ตัฟซีรอัลกุรอาน โองการที่ 3 บทยูนุส
ตัฟซีรอัลกุรอาน โองการที่ 3 บทยูนุส
อัลกุรอาน โองการนี้ได้กล่าวแนะนำพระเจ้าและขั้นตอนการสร้างท้องฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน อัลกุรอาน กล่าวว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّماوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يُدَبِّرُ الأَمْرَ مَا مِن شَفِيعٍ إِلَّا مِنْ بَعْدِ إِذْنِهِ ذلِكُمُ اللّهُ رَبُّكُمْ فَاعْبُدُوهُ أَفَلا تَذَكَّرُونَ
คำแปล :
3. แท้จริงพระผู้อภิบาลของสูเจ้าคือ อัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน 6 วาระ แล้วพระองค์ทรงมั่นอยู่บนบัลลังก์ ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ใดให้ความอนุเคราะห์ได้ เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์ นั่นคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลของสูเจ้า ดังนั้น จงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด สูเจ้ายังมิได้ใคร่ครวญอีกหรือ
คำอธิบาย :
การรู้จักพระเจ้าและวันแห่งการฟื้นคืนชีพ
อัลกุรอาน ได้กล่าวถึงเรื่องวุฮฺยูและสภาวะการเป็นศาสดาในโองการแรกของบทนี้ไปแล้ว ลำดับต่อไปจะกล่าวถึงหลักอันเป็นแก่นสำคัญ 2 ประการ ซึ่งเป็นคำสอนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย กล่าวคือ เรื่องพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์ และวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งโองการข้างต้นและโองการถัดไปได้กล่าวอธิบายไว้อย่างสวยหรู ด้วยประโยคสั้นๆ
1. คำว่า เยาม์ ตามหลักภาษาหมายถึง วัน แต่บางครั้งคำๆ นี้ให้ความหมายว่าหมายถึง วาระ กล่าวคือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานในระยะหนึ่ง อาจจะเป็นวาระหนึ่ง หรือวันหนึ่งก็ได้ ดังนั้น ความหมายของโองการก็คือ “อัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน 6 วาระ”
2. คำว่า อัรช์ หมายถึง เตียง หรือบัลลังก์ หรือสิ่งที่มีหลังคา และบางครั้งก็หมายถึง เตียงที่มีขาสูง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึง อำนาจ
ดังที่กล่าวแล้วว่า บุคคลหนึ่งได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ขณะที่เป็นไปได้ว่าเขาอาจนั่งอยู่บนบัลลังก์จริง ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงอำนาจในการดูแลจัดการ
คำๆ นี้เมื่อใช้กับพระเจ้าก็ให้ความหมายในลักษณะของการเปรียบเทียบอีกเช่นกัน กล่าวคือ พระเจ้าทรงมีอำนาจบริหารจักรวาลอยู่ในพระหัตถ์
3. คำว่า ยุดับบิร มาจากรากศัพท์ของคำว่า ตัดบีร รากเดิมคือ ดะบะเราะ หมายถึง ด้านหลัง ข้างหลัง หรือเบื้องหลังของสิ่งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ตัดบีร หมายถึง การพิสูจน์หรือการวิเคราะห์ถึงเบื้องหลังของภารกิจหนึ่ง การทดสอบความถูกต้อง และปฏิบัติไปตามแผนการนั้น ดังนั้น เป็นที่ประจักษ์ว่า พระผู้ทรงสร้างสรรค์คือ อัลลอฮฺ พระผู้ทรงบริหารโลกและจักรวาล หรืออำนาจบริหารทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทำให้รู้ว่า บรรดาเทวรูปทั้งหลาย หรือรูปปั้นที่ไร้จิตวิญญาณ ไร้ความสามารถและไม่มีศักยภาพอันใด จึงไม่ได้มีบทบาทอันใดต่อชะตาชีวิตของมนุษย์ ฉะนั้น ในประโยคต่อมาพระองค์จึงตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดให้ความอนุเคราะห์ได้ เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์”
บทเรียนจากโองการ :
1. จงรู้จักพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าเถิด ซึ่งการรู้จักนั่นเองที่เป็นบันไดก้าวไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์
2. ในพระหัตถ์ของผู้บริหารกิจการแทนพระองค์นั้นมีการช่วยเหลือ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากพระองค์
3. มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติแล้วเขารู้จักพระผู้อภิบาลของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีก
ที่มา เว็บไซต์อัชชีอะฮ์