ชื่อของศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ในพระคัมภีร์ไบเบิล ตอนที่ 4

ชื่อของศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ในพระคัมภีร์ไบเบิล ตอนที่ 4

 

ฟารากลีตูส หรือ ฟารอ-กอลีต ในคัมภีร์ไบเบิล คือใคร?

 

จากนั้นท่าน(บทหลวง)ได้กล่าวว่า เจ้าจงรู้เถิดว่า นักวิชาการ นักอธิบายและนักแปลชาวคริสต์ทั้งหลายไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งกันก่อนที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)จะออกมาประกาศอิสลาม ว่าคำนี้หมายถึง อะหมัดและมุฮัมมัด

 

แต่หลังจากที่มุฮัมมัดได้ประกาศอิสลาม บรรดาบาทหลวงและเจ้าเมืองทั้งหลายได้บิดเบือนและทำลายหนังสือคำอธิบายพระคัมภีร์และตำราภาษารวมทั้งตำราความหมายพระคัมภีร์ทุกเล่ม เพื่อคงไว้ซึ่งตำแหน่งผู้นำ แสวงหาทรัพย์สินของพวกเขา และเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางโลก พวกเขามีฐิฑิดื้อดึง ริษยาอคติ และความป่วยทางจิตใจที่ห้อมล้อมพวกเขาไว้(มิให้ยอมรับการเป็นศาสดาของมุฮัมมัด)

 

พวกเขาได้อุตริบัญญัติคำศัพท์หรือความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้ และพ่อต้องขอย้ำว่า ศัพท์หรือความหมายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่นั้นมันไม่ตรงกับเป้าหมายของเจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลเลยสักนิด

 

ความหมายเดิมนี้มีความชัดเจน ง่ายกว่าทั้งหมดจากสำนวนต่างๆ และลำดับของโองการที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ตอนนี้คือ

 

ผู้ได้รับมอบหมาย
ผู้ช่วยให้รอด
ผู้ไถ่บาป
ผู้ปลอบประโลมใจ

 

ความหมายเหล่านี้ ไม่ใช่จุดประสงค์ของเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล


เพราะว่า พระวิญญาณ ที่เสด็จลงมาที่บ้านวันนั้น มันก็ไม่ตรงกับความหมายเดิมเช่นกัน


นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงจำกัดการมาของ”ฟารอกอลีต”ด้วยเงื่อนของท่านที่ว่า


ท่านจะต้องจากไปเสียก่อน (แล้วฟารอกอลีต จึงจะมา) ดังที่พระเยซูตรัสว่า

 

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ ”ฟารอกอลีต” ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน


ยอห์น บทที่ 16 โองการที่ 7

 

เพราะการรวมศาสดาสององค์ไว้ในเวลาเดียวกัน โดยศาสดาแต่ละองค์ก็เป็นเจ้าของหลักธรรมเป็นของตัวเองสำหรับมวลชนนั้นไม่เป็นที่อนุญาต


ซึ่งขัดกับพระวิญญาณที่เสด็จลงมาในวันบ้าน(แก่ชาวคริสต์) ซึ่งมันหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคยเสด็จลงมาในยามที่พระเยซูและบรรดาสาวกยังอยู่

พระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ ฟารอ-กอลีต

 

บาดหลวงกล่าวว่า ลูกดูซิ พวกเขาลืมไปแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิล กล่าวเพียงว่า


เมื่อพระเยซูได้เสด็จขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน หลังจากที่ท่านยอห์น(นบียะห์ยา)ได้ประกอบพิธีเจิมน้ำมนต์ให้พระเยซูแล้ว ทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาสถิตบนตัวท่านในร่างของนกเขา

 

ดูบทมัทธิว บทที่ 3 โองการที่ 16

 

และพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงรับ(ศีล)บัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจาก(แม่)น้ำ(จอร์แดน) และดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น”พระวิญญาณของพระเจ้า”เสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์

 

And Jesus, when he was baptized, went up straightway out of the water: and, lo, the heavens were opened unto him, and he saw the Spirit of God descending like a dove, and lighting upon him

 

พระวิญญาณดังกล่าวได้เสด็จลงมาในขณะที่พระเยซูอยู่กับสาวกสิบสองคนตามที่คัมภีร์ไบเบิล

 

บทมัทธิว บทที่ 10 โองการที่ 1 กล่าวว่า ตอนที่พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนไปยังบ้านเมืองของชาวอิสราเอลว่า

 

เมื่อพระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว พระองค์ก็ประทาน”อำนาจ ” ให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้

 

when he had called unto him his twelve disciples, he gave them power against unclean spirits, to cast them out, and to heal all manner of sickness and all manner of disease

 

ความหมายคำ “อำนาจ” ในที่นี้คือ พลังทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังทางร่างกายภายนอก

 

เพราะการกระทำเหล่านี้(คือไล่ผีและรักษาโรค) ไม่ได้ออกมาจากพลังทางร่างกาย และพลังทางจิตวิญญาณในที่นี้คือการสนับสนุนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในบทมัทธิว บทที่ 10 โองการที่ 20 พระเยซูตรัสกับสาวกทั้ง 12 ว่า

 

เพราะว่าผู้ที่พูด มิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็น”พระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่าน” ผู้ตรัสทางท่าน

 

For it is not ye that speak, but the Spirit of your Father which speaketh in you

 

ความหมายของคำ” the Spirit of your Father - พระวิญญาณแห่งพระบิดา” คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่คัมภีร์ไบเบิล ลูกา บทที่ 9 โองการที่ 1 กล่าวว่า
พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วทรงประทานให้เขา”มีอำนาจและสิทธิอำนาจ”เหนือผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆให้หาย


Then he called his twelve disciples together, and gave them power and authority over all devils, and to cure diseases

 

เกี่ยวกับสาวก 70 คนที่พระเยซูส่งออกไปทีละสองคนซึ่งพวกเขาได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใน ลูกา บทที่ 10 โองการที่ 1 กล่าวว่า
ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระเยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน


After these things the Lord appointed other seventy also, and sent them two and two before his face into every city and place, whither he himself would come
ใน ลูกา บทที่ 10 โองการที่ 17 ยังกล่าวอีกว่า


ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์"


And the seventy returned again with joy, saying, Lord, even the devils are subject unto us through thy name


ตามที่กล่าวมานี้ การเสด็จลงมาของพระวิญญาณ ไม่ได้ถูกกำหนดเงื่อนไขว่า พระเยซูต้องเสด็จจากไปก่อน ดังนั้นถ้าตีความหมายคำ “ฟารอกอลีตอ” คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ คำพูดของพระเยซูก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผิดและไร้สาระ


ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยของผู้มีวิทยปัญญาที่จะกล่าวถ้อยคำที่ไร้สาระและไร้ความหมายออกมาจากปาก นับประสาอะไรกับสถานภาพของผู้เป็นถึงศาสดา ผู้มีฐานะภาพอันสูงส่งอย่าง พระเยซูเล่า ด้วยเหตุนี้เป้าหมายของคำว่า


”ฟารอกอลีต”ย่อมจะแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก อะหมัดและมุฮัมมัด และสองคำนี้ (พระวิญญาณบริสุทธิ์,พระวิญญาณแห่งสัจธรรม)มีความหมายเดียวกันกับคำ ”ฟารอกอลีตอ”
ผู้เขียนกล่าวกับบาดหลวงว่า พวกท่านจะกล่าวอย่างไรในคริสตศาสนา ?


บาดหลวงตอบว่า ลูกรักของพ่อ แท้ศาสนาคริสต์ถูกยกเลิกด้วยสาเหตุปรากฏหลักธรรมใหม่คือศาสนาของมุฮัมมัด(ศ) ท่านกล่าวถ้อยคำนี้ซ้ำถึงสามครั้ง

 

ผมกล่าวว่า หมายความว่าตอนนี้ หนทางรอดและหนทางที่เที่ยงตรงที่จะนำพาไปสู่พระเจ้าถูกจำกัดไว้ในผู้ตามมุฮัมมัดเท่านั้นหรือ


และผู้ตามเขาคือบรรดาผู้รอดพ้นหรือครับ

 

บาทหลวงตอบว่า ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า

 

โปรดติดตามตอนต่อไป


บทความโดย เชคญะวาด สว่างวรรณ