ชีอะฮ์ในมุมมองของ “ฟูกูยามา” นักคิดสหรัฐ

ชีอะฮ์ในมุมมองของ “ฟูกูยามา” นักคิดสหรัฐ

 

ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) นักรัฐศาสตร์และนักคิดชื่อดังสัญชาติอเมริกา เชื้อชาติญี่ปุ่น ผู้เขียนหนังสือ “การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์” (End of History) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดานักคิดนักเขียนและนักรัฐศาสตร์คนสำคัญคนหนึ่งของโลกตะวันตก


ในปี 1986 ฟราสซิส ฟูกูยามา ได้เข้าร่วมประชุมในกรุงเยรูซาเล็ม รัฐอิสราเอล ซึ่งเป็นการประชุมภายใต้หัวข้อที่ว่า “การทำความรู้จักตัวตนของชีอะฮ์”

 

ในที่ประชุมวันนั้น ฟราสซิส ฟูกูยามา กล่าวว่า  “หากเปรียบชีอะห์เป็นดั่งนก นกตัวนี้จะบินอยู่สูงกว่าวิถีการทำลายล้างของพวกเรา เพราะนกตัวนี้นั้น มีปีกอันทรงพลังทั้งสองข้าง ซึ่งข้างหนึ่งนั้นเป็นปีกสีเขียว และอีกข้างหนึ่ง คือ ปีกสีแดง

 

หลังจากนั้น เขาก็ได้อธิบายอย่างละเอียดในที่ประชุมในวันนั้นว่า พวกท่านทั้งหลาย รู้หรือไม่ว่า ปีกสีเขียวและสีแดงของชีอะฮ์นั้นคืออะไร?

 

ปีกสีเขียว คือ การมีความเชื่อและความหวังต่อการมาปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากศาสดามุฮัมมัด และจะมาสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นบนโลกนี้ ชีอะฮ์นั้นมีความเชื่อและมีความหวังต่อการเกิดขึ้นของความยุติธรรม และมนุษย์ที่มีความหวัง คือ มนุษย์ที่จะไม่พบกับความพ่ายแพ้ ซึ่งเราก็ไม่สามารถพิชิตประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดที่พวกเขาเหล่านั้นมีความเชื่อว่าจะมีบุคคลหนึ่งปรากฏกายขึ้นเพื่อมาพิชิตเหล่าผู้กดขี่ และสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นทั่วโลกได้”

 

ปีกสีแดง คือ การปลูกฝังในเรื่องราวเกี่ยวกับการพลีชีพและการเสียสละ การมีความรักและความปรารถนาต่อการเป็นชะฮีด (การพลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการพลีชีพของอิมามฮุเซน (อ) ณ แผ่นดินกัรบะลา ฉะนั้น ปีกสีแดง คือ การปลูกฝังเรื่องราวแห่งอาชูรอ และปีกสองข้างนี้ จะปกป้องชีอะฮ์ออกจากการถูกทำลายในทุกๆ มิติได้”

 

ฟรานซิส ฟูกูยามา ได้กล่าวถึงสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ชีอะฮ์ก็มีเป็นสิ่งที่สาม ก็คือ :


“ในขณะเดียวกัน นกตัวนี้ได้สวมเสื้อเกราะอีกหนึ่งตัว นามว่า “วิลายะตุลฟะกีฮ์” การยอมรับในอำนาจของนักการศาสนา เสื้อเกราะตัวนี้ได้สร้างพลังให้กับชีอะฮ์ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว ท่ามกลางนิกายต่างๆ ในอิสลาม มีเฉพาะชีอะฮ์เท่านั้นที่มีความเชื่อเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์ หมายถึง ฟะกีฮ์ นักนิติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุดที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า”

 

ฟราสซิส ฟูกูยามา ยังได้อธิบายถึงการไม่ล้มสลายของชีอะฮ์ว่า “ชีอะฮ์นั้นจะมีจำนวนที่มากขึ้นหลายเท่าตัวด้วยการเป็นชะฮีด ชีอะฮ์ คือ ธาตุชนิดหนึ่งที่ยิ่งถูกทำลายจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้น จงหยุดคิดการก่อสงครามกับชีอะฮ์ในทุกรูปแบบ และเริ่มโปรเจค “ทฤษฎีย้อนเกล็ด” สำหรับชีอะฮ์ และใช้ “ทฤษฎีเหมาะสม” สำหรับโลกตะวันตก”

 

ฟราสซิส ฟูกูยามา ได้อธิบายโปรเจค “ทฤษฎีย้อนเกล็ด” ว่า : “วีธีการทำลายชีอะห์ ด้วยทฤษฎีย้อนเกล็ด ก็คือ เบื้องต้นต้องโจมตีบิดเบือนเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์ ทำให้หลักความเชื่อในเรื่อง “วิลายะตุลฟะกีฮ์” ในหมู่ชีอะฮ์ลดน้อยลงให้มากที่สุด ถ้าหากสามารถทำให้ความเชื่อเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์อ่อนแอลงได้ในบรรดาชีอะฮ์ การหลงระเริงในการใช้ชีวิตจะเข้ามาแทนที่อุดมการณ์แห่งการพลีชีพในหนทางของพระเจ้าที่ชีอะฮ์มี และหลังจากนั้น อุดมการณ์การรอคอยการมาปรากฏกายอิมามมะฮ์ดีและการมีความหวังต่อการเกิดขึ้นของความยุติธรรมก็จะค่อยๆ หายไปจากสังคมชีอะฮ์ในที่สุด”

 

ฟราสซิส ฟูกูยามา ได้กล่าวอีกว่า : “การทำลายชีอะฮ์หรือการต่อสู้กับชีอะฮ์ เบื้องต้นต้องวางแผนทำลายหลักความเชื่อเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์ และถ้าหากไม่สามารถทำลายความเชื่อเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์ได้ ก็อย่าหวังที่จะทำลายอุดมการณ์ปีกสีเขียว และปีกสีแดงของชีอะฮ์เลย”

 

ฟราสซิส ฟูกูยามา ได้นำเสนออีกว่า : “การพิชิตประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดให้สำเร็จได้นั้น คือ ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของประชาชาตินั้นๆ หมายถึงเริ่มทำลายหลักความเชื่อระบอบวิลายะตุลฟะกีฮ์ เมื่อสำเร็จแล้ว นกตัวนี้ก็จะติดเชื้อและระดับการบินของนกตัวนี้ก็อยู่ในวิถีการทำลายของเรา อุดมการณ์แห่งการพลี จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นการหลงระเริงในการใช้ชีวิต ถ้าหากสองสิ่งนี้ หมายถึง หลักความเชื่อวิลายะตุลฟะกีฮ์ และอุดมการณ์การพลีในหนทางของพระเจ้าถูกทำลายลงหลักความเชื่อเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีก็จะถูกทำลายจากประชาชาติชีอะฮ์”

 

ฟราสซิส ฟูกูยามา ได้นำเสนอการทำลายชีอะฮ์ต่อไปอีกว่า : “จำเป็นที่จะต้องโฆษณาชวนเชื่อการต่อต้านบรรดามัรญิอ์และผู้นำทางศาสนาของชีอะฮ์ให้แพร่หลายที่สุดทุกรูปแบบ เพื่อทำให้พวกเขาไม่เป็นที่ยอมรับในบรรดาชีอะฮ์ เราไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องเข้าไปบิดเบือนวีรกรรมอาชูรอ และอุดมการณ์แห่งการพลีในหนทางของพระเจ้าของพวกเขา จำเป็นที่จะต้องสนับสนุนเงินทองแก่บุคคลต่างๆ ผู้บรรยาย ผู้ร้องลำนำ และผู้จัดงานรำลึก เพื่อบิดเบือนวีรกรรมอาชูรอ หลักความเชื่อ และรากฐานต่างๆ ของวีรกรรมอาชูรอ ถึงขั้นทำให้มนุษยชาติเห็นว่าชีอะฮ์ คือ ประชาชาติที่หลงผิดและสร้างอุตริกรรม จำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อต่อต้านบรรดามัรญิอของชีอะห์ให้มากที่สุด และส่งข้อมูลเหล่านั้นให้กับผู้ที่บรรยาย ร้องลำนำ นักคิดนักเขียนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ให้พวกเขาเป็นผู้เผยแพร่ พวกเราจะต้องมีขั้นตอนปฏิบัติเช่นนี้เพื่อที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราจะได้เห็นบรรดามัรญิอ์ ผู้นำสูงสุด ของชีอะฮ์ที่เป็นอุปสรรคหลักๆ ต่อเป้าหมายของเราถูกบดขยี้ทำลายโดยน้ำมือของพวกชีอะฮ์และโดยน้ำมือของมุสลิมนิกายอื่นๆ ในท้ายที่สุด ชีอะฮ์ก็จะล่มสลายลง”

 

“ทฤษฎีย้อนเกล็ด” ของฟราสซิส ฟูกูยามา ชี้ให้เห็นว่า การทำสงครามข้อมูลข่าวสารของโลกตะวันตกที่มีต่ออิหร่านนั้น เริ่มด้วยการทำลายคุณค่าต่างๆ ด้านหลักความเชื่อแห่งอิสลามและชีอะฮ์ มีเป้าหมายบิดเบือนแนวความคิดหลักความเชื่อ และอุดมการณ์แห่งอิสลาม เพื่อง่ายต่อการแทนที่ด้วยวัฒนธรรมของโลกตะวันตกในมวลประชาชาติอิสลาม

 

ทัศนะต่างๆ ข้างต้นของฟราสซิส ฟูกูยามา แสดงให้โลกตะวันตกเห็นว่า วีรกรรมอาชูรอ เรื่องราวเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ) และระบอบวิลายะตุลฟะกีฮ์ คือที่มาของพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอิหร่านและชีอะฮ์ ที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับภัยคุกคามของบรรดาศัตรู และกลายเป็นเป้าหมายในการมุ่งทำลายของศัตรู

 

วีรกรรมอาชูรอ คือ ตาน้ำที่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตของทุกๆประชาชาติที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับความอัปยศ ชัยชนะของฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนที่มีเหนืออิสราเอลไซออนิสต์ การต่อสู้ของพี่น้องชาวปาเลสไตน์ได้เป็นบทพิสูจน์แล้ว และการรำลึกถึงวีรกรรมอาชูรอก็จะยังคงมีไปตราบวันที่อิมามะฮ์ดี (อ) ปรากฏกาย

 

ที่สำคัญการจัดงานเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมอาชูรอ จำเป็นที่จะต้องเป็นตัวอรรถาธิบายมิติต่างๆ ของวิลายะตุลฟะกีฮ์ และเรื่องราวของอิมามะฮ์ดี (อ) จงให้ความสำคัญกับการมีเอกภาพในหมู่ประชาชาติอิสลามที่อยู่ภายใต้การชี้นำของวิลายะตุลฟะกีฮ์

 

พวกตะวันตกสรุปได้ตั้งนานแล้วว่า “พวกเราเห็นแล้วว่า เราไม่มีทางที่จะหยุดชีอะฮ์ได้อีกแล้ว เราอย่าเสียเวลากับการคิดแผนการสกัดกั้นมนุษยชาติให้เข้าสู่แนวทางชีอะฮ์ แต่เราต้องคิดดูว่าทำอย่างไรที่จะสามารถบิดเบือนการเป็นชีอะฮ์ของพวกเขา?

 

ทำอย่างไรที่จะให้ความเป็นชีอะฮ์ของพวกเขาไร้พลังและอ่อนแอลง? ทำอย่างไรที่จะให้เขาเป็นชีอะฮ์ที่ไร้ซึ่งอุดมการณ์ที่แท้จริงของชีอะฮ์? สรุปว่าเราต้องปล่อยให้พวกเขาเป็นชีอะฮ์ หรือใครอยากเป็นชีอะฮ์ก็ปล่อยให้เป็น แต่เราต้องเข้าไปควบคุมการเป็นชีอะฮ์ของพวกเขา พวกเขาต้องเป็นชีอะฮ์ที่เรากำหนดเท่านั้น

 

ขอขอบคุณที่มา เว็บไซต์ เอบีนิวส์ทูเดย์