อะลี คือ ผู้กล้าหาญในสมรภูมิรบ

 

สำหรับความกล้าหาญนั้น ถือว่าไม่มีคุณค่าใดๆเลยหากมิได้ประกอบด้วยเมตตาธรรมและความมีมนุษยธรรม ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์ที่มีความกล้าหาญนั้น จำเป็นต้องรักษาคุณสมบัติแห่งความเป็นมนุษย์ของตนไว้ด้วย

 

 นี่คือลักษณะที่อะลี (อ.) มีอยู่ในตัว


ท่านไม่เคยฆ่าผู้ที่กำลังได้รับบาดเจ็บ หรือผู้ที่กำลังกระหาย และไม่เคยไล่ล่าผู้ที่ยอมแพ้ ด้วยเหตุนี้ จริยธรรมในการรบของท่านจึงมีคุณสมบัติแห่งความเป็นมนุษย์อย่างสูง กล่าวคือ ท่านไม่เคยใช้ความหิวหรือความกระหายเป็นอาวุธในสนามรบ ถึงแม้ว่าฝ่ายศัตรูจะไม่เคยคำนึงถึงเรื่องเช่นนี้เลยโดยเด็ดขาดก็ตาม ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ใช้วิธีการต่างๆ เท่าที่มีอยู่ทั้งหลายหมดเพื่อการก้าวไปสู่ชัยชนะ

 

ในสงครามซิฟฟีน กองทัพของฝ่ายมุอาวิยะฮ์สามารถยึดพื้นที่บริเวณแม่น้ำยูเฟรติสได้ และประกาศปิดล้อม อีกทั้งสกัดกั้นทหารของฝ่ายอะลี (อ.) มิให้เข้าถึงแหล่งน้ำท่านได้กล่าวกับพวกเขาว่า หลักการอิสลามและหลักการแห่งความเป็นมนุษย์ อีกทั้งหลักการแห่งสงคราม ต่างก็ปฏิเสธการกระทำเช่นนี้ แต่มุอาวิยะฮ์มิได้คิดถึงสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายอันต่ำทรามของตน ท่านอะลี(อ.)จึงประกาศแก่บรรดาทหารหาญของท่านว่า “จงให้ดาบได้ดื่มเลือดเพื่อพวกท่านจะได้ดื่มน้ำ เพราะตามความเป็นจริงในขณะที่พวกท่านมีชีวิตอยู่นั้น คือการตกเป็นผู้ถูกกดขี่ ส่วนการมีชีวิตที่แท้จริงในขณะที่พวกท่านตายไปแล้วนั้น คือผู้มีอำนาจ”

 

กองทหารของอิมามจึงผลักดันเข้าไปจนถึงฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสไม่นานนัก พวกเขาก็สามารถควบคุมฝั่งแม่น้ำไว้ได้ พวกนายทหารจึงประกาศว่า พวกเขาจะขัดขวางมิให้ทหารของฝ่ายมุอาวิยะฮ์เข้าถึงแหล่งน้ำเป็นอันขาด แต่อะลี(อ.)ได้ออกคำสั่งให้บริเวณฝั่งแม่น้ำเป็นเขตปลอดทหารและห้ามใช้น้ำเป็นอาวุธ เพราะมันเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับหลักจริยธรรมแห่งอิสลาม  

    

เมื่ออิมามอะลีได้เป็นผู้ปกครองบรรดามุสลิม

 

1.อิมามของมวลชนผู้ยากไร้

 

ท่ามกลางอุปสรรคนานัปการที่ยังความเจ็บปวดและความทุกข์ยากที่อิมามต้องเผชิญอยู่นั้น ท่านยังสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยตังเองเสมอ ท่านไม่เคยกลั่นแกล้งบุคคลใด ถึงแม้จะเป็นศัตรูโดยส่วนตัว แม้กระทั่งบุคคลที่เคยกลั่นแกล้งอิมาม และปลูกฝังความเคียดแค้นพวกเขาอยู่ด้วยความชิงชังก็ตามเขาเหล่านั้นยังคงได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วนที่พึงได้รับจากบัยตุลมาลอยู่เหมือนเดิม แม้กระทั่งสหายและคนใกล้ชิดของท่านเอง ก็ยังได้รับตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนเท่านั้น โดยมิได้มีสิทธิพิเศษไปจากคนอื่นๆเลย

 

  วันหนึ่ง สตรีหนึ่งผู้มีชื่อว่า “เซาดะฮ์” ได้มาหาเพื่อร้องเรียนต่อท่านเกี่ยวกับเรื่องภาษีทรัพย์สินและการจัดเก็บภาษี ขณะนั้นอิมามกำลังนมาซอยู่แต่ท่านรู้สึกว่าสตรีผู้นั้นจะรออยู่นาน จึงรีบนมาซให้เสร็จ จากนั้นจึงหันมาหานาง แล้วถามด้วยความเมตตาว่า “เธอมีธุระอันใดหรือ?”

 

เซาดะฮ์ ตอบพลางร้องไห้ว่า “ฉันมาร้องเรียนยังท่านเกี่ยวกับความอธรรมของพนักงานจัดเก็บภาษี”

 

อิมามรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง จนถึงกับร้องไห้ แล้วยกมือขึ้นสู่ฟากฟ้าพลางกล่าวว่า “ข้าแต่อัลลอฮ์ แท้จริงพระองค์ทรงรู้ดีว่ามิได้สั่งพวกเขาไปสร้างความอธรรมต่อปวงบ่างของพระองค์”

 

หลังจากนั้นท่านได้หยิบหนังสัตว์มาแผ่นหนึ่ง แล้วเขียนคำสั่งลงไป เพื่อปลดเจ้าหน้าที่คนนั้นออกจากตำแหน่ง แล้วได้มอบให้กับ “เซาดะฮ์” ผู้ซึ่งได้เดินทางกลับไปสู่ถิ่นฐานของนางด้วยความปิติสุข

 

วันหนึ่งได้มีข่าวจากเมืองบัศเราะฮ์ว่า “อุษมาน บิน ฮะนีฟ” ซึ่งเป็นเจ้าเมือง ได้ถูกเชิญไปงานฉลองการแต่งงานที่คนร่ำรวยคนหนึ่งจัดขึ้น แล้วเขาก็ตกลงรับคำเชื้อเชิญของคนร่ำรวยผู้นั้น อิมามจึงส่งหนังสือตำหนิไปยังเขาฉบับหนึ่ง ซึ่งได้เตือนให้ระวังสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังคำเชื้อเชิญ และงานเลี้ยงทั้งหลาย และแจ้งว่าบรรดาคนร่ำรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขามิได้อยู่ที่ การเลี้ยงอาหาร หากแต่มีความฉ้อฉลอย่างหนึ่งแอบแฝงอยู่ และเป็นการปูทางเพื่อให้ได้บรรลุสู่อำนาจในการปกครอง

 

ข้อความในสาส์นนั้นมีคำเตือน และหลักเกณฑ์ที่ส่งเสริมให้มีการใช้ความคิดและการตรึกตรองในแง่ต่างๆดังนี้

 

    “.......เรื่องที่จะกล่าวหลังจากนี้ โอ้อิบนุ ฮะนีฟ เพราะมีข่าวมาถึงฉันว่าชายคนหนึ่งจากชาวบัศเราะฮ์ได้เชื้อเชิญท่านไปยังงานเลี้ยงอันฟุ่มเฟือยแล้วท่านก็รีบเร่งไปสู่งานนั้น แล้วสีสันอันหลากหลายก็ถูกนำมาปรนเปรอเพื่อเอาอกเอาใจท่าน และหม้อใส่องุ่นก็ถูกนำมาบริการต่อท่าน ฉันไม่เชื่อว่าท่านจะตอบรับการเลี้ยงอาหารของคนจนอย่างฝืนใจ แล้วตอบรับคนร่ำรวยอย่างเต็มใจ..... จงรู้ไว้เถิดว่า สำหรับผู้ถูกนำทุกคนล้วนมีผู้นำที่ชี้นำทางเขาอยู่ และจะให้แสงสว่างจากรัศมีแห่งความรู้ของเขา จงรู้ไว้เถิดว่าอิมามของพวกท่าน ได้บรรลุถึงความพอเพียงจากโลกนี้ของตนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเศษสวะกากเดนของมันจากรสชาติแห่งความปลิ้นปลอกหลอกลวงของมัน”

 

  สหายของท่านคนหนึ่งชื่อ “อะดีย์ บิน ฮาติม อัฏฏออีย์” ได้ถูกถามเกี่ยวกับนโยบายทางการเมืองของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน เขาตอบว่า “ฉันเห็นว่าท่านทำให้คนที่เข้มแข็งกลายเป็นคนอ่อนแอที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจนกระทั่งสามารถใช้สิทธิของท่านกับคนผู้นั้นได้ และฉันเห็นว่าท่านได้ทำให้คนอ่อนแอกลายเป็นคนเข้มแข็งที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจะกระทั่งคนผู้นั้นสามารถใช้สิทธิของตัวเองกับท่านได้”


 ท่านเคยกล่าวถึงตัวเองว่า “ฉันจะเป็นอิมามของคนทั้งหลายได้อย่างไร ในเมื่อฉันมิได้ร่วมรับความเจ็บปวดและความยากไร้ของพวกเขา?”

 

 ท่านมิได้ดำรงอยู่เพื่ออำนาจ ฉะนั้นการใช้อำนาจและบัลลังก์แห่งการพิพากษาจึงเที่ยงธรรม วันหนึ่งท่านถามอิบนิ อับบาส ในขณะที่ท่านกำลังปะชุนรองเท้าอยู่ว่า “รองเท้านี้มีราคามากสักเท่าใด”

 

  อิบนิ อับบาส กล่าวตอบหลังจากทิ้งสายตาลงไปมองเพื่อตรวจสอบดูว่า “มันถูกมากมาย บางทีอาจไม่มีราคาแล้วด้วยซ้ำ”

 

 ท่านจึงกล่าวว่า “แต่สำหรับฉันมันมีราคามากกว่าอำนาจการปกครองเสียอีก เว้นเสียแต่ว่าฉันจะได้ดำรงไว้ซึ่งความถูกต้องชอบธรรมและจะทำลายสิ่งผิดพลาดเท่านั้นเอง”

 

   2.ปฏิเสธการใช้อภิสิทธิ์

 

 นับแต่วันแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ท่านได้ประกาศว่าการดำเนินงานทางการเมืองของท่าน จะต้องดำรงอยู่บนหลักของความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันระหว่างคนทั้งหลาย จะไม่มีความแตกต่างกันระหว่างคนอาหรับกับคนที่ไม่ใช่อาหรับ นอกจากด้วยการมีความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างนายกับบ่าว แน่นอนมีบางคนติเตียนท่าน และยื่นข้อเสนอว่าให้กลับไปใช้ในนโยบายทางการเมืองแบบเดิมที่คอลีฟะฮ์ต่างๆ เคยถือปฏิบัติกันมา

 

ท่านได้ตอบปฏิเสธว่า “พวกท่านจะสั่งสอนฉันให้แสวงหาชัยชนะด้วยความไม่เป็นธรรมกระนั้นหรือ?”

 

หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า “ถ้าหากมันเป็นทรัพย์สินของฉัน แน่นอนฉันจะเฉลี่ยให้ในระหว่างพวกเขา แต่ฉันจะทำอย่างไร ในเมื่อทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของอัลลอฮ์ทั้งนั้น”

 

ครั้งหนึ่ง อะกีลพี่ชายคนหนึ่งของท่านได้มาหา ท่านก็ได้ให้การต้อนรับเขาด้วยความยินดี ครั้งเมื่อถึงเวลาอาหาร อะกีลก็พบว่าในสำรับอาหารไม่มีอะไรเลย นอกจากแผ่นขนมปัง และเกลือเท่านั้น เขารู้สึกแปลกใจมากจึงถามว่า “ไม่มีอะไรนอกจากที่ฉันได้เห็นแค่นี้หรือ? )

 

ท่านอะลี (อ.) รีบตอบทันทีว่า “นี่มิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮ์ดอกหรือ และมวลการสรรเสริญอย่างมากมายเป็นของพระองค์”

 

 อะกีลได้ขอเงินจำนวนหนึ่งจากท่าน เพื่อจะนำไปชำระหนี้สินของตนเอง แต่ท่านกล่าวว่า “จงอดทนไปก่อน จนกว่าส่วนแบ่งของฉันจะได้ถูกนำออกมาแบ่งปัน”

 

อะกีลรู้สึกไม่พอใจจึงกล่าวว่า “คลังทรัพย์สิน(บัยตุลมาล)ก็อยู่ในมือของท่านแล้ว ท่านสามารถที่จะนำส่วนแบ่งของท่านออกมาให้ฉันก่อนได้”

 

ท่านอะลี(อ.) จึงกล่าวว่า “ฉันเองมิได้เป็นใคร นอกจากมีฐานะเช่นเดียวกับมุสลิมคนหนึ่งเท่านั้น”

 

อะกีลยังพิรี้พิไรขอต่ออิมามเพื่อให้นำเงินจากบัยตุลมาล มอบให้กับตน แต่ท่านได้กล่าวว่า “ถ้าพี่ต้องการอย่างนั้น เอาไหม พี่ก็จับดาบของพี่ ฉันก็จะจับดาบของฉัน แล้วเราก็ออกไปยังกลางทะเลทรายด้วยกัน เพราะที่นั่นจะมีพวกพ่อค้าเดินทางผ่านมา แล้วเราสองคนก็เข้าไปหาพวกเขาสักคนหนึ่ง แล้วเราก็เอาทรัพย์สินของพวกเขามา”

 

อะกีลตอบปฏิเสธว่า “แล้วฉันก็ต้องเป็นโจรขโมยใช่ไหม”

 

ท่านจึงตอบเขาว่า “พี่ขโมยของจากคนคนเดียว ยังดีกว่าที่พี่จะขโมยของจากบรรดามุสลิมทั้งหมด”

 

นี่แหละคือ การดำรงชีวิตของอิมามตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจท่านจะกินอยู่อย่างคนยากจนคนหนึ่งและใช้ชีวิตอย่างธรรมดาสามัญที่สุด เมื่อผู้คนใดพูดกับเขาว่า มุอาวิยะฮ์ได้นำทรัพย์สินออกแจกจ่ายและตัดสินบนให้ตัวเองประสบชัยชนะ แล้วทำไมท่านไม่กระทำเหมือนมุอาวิยะฮ์บ้าง อิมามตอบปฏิเสธว่า “พวกท่านจะสั่งให้ฉันแสวงหาชัยชนะด้วยวิธีการฉ้อฉลกระนั้นหรือ ?!”

 

วันหนึ่งขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษได้มีหญิงคนหนึ่งซึ่งถูกสามีขับไล่ มาขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านได้รับนำผู้หญิงคนนั้นกลับไปหาสามีของเธอเพื่อช่วยไกล่เกลี่ยระหว่างเขาทั้งสอง

 

หลังจากท่านเคาะประตูบ้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวออกมา โดยยังไม่รู้จักตัวจริงของอิมามมาก่อน ชายหนุ่มจึงกล่าวตำหนิการกระทำของท่าน โดยการขึ้นเสียงใส่หน้าอิมามด้วยความโกรธ และคาดโทษกับภรรยาด้วยเหตุที่ว่านางได้เดินมากับผู้ชายคนนี้


 ในระหว่างนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา พวกเขารู้จักท่านอะลี (อ.)ดี จึงเข้าไปคารวะให้สลามท่านว่า “อัสสะลามุอะลัยกะ โอ้ อมีรุลมุอ์มินีน”

 

ชายหนุ่มคนนั้นตกใจมาก จึงรีบจับมือของท่านแล้วก้มลงจูบเพื่อขอโทษ พร้อมทั้งได้สัญญาว่า จะไม่ใช้นิสัยเช่นนี้อีก ท่านอะลี(อ.)จึงอบรมสั่งสอนคนทั้งสอง เพื่อให้การครองชีวิตของทั้งสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น

 

ขอขอบคุณ เว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์ ahlbeyt.com