อิมามฮุเซน (อ.) เป็นใคร?

อิมามฮุเซน (อ.) เป็นใคร?

 

قال رسول الله (ص):  ان الحسين مصباح الهدى و سفينة النجاة

 

ท่านรอซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า "แท้จริงฮุเซน คือ ดวงประทีบแห่งทางนำ และนาวาแห่งความปลอดภัย"

 

นามว่า ฮุเซน (อ.) ประดุจหนึ่งเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ในหัวใจของมวลผู้ศรัทธา ชนิดที่ไม่มีวันดับ ทว่าจะมีผู้ศรัทธาอาลัยรักให้ท่านเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลาเป็นเช่นนี้ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย


อิมามฮุเซน (อ.) เป็นใคร ?


อิมามฮุเซน คือ บุตรของท่านอิมามอะลี บุตรของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ ซึ่งเป็นหลานรักของท่านศาสดา เป็นอิมามท่านที่ 3 ของสายธารชีอะฮ์ อิมามียะฮ์


1- ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ฮะซันและฮุเซน ทั้งสองคือชาวสวรรค์ของฉันบนหน้าแผ่นดิน

 (เศาะฮีย์ บุคอรีย์ เล่ม 5 หน้า 33 กิตาบ ฟะฎออิลเศาะฮาบะฮ์ บาบ มะนากิบ ฮะซันวะฮุซัยน์)

2. ท่านฮากิม นิชาบูรีย์ เล่ามาจากสายรายงานของท่าน ซัลมาน เล่าว่า ฉันได้ยินมาจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า


الحسن و الحسين ابناي  من احبّهما احبني و من احبني احبه الله ومن احبه الله ادخله الجنة و من ابغضهما ابغضني ومن ابغضني ابغضه الله و من ابغضه الله ادخله النار

(مستدرك الحاكم ج 3 ص 166)

 

ฮะซันและฮุเซน คือ ลูกทั้งสองของฉัน ผู้ใดก็ตามที่รักเขาทั้งสอง เขาก็มีความรักต่อฉัน และผู้ใดก็ตามที่รักฉัน อัลลอฮ์จะทรงรักต่อเขา และผู้ใดก็ตามที่พระองค์ทรงรัก พระองค์จะทำให้เขาเข้าสวรรค์ และผู้ใดก็ตามที่มีความโกรธต่อเขาทั้งสอง เท่ากับเขาโกรธฉัน และผู้ใดก็ตามที่่โกรธฉัน เท่ากับเขาโกรธอัลลอฮ์ และผู้ใดที่พระองค์ทรงกริ้วโกรธ พระองค์จะทรงให้เขาเข้าสู่นรก


ฮากิมเล่ามาจากสายรายงานของท่าน ซึ่งรายงานมาจาก อิบนุอุมัรว่า


الحسن والحسين شيدا شباب اهل الجنة وابوهما خير منهما


(مستدرك الحاكم ج 3 ص 167)

 

ฮะซันและฮุเซน คือ หัวหน้าชายหนุ่มในสรวงสวรรค์ และบิดาของพวกเขาดีกว่าเขาทั้งสอง


4. ติรมีซีย์ เล่ามาจากสายรายงานของท่าน จากยูซุฟ บิน อิบรอฮีม เล่าว่าฉันได้ยินมาจากอนัส บิน มาลิก ว่ามีผู้ถามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า อะฮ์ลุบัยต์ของท่านคนใดเป็นที่รักยิ่งสำหรับท่าน


ท่านศาสดา กล่าวว่า ฮะซันและฮุเซน ซึ่งท่านจะกล่าวกับท่านฟาฎิมะฮ์ (อ.) เสมอว่า จงเอาบุตรชายทั้งสองของพ่อมาให้พ่อด้วย หลังจากนั้นท่านจะหอมเด็กทั้งสองด้วยความเอ็นดูหลายต่อหลายครั้ง และจะเอาเด็กทั้งสองกอดไว้แนบอก

 (สุนันติรมีซีย์ เล่ม 5 หน้า 323 ฮะดีษลำดับที่ 3861)

 


5. ยะอ์ลิบ อิบนิ มัรวะฮ์ กล่าวว่า ฉันได้ออกจากบ้านพร้อมกับท่านศาสดาเพื่อไปเป็นแขกบ้านหนึ่ง ในระหว่างทางเราได้เห็นฮุเซนกำลังเล่นอยู่ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงรีบเดินไปหาฮุเซน อ้าแขนทั้งสองออกเพื่อเตรียมกอดเขา แต่ฮุเซนไม่ยอม ได้วิ่งไปทางโน้นทางนี้ ซึ่งทั้งสองหัวเราะต่อกระซิกกัน จนกระทั่งศาสดาจับตัวเขาได้ มือข้างหนึ่งจับไปที่คางของฮุเซน และมืออีกข้างหนึ่งจับที่ศีรษะฮุเซน


 
หลังจากนั้นท่านได้จุมพิตฮุเซน และกอดไว้แนบอก ขณะนั้นท่านกล่าวว่า

 


حسين مني و انا منه احب الله من احبه الحسن والحسين سبطان من الاسباط

 

ฮุเซน มาจากฉันและฉันมาจากฮุเซน  อัลลอฮ์ทรงรักผู้ที่รักเขา ฮะซันและฮุเซนทั้งสองนั้นเป็นหลานสุดที่รักยิ่งของฉัน

 (อัลมุอ์ญิมุลกะบีร เล่ม 22 หน้า 284, กันซุลอุมมาล เล่ม 13 หน้า 662,  ตารีคดะมิซก์ เล่ม 14 หน้า 150)


ประโยคแรกนั้น บ่งบอกว่าฮุเซน มาจากท่านเราะซูล แม้ว่าบิดาของท่านคือ อิมามอะลี (อ.) ก็ตาม แต่เนื่องจากว่าท่านเราะซูลโดยถือตามโองการมุบาฮะละฮ์ ที่กล่าวว่า อะลีคือตัวตนของท่านเราะซูล  ด้วยเหตุนี้ อิมามฮุเซน จึงถือว่าเป็นบุตรของท่านด้วย

 

อะบูมันซูร อะฮ์มัด บินอะลี อัฏฏอบริซีย์ ได้รายงานในเล่มที่ 2 ของหนังสือ อัลอิฮ์ติญาจ อย่างละเอียด ภายใต้หัวข้อเรื่อง คำตอบของอิมามมูซา บินญะอฺฟัร แก่คำถามของฮารูน” ซึ่งคำถามและคำตอบสุดท้ายนั้นเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังสนทนากันอยู่นี้

 

ฮารูน กล่าวว่า  พวกท่านอนุมัติแก่คนทั่วไปและผู้ที่เฉพาะโดยให้ถือว่า พวกท่านเป็นบุตรหลานของท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) โดยให้พวกเขาเรียกพวกท่านว่า โอ้ บุตรหลานท่านศาสนทูต ทั้งๆ ที่พวกท่านเป็นลูกหลานของอะลี ซึ่งคนเราจะสืบสกุลกันได้ก็โดยทางพ่อ ซึ่งฟาฏิมะฮ์นั้นเป็นเพียงภาชนะ และท่านศาสนทูตเป็นบรรพบุรุษของพวกท่านทางสายแม่

อิมามมูซา (อ) จึงถามว่า หากท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) ได้คืนชีพ แล้วขอสมรสกับบุตรีของท่าน ท่านจะอนุญาตหรือไม่?

ฮารูน ตอบว่า มหาพิศุทธิ์คุณแห่งอัลลอฮ์ เหตุใดข้าพเจ้าจะไม่อนุญาตเล่า ในเมื่อข้าพเจ้าจะได้มีความภูมิใจที่เหนือชาวอาหรับและมิใช่อาหรับ รวมทั้งเผ่ากุเรช

ท่านอิมาม กล่าวว่า ทว่า ท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) ไม่อาจจะขอสมรสกับบุตรีของข้าพเจ้าได้ และข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะให้เขาแต่งงานกันได้

ฮารูน จึงถามว่า เพราะเหตุใดหรือ

ท่านอิมาม ตอบว่า “เพราะท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) เป็นผู้กำเนิดข้าพเจ้า และเขาไม่ได้เป็นผู้กำเนิดท่าน

ฮารูน ตอบว่า ถูกต้องแล้ว ทว่าพวกท่านพูดได้อย่างไรว่าเป็นผู้สืบสกุลจากท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) ทั้งๆที่ท่านไม่ได้มีทายาทสืบสกุล เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ทายาทจะต้องเป็นชาย ไม่ใช่หญิง พวกท่านเป็นบุตรหลานของบุตรีของเขา ซึ่งบุตรีของนางย่อมไม่ใช่ทายาทของท่าน

อิมาม กล่าวว่า  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ด้วยสิทธิ์แห่งการเป็นญาติ ด้วยสิทธิ์แห่งสุสานนี้ และบุคคลที่อยู่ในนั้น ให้ท่านได้ยกเลิกที่จะซักถามข้าพเจ้าในเรื่องนี้เสีย

ฮารูน กล่าวต่อว่า ไม่ได้ ท่านจะต้องแสดงหลักฐานในเรื่องนี้ให้จงได้ โอ้บุตรของอะลี โอ้มูซา ผู้เป็นผู้นำของพวกเขาและอิมามแห่งยุคของเขา อย่างที่เขาบอกมา ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้ท่านหลบหลีกหนีจากคำถามของข้าพเจ้าได้เลย จนกว่า ท่านจะนำหลักฐานจากพระคัมภีร์แห่งอัลลอฮ์ เพราะพวกท่านคือ บุตรหลานอะลี พวกท่านอ้างว่า ไม่มีแม้แต่อักษรเดียวในอัลกุรอานที่พวกท่านไม่ทราบ ไม่ว่าจะเป็นอักษร อะลิฟ หรือ วาว พวกท่านก็สามารถท่ีจะตีความหมายได้ โดยพวกท่านอ้างอิงหลักฐาน จากอัลกุรอานว่า “เรามิได้ละเลยสิ่งใดในคัมภีร์นี้แม้แต่อย่างเดียว” และพวกท่านก็ไม่ยอมใช้ทัศนะและการเปรียบเทียบของเหล่านักปราชญ์ด้วย

ท่านอิมาม ถามว่า ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าตอบใช่หรือไม่

ฮารูน ตอบว่า เชิญครับ

อิมาม กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้พ้นจากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ พระผู้ทรงเมตตาและกรุณาปราณีเสมอ  และจากวงศ์วานของเขานั้น มีดาวูด สุไลมาน อัยยูบ ยูซุฟ มูซา ฮารูน เช่นนั้นแหละที่เราได้ตอบแทนผู้ประพฤติความดี และซะกะรียา ยะฮ์ยา อีซา อิลยาซ ทั้งมวลเป็นผู้ทรงธรรม
(อัล-กุรอาน อัลอันอาม ๓๘) และ ใครคือบิดาของอีซา

ฮารูน ตอบว่า  อีซานั้นเขาไม่มีบิดา

อิมาม กล่าวว่า ทว่าอัลลอฮ์ได้ทรงจัดให้เขาเป็นวงศ์วานแห่งเหล่าศาสดา โดยทางสายของมัรยัม ผู้เป็นมารดา เช่นเดียวกับที่พวกเราเป็นวงศ์วานของท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) โดยทางสายของฟาฏิมะฮ์ มารดาของเรา จะให้ข้าพเจ้ากล่าวอีกไหม

ฮารูนกล่าวว่า  เชิญครับ

อิมาม กล่าวว่า ครั้นแล้วผู้ใดก็ตามที่โต้แย้งเธอในเรื่องของเขา (อีซา) หลังจากความรู้แจ้งได้มาถึงเธอแล้ว เธอก็จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราจะเรียกบรรดาบุตรของเรา และบรรดาบุตรของพวกท่าน บรรดาสตรีของเรา และบรรดาสตรีของพวกท่าน ตัวของเราและตัวของพวกท่าน หลังจากนั้นเรามาวอนขออย่างจริงจัง เพื่อให้การสาปแช่งของอัลลอฮฺประสบแก่บรรดาผู้กล่าวเท็จ
(อัล-กุรอาน อัลอันอาม ๘๔-๘๕)

 

ไม่มีผู้ใดสักคนที่อ้างว่า ตนได้รับอนุญาตให้เข้าไปในผ้าห่มผืนนั้น นอกจากอนุญาตให้เข้าไปในพิธีสาบานกับพวกคริสเตียน นอกจาก อะลี บินอะบีฏอลิบ ฟาฏิมะฮ์ อัลฮะซัน และอัลฮุเซน (อ.) มุสลิมทั้งมวลได้ลงมติกันว่า จุดประสงค์ของคำว่า บุตรของเรา ในโองการนั้นคือ อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน สตรีของพวกเรา คือ ฟาฏิมะฮ์ และ ตัวของเรา คือ อะลี บินอะบีฏอลิบ

 

ฮารูน กล่าวว่า  ดีแล้ว โอ้มูซา อะไรคือจุดประสงค์ของท่านครับ

อิมาม กล่าวว่า ขอให้ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้า ได้กลับไปสู่นครต้องห้ามแห่งท่านศาสนทูตบรรพบุรุษของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับไปอยู่กับบุตรและภรรยาของข้าพเจ้า

ฮารูน กล่าวว่า  เราจะขอคิดดูก่อน


หลักฐานจากตำราและการรายงานของผู้คนทั่วไป


ยังมีหลักฐานอีกมากมายที่ยืนยันว่า บุตรของอะลีและฟาฏิมะฮ์คือ บุตรของท่านศาสนทูต หลักฐานเหล่านี้ถูกบันทึกโดยนักปราชญ์ของพวกท่าน และรายงานโดยผู้ท่องจำและผู้รายงานของพวกท่านเอง เช่น

ท่านอิมาม ฟัครุลรอซีย์ ได้กล่าวไว้ในตอนที่ 4 ของหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานของเขา และในหน้าที่ 124 ของปัญหาข้อที่ 5 เมื่ออธิบายในความหมายของโองการ ที่อยู่ในซูเราะฮ์อัลอันอามว่า


"แท้จริงโองการนี้ได้บ่งชี้ว่า อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) เพราะว่า อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้อีซา (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของอิบรอฮีม (อ.) ทั้ง ๆ ที่อีซาไม่มีบิดา แต่สืบสกุลทางมารดา ซึ่งก็เช่นเดียวกับ อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน ที่สืบสกุลท่านศาสนทูตทางมารดา

อิมาม มุฮัมมัด อัลบากิร (อ.) ได้อ้างอิงโองการนี้ต่อ ฮัจญาจ อัษษะกอฟีย์ เพื่อเป็นหลักฐานว่าพวกท่านเป็นผู้สืบสกุลท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ)

ส่วน อิบนุอะบิลฮะดีด ใน ชัรฮุล นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮ์ และ อะบูบักร์ อัรรอซีย์ ใน หนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานของเขา ได้ยืนยันว่า อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน เป็นบุตรหลานของท่านศาสนทูตทางสายของฟาฏิมะห์ ผู้เป็นมารดา โดยอ้างอิงโองการอัลมุบาฮะละฮ์ ซึ่งในนั้นมีคำว่า บรรดาบุตรของพวกเรา เช่นเดียวกับที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้อีซา (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของอิบรอฮีมทางสายของมัรยัมมารดาของท่าน

คอฏีบ อัลคอวาริศมีย์ ได้รายงานใน อัลมะนากิบ มีร ซัยยิด อะลี อัลฮะมะดานีย์ อัชชาฟิอีย์ ในหนังสือ มะวัดดะฮ์ อัลกุรบา ของเขา, อิมาม อะฮ์มัด บินฮันบัล ผู้เป็นยอดนักปราชญ์ของพวกท่าน ได้รายงานในวจนานุกรมมุสนัดของเขา, สุลัยมาน อัลฮะนะฟีย์ อัลบัลคีย์ ยะนาบิอ์ อัลมะวัดดะฮฺ โดยมีข้อความที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยว่า ท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ)ได้กล่าวในขณะที่ชี้ไปยัง อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน ว่า บุตรของฉันทั้งสองเป็นอิมาม แม้จะคนหนึ่งจะลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงก็ตาม (การกิยามของอิมามฮุเซนและการทำสนธิสัญญาของท่านอิมามฮะซัน)


อนึ่ง มุฮัมมัด บินยูซุฟ อัชชาฟิอีย์ ที่รู้จักกันในนาม อัลกันญีย์ ในหนังสือของเขาชื่อ กิฟายะฮ์ อัฏฏอลิบ หลังจากได้เขียนไปร้อยบท ได้เขียนไว้ตอนหนึ่งในหนังสือนี้โดยตั้งชื่อว่า "บุตรหลานท่านศาสนทูตมาจากอะลี บินอะบีฏอลิบ" โดยรายงานฮะดีษที่มีสายรายงานจากญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อันศอรีย์ เขากล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้บรรดาศาสนทูตมีผู้สืบสกุลที่มาจากเขาเอง ทว่า พระองค์ได้ทำให้ผู้สืบสกุลของฉันมาจากอะลี บินอะบีฏอลิบ


ส่วน อิบนุฮะญัร อัลมักกีย์ ได้รายงานใน อัซซอวาอิก อัลมุฮ์ริเกาะฮฺ หน้า ๗๔ และ ๙๔ จากอัฏฏอบะรอนีย์ จากญาบิร บินอับดุลลอฮ์ อันศอรีย์ เช่นเดียวกับที่ คอฏีบ อัลคอวาริศมีย์ ใน อัลมะนากิบ

อัลกันญีย์ กล่าวว่า อัฏฏอบะรอนีย์ ได้รายงานใน อัลมุอ์ญัม อัลกะบีร เรื่อง ชีวประวัติของอัลฮะซัน โดยที่เขากล่าวว่า “หากมีผู้กล่าวว่า ไม่มีการเชื่อมต่อระหว่างผู้สืบสกุลของท่านนบี (ซ็อล ฯ) กับอะลี (อ.) นอกจากด้วยทางสายของฟาฏิมะฮ์ (อ.) ซึ่งเป็นบุตรหลานของบุตรี ไม่ถือว่าเป็นผู้สืบสกุล โดยยึดคำของคำกวีที่ว่า

บรรดาบุตรชาย คือบุตรของเรา ส่วนบรรดาบุตรีนั้น

ลูกหลานของพวกนาง คือลูกหลานของเหล่าบุรุษผู้ที่ห่างไกล

ข้าพเจ้าก็ขอกล่าวว่า ในอัลกุรอานนั้น มีหลักฐานอันชัดเจนที่บ่งบอกถึงความไม่ถูกต้องของบทกวีนี้ นั่นคือโองการของพระองค์ที่ทรงตรัสว่า

"และแก่เขา เราได้ประทานอิสฮาก ยะอ์กูบ ทั้งหมดนั้นเราชี้นำแล้ว และนูฮ์ เราก็ได้ชี้นำแต่ก่อนหน้านั้น และจากบุตรหลานของเขานั้น คือ ดาวูด, สุลัยมาน, อัยยูบ, มูซา และฮารูน และเฉกเช่นนั้นเราจะตอบแทนผู้ประกอบความดีทั้งหลาย และซะกะรียา, ยะฮ์ยา, อีซา, อิลยาซ ทุกคนนั้นล้วนอยู่ในหมู่คนดี และอิสมาอีล, อิลยะสะอ์, ยูนุส และลูฏ เราได้โปรดปรานทุกคนเหนือกว่าประชาติทั้งหลาย"

ซึ่งพระองค์ได้ทรงนับว่า อีซานั้นเป็นหนึ่งในจำนวนผู้สืบสกุลของนูฮ์ (อ.) ซึ่งเป็นบุตรของบุตรีโดยที่ไม่มีความเชื่อมโยงและสายสัมพันธ์กับท่าน นอกจากโดยสายของมัรยัม ผู้เป็นมารดาของเขา

นี้คือหลักฐานอันแน่วแน่ว่า บุตรหลานของฟาฏิมะฮ์ (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของท่านศาสนทูต(ซ็อล ฯ) และไม่มีผู้สืบสกุลของท่านศาสนทูต(ซ็อล ฯ) นอกเหนือจากสายของนาง ซึ่งการที่พวกเขาจะเป็นผู้สืบสกุลของท่านศาสดาอันประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะเป็นทางสายมารดา ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม เช่นเดียวกับที่อีซา(อ.) เป็นผู้สืบสกุลของนูฮ์ ไม่ได้แตกต่างกันอย่างใด

ฮาฟิซ อัลกันญีย์ ได้รายงานในตอนท้ายของชีวประวัตินี้ โดยอ้างสายรายงานของเขา จากอุมัร อิบนุลค็อฏฏอบ เขากล่าวว่า บุตรหลานของสตรีทุกคน จะสืบสกุลจากบิดาของเขา

นอกจากบุตรหลานของฟาฏิมะฮ์ ที่ฉันเป็นต้นตระกูลของเขา และเป็นบิดาของเขา

นักปราชญ์อัลกันญีย์ กล่าวอีกว่า  อัฏฏอบะรีย์ ได้รายงานเรื่องนี้ในชีวประวัติของอัลฮะซัน

นอกจากนี้ เขายังได้รายงานเรื่องนี้ด้วยความแตกต่างเพียงเล็กน้อย และได้เพิ่มในตอนต้นว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์กล่าวว่า ทุก ๆ ฐานันดร และสกุล จะถูกตัดขาดกันในวันฟื้นคืนชีพ นอกจากฐานันดรของฉัน และสกุลของฉัน

ข้าพเจ้า จะขอกล่าวว่า ผู้รู้และผู้ท่องจำของพวกท่านมากมาย ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ เช่น ท่านสุลัยมาน อัลฮะนะฟีย์ ในหนังสือ ยะนาบีอ์ อัลมะวัดดะฮ์  โดยให้เรื่องนี้เป็นบทความในหนึ่งบท โดยเฉพาะ รายงานจากอะบูซอลิฮ์ และจากฮาฟิซ อับดุลอะซีส อิบนุลอัคฎอร และอะบูนุอัยมิ ใน มะอ์ริฟะฮฺ อัศศอฮาบะฮ์ อีกทั้ง อัดดารุกอฏนีย์ และ อัฏฏอบะรอนีย์ ใน  อัลเอาซัฏ

นอกจากนี้ ยังมีเชคอับดุลลอฮ์ บินมุฮัมมัด อัชชิบรอวีย์ ใน  อัลอิฏฮาบ บิฮุบบิ อัลอัชรอฟ

ญะลาลุดดีน อัซซุยูฏีย์ ใน “อิฮ์ยาอุ อัลมัยยิต บิ ฟะฎออิล อะฮ์ลิลบัยต์

อะบูบักร์ อิบนุชิฮาบุดดีน ใน รอชฟะฮ์ อัซซอดีย์ ฟี บะฮฺริ ฟะฎออิล บะนี อัลนบีย์  พิมพ์ในอิยิปต์ บทที่ ๓

อิบนุฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ใน อัซซอวาอิก อัลมุฮ์ริเกาะฮ์ บทที่ ๙ ตอนที่ ๘ ฮะดีษที่ ๒๗ เขากล่าวว่า อัฏฏอบะรอนีย์ได้รายงานฮะดีซนี้จากญาบิรและอัลคอฏีบ จากอิบนุอับบาส  แล้วรายงานฮะดีษ

อิบนุฮะญัรได้รายงานอีกเช่นกันใน อัซซอวาอิก บทที่ ๑๑ ตอนที่ ๑ โองการที่ ๑ อะบุลคอยร์ อัลฮากิมีย์ เจ้าของหนังสือ กุนูศ อัลมะฏอลิบ ฟี บะนี อะบีฏอลิบ ว่า อะลีได้เข้าไปหาท่านนบี (ซ็อล ฯ) ซึ่งที่นั่นมีท่านอับบาสอยู่กับท่านด้วย อะลีได้กล่าวสลาม แล้วท่านนบีก็ตอบสลาม แล้วท่านนบีก็ลุกขึ้นกอดอะลีแล้วจูบที่ระหว่างทั้งสองเบ้าตา แล้วให้เขานั่งข้างขวาท่าน อับบาสจึงกล่าวว่า ท่านรักเขาใช่หรือไม่ ท่านตอบว่า โอ้ท่านลุง ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พระองค์ทรงรักเขามากกว่าฉัน อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้วงศ์ตระกูลของเหล่าศาสนทูตมาจากตัวเขา ทว่าพระองค์ทรงทำให้วงศ์ตระกูลของฉันมาจากตัวเขาคนนี้

อัลลามะฮ์ อัลกันญีย์ อัชชาฟิอีย์ ได้รายงานฮะดีษนี้ในหนังสือ กิฟายะฮ์ อัฏฏอลิบ บทที่ 7 ด้วยสายรายงานของเขาเอง จากอิบนุอับบาส

นอกจากนี้ยังมีฮะดีษอื่น ๆ อีกมากมายที่เชื่อถือได้ ในหนังสือตำราของพวกท่าน อันเป็นที่ยอมรับโดยเหล่านักปราชญ์ของพวกท่าน ที่ระบุว่า ท่านนบีถือว่า อัลฮะซัน และอัลฮุเซน เป็นบุตรของท่านนบีเอง โดยแนะนำให้เหล่าสาวกทราบว่า  ทั้งสองคนนี้คือบุตรของฉัน

ในอรรถาธิบาย อัลกัชชาฟ ซึ่งเป็นหนังอรรถาธิบายที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของพวกท่าน ตอนที่อธิบายโองการอัลมุบาฮะละฮ์ กล่าวว่า
ไม่มีหลักฐานใดจะเข้มแข็งกว่าหลักฐานนี้ ในเรื่องของความสูงส่งของอะฮ์ลุลกิซาอ์ นั่นคือ อะลี ฟาฏิมะฮ์ อัลฮะซัน และอัลฮุเซน เพราะเมื่อโองการนี้ลงมา ท่านนบี (ซ็อล ฯ) เรียกพวกเขาเข้ามา แล้วกอดอัลฮุเซนและจูงมืออัลฮะซัน ให้ฟาฏิมะฮ์เดินตามหลังท่าน และอะลีเดินตามหลังเขาทั้งสอง จึงเป็นที่เข้าใจว่า พวกเขาคือบุคคลที่ระบุในโองการนี้ และบรรดาบุตรและวงศ์วานของฟาฏิมะฮ์ ก็จะเรียกว่าเป็นบุตรหลานท่านนบี (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นผู้สืบสกุลของท่านอย่างถูกต้องทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

อะบูบักร์ อัรรอซีย์ ในหนังสือ อัตตัฟซีร อัลกะบีร ได้อธิบายคำว่า "บุตรของเรา" ไว้อย่างยืดยาวพร้อมด้วยหลักฐานว่า "อัลฮะซันและอัลฮุเซน คือบุตรและผู้สืบสกุลของท่านศาสนทู"
ส่วน ท่านฮาฟิซ ได้กล่าวบทกวีของที่ว่า

บรรดาบุตรชายคือบุตรของเรา ส่วนบรรดาบุตรีนั้น

ลูกหลานของพวกนางก็คือลูกหลานของเหล่าบุรุษผู้ห่างไกล

บทกวีนี้ ยังจะมีความหมายอะไรอีกหรือ เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลกุรอานและฮะดีษอันเป็นหลักฐานอันชัดเจน หากผู้ใดที่ยังจะเชื่อเช่นนั้นอีก ทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าบทกวีญาฮ์ลียะฮ์ก่อนอิสลาม นั้นมีคุณสมบัติที่เป็นการปฏิเสธศรัทธา  ก็จะต้องถูกตอบโต้ด้วยโองการแห่งอัลลอฮ์และฮะดีษแห่งศาสนทูต

 


ขอขอบคุณ เว็บไซต์อัชชีอะฮ์