เปชวาร์ราตรี : เสวนาคืนที่ 1 ตอนที่ 2

เปชวาร์ราตรี : เสวนาคืนที่ 1 ตอนที่ 2

 

การแสดงหลักฐานโดยตำราและบทรายงานของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์

 

ยังมีหลักฐาน ในประเด็นเดียวกันนี้อีกมาก ซึ่งล้วนแต่ให้เหตุผลตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้ว แน่นอน นักปราชญ์ และนักท่องจำ นักรายงานของพวกท่านได้นำหลักฐานนั้นๆไปอ้างอิงไว้

 

เช่น อิมาม อัรรอซีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือตัฟซีร อัล-กะบีร ของท่าน เล่มที่ 4(14) ปรากฏความในหน้า 124 หัวข้อที่ 5 ท่านได้กล่าวอธิบายโองการนี้ ของซูเราะฮ์ อัลอันอามว่า:  

 

“โองการนี้ เป็นหลักฐานยืนยันว่า ฮะซัน, ฮุเซน (ขอความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน) เป็นเชื้อสายของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ขอความจำเริญและความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน) เพราะว่าโองการนี้ อัลลอฮ์ทรงกำหนดว่า อีซา เป็น เชื้อสายของอิบรอฮีม และอีซานั้น ไม่มีบิดา แต่ได้สืบตระกูลโดยมารดา และทำนองเดียวกับฮะซันและฮุเซน (ขอความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน) กล่าวคือ คนทั้งสองสืบตระกูลจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) โดยมารดา

 

ขณะเดียวกัน ท่านอิมามบากิร(ขอความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน)ก็เคยแสดงหลักฐานต่อฮัจญาจญ์ อัษ-ษักฟีย์ โดยยกโองการนี้เพื่อยืนยันว่า พวกเขาคือ ผู้สืบเชื้อสายของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)เช่นกัน(15)

 

นักปราชญ์อีกส่วนหนึ่ง คือ อิบนุ อะบีล ฮะดีด ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชะเราะฮ์ นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ อะบูบักร์ อัรรอซีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่าน เป็นหลักฐานแสดงว่า ฮะซันและฮุเซน(ขอความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน) เป็นบุตรชายของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ)โดยผ่านทางฝ่ายมารดาของท่านทั้งสอง คือท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ด้วยการยกโองการว่าด้วยการพิสูจน์สาบาน(มุบาฮะละฮ์)และยกคำว่า “บุตรทั้งหลายของเรา” ดังที่อัลลอฮ์ทรงจัดลำดับสายตระกูลของอีซาจากฝ่ายมารดาให้ถึงอิบรอฮีมไว้แล้ว ในคัมภีร์อันทรงเกียรติของพระองค์

 

นักปราชญ์อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ อัลคอฎีบ คอวาริซมีย์ ซึ่งท่านเได้รายงานไว้ใน “อัลมะนากิบ”และท่านซัยยิด อะลี อัล-ฮัมดานีย์ อัช-ชาฟิอีย์ ได้กล่าวในหนังสือของท่าน ชื่อ “มะวัดดะตุล-กุรบา” และอิมาม อะห์มัด ฮัมบะลีย์ ซึ่งเป็นนักปราชญ์ผู้โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพวกท่าน ก็ได้กล่าวไว้ใน “มุสนัด” ท่านสุลัยมาน อัล-ฮะนะฟีย์ อัล-บะละญีย์ ก็บันทึกไว้ใน “ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์”(16)ทั้งหมดได้บันทึกสรุปสอดคล้องตรงกันว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)กล่าวพลางชี้ไปที่ท่านฮะซันและท่านฮุเซน(อ)ว่า “สองคนนี้ คือ บุตรชายของฉัน เป็นดวงใจของฉันในโลกนี้ บุตรชายทั้งสองของฉันนี้ เป็นผู้นำตลอดกาลไม่ว่าเขาจะยืนหรือนั่งก็ตาม

 

นักปราชญ์อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ อัช-ชาฟิอีย์ หรือที่รู้จักกันในนามอัลลามะฮ์  อัล-กันญีย์ ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน ชือ”กิฟายะตุฎฎอลิบ”โดยให้รายละเอียดอย่างครบครัน จำนวน100 บท ในหัวข้อเรื่อง “คำอธิบายตระกูลของท่านนบี (ศ็อลฯ) มาจากกระดูกสันหลังของอะลี (อ)” ท่านได้นำเสนอสารบบการรายงานบทหนึ่ง จากญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อัล-อันศอรีย์ กล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงอานุภาพ สูงสุด ทรงกำหนดให้สายตระกูลของทุกนบี อยู่ในกระดูกสันหลังของตนเอง แต่อัลลอฮ์ ผู้ทรงอานุภาพสุงสุด ได้กำหนดให้สายตระกูลของฉัน อยู่ในกระดูกสันหลัง ของอะลี บิน อะบี ฎอลิบ” (17)

 

ท่านอิบนุฮะญัร อัล-มักกีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือของท่านชื่อ “ศอวาอิกุลมุฮัรรอเกาะฮ์” หน้า 74-94 รายงาน โดยท่านฏ็อบรอนีย์ จากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เช่นเดียวกับท่านคอฏีบ อัล-คอวริซมีย์ ที่บันทึกใน “อัล-มะนากิบ”รายงานจากอิบนุอับบาส

 

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า (18) ท่านฏ็อบรอนีย์ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ใน “มุอัจญะมุล-กะบีร” ถัดจากคำอธิบายหมวดชื่อ “ฮะซัน” ดังนี้

 

 “หากจะกล่าวว่า ผู้สืบตระกูลของท่านนบี (ศ็อลฯ) กับของท่านอะลีนั้น เชื่อมกันไม่ได้ นอกจากอาศัยการจัดลำดับจากท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ (ซ.) ฉะนั้นบรรดาบุตรหลานของบุตรสาว จึงไม่ใช่คนในตระกูล ตรงตามที่นีกกวี ได้ว่าไว้

 

บุตรหลานของเรา ได้แก่บุตรหลานของบุตรชายของเรา

ส่วนบุตรหลานของเรา ที่สืบมาจากบุตรหญิงของเรานั้น

ที่แท้เป็นบุตรหลานของคนอื่น  อันห่างไกลไปจากเรา

 

ข้าพเจ้าจะขอตอบว่า ในคัมภีร์ที่ถูกประทาน คือข้อพิสูจน์อันชัดแจ้ง ที่ยืนยันความถูกต้องของข้ออ้างนี้ นั่นคือ โองการของพระองค์ ผู้ทรงอานุภาพสูงสุด (19) “และเราได้ประทานแก่เขา (อิบรอฮีม) คือ อิสหาก และยะอ์กูบ ทั้งสองนั้น เราได้ชี้นำ ส่วนนูห์นั้น เราได้ชี้นำมาก่อน…….และซะกะรียา, ยะห์ยา และอีซา” กล่าวคือ พระองค์ทรงจัดให้ “อีซา” (อ) เป็นคนในกลุ่มสายตระกูลที่สืบถึงนูห์ (อ) ทั้งๆที่ท่านคือลูกชายของสตรีนางหนึ่ง ไม่มีบิดาเชื่อมถึงนูห์เลย เว้นแต่จะนับจากมารดาเท่านั้น นั่นคือ ท่านหญิงมัรยัม

 

ในเรื่องเหล่านี้ เป็นหลักฐานยืนยันได้ประการหนึ่งว่า ลูกหลานของท่านหญิงฟาฎิมะฮ์(ซ.) คือ ผู้สืบเชื้อสายของท่าน นบี(ศ็อลฯ) และท่านจะไม่มีผู้สืบตระกูลเลย นอกจากทางฝ่ายท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เท่านั้น จึงให้นับสายตระกูลที่สืบจากนางถึงผู้ทรงเกียรติที่ดำรงตำแหน่งนบี และไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด หากจะนับผู้สืบตระกูลจากทางฝ่ายมารดา เช่นเดียวกับนบีอีซา ที่สืบตระกูลไปถึงนูห์ โดยไม่แตกต่างกันเลย

 

ท่านฮาฟิซ อัลกันญีย์ อัช-ชาฟิอีย์ รายงานไว้ในตอนท้ายของบทนี้ โดยสารบบรายงานของท่านเอง จากท่านอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า “บุตรชายของหญิงทุกคนนั้น ถือว่า ต้นตระกูลของตัวเองจะอยู่ที่บิดาทั้งสิ้น เว้นแต่บุตรชายของฟาฏิมะฮ์ เพราะว่าแท้จริงฉันคือต้นตระกูลของพวกเขา และฉันคือบิดาของพวกเขา” (20)

 

ท่านอัลลามะฮ์ อัล-กันญีย์ กล่าวว่า ท่านฏ็อบรอนีย์ ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ใน ตอนอธิบายคำว่า “ฮะซัน”

 

นี่คือส่วนหนึ่ง กับอีกรายงานหนึ่งที่ท่านได้อ้างเป็นข้อความสั้นๆไว้โดยสอดคล้องตรงกัน และเสริมต่อไว้ ในตอนต้นว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ) กล่าวว่า “การนับสายตระกูลและการสืบตระกูลของทุกตระกูลนั้น จะหมดสิ้นไปวันต่อวันจนถึงวันฟื้นคืนชีพ (กิยามะฮ์) ยกเว้นการนับสายตระกูลและการสืบตระกูลของฉัน” (21)

 

ข้าพเจ้าขอสรุปว่า  นักปราชญ์และนักท่องจำของพวกท่านเป็นจำนวนมาก ได้อ้างอิงเรื่องนี้ไว้ ส่วนหนึ่งคือ ท่านฮาฟิซสุลัยมาน อัล-ฮะนะฟีย์ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือของท่าน ชื่อ “ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์” (22) โดยท่านได้แยกบทต่างหากเป็นเอกเทศไว้บทหนึ่งในหัวข้อเรื่องนี้ กล่าวคือ เป็นรายงานที่ได้รับมาจากอะบี ศอลิห์, ท่านฮาฟิซ อับดุละซีซ บิน อัคฏ็อรและอะบีนะอีม ใน”มะอ์ริฟะตุศศอฮาบะฮ์”และท่านดารุกุฏนีย์ ท่านฏ็อบรอนีย์ ก็ได้บันทึกไว้ใน “อัล-เอาซัฏ”

 

นักปราชญ์อีกส่วนหนึ่งได้แก่ เชคอับดุลลอฮ์ บิน มุฮัมมัด อัช-ชิบรอวีย์ ซึ่งบันทึกไว้ใน “อัล-อิตติฮาฟ บิฮุบบิล อัชรอฟ”

 

ท่านญะลาลุดดีน อัซซะยูฏีย์ บันทึกไว้ใน “อิห์ยาอุล-มัยยิต บิฟะฎออิลอะฮ์ลิลบัยต์” (23)

 

ท่านอะบูบักร์ บิน ชิฮาบุดดีน บันทึกไว้ใน “ร็อชฟะตุศศอดีย์ ฟี บะห์ริ ฟะฎออิลิ บะนี นบี อัล-ฮาดีย์”พิมพ์ที่อียิปต์ บทที่ 3

 

อิบนุฮะญัร อัล-ฮัยซุมีย์ บันทึกไว้ใน “อัศศอวาอิกุลมุฮัรรอเกาะฮ์”บทที่9 ภาคที่ 8 ฮะดีษที่ 27 ท่านกล่าวว่า: ท่านฏ็อบรอนี รับรายงานมาจากท่านญาบิร และท่านคอฏีบ รับรายงานมาจาก ท่านอิบนุอับบาส …..แล้วท่านก็ได้อ้างถึงฮะดีษนั้น

 

ท่านอิบนุฮะญัร รายงานไว้อีกเช่นกันใน “อัศศอวาอิกฯบทที่ 11 ภาคที่ 1 โองการที่ 9 ….และท่านอะบูค็อยรุลฮากิมีย์ เจ้าของหนังสือ “กุนูซุฏฏอลิบ ฟี บะนี อะบี ฏอลิบ” รายงานว่า ท่านอะลีได้เข้าไปพบท่านนบี (ศ็อลฯ) โดยมีท่านอับบาสอยู่ที่นั่นด้วย เมื่อท่านอะลีกล่าวสลามแล้ว ท่านนบี (ศ็อลฯ)ก็ตอบรับสลาม จากนั้นท่านนบีได้ลุกขึ้นแล้วเข้าไปกอดท่านอะลี และจูบตรงระหว่างดวงตาสองข้าง แล้วท่านนบี(ศ)ก็ได้นำท่านอะลีไปนั่งทางขวามือ

 

ท่านอับบาสถามว่า “ท่านรักเขามากหรือ?

 

ท่านนบี(ศ)ตอบว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์ทรงรักเขามากกว่าที่ฉันรักเสียอีก แท้จริง อัลลอฮ์ทรง กำหนดให้ตระกูลของนบีทุกคนอยู่ในกระดูกสันหลังของตัวเอง แต่ทรงกำหนดให้ตระกูลของฉันอยู่ในกระดูกสันหลังของเขาคนนี้”

 

ท่านอัลลามะฮ์ อัลกันญีย์ อัชชาฟิอีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสือของท่าน”กิฟายะตุฏฏอลิบ” บทที่ 7(24) โดยสารบบการรายงานจากอิบนุอับบาส

 

ปรากฏว่า ยังมีประมวลฮะดีษอันทรงเกียรตือีกชุดใหญ่ ที่รายงานบันทึกอยู่ในตำราอันเป็นที่ยอมรับโดยบรรดานักปราชญ์ของพวกท่าน จึงสรุปว่า ท่านนบี(ศ)ถือว่า ท่านฮะซันและท่านฮุเซน เป็นบุตรชายของท่าน และได้แนะนำทั้งสองท่านให้บรรดาสาวกรู้อย่างนี้ ซึ่งท่านกล่าวว่า “สองคนนี้เป็นลูกชายของฉัน”

 

มีรายงานในตัฟซีร”อัล-กิชาฟ”ซึ่งเป็นตัฟซีรที่สำคัญเล่มหนึ่งของพวกท่าน ในตอนอธิบายโองการอัล-มุบาฮะละฮ์ ท่านกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานใดมีน้ำหนักกว่านี้อีกแล้ว สำหรับการบ่งบอกถึงเกียรติยศของ “ผู้อยู่ใต้กิซาอ์” ได้แก่ท่านอะลี, ฟาฏิมะฮ์, และฮะซัน, ฮุเซน (อ)

 

เพราะว่า ตอนที่โองการนี้ถูกประทาน ท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็เรียกคนเหล่านั้นเข้าไป แล้วได้โอบกอดท่านฮุเซนอีกมือหนึ่งก็โอบท่านฮะซัน ส่วนท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ก็ได้เดินตามหลังท่านไป ท่านอะลีก็เดินตามหลังคนทั้งสองไปด้วย

 

เป็นอันว่า บุคคลเหล่านี้ คือ ความหมายที่แท้จริงของโองการนี้ ฉะนั้น บุตรชายของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และเชื้อสายของพวกเขา จึงได้ชื่อว่า บุตรชายและสายตระกูลท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ท่านเป็นสายตระกูลที่ถูกต้อง มีคุณอนันต์ทั้งในโลกนี้และปรโลก(25)

 

ทำนองเดียวกัน ท่านเชค อะบูบักร์ อัรรอซีย์ ก็ได้บันทึกไว้ใน “ตัฟซีร อัล-กะบีร” ตรงตอนท้ายของโองการอัล-มุบาฮะละฮ์ และในตอนอธิบายคำว่า “อับนาอะนา” ท่านได้ร่ายคำอธิบายยาวเหยียด และวิเคราะห์หาข้อเท็จจริง ท่านได้ยืนยันในนั้นว่า “ท่านฮะซัน และท่านฮุเซนเป็นลูกชายสองคนและเป็นสายตระกูลของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ)” ขอเชิญตรวจสอบดู (26)

 

ซุลฏอน : ท่านฮาฟิซ หลังจากอธิบายความมาทั้งหมดนี้แล้ว ยังมีที่สำหรับบทกวีที่ท่านได้นำมาอ้างเป็นหลักฐานอยู่อีกหรือ ? “บุตรหลานของเรา ได้แก่บุตรหลานของบุตรชายของเรา……..” หรือว่า กลอนของนักกวีบทนี้ สามารถหักล้างข้อบัญญัติอัน และข้อพิสูจน์อันชัดแจ้งได้?

 

ดังนั้น ถ้าหากว่า หลังจากรับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว คนใดยังเชื่อในคุณค่าจากบทกวีของพวกไร้อารยธรรม ตามคำเล่าขานไปแล้วนั้น เขาก็คือ ผู้ปฏิเสธคนหนึ่งเช่นนักกวีแห่งยุคไร้อารยธรรมเพราะว่า ปฏิเสธคัมภีร์ของอัลลอฮ์ อันทรงอานุภาพ และขัดกับวจนะของศาสนทูต ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ)

 

ท่านฮาฟิซโปรดทราบไว้เถิดว่า นี่คือ หลักฐานบางส่วนเท่านั้น เกี่ยวกับความถูกต้องสำหรับสายตระกูลของเราที่สืบไปถึงท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ็อลฯ) และเป็นเพียงข้อพิสูจน์บางประการเท่านั้น ที่ยืนยันว่าเราคือสายตระกูลและชาติพันธุ์ของท่าน นี่แหละ คือสิ่งที่เรามีความภาคภูมิใจต่อเรื่องนี้

 

ท่านฮาฟิซ: ข้าพเจ้าขอยืนยัน และยอมรับว่าหลักฐานของท่าน เป็นหลักฐานที่เที่ยงแท้ ข้อพิสูจน์ของท่าน เป็นข้อพิสูจน์ที่มั่นคง ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้เลย นอกจากคนโง่เขลา ที่แข็งกระด้าง ขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็ขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ให้ความกระจ่างหลายอย่างในเรื่องนี้ แน่นอน ท่านได้เปิดเผยข้อมูลตามความเป็นจริงแก่พวกเรา และขจัดความคลุมเครือออกไปจากความคิดของเรา

 

นมาซอิชาอ์

 

ถึงตอนนี้ ได้มีเสียงอะซานในมัสยิดดังขึ้น มันเป็นการประกาศเข้าเวลานมาซอิชาอ์ ความจริงพี่น้องซุนนี ที่นี่ ถึงแม้จะขัดแย้งกับพวกเราที่เป็นชีอะฮ์ โดยถือในหลักการแยกช่วงเวลานมาซซุฮ์ริกับอัศริ และระหว่างมัฆริบกับอิชาอ์ออกจากกันก็ตาม แต่พวกเขสก็กระทำรวมในช่วงเวลาเดียวกันบ่อยๆ และนั่นก็เพราะสาเหตุบางประการ เช่น เวลามีฝนตก และเดินทาง

 

ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดจึงเตรียมตัวกันเพื่อไปยังมัสยิด แต่มีบางท่านกล่าวว่า ด้วยเหตุที่เราต้องการจะย้อนกลับมาพูดคุยกันต่อ ยังสถานที่นี้อีกภายหลังจากนมาซเสร็จแล้ว ทางที่ดีก็น่าจะให้ญะมาอะฮ์ที่มัสยิด ทำนมาซที่มัสยิดกันไป ส่วนอีกญะมาอะฮ์หนึ่งที่นี่ก็ทำนมาซในสถานที่แห่งนี้สำหรับผู้มาร่วมประชุม เพื่อมิให้หมู่คณะของเราแบ่งแยกและไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะโอกาสเช่นนี้ นับว่ามีค่ายิ่งที่เราจำเป็นจะต้องตักตวงประโยชน์

 

เป็นอันว่าคนทั้งหมดเห็นพ้องตรงกันกับข้อเสนอแนะ แต่ท่านซัยยิดอับดุล ฮัย ในฐานะอิมามประจำมัสยิดนั้น ท่านต้องออกไปเพื่อนำนมาซประชาชนที่มัสยิด

 

ส่วนคนอื่นๆต่างก็ทำนมาซอิชาอ์ด้วยกันเป็นญะมาอะฮ์ในสถานที่นั้น และพวกเขาถือปฏิบัติอย่างนั้นเป็นประจำในหลายๆคืนต่อมาอีกด้วย

 

เชิงอรรถ


(14) ตัฟซีรอัล-กะบีรของอิมาม อัลฟัครุร รอซีย์ เล่ม 7 หมวด13 หน้า 66

 

(15) ผู้ถ่ายทอดรายงานในหนังสืออัลอิห์ติญาจญ์ เล่ม2หน้า 175 อัลมุนาซอเราะฮ์204ระบุว่า อิมามบากิร (อ) ได้อ้างโองการนี้เป็นหลักฐานในตอนสนทนากับอะบีอัลญารูด

 

(16) ยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์ บาบที่54 หน้า193 ระบุว่ารายงานจากติรมิซีย์ จากอิบนุอุมัร กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) กล่าวว่า: “แท้จริงฮะซันและฮุเซนนั้นเป็นกลิ่นหอมของฉันสำหรับโลกนี้”

 

(17) กิฟายะตุฏฏอลิบ หน้า 379

 

(18) ผู้พูดคือ อัลกันญีย์ อัชชาฟิอีย์ เป็นการสรุปตอนลงท้ายสำหรับรายงานของเขา

 

(19) ซูเราะฮ์อัลอันอาม โองการที่ 84-85

 

(20) กิฟายะตุฏฏอลิบ หน้า 381

 

(21) กิฟายะตุฏฏอลิบ หน้า 380

 

(22) ยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์ บาบ 57 หน้า 318

 

(23) จากฮะดีษที่29 หน้า 28ถึงฮะดีษที่ 34หน้า 32

 

(24) กิฟายะตุฏฏอลิบ บาบที่ 7 หน้า 79

 

(25) อัลกิชาฟ เล่ม 1 หน้า 368

 

(26) เกี่ยวกับโองการอัลมุบาฮะละฮ์และท่านฮะซัน-ฮุเซน (อ) แน่นอนบรรดานักอรรถาธิบายอัลกุรอานเชื่อตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่าคำว่า “บุตรของเรา”ในโองการมุบาฮะละฮ์หมายถึงท่านฮะซัน-ฮุเซน (อ)และท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้นำท่านทั้งสองออกไปในวันมุบาฮะละฮ์ในฐานะสนองตอบคำบัญชาของอัลลอฮ์ ทั้งบรรดานักฮะดีษ นักประวัติศาสตร์มุสลิมต่างเชื่อถืออย่างนั้นตรงกัน ยังมีหนังสืออ้างอิงในหัวข้อนี้อีกเช่น

 

1-อัลฮาฟิซมุสลิม บิน ฮัจญาจ หนังสือศอฮีฮ์ เล่ม 7 หน้า 120 พิมพ์โดยมุฮัมมัด อะลี ศุบฮิ-อียิปต์

2-อิมามอะห์มัด บิน ฮัมบัล ในหนังสือมุสนัดเล่ม 1 หน้า 185 พิมพ์ที่อียิปต์

3-อัลลามะฮ์อัฏฏ็อบรีย์ ตัฟซีรเล่ม 3หน้า 192 พิมพ์โดยมัยมุนียะฮ์ อียิปต์

4-อัลลามะฮ์อะบูบักร์ อัลญิศอศ เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ 270หนังสือ”อะห์กามุลกุรอาน”เล่ม 2 หน้า 16 ท่านกล่าวว่า นักประวัติศาสตร์รายงานและอ้างเรื่องราวโดยไม่ขัดแย้งกันเลยว่าท่านนบี(ศ)ได้จับมือท่านฮะซัน-ฮุเซน,ท่านอะลี,ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ร.ฎ)แล้วเรียกชาวนะศอรอที่ท้าทายท่านให้ทำพิธีพิสูจน์คำสาบาน…

5-ท่านฮากิม ในมุสตัดร็อก เล่ม 3 หน้า 150 พิมพ์ที่ฮัยดาราบัด อัดดุกกัน

6-อัลลามะฮ์ษะละบีย์ในตัฟซีร ตอนท้ายโองการอัลมุบาฮะละฮ์

7-อัลฮาฟิซ อะบูนะอีม หนังสือ”ดะลาอิลุนนุบูวะฮ์”หน้า 279 พิมพ์ที่ฮัยดาราบัด

8-อัลลามะฮ์ อัลวาฮิดีย์ อันนัยซาบูรีย์ หนังสือ”อัซบาบุนนุซูล”หน้า 74 พิมพ์ที่อียิปต์

9-อัลลามะฮ์ อิบนุลมะฆอซะลีย์ มะนากิบอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (อ)

10-อัลลามะฮ์ อัลบัฆวีย์ หนังสือ”มะอาละมุตตันซีล”เล่ม 1หน้า 302 และหนังสือ”มะศอบีฮุซซุนนะฮ์”เล่ม 2 หน้า 204 พิมพ์ที่สำนักพิมพ์อัลค็อยรียะฮ์

11-อัลลามะฮ์ อัซซะมัคชะรีย์ ตัฟซีร”อัลกัชชาฟ” เล่ม 1 หน้า 193 พิมพ์โดยมุศฏอฟา มุฮัมมัด

12-อัลลามะฮ์ อะบูบักร์ อิบนุ อัลอะรอบีย์ หนังสือ“อะห์กามุลกุรอาน”เล่ม1หน้า115พิมพ์ที่สำนักอัซซุอาดะฮ์ อียิปต์

13-อัลลามะฮ์ ฟัครุรรอซีย์ ตัฟซีรอัลกะบีร เล่ม8หน้า 85 พิมพ์โดยอัลบะฮียะฮ์ อียิปต์

14-อัลลามะฮ์มุบาร็อก อิบนุอัลอะซีร หนังสือญามิอุลอุซูล เล่ม 9 หน้า 490 พิมพ์ที่สำนักมุฮัมมะดียะฮ์ อียิปต์

15-ฮาฟิซชัมซุดดีน อัซซะฮะบีย์ บทสรุปที่พิมพ์ต่อท้าย “มุสตัดร็อก อัลฮากิม”เล่ม 2หน้า150 พิมพ์ที่ฮัยดาราบัด

16-เชคมุฮัมมัด บิน ฏ็อลหะฮ์ อัชชาฟิอีย์ หนังสือ”มุฏอละบุซซุอูล”

17-อัลลามะฮ์ อัลญัซรีย์ หนังสือ “อะซะดุลฆอบะฮ์”เล่ม 4หน้า 25พิมพ์ครั้งแรก อียิปต์

18-อัลลามะฮ์ ซิบฏุ อิบนุลเญาซีย์”ตัซกิเราะฮ์”หน้า 17พิมพ์ที่นะญัฟ

19-อัลลามะฮ์ อัลกุรฏุบีย์“อัลญามิอ์ลิอะห์กามิลกุรอาน”เล่ม3หน้า104อียิปต์ ปี1936

20-อัลลามะฮ์ อัลบัยฎอวีย์ ตัฟซีรเล่ม2หน้า22พิมพ์มุศฏอฟา มุฮัมมัด อียิปต์

21-อัลลามะฮ์ มุฮิบบุดดีน อัฏฏ็อบรีย์ “ซะคออิรุลอุกบา”หน้า25 พิมพ์ที่อียิปต์1356 หนังสือ”อัรริยาฎุนนะฎอเราะฮ์”หน้า188 พิมพ์ที่อัลคอนญีย์ อียิปต์

22-อัลลามะฮ์ อันนะซะฟีย์ ตัฟซีรของท่าน เล่ม 1 หน้า 136 พิมพ์โดยอีซา อัลฮะละบีย์ อียิปต์

23-อัลลามะฮ์ อัลมุฮายะมีย์ ใน”ตับซีรุร-เราะฮ์มานตัยซีรุลมันนาน”เล่ม1หน้า182สำนักพิมพ์บูลาก อียิปต์

24-อัลคอฏีบุช ชีรอบีนีย์ ตัฟซีร”ซีรอญุลมุนีร”เล่ม 1หน้า 182 อียิปต์

25-อัลลามะฮ์ นัยซาบูรีย์ ตัฟซีร เล่ม 3 หน้า 206 ภาคผนวกตัฟซีร อัฏฏ็อบรีย์ พิมพ์โดยอัลมัยมุนียะฮ์ อียิปต์

26-อัลลามะฮ์ อัลคอซิน ตัฟซีร เล่ม 1หน้า 302 พิมพ์ที่อียิปต์

27-อัลลามะฮ์ อะบูฮัยยาน อัลอันดุลุซีย์ “อัลบะห์รุลมุฮีฏ”เล่ม2หน้า479พิมพ์โดยสำนักซุอาดะฮ์ อียิปต์

28-ฮาฟิซ อะบุลฟิดาอ์ อิสมาอีล บินกะษีร อัดดะมัชชะกีย์ ตัฟซีร เล่ม1หน้า270 พิมพ์โดยมุศฏอฟา มุฮัมมัด อียิปต์ และหนังสือ”อัลบิดายะตุ วันนิฮายะฮ์”

29-อะห์มัด บิน ฮะญัร อัลอัสก็อลลานีย์ ในอัลอิศอบะฮ์ เล่ม2หน้า503พิมพ์ที่มุศฏอฟา มุฮัมมัด อียิปต์

30-อัลลามะฮ์ มุอีนุดดีน อัลกาชะฟีย์ หนังสือ”มะอาริญุนนุบูวะฮ์”เล่ม1หน้า315พิมพ์ลักเนา

31-อิบนุศบาฆ อัลมาลิกีย์ “ฟุศูลุลมุฮิมมะฮ์”หน้า 108 พิมพ์ที่นะญัฟ

32-ญะลาลุดดีน อัซซะยูฏีย์ “อัดดุรรุลมันซูร”เล่ม4หน้า38พิมพ์ที่อียิปต์

33-อิบนุฮะญัร อัลฮัยตุมีย์หนังสือ”อัศศอวาอิกุลมุฮัรรอเกาะฮ์”หน้า199พิมพ์โดยอัลมุฮัมมะดีนะฮ์ อียิปต์

34-อะบูซุอูด อะฟันดีย์ ชัยคุลอิสลามแห่งอาณาจักรออตโตมานตัฟซีรเล่ม2หน้า143พิมพ์ที่อียิปต์ ภาคผนวกตัฟซีรอัรรอซีย์

35-อัลลามะฮ์ อัลฮะละบีย์ หนังสือ”อัซซีรอตุลมุฮัมมะดียะฮ์”

36-อัลลามะฮ์ อัชชาห์ อับดุลฮัก อัดดะฮ์ละวีย์หนังสือ”มิดารอญุนนุบูวะฮ์”หน้า500 พิมพ์ที่บอมเบย์

37-อัลลามะฮ์อัชชุบรอวีย์ หนังสือ”อัลอินฮาฟุบิฮุบบิลอัชรอฟ”หน้า 5 พิมพ์โดย มุศฏอฟา อัลฮะละบีย์

38-อัลลามะฮ์เชากานีย์ หนังสือ”ฟัตฮุลกอดีร”เล่ม 1หน้า316พิมพ์โดยมุศฏอฟาอัลฮะละบีย์ อียิปต์

39-อัลลามะฮ์ อัลอาลูซีย์ ตัฟซีร”รูฮุลมะอานีย์”เล่ม 3 หน้า167 พิมพ์โดยอัลมุนีรียะฮ์ อียิปต์

40-อัลลามะฮ์ อัฏฏ็อนฏอวีย์ ตัฟซีร”อัลญะวาฮิร”เล่ม2หน้า120พิมพ์โดยมุศฏอฟา อัลฮะละบีย์ อียิปต์

41-ซัยยิด อะบูบักร์ อัลฮัฎรอมีย์ หนังสือ”รุชฟะตุศศอดีย์”หน้า35พิมพ์โดยอัลอะลามียะฮ์ อียิปต์

42-เชคมะห์มูด อัลฮิญาซีย์ ตัฟซีรอัลวาฎิห์เล่ม 3หน้า 58พิมพ์ที่อียิปต์

43-อัลลามะฮ์ ศิดดีก ฮะซัน คาน หนังสือ”ฮุซนุลอุซวะฮ์”หน้า32 พิมพ์โดยอัลญะวานิบ กิศฏอนฏีย์

44-อัลลามะฮ์อะห์มัด ซัยนีย์ดะห์ลาน”ซีรอตุนนะบะวีย์”ภาคผนวก “ซีรอตุลฮะละบียะฮ์”เล่ม3หน้า4 พิมพ์ที่อียิปต์

45-ซัยยิด มุฮัมมัด รอชีด ริฎอ ตัฟซีรอัลมะนารเล่ม3 หน้า321อียิปต์

46-อัลลามะฮ์มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ อัลกันญีย์ “กิฟายะตุฏฏอลิบ”บาบที่32

47-ฮาฟิซ สุลัยมาน อัลฮะนะฟีย์ “ยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์”เล่ม1บาบ โองการว่าด้วยเกียรติยศของอะฮ์ลุลบัยต์ โองการที่ 9 (ผู้แปลเป็นอาหรับ)

 


โปรดติดตามตอนต่อไป


บทความที่เกี่ยวข้อง-


-เปชวาร์ราตรี : เสวนาคืนที่ 1 ตอนที่ 1