คำอธิบายฮะดีษสองคอลีฟะฮ์จากวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ตอนที่ 1

 

ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

 

إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ خَلِيفَتَيْنِ: كِتَابُ اللَّهِ حَبْلٌ مَمْدُودٌ مَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ وَعِتْرَتِي أَهْلُ بَيْتِي وَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ

 

ฉันได้ทิ้งสองคอลีฟะฮ์ไว้ในหมู่พวกท่าน คือ กิตาบุลลอฮ์ เป็นสายเชือกที่ทอดยาวอยู่ระหว่างชั้นฟ้ากับแผ่นดิน และอิตเราะตี คือ อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน สองสิ่งนี้จะไม่มีวันแยกออกจากกัน จนกว่าทั้งสองสิ่งนี้ จะกลับมาหาฉัน ณ สระน้ำ อัลเกาษัร

 

ที่มา หนังสือ ซอฮิฮ์ อัลญามิอุซ-ซอฆีร เล่ม 1 หน้า 482 ฮะดีษที่ 2457
ผู้แต่ง ซิยูตี ตาย ฮ.ศ. 911

 

เชคอัลบานี กล่าวว่า ซอฮิฮ์
ฉันได้ทิ้งสองคอลีฟะฮ์ไว้ในหมู่พวกท่านคือ

 

1.กิตาบุลลอฮ์ และ 2. อิตเราะตี คือ อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน

 

อัลลามะฮ์ มุนาวีย์ อัชชาฟิอี ตาย ฮ.ศ.1031 อธิบายว่า

 

(إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ) بَعْدَ وَفاَتِي (خَلِيفَتَيْنِ )
 

(ฉัน ได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกเจ้า) หลังจากฉันเสียชีวิตคือ (สองคอลีฟะฮ์)

 

อีกรายงานหนึ่งได้เพิ่มว่า หนึ่งในสองสิ่งนี้ใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่ง และในอีกรายงานหนึ่งแทนคำ “สองคอลีฟะฮ์” ด้วยคำว่า “ษะกอลัยนิ” (สองสิ่งหนัก)

ที่เรียกสองสิ่งด้วยสิ่งนี้ เพราะกิจการของสองสิ่งนี้มีความสำคัญยิ่ง คำ( กิตาบุลเลาะฮ์) คือ อัลกุรอาน

(ฮับลุน) แปลว่า สายเชือก (ทอดยาวอยู่ระหว่างชั้นฟ้ากับแผ่นดิน)

 

นักวิชาการบางคน กล่าวว่า ความหมายของเชือกนี้คือ พันธสัญญาของอัลลอฮ์ และบางคนกล่าวว่า คือ สาเหตุที่นำไปสู่ความพึงพอพระทัยของพระองค์
(และ อิตเราะฮ์-ของฉัน) ด้วยการกล่าวซ้ำอีกคำหนึ่งที่สูงกว่าคือ (อะฮ์ลุลบัยต์-ของฉัน) เป็นการบอกแบบละเอียด หลังจากกล่าวแบบสังเขป เป็นการแทนที่คำ หรือเป็นการอธิบายให้ชัดเจน

 

وَهُمْ أَصْحاَبُ الْكِساَءِ الَّذِيْنَ أذْهَبَ اللهُ عُنْهُمُ الرِّجْسَ وَطَهَّرَهُمْ تَطْهِيْراً

 

และพวกเขา(อะฮ์ลุบัยต์ของฉัน) คือ บรรดาผู้อยู่ใต้ผ้าคลุมกิซา คือ บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงขจัด ”ริจญซุน – มลทิน” ออกไปจากพวกเขา และทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์

นักวิชาการบางคนกล่าวว่า คือ ผู้ที่ซะกาตเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา

 

อัลกุรตุบี(นักตัฟซีรซุนนี) ได้ให้น้ำหนักฮะดีษนี้ว่า หมายถึง

 

إن ائْتَمَرْتُمْ بِأَوَامِرِ كِتاَبِهِ وَانْتَهَيْتُمْ بِنَوَاهِيِّهِ وَاهْتَدَيْتُمْ بِهَدْيِ عِتْرَتِيْ وَاقْتَدَيْتُمْ بِسِيْرَتِهِمْ اهْتَدَيْتُمْ فَلَمْ تُضِلُّوْا

 

หากพวกท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของคัมภีร์อัลกุรอาน

และหากพวกท่านได้รับการนำทางด้วยการ “ชี้นำ” ของอิตเราะฮ์ของฉัน และหากพวกท่านได้ดำเนินตามแนวทางของพวกเขา พวกท่านก็จะได้รับฮิดายะฮ์ แล้วพวกท่านจะไม่หลงทาง

 

قاَلَ الْقُرْطُبِيّ وَهَذِهِ الْوَصِيَّةُ وَهَذاَ التَّأْكِيْدُ الْعَظِيْمُ
 

อัลกุรตุบี กล่าวว่า นี่คือ คำสั่งเสีย(ของท่านศาสดา) และนี่คือการย้ำเตือนที่สำคัญยิ่ง

 

يَقْتَضِي وُجُوْبُ اِحْتِرَامِ أَهْلِهِ وَإبْرَارُهِمْ وَتَوْقِيْرُهُمْ وَمَحَبَّتُهُمْ

 

จึงส่งผลให้ วายิบต้องให้เกียรติต่อครอบครัวของท่านศาสดา ต้องทำดีต่อพวกเขา ต้องยกย่องพวกเขา และต้องแสดงความรักต่อพวกเขา

และเป็นฟัรฎู มุอักกะดะฮ์ ที่ไม่มีข้อแก้ตัว สำหรับบุคคลใดในการหันหลังให้กับวะซียะฮ์นี้

 

هَذاَ مَعَ ماَ عُلِمَ مِنْ خُصُوْصِيَّتِهِمْ بِالنَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَعَلَى آلِهِ وَسَلَّمَ وَبِأَنَّهُمْ جُزْءٌ مِنْهُ
 

ทั้งนี้ เมื่อรู้ว่า พวกเขา(อะฮ์ลุลบัยต์) มีความพิเศษกับท่านนบี(ศ) และพวกเขาคือ ส่วนหนึ่งจากท่าน(ศ็อลฯ)

 

فَإِنَّهُمْ أُصُوْلُهُ الَّتِي نَشَأَ عَنْهاَ وَفُرُوْعُهُ الَّتِي نَشَأَوا عَنْهُ كَماَ قاَلَ : فاَطِمَةُ بَضْعَةٌ مِنِّي
 

เพราะอะฮ์ลุลบัยต์ คือ (อุซูล)รากฐานของท่านนบี ที่เติบโตมาจากรากนั้น และคือ(ฟูรูอ์)กิ่งก้านสาขา ที่พวกเขาแตกออกมาจากท่าน ดังที่ท่านนบีกล่าวว่า ฟาติมะฮ์ คือ เลือดก้อนหนึ่งที่มาจากฉัน

 

وَمَعَ ذَلِكَ فَقاَبَلَ بَنُو أُمَيَّة عَظِيْمَ هَذِهِ الْحُقُوْقِ بِالْمُخاَلَفَةِ وَالْعُقُوْقِ
 

พร้อมกันนั้น ตระกูลอุมัยยะฮ์ได้ตอบสนอง(อย่างมหันต์)กับสิทธิเหล่านี้ ด้วยพฤติกรรมที่ตรงกันข้าม และแสดงความอกตัญญู

 

فَسَفَكُوْا مِنْ أَهْلِ الْبَيْتِ دِماَءَهُمْ وَسَبَوْا نِساَءَهُمْ
 

พวกอุมัยยะฮ์ ได้หลั่งเลือดอะฮ์ลุลบัยต์นบีส่วนหนึ่ง และพวกเขาได้จับสตรีอะฮ์ลุลบัยต์เป็นเชลย

 

وَأَسَرُوْا صِغاَرَهُمْ وَخَرَّبُوْا دِياَرَهُمْ
 

พวกอุมัยยะฮ์ ได้จับบรรดาเด็กของอะฮ์ลุลบัยต์เป็นเชลย และพวกเขาได้ทำลายที่อยู่อาศัยของพวกเขา

 

وَجَحَدُوْا شَرَفَهُمْ وَفَضْلَهُمْ وَاسْتَباَحُوْا سُبَّهُمْ وَلَعْنَهُمْ
 

พวกอุมัยยะฮ์ ได้ปฏิเสธ เกียรติยศและความประเสริฐของพวกเขา(อะฮ์ลุลบัยต์) และพวกอุมัยยะฮ์ ได้อนุญาติให้ด่าทอ สาปแช่ง พวกเขา(อะฮ์ลุลบัยต์นบี)

 

فَخاَلَفُوْا الْمُصْطَفَى صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَ سَلَّمَ فِيْ وَصِيَّتِهِ
 

ดังนั้นถือว่า พวกอุมัยยะฮ์ ได้ฝ่าฝืนต่อท่านศาสดา(ศ)ในเรื่องคำสั่งเสียของท่าน

 

وَقَابَلُوْهُ بِنَقِيْضِ مَقْصُوْدِهِ وَأَمْنِيَّتِهِ
 

พวกอุมัยยะฮ์ ได้ตอบสนองท่านนบี(ศ) ด้วยสิ่งตรงกันข้ามกับจุดประสงค์และความปรารถนาของท่าน(ศ็อลฯ)

 

فَوَا خَجَلَهُمْ إِذاَ وَقَفُوْا بَيْنَ يَدَيْهِ وَياَ فَضِيْحَتَهُمْ يَوْمَ يُعْرَضُوْنَ عَلَيْهِ
 

ช่างน่าอายยิ่งนัก เมื่อพวกอุมัยยะฮ์ต้องยืนอยู่ต่อหน้าท่านศาสดา(ศ) โอ้พวกที่ต้องถูกประจาน ในวันกิยามะฮ์

 

تَنْبِيْهٌ : قاَلَ الشَّرِيْفُ : هَذَا الْخَبَرُ يَفْهَمُ وُجُوْدَ مَن يَكُوْنُ أَهْلاً لِلتَّمَسُّكِ بِهِ مِنْ أَهْلِ الْبَيْتِ وَالْعِتْرَةِ الطاَّهِرَةِ فِيْ كُلِّ زَمَنٍ إِلَى قِياَمِ السَّاعَةِ

 

หมายเหตุ – ท่านชะรีฟ (นักปราชญ์ซุนนี) กล่าวว่า ฮะดีษนี้ สร้างเข้าใจว่า มีผู้ที่คู่ควรแก่การยึดถือ อันมาจากอะฮ์ลุลบัยต์นบี และเป็น อิตเราะฮ์ ผู้บริสุทธิ์ ในทุกยุคทุกสมัย ตราบจนถึงวันกิยามะฮ์

 

เพื่อมุ่งส่งเสริมเรื่องดังกล่าว ให้ยึดมั่นต่ออะฮ์ลุลบัยต์นบี เหมือนที่ให้ยืดมั่นต่ออัลกุรอ่านเช่นกัน

 

ด้วยเหตุที่ว่า อะฮ์ลุลบัยต์นบี คือหลักค้ำประกันของชาวโลก ดังนั้นเมื่อพวกเขาจากไป ชาวโลกก็จะจากไปด้วย

 

มันเป็น (รายงานจาก เซด บิน ษาบิต) อัลฮัยษะมี กล่าวว่า บรรดาผู้เล่าฮะดีษนี้ ได้รับความเชื่อถือ เช่นเดียวกัน ท่านอบูยะอ์ลาได้รายงานฮะดีษนี้ไว้ ด้วยสายรายงานที่ไม่เป็นไร (คือเชื่อได้)

 

وَالْحاَفِظُ عَبْدُ الْعَزِيْزِ بْنِ الْأَخْضَرِ وَزَادَ أَنَّهُ قاَلَ فِي حَجَّةِ اْلوَدَاعِ وَوَهَمَ مَنْ زَعَمَ وَضْعَهُ كاَبْنِ الْجَوْزِيّ

 

ฮาฟิซ อับดุลอะซีซ บินอัลอัคฎ็อร ได้กล่าวเพิ่มว่า ท่านนบี(ศ)ยังได้กล่าวไว้ในฮัจญะตุลวะดาอ์ และเป็นการเดาผู้ที่อ้างว่า ฮะดีษนี้ถูกกุขึ้นมา เช่น อิบนุลเญาซี

 

قاَلَ السَّمْهُوْدِيُّ : وَفِي الْباَبِ ماَ يَزِيْدُ عَلَى عِشْرِيْنَ مِنَ الصَّحاَبَةِ

 

อัซซัมฮูดีย์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้ได้มีผู้รายงานไว้ 20 คน จากซอฮาบะฮ์

 

ที่มา หนังสือ ฟัยฎุลกอดีร ชัรฮุล ญามิอิซซอฆีร

 

ผู้แต่ง อัลลามะฮ์ อัลมุนาวีย์ เล่ม 3 : 14 – 15 ฮะดีษที่ 2631

บทความ โดย เชคอับดุลญะวาด สว่างวรรณ