เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

การสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

การสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ

 

 

 

أللهم هذه ابنتي و أحب الخلق الي، أللهم و هذا أخي و أحب الخلق الي، أللهم اجعله وليا، و بك حفيا، و بارك له في أهله

 

 

 

“โอ้พระผู้ทรงเป็นเจ้า นี่คือบุตรีของข้าฯ และนี่คือพี่น้องของข้าฯ เขาทั้งสองเป็นบุคคลที่ข้าฯรักยิ่งที่สุดในหมู่สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย โปรดทำให้เขา (อะลี) เป็น “วะลี” และโปรดบันดาลให้รากฐานแห่งความรักของบุคคลทั้งสองเป็นสิ่งที่มั่นคงด้วยเถิด”(1)

 

บรรดาผู้ที่มีเกียรติแห่งอาหรับ จะยกบรรดาลูกสาวของตนให้กับบรรดาบุคคลที่มาจากตระกูลที่มีเกียรติ มีอำนาจ และมีฐานะร่ำรวยเหมือนกับพวกเขา หากมิเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะปฏิเสธการสู่ขอของบุคคลเหล่านั้น

 

บนพื้นฐานขนบธรรมเนียมอันเก่าแก่นี้เอง บรรดาผู้ที่มีเกียรติของชาวอาหรับจึงยืนกรานที่จะขอแต่งงานกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ ผู้เป็นบุตรีของท่านศาสดา เพราะพวกเขาต่างคาดคิดกันว่า ท่านศาสดานั้นจะไม่มีความเข็มงวดใดๆ ในเรื่องของตน พวกเขาคาดคิดเช่นนี้ว่า เพื่อที่จะทำให้เจ้าสาวและผู้เป็นบิดาเกิดความพึงพอใจนั้นแค่เพียงมีปัจจัยต่างๆอยู่ในครอบครองก็พอแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแต่งงานลูกสาวคนอื่นๆ ของท่าน เช่น ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ และท่านหญิงซัยนับ ท่านก็มิได้เข้มงวดมากมายนัก

 

บรรดาผู้ที่มาสู่ขอนั้นได้คิดผิดพลาดในเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าบุคคลที่คู่ควรกับนางนั้น จะต้องเป็นบุคคลที่เหมือนกับนางในด้านความประเสริฐ ความยำเกรง (ตักวา) ความศรัทธา(อีหม่าน) และความบริสุทธิ์สะอาดต่อการภักดีในพระองค์ทั้งภายในและภายนอก (อิคลาส)

 

เมื่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) เติบโตขึ้น สาวกเก่าแก่สองคนจากคนหนึ่งก็มาสู่ขอท่านหญิง อีกคนหนึ่งได้ขอต่อบิดาของนางเพื่อทำการสมรส แต่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)ได้หันห่างไปจากพวกเขา ด้วยความรังเกียจโดยกล่าวว่า :  

      

“เรื่องการสมรสของฟาฏิมะฮ์ ผู้เป็นบุตรสาวของฉันนี้ อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและพระองค์เท่านั้นที่จะทรงเป็นผู้เลือกคู่ครองให้กับนางเอง”

 

พระเจ้าทรงเลือกให้นางในไม่ช้า พระองค์ทรงเลือกข้าทาสของพระองค์เอง ข้าทาสที่ทรงโปรดปรานมากที่สุดของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะได้เห็นฟาฏิมะฮ์ บินติ มุฮัมมัด กับอะลี อิบนิ อบีฏอลิบได้สมรสกัน

 

สองเดือนหลังจากสงครามบะดัร กล่าวคือ ในเดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ของ ฮ.ศ.ที่  2 ท่านอะลีได้มาหาท่านศาสดา และกล่าวขึ้นว่า “โอ้ศาสนทูตแห่งพระเจ้า ท่านได้เลี้ยงดูข้าพเจ้ามาประดุจดั่งบุตรของท่านเอง ท่านได้มอบของขวัญของท่าน ความใจบุญใจกุศลของท่าน และความเมตตาของท่านให้กับข้าพเจ้าอย่างท่วมท้น ข้าพเจ้าเป็นหนี้ท่านทุกๆสิ่งในชีวิตของฉัน บัดนี้ ฉันของความกรุณาต่อท่านอีกสักสิ่งหนึ่งเถิด”

 

ท่านศาสดานั้นเข้าใจดีว่า อะลีต้องการที่จะพูดในสิ่งใด ใบหน้าของท่านศาสดาส่องประกาย เบิกบาน ด้วยกับการยิ้มแย้ม และท่านศาสดาได้ขอให้อะลี รอคอยสักครู่หนึ่ง จนกว่าท่านศาสดาจะได้คำตอบจากบุตรสาวของท่าน ท่านศาสดาได้เข้าไปในบ้านบอกกับฟาฏิมะฮ์ว่า อะลี เขามาสู่ขอที่จะสมรสกับเจ้า และได้ถามว่าลูกจะตอบรับในประการใด นางนิ่งเงียบไม่พูดในสิ่งใด ท่านได้ตีความจากการนิ่งเงียบของนางว่าเป็นการตอบรับจึงกลับออกมาหาอะลี โดยบอกกับเขาว่า ข้อเสนอของเขาเป็นที่ยอมรับและบอกให้เขาจัดเตรียมการเพื่องานสมรส แต่ทว่าทรัพย์สมบัติของอะลี ในวันนั้นไม่มีสิ่งใดเลย นอกจากดาบหนึ่งเล่ม และเสื้อเกราะหนึ่งตัว ท่านศาสดาได้สั่งให้อะลีขายเสื้อเกราะของตน และจัดเตรียมปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ และค่าใช้จ่ายของการแต่งงาน

 

งานสมรสระหว่างท่านอิมามอะลีกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

 

ในวันสุดท้ายของเดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ ท่านศาสดาได้เชิญชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรให้มาร่วมงานเลี้ยง เนื่องในงานมงคลสมรสของบุตรสาวของท่าน ท่านศาสดากำลังจะเป็นเจ้าภาพของพวกเขา เมื่อบรรดาแขกเหรื่อทั้งหมดได้มาถึงและนั่งลงกันเป็นที่เรียบร้อย ท่านจึงกล่าวสรรเสริญพระเจ้า และขอบคุณต่อพระองค์สำหรับความเมตตาต่างๆ ของพระองค์ทั้งหมด ที่ได้ทรงประทานให้ จากนั้นท่านศาสดาจึงอ่านคำเทศนาสำหรับการสมรส เพื่อประกาศว่า อะลีกับฟาฏิมะฮ์เป็นสามีภรรยากัน และได้วิงวอนขอพรในความจำเริญของพระเจ้าให้กับคู่บ่าวสาวทั้งสอง บรรดาแขกเหรื่อทั้งหมดได้แสดงความยินดีกับท่านศาสดา เนื่องในโอกาสอันเป็นสิริมงคลยิ่งนี้ ภายหลังจากพิธีการนี้เสร็จสิ้นลง บรรดาแขกเหรื่อได้รับการเลี้ยงดูด้วยอาหารที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย

 

สองสามวันต่อมา ฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ ต้องกล่าวคำอำลาให้กับบ้านของบิดาของนาง เพื่อว่านางจะได้ไปอยู่ที่บ้านของสามีของนาง บิดาของนางได้ให้นางขี่อูฐตัวเมียของท่านไปส่ง นครมะดีนะฮ์ก้องกังวาลไปด้วยเสียงร้อง อัลลอฮุอักบัร ขบวนแห่เจ้าสาวพวกเขาได้อ่านโองการจากอัลกุรอาน อัลมะญีด เพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้า การอ่านโองการต่างๆหยุดลงเป็นระยะๆด้วยเสียงตะโกน อัลลอฮุอักบัร อย่างกึกก้อง

 

ขบวนแห่อันจำเริญยิ่งนี้ ได้เวียนรอบมัสยิดมะดีนะฮ์หนึ่งรอบและจึงไปหยุดอยู่ ณ จุดหมายปลายทางของมัน นั่นคือ ที่บ้านของท่านอะลี อิบนิ อะบีฏอลิบ ผู้เป็นเจ้าบ่าว ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้ช่วยพยุงบุตรสาวของท่านให้ลงจากหลังอูฐ ท่านได้จับมือของนาง และวางมันลงไปอย่างเป็นสัญลักษณ์ในมือของสามีของนาง และจากนั้นจึงยืนพิงอยู่ที่ประตูบ้าน พร้อมกับกล่าวคำวิงวอนดังต่อไปนี้ :

 

“โอ้พระผู้ทรงเป็นเจ้า! นี่คือ บุตรีของข้าฯ และนี่คือ พี่น้องของข้าฯ เขาทั้งสองเป็นบุคคลที่ข้าฯรักยิ่งที่สุดในหมู่สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย โปรดทำให้เขา(อะลี)เป็น “วะลี” และโปรดบันดาลให้รากฐานแห่งความรักของบุคคลทั้งสองเป็นสิ่งที่มั่นคงด้วยเถิด”

 

“โอ้พระผู้ทรงเป็นเจ้า! ข้าพระองค์ขอมอบหมายฟาฏิมะฮ์กับอะลี ผู้เป็นข้าทาสที่ต่ำต้อยน้อยค่าของพระองค์ให้อยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ ขอพระองค์ได้ทรงเป็นผู้คุ้มครองแก่ข้าทาสทั้งสองด้วยเถิด ได้โปรดประทานความจำเริญให้กับเขาทั้งสอง จงพึงพอพระทัยกับเขาทั้งสองด้วยเถิด และทรงโปรดประทานความกรุณาปรานีอันหาขอบเขตมิได้ และรางวัลที่ดีที่สุดของพระองค์ให้กับเขาทั้งสองด้วยเถิด ทรงโปรดทำให้การสมรสของเขาทั้งสองเป็นมรรคผล และทรงทำให้เขาทั้งสองธำรงมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ และการรับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด ”

 

สองสามวันต่อมา ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้มาเยี่ยมบุตรสาวของท่าน และได้สอบถามนางถึงสามีของนางว่าเขาเป็นอย่างไร นางกล่าวตอบว่า นางพบว่าเขาเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุดที่ได้เสียสละและมีความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ต่อมาท่านได้ถามอะลีว่า เขาพบว่าภรรยาของเขาเป็นอย่างไร  เขากล่าวตอบว่า เขาพบว่านางเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุดที่ได้รับใช้พระผู้ทรงสร้าง ช่วงชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสามีภรรยา ก็คือ ช่วงที่เมื่อเขาทั้งสองได้ไปอยู่ ณ หน้าพระพักตร์ของพระผู้อภิบาล และการดื่มด่ำอยู่กับการวิงวอนขอพรกับพระองค์

 

ความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ก็คือ การรอคอยเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า นางได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการทำนมาซ และการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆของนางให้แก่ครอบครัวของนาง พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยจึงทรงประทานบุตรสี่คนให้แก่นาง ซึ่งเป็นชายสองคนและหญิงอีกสองคน นางได้ทำการโม่แป้งโดยใช้ที่โม่แป้ง ที่บิดาของนางได้มอบให้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสินสมรสของนาง และทำขนมปังให้แก่ครอบครัว จากการโม่แป้งวันแล้ววันเล่า ทำให้ฝ่ามือของนางมีตุ่มพองขึ้นมา แต่นางก็ไม่บ่นว่ากระไรถึงเรื่องนี้กับสามีของนางเลย และยังคงปฏิบัติงานบ้านทั้งหมดของนางด้วยความร่าเริง

 

หน้าที่ในครัวเรือนนั้น ดูเหมือนจะเป็นงานที่จำเจสำหรับฟาฏิมะฮ์ อัซซะรอ(ซ) แต่นางก็พบกับความสุขและมีพลังในการรำลึกนึกถึงพระเจ้า คัมภีร์ของพระเจ้าประดุจดั่งเพื่อนประจำของนาง นางลืมความน่าเบื่อจำเจของงาน เมื่อนางได้อ่านข้อความจากคัมภีร์นั้น และเมื่อนางพาลูกๆไปนอนในเปล นางก็จะอ่านที่เลือกมาจากคัมภีร์นี้ เป็นเสมือนเพลงกล่อมเด็กให้กับพวกเขา เด็กๆ จึงเติบโตขึ้นมาด้วยกับการได้ยินได้ฟังอัลกุรอาน จากวาระแรกเกิดของพวกเขา นางได้สลักพจนารถของพระเจ้าลงบนหัวใจอันเยาว์วัยของพวกเด็กๆโดยผ่านการซึมซับดังกล่าว อัลกุรอานกับเด็กๆ ของฟาฏิมะฮ์จึงไม่อาจแยกออกจากกันได้ตลอดไป

 

แหล่งอ้างอิง


 (1.) บิฮารุลอันวาร เล่ม 43 หน้า 96

 

บทความโดย เชค อันซอร เหล็มปาน


ขอขอบคุณ ที่มา เว็บไซต์ มูลนิธิอัซซะฮ์รอ (ประเทศไทย)

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม