีส่วนร่วมในการรับความเจ็บปวดของบิดา เมื่อท่านเป็นภรรยาก็ได้ปรนนิบัติสามีอย่างดีเลิศ จนได้รับความอบอุ่นใจและความสงบที่มีท่านอยู่กับเขาตลอดวันเวลาที่ผ่านไป เมื่อท่านเป็นแม่ ก็ได้ให้การเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยความรัก ด้วยความดีงาม และจริยธรรมที่มีเกียรติยิ่ง จน ฮะซัน ฮุเซน ซัยนับ (อ.) เป็นแบบอย่างอันสูงส่งในโลกแห่งจริยธรรมและมนุษยธรรม

 

การจากไปของบิดา


เมื่อท่านศาสดา เดินทางกลับจากการบำเพ็ญฮัจญ์ครั้งสุดท้าย ท่านได้ล้มป่วยลงและอาการทวีความรุนแรงขึ้นจนหมดสติ ท่านหญิงฟาฏิะฮ์ อัซซะรออ์ได้เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อบรรเทาอาการป่วยของบิดา ท่านต้องหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก ด้วยความปรารถนาที่จะตายแทนบิดาเสียเอง


ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ลืมตาขึ้นมา ด้วยการตั้งความหวังอยู่กับบุตรสาวคนเดียวของท่าน ท่านได้ขอร้องท่านหญิงให้อ่านอัลกุรอานด้วยเสียงที่สำรวม โดยมีบิดาผู้ยิ่งใหญ่อ่านคลอด้วยความนอบน้อมที่มีต่อพจนารถแห่งอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกคลุมบริเวณบ้านหลังนี้อยู่แล้ว


ท่านศาสดาต้องการที่จะให้โอกาสสุดท้ายของชีวิตอันจำเริญที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของท่าน หมดสิ้นไปพร้อมกับการอ่านอัล-กุรอานคลอตามเสียงของบุตรสาวของท่าน ซึ่งได้ดูแลเอาใจใส่ท่านแต่เล็กแต่น้อย และยืนหยัดเคียงข้างท่านตลอดมากระทั่งเติบใหญ่


ในที่สุดท่านศาสดาได้กลับไปสู่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงสุด ซึ่งการจากไปของท่านได้สร้างความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงสำหรับบุตรสาวผู้บริสุทธิ์ของท่าน ซึ่งหัวใจของท่านมิอาจจะรับความทุกข์โศกเหล่านั้นได้ ท่านจึงร้องไห้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน


หลังจากนั้น สถานการณ์ทางด้านการเมือง และกลุ่มผู้ลุ่มหลงในผลประโยชน์ก็ได้สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้แก่ท่านอีกครั้งหนึ่ง โดยการช่วงชิงที่สวนฟะดักของท่านไป และทำเป็นไม่รับรู้ในสิทธิเกี่ยวกับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของท่านอะลี


ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์พยายามปกป้องสิทธิของท่านอย่างเต็มความสามารถ ท่านได้แสดงจุดยืนอันแน่วแน่ในเรื่องนี้อย่างกล้าหาญ ท่านอิมามตระหนักดีกว่าการที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์ยืนหยัดในการคัดค้านตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ จะเป็นชนวนที่ผู้ต่อต้านนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ และในที่สุดความพากเพียรต่าง ๆ ของท่านศาสดาก็จะเสียหาย ทำให้ประชาชนกลับไปสู่สภาพการไร้อารยธรรม และมีวัฒนธรรมแบบป่าเถื่อนอีกครั้งหนึ่ง


ท่านอิมามอะลี (อ.) จึงขอร้องภรรยาผู้สูงส่งของท่าน ให้มีความอดกลั้นและอดทน เพื่อพิทักษ์รักษาหลักการของอิสลามเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซ ซะรออ์ จึงยอมนิ่งเงียบ แต่ท่านก็ยังโกรธเคืองอยู่ และได้เตือนสติให้บรรดามุสลิมรู้ว่า ความโกรธของท่านเท่ากับเป็นการโกรธของท่านศาสดา และการโกรธของท่านศาสดาหมายถึงความโกรธของอัลลอฮ์


ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์ได้นิ่งเงียบตลอดไปจนกระทั่งท่านอำลาจากโลกนี้ไป แต่ท่านได้ขอร้องไว้ในคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายว่า ให้ร่างของท่านได้ถูกฝังอย่างเงียบเชียบที่สุด

 

การวายชนม์

 

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เปรียบเสมือนเทียนที่ถูกจุดเปลวไฟอยู่ แล้วมอดไหม้ไปทีละน้อยจากนั้นแสงของมัน ก็ค่อย ๆ หรี่ลงไปตามลำดับ ท่านจึงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นาน หลังจากบิดาได้อำลาจากโลกไปแล้ว ท่านหญิงไม่พึงปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ความเศร้าโศกจึงเกิดขึ้นเสมอในทุก ๆ โอกาสที่ท่านได้ยินเสียงอะซาน โดยเฉพาะประโยคที่ว่า“ฉันขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์”


ท่านต้องการที่จะพบกับบิดาของท่าน ด้วยความถวิลหาอยู่ทุกวัน จนร่างการซูบผอมลง จนมิอาจรับจิตวิญญาณของท่านที่ปรารถนาจะอำลาจากโลกไว้ได้ต่อไป


ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงต้องอำลาจากโลกนี้ไป และอำลาจากทุกคน อำลาจากฮะซันด้วยวัยเพียง 7 ปี ฮุซัยน์มีอายุได้ 6 ขวบ ซัยนับมีอายุได้ 5 ขวบ และอุมมุลกุลซูมมีอายุได้ 3 ขวบ
ความทุกข์ระทมที่เกิดขึ้นโดยที่ท่านได้อำลาจากโลกไปด้วยความเร่งด่วน ได้ประสบแก่สามีของท่าน ซึ่งเป็นผู้ร่วมชีวิตกับบิดาของท่านในการต่อสู้เสียสละ และเป็นผู้ร่วมชีวิตของท่านด้วย


ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์ได้หลับตาของท่านลงอย่างสนิท หลังจากได้สั่งเสียสามีเกี่ยวกับลูกที่ยังเป็นเด็กอยู่ ขณะเดียวกันก็ได้สั่งเสียว่าให้ฝังร่างท่านอย่างลับที่สุด
ฉะนั้น สุสานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์จึงเป็นสิ่งลี้ลับอยู่ จนกระทั่งถึงวันนี้ เท่ากับท่านได้ทำเครื่องหมายคำถามอันยิ่งใหญ่ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์???


ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์ ยังคงตั้งคำถามไว้ในประวัติศาสตร์ อันหมายความว่าท่านยังเรียกร้องสิทธิของท่านอยู่ และบรรดามุสลิมก็ยังคงไต่ถามเกี่ยวกับสุสานที่ไม่มีใครรู้จักอยู่ตลอดมา


ท่านอิมามนั่งลงข้าง ๆ สุสานของภรรยาอย่างผู้สิ้นหวัง ในขณะที่ความมืดได้ปกคลุมเข้ามา พลางปลอบประโลมวิญญาณของท่านอยู่ตลอดว่า


“ขอความสันติสุขพึงประสบแด่ท่าน โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ นี่เป็นสลามจากฉัน และจากบุตรสาวของท่าน ที่บัดนี้ ได้มาพำนักอยู่ใกล้เคียงกับท่านแล้ว โดยท่านหญิงได้ติดตามมาอยู่กับท่านอย่างรวดเร็วที่สุด โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ความอดทนของฉันมีน้อยเหลือเกินสำหรับการจากไปของสุดที่รักของท่าน ประหนึ่งว่าเนื้อหนังของฉันขาดสะบั้นลง… บุตรสาวของท่านคงจะเล่าให้ท่านได้รับทราบถึงเรื่องราวของประชาชาติผู้อกตัญญูของท่าน พวกเขากระทำการละเมิดต่อท่านหญิง… ขอความสันติสุขจากดวงใจที่อำลาพึงประสบแด่ท่านทั้งสองด้วยเถิด”

 

ที่มา ข้อมูล เว็บไซต์ th.islamic-sources.com

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม