ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ คือหัวหน้าของบรรดาสตรีแห่งโลกทั้งหลาย

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ คือหัวหน้าของบรรดาสตรีแห่งโลกทั้งหลาย


ท่านอัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี ได้รายงานไว้ในหนังสือบิฮารุลอันวาร เล่มที่ 43 หน้าที่ 78 ว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) กล่าวว่า


ابْنَتِي فَاطِمَةَ وَ إِنَّهَا لَسَيِّدَةُ نِسَاءِ الْعَالَمِينَ فَقِيلَ: يَا رَسُولَ اللَّهِ! أَ هِيَ سَيِّدَةُ نِسَاءِ عَالَمِهَا؟ فَقَالَ: ذَاكَ لِمَرْيَمَ بِنْتِ عِمْرَانَ فَأَمَّا ابْنَتِي فَاطِمَةُ فَهِيَ سَيِّدَةُ نِسَاءِ الْعَالَمِينَ مِنَ الْأَوَّلِينَ وَ الْآخِرِينَ، وَ إِنَّهَا لَتَقُومُ فِي مِحْرَابِهَا فَيُسَلِّمُ عَلَيْهَا سَبْعُونَ أَلْفَ مَلَكٍ مِنَ الْمَلَائِكَةِ الْمُقَرَّبِينَ وَ يُنَادُونَهَا بِمَا نَادَتْ بِهِ الْمَلَائِكَةُ مَرْيَمَ فَيَقُولُونَ يَا فَاطِمَةُ! إِنَّ اللَّهَ اصْطَفاكِ وَ طَهَّرَكِ وَ اصْطَفاكِ عَلى نِساءِ الْعالَمِين
 

ฟาฏิมะฮ์ คือ บุตรีของฉันและเธอ คือ หัวหน้าของบรรดาสตรีแห่งโลกทั้งหลาย ได้มีผู้หนึ่งถามว่า โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ นางคือหัวหน้าของบรรดาสตรีในโลกของนางใช่ไหม? ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ตอบว่า นั่นคือ มัรยัม บุตรีของอิมรอน  แต่ฟาฏิมะฮ์ บุตรีของฉันคือ หัวหน้าของบรรดาสตรีแห่งโลกทั้งหลายจากยุคแรกจนถึงยุคสุดท้าย เมื่อเธอลุกขึ้นยืนในที่มิฮ์รอบ(สถานที่นมาซ) ของเธอ บรรดาเทวทูตที่ใกล้ชิดต่อพระองค์ถึง 7 หมื่นองค์ จะให้สลามกับเธอและกล่าวกับเธอเหมือนกับที่พวกเขาได้กล่าวกับมัรยัมว่า โอ้ฟาฏิมะฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงคัดเลือกเจ้าและชำระขัดเกลาเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ และทรงเลือกเจ้าให้เหนือบรรดาสตรีแห่งโลกทั้งหลาย

 
เมื่อเป็นที่เข้าใจแล้วว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) มีสถานะเช่นนั้นในจักรวาลนี้ เราจะต้องยอมรับด้วยว่า เราต้องพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับท่านหญิงผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ทั้งกลางวันและกลางคืน เราจะต้องเรียนรู้ว่านางเป็นใคร และใช้ชีวิตอยู่อย่างไร เพื่อเราจะได้เพียรพยายามใช้ชีวิตให้เหมือนกับการใช้ชีวิตของนาง ไม่ว่าเราจะเป็นชายหรือหญิง

 

มีรายงานฮะดีษที่กล่าวถึงฐานะภาพอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) ในตำราที่ได้รับความเชื่อถือหลายเล่ม ซึ่งท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า


إِنَّ اَللَّهَ لَيَغْضَبُ لِغَضَبِ فَاطِمَةَ وَ يَرْضَى لِرِضَاهَا
 

"แท้จริงอัลลอฮ์ทรงโกรธกริ้ว เมื่อฟาฏิมะฮ์โกรธ และพระองค์ทรงพึงพอพระทัย เมื่อฟาฏิมะฮ์พอใจ" (บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 43 หน้าที่ 19)


ยิ่งเราคิดเกี่ยวกับคำพูดนี้มากเท่าไหร่ ฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) ก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นสำหรับเรามากเท่านั้น ฮะดีษบทนี้มีความหมายที่ล้ำลึก และทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ตามความสามารถและความเข้าใจของเขาเอง เราจะกล่าวถึงสองประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้


1.มนุษย์มักจะมีธรรมชาติที่โน้มเอียงไปตามตำแหน่งและฐานะ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถไปถึงเป้าหมายนั้นได้โดยผ่านทรัพย์สินและอำนาจ พวกเขาจึงพากเพียรและใช้ความสามารถและทรัพยากรทั้งหมดที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้ไปเพื่อที่จะได้มีฐานะร่ำรวยมากยิ่งขึ้นและมีอำนาจมากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขามีความเชื่ออย่างโง่เขลาว่า ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีสถานะที่สูงส่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสลามได้สอนให้เรารู้ว่า วิถีทางนั้นเป็นวิถีทางแห่งซาตานมารร้าย

 

สถานะและคุณค่าที่แท้จริงที่มาจากการรับใช้และการยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ ยิ่งเรายอมจำนนต่อพระประสงค์ของอัลลอฮ์มากเท่าไหร่ เขาหรือเธอก็จะยิ่งมีสถานะที่สูงส่งยิ่งขึ้นมากเท่านั้น

 

ความสูงส่งนี้ สามารถไปถึงจุดที่บ่าวผู้ที่ยอมจำนนอุทิศตนต่ออัลลอฮ์โดยสิ้นเชิง แล้วอัลลอฮ์ก็จะยอมมอบทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหมดให้แก่เขา

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) ได้ยอมจำนนอุทิศตัวของนางให้แก่อัลลอฮ์จนถึงขนาดที่ความโกรธกริ้วและความพึงพอพระทัยของอัลลอฮ์นั้นถูกนำมาเชื่อมโยงกับความโกรธและความพึงพอใจของนาง

 

2. ฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ยังได้ถูกใช้มาเพื่อปกป้องภาวะความเป็นผู้นำ (วิลายะฮ์) และสิทธิอันชอบธรรมของอิมามอะลี (อ.) อีกด้วย

 

แท้ที่จริงแล้ว ฟาฏิมะฮ์(ซ.) คือ คนแรกที่ต่อสู้เพื่อปกป้องในวิลายะฮ์

 

การต่อสู้ของนางเพื่อปกป้องสามีและสิทธิที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่เขานั้น ได้ทำให้นางถูกทำร้ายในบ้านตัวเอง และได้เป็นชะฮีด(พลีชีพ) เนื่องจากผลของการบาดเจ็บของนาง ความโกรธของนางที่มีต่อผู้ที่ทำร้ายนางและแย่งชิงสิทธิของสามีของนางไปนั้นทำให้นางขอร้องสามีของนางให้ฝังนางในตอนกลางคืน เพื่อที่บรรดาผู้ที่ทำให้นางโกรธจะได้ไม่มาร่วมพิธีศพและนมาซให้แก่ร่างของนาง

 

ในการทำเช่นนี้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) ได้ทิ้งคำถามหนึ่งไว้ในหัวใจของผู้แสวงหาสัจธรรมทุกคนตลอดกาลว่า ทำไมบุตรีที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของศาสดาแห่งอิสลามจึงถูกฝังในยามกลางคืน และทำไมไม่มีใครรู้ที่ตั้งสุสานของนาง?

 

ใครก็ตามที่ค้นหาคำตอบให้กับคำถามนี้ด้วยสัจธรรมและมีจุดมุ่งหมายที่แท้จริง เขาก็จะค้นพบสัจธรรมและยอมรับในแนวทางของอะฮ์ลุลบัยต์(อ.) (หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์)


บทความบางส่วนได้คัดลอกจากต้นฉบับ เว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี


เรียบเรียงโดย เชคญะมาลุดดีน ปาทาน