ตัฟซีรอัลกุรอาน บทฮูด โองการที่ 12-15
ตัฟซีรอัลกุรอาน บทฮูด โองการที่ 12-15
อัลกุรอาน โองการนี้กล่าวถึงข้ออ้างต่างๆ ของบรรดาผู้ปฏิเสธ และกล่าวถึงอุปสรรคของท่านศาสดา มุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) โองการกล่าวว่า
12. فَلَعَلَّكَ تَارِكُ بَعْضَ مَا يُوحَى إِلَيْكَ وَضَائِقُ بِهِ صَدْرُكَ أَن يَقُولُوا لَوْلَا أُنْزِلَ عَلَيْهِ كَنْزٌ أَوْ جَاءَ مَعَهُ مَلَكٌ إِنَّمَا أَنتَ نَذيرٌ وَاللَّهُ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ وَكِيلٌ
คำแปล :
12. บางทีเจ้าจะละทิ้งบางส่วนที่ถูกวะฮียฺแก่เจ้า และหัวอกของเจ้าจะอึดอัดต่อสิ่งนั้น เนื่องจากพวกเขากล่าวว่า ไฉนเล่าขุมทรัพย์จึงไม่ถูกส่งลงมา หรือมีมะลักลงมาพร้อมกับเขา อันที่จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และอัลลอฮฺ ทรงเป็นผู้พิทักษ์ทุกสิ่ง
สาเหตุแห่งการประทานลงมา :
มีรายงานว่าชนชั้นผู้นำของเหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธชาวมักกะฮฺ ได้มาหาท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และกล่าวว่า ถ้าหากท่านพูดจริงว่า ท่านเป็นศาสดามาจากพระเจ้า จงเสกภูเขาในเมืองมักกะฮฺให้กลายเป็นทองคำสำหรับพวกเราซิ หรือนำเอาบรรดามลาอิกะฮฺลงมายืนยันการเป็นนบีของท่านแก่พวกเราซิ โองการข้างต้นจึงถูกประทานลงมา
บางรายงานกล่าวว่า โองการข้างต้นได้ถูกประทานลงมาตามคำวิงวอนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับการแต่งตั้งให้ลูกผู้พี่ของท่านคือ อะลี บุตรของอบูฏอลิบ (อ.) เป็นตัวแทนของท่าน ซึ่งคำวิงวอนของท่านได้รับการตอบรับจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทำให้บรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลายต่างหาข้ออ้างต่างๆ นานา และพาลไปว่าเพราะเหตุใด้ท่านศาสดาจึงไม่นำเอามวลมลักและขุมทรัพย์มาด้วย[1]
แน่นอนว่า ไม่เกินความจริงเลยที่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหลาย หรือบางทีอาจเป็นไปได้เช่นกันว่า โองการได้ถูกประทานลงมาเนื่องจากความเหมาะสมในหลายวาระด้วยกัน
คำอธิบาย :
1. ความต้องการของบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายเป็นหนึ่งในข้ออ้างและเป็นความดื้อรั้น มิใช่ความต้องการที่เกิดจากใจที่ต้องการเห็นปาฏิหาริย์จากท่านศาสดา เพื่อว่าเขาจะได้ค้นหาความจริงต่อไป แน่นอน มาตรว่าปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นจริงพวกเขาก็จะไม่ยอมรับความจริงอยู่ดี ซึ่งสามารถเข้าใจและใช้ประโยชน์ได้จากโองการที่กล่าวคล้ายกับโองการนี้ เช่น กุรอานบทอัลอิสรอ โองการที่ 90-93 ได้กล่าวว่า พวกเขาได้วิงวอนขอปาฏิหาริย์เพื่อจะได้เป็นบันไดในการยอมรับความจริง ทั้งที่ความจริงพวกเขามิได้มีความคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย
2. คำว่า ละอัลละ (หวังว่า) โดยทั่วไปจะถูกใช้เพื่อเผยความหวัง เพื่อกระทำการบางอย่าง แต่ว่าความหมายข้างเคียงที่จำเป็นในที่นี้คือ การห้ามมิให้กระทำ หมายถึงการกล่าวว่า บางที่สูเจ้าอาจจะละทิ้งโองการบางโองการ (นั่นคือเจ้าจะต้องไม่กระทำเช่นนั้นเด็ดขาด หรือจะต้องไม่กระทำอย่างเด็ดขาด)
3. ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาปและความผิดทั้งปวง ท่านปฏิบัติตามวะฮฺยู (วิวรณ์) ด้วยความเคร่งครัด และประกาศสิ่งนั้นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา แต่บางครั้งช่วงเวลาของการประกาศอาจจะกว้างและมองดูว่านาน ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จะพิจารณาที่ความเหมาะสมของสังคม ด้วยเหตุนี้ บางที่ท่านปล่อยเวลาให้ล่าออกไป ดังเช่นเรื่องราวของเฆาะดีรคุมที่เกิดขึ้นนั่นเอง
โองการข้างต้นประหนึ่งว่าได้สนับสนุนท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ในแง่ของจิตวิทยา เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ปล่อยให้ข้ออ้างของบรรดามุชริกทั้งหลายแพ่งพรายเข้ามาในจิตใจของท่าน ท่านจึงได้รีบประกาศวะฮฺยูออกไป
บทเรียนจากโองการ :
1. บรรดาผู้นำแห่งพระเจ้าได้รับการสนับสนุนด้านจิตวิทยาอย่างเต็มที่ เพื่อว่าจะได้ยืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ตั้งภาคีและบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย
2. บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ได้กลั่นแกล้งบรรดาผู้นำแห่งพระเจ้าด้วยข้อกล่าวหาและข้ออ้างต่างๆ ท่านจงเตรียมพร้อมเนื่องจากท่านก็จะประสบเช่นเดียวกัน
3. การท้าทายและเรียกร้องการต่อสู้ และสิ่งที่คล้ายคลึงกันเป็นวัตถุประสงค์ของอัลกุรอาน
อัลกุรอาน โองการที่ 13 บทฮูด
อัลกุรอาน โองการนี้ได้ท้าทายบรรดาผู้ตั้งตนเป็นปรปักษ์ให้นำสิ่งที่คล้ายเหมือนกับอัลกุรอานมาแสดง โองการล่าวว่า
13. أَمْ يَقُولُونَ افْتَرَاهُ قُلْ فَأْتُوا بِعَشْرِ سُوَرٍ مِثْلِهِ مُفْتَرَيَاتٍ وَادْعُوا مَنِ اسْتَطَعْتُم مِن دُونِ اللَّهِ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ
คำแปล :
13.หรือพวกเขากล่าวว่า "เขาได้ปลอมแปลงอัลกุรอานขึ้นมา" จงกล่าวเถิด ดังนั้น จงนำมาสักสิบซูเราะฮฺ เยี่ยงนี้ที่ถูกปลอมแปลงขึ้น และจงเรียกผู้ที่มีความสามารถในหมู่พวกท่านอื่นจากอัลลอฮฺ (ให้มาช่วย) ถ้าพวกท่านสัตย์จริง
คำอธิบาย :
1.อัลกุรอานคือสิ่งปาฏิหาริย์อันอมตะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ในแง่ของวาทศาสตร์ และโวหารกล่าวคือ มีความไพเราะและดึงดูดใจมีความเข้าใจที่ชัดเจน ถ้าในแง่ของสาระแล้วมีความสูงส่ง อีกทั้งมีกฎเกณฑ์มีความเป็นระเบียบ และยังได้บ่งชี้ถึงหลักวิชาการในศาสตร์ต่างๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับกาลเวลาในสมัยนั้นแล้ว อัลกุรอาน มิได้มาจากน้ำมือของมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด และเนื่องจากอัลกุรอานปราศจากความขัดแย้งกัน ในแง่นี้จึงถือว่าอัลกุรอานเป็นปาฏิหาริย์พิเศษ[2]
2. นับเป็นระยะเวลาล่วงเลยผ่านไปแล้วเกินกว่า 14 ศตวรรษ อัลกุรอานได้กล่าวท้าท้ายประชาคมโลกให้ประดิษฐ์สิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานขึ้นมาสัก 10 บท (ซูเราะฮฺ) แต่จวบจนถึงปัจจุบันบรรดาผู้ที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์ก็ยังไร้ความสามารถไม่อาจกระทำได้ พวกเขาพร้อมที่จะลงทุนก่อสงครามการสู้รบด้านกำลัง หรือการโฆษณาต่างๆ แต่ไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับอัลกุรอาน หรือแม้แต่ในบางครั้งพวกเขาได้ลงมือกระทำแล้ว แต่ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินที่สุด ได้รับความอับอายต่อหน้าประชาคมโลกทั้งหลาย
3.อัลกุรอานได้ท้าทายบรรดาผู้เป็นปรปักษ์ให้นำสิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานมา ดังปรากฏในบทอัลอิสรอ โองการที่ 88 บางครั้งท้าให้นำมาสัก 10 บทที่คล้ายกับอัลกุรอาน ดังโองการที่กำลังวิพากษ์อยู่ขณะนี้ บางครั้งท้าให้นำมาสักหนึ่งบท ดังกล่าวไว้ในบทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 23
ความแตกต่างและการลดจำนวนคำท้าทายจากมากให้น้อยลง แสดงให้เห็นถึงความไร้สามารถของกลุ่มชนผู้เป็นปรปักษ์ หรืออาจเป็นเพราะว่าคำที่อัลกุรอานใช้อาจให้ความหมายว่า ทั้งหมด หรือ บางส่วน ทำนองเดียวกันคำว่า ซูเราะฮฺ นั้นหมายว่า โองการกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงซูเราะฮฺหรือบทที่ไม่สมบูรณ์ก็ตาม
4. บรรดาผู้ปฏิเสธส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่มีเหตุผล พวกเขาจึงใส่ร้ายท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ต่างๆ นานา หรือแม้แต่ใส่ร้ายว่าท่านศาสดาได้ประดิษฐ์อัลกุรอานขึ้นมา ขณะที่พวกเขาไม่มีความสามารถประดิษฐ์สิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานแม้เพียงบทเดียวก็ตาม
บทเรียนจากโองการ :
1. อัลกุรอาน เป็นปาฎิหาริย์อมตะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และไม่มีมนุษย์คนใดบนโลกนี้จะนำสิ่งที่คล้ายเหมือนกับอัลกุรอานขึ้นมาได้
2.จงเชิญบรรดาศัตรูของอิสลามให้เป็นคู่ต่อสู้อัลกุรอาน เพื่อว่าการไร้ความสามารถ และสัจธรรมของอัลกุรอานจะได้ประจักษ์ชัดขึ้นมา
การเรียกร้องให้เป็นคู่ต่อสู้ของอัลกุราอนและปาฏิหาริย์
1.ระดับของการเป็นคู่ต่อสู้กับอัลกุรอาน
หนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงการเป็นปาฏิหาริย์ของอัลกุรอานคือ การท้าทายให้มาต่อสู้กับอัลกุรอานตลอดระยะเวลา 14 ศตวรรษทีผ่านมา อัลกุรอานได้ท้าทายมาโดยตลอดแต่ยังไม่มีบุคคลใดสามารถกระทำได้
ผู้เป็นปรปักษ์กับอัลกุรอานจำนวนมากมายทั้งที่เป็นชาวอาหรับ และไม่ใช่ชาวอาหรับ แต่พวกเขาก็ไร้ความสามารถในการนำสิ่งที่คล้ายเหมือนกับอัลกุรอานมาแสดง และทุกครั้งที่พวกเขาคิดจะแสดงความสามารถ ก็ไร้ความสามารถทุกครั้งอัลกุรอานได้ท้าทายว่า
- ถ้าหากเจ้าพูดจริง จงนำคำพูดที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานมา (บทฏูร 34, บทอิสรออฺ 88)
- ถ้าหากเจ้าพูดจริง จงนำสิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานมาสัก 10 บท (ฮูด 13)
- ถ้าหากเจ้าพูดจริง จงนำสิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานมาสัก 1 บท (ยูนุส 38, บะเกาะเราะฮฺ 23)
สิ่งที่น่าสนใจคือ อัลกุรอานได้กล่าวท้าทายคู่ต่อสู้ให้นำสิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานมา ถ้าทำไม่ได้ก็จงนำมาสัก 10 บท แต่ถ้าทำไม่ได้อีกก็ให้นำมาสักบทเดียวก็ได้ บ่งบอกให้เห็นว่ามนุษย์เป็นผู้ไร้ความสามารถอย่างแท้จริง
2. แนวคิดด้านปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน
อัลกุรอานเป็นปาฏิหาริย์ในหลายมิติสำหรับคนทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญ กล่าวคือทุกคนสามารถใช้วิชาการและความเชี่ยวชาญของตนศึกษามิติที่เป็นปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน เช่น นักอักษรศาสตร์สามารถใช้วาทศาสตร์พิสูจน์วาทศาสตร์ของอัลกุรอานได้ หรือนักนิติบัญญัติสามารถพิสูจน์บทบัญญัติที่สูงส่งและชาญฉลาดยิ่งของอัลกุรอานได้ ขณะเดียวกันนักสังคมวิทยา หรือนักมนุษย์ศาสตร์สามารถใช้ความรอบรู้ของตนพิสูจน์ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานได้เช่นกัน กล่าวคือ
- ด้านวาทศาสตร์ของอัลกุรอาน จะเห็นว่าอัลกุรอานได้กล่าวด้วยสำนวนและโวหารที่สูงส่งยากที่จะหาที่เปรียบเปรย
- บทบัญญัติของอัลกุรอานสูงส่งไร้ข้อบกพร่องและคำตำหนิติเตียน
- ปาฏิหาริย์ด้านวิชาการ (ซึ่งจะกล่าวอธิบายแยกต่างหากใน บทลุกมาน โองการที่ 10)
- โวหารและสำนวนที่ไพเราะด้านจิตวิญญาณของอัลกุรอาน
- ความเป็นระเบียบที่มีความพิเศษยิ่งของอัลกุรอาน
- วิชาการอันสูงส่งของพระเจ้าที่ปรากฏในอัลกุรอาน ซึ่งถูกอธิบายโดยบุคคลที่อ่านไม่เป็นเขียนไม่ได้
- เหตุผลอันยอดเยี่ยมของอัลกุรอาน
- ข่าวคราวความเร้นลักต่างๆ ทั้งในอดีตทีผ่านมา และในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
- ความมั่นคงในคำอธิบายและการแสดงออกของอัลกุรอาน โดยปราศจากความขัดแย้ง
- การสร้างการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงสังคม
อัลกุรอาน โองการที่ 14 บทฮูด
อัลกุรอาน โองการนี้กล่าวถึงความปราชัยของเหล่าบรรดาผู้เป็นปรปักษ์กับอัลกุรอาน ขณะเดียวกันก็ได้พิสูจน์ความสัจจริงของอัลกุรอานไปในตัวด้วย โองการกล่าวว่า
14. فَإِلَّمْ يَسْتَجِيبُوا لَكُمْ فَاعْلَمُوا أَنَّمَا أُنزِلَ بِعِلمِ اللَّهِ وَأَن لَا إِلهَ إِلَّا هُوَ فَهَلْ أَنتُم مُسْلِمُونَ
คำแปล :
14 หากพวกเขาไม่ตอบรับการเรียกร้องของสูเจ้า จงรู้เถิดว่า อัลกุรอานถูกประทานลงมาด้วยความรู้แห่งอัลลอฮฺ และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ฉะนั้น สูเจ้ายังไม่สวามิภักดิ์อีกหรือ
คำอธิบาย :
1. นักอรรถาธิบายส่วนใหญ่กล่าวว่า กลุ่มชนที่อัลกุรอานกล่าวถึงคือ บรรดามุสลิม หรือผู้แสดงตนเป็นปรปักษ์ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย กล่าวคือถ้าหากบรรดาผู้ตั้งตนเป็นปรปักษ์ไม่สามารถตอบมุสลิมได้ แสดงให้เห็นถึงความสัจจริงของอัลกุรอาน อีกด้านหนึ่งถ้าหากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่สามารถสนองตอบการเป็นคู่ต่อสู้ หรือแสดงตนเป็นปรปักษ์กับอัลกุรอานได้ ก็เป็นเหตุผลที่บ่งบอกให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานอีกเช่นกัน
2. ปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน บ่งบอกให้เห็นถึงบทสรุปทางความเชื่อ 2 ประการ กล่าวคือ
2.1 พิสูจน์ให้เห็นถึงความสัตย์จริงและการที่อัลกุรอานเป็นพจนารถของอัลลอฮฺ (ซบ.) เนื่องจากว่าตราบจนถึงปัจจุบันยังไม่มีบุคคลใดสามารถประดิษฐ์สิ่งที่คล้ายเหมือนอัลกุรอานขึ้นมาได้
2.2 พิสูจน์ความเป็นเอกะของพระเจ้า เนื่องจากถ้ามีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากอัลลอฮฺแล้ว เขาต้องช่วยเหลือเหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาแน่นอน เพื่อว่าจะได้สามารถประดิษฐ์สิ่งที่คล้ายเหมือนกับอัลกุรอานขึ้นมาได้
บทเรียนจากโองการ :
1.การไร้ความสามารถของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายในการนำสิ่งที่คล้ายเหมือนกับอัลกุรอาน เป็นเหตุผลที่บ่งบอกให้เห็นว่าอัลกุรอานเป็นพระดำรัสของพระเจ้าจริง
2. แหล่งที่มาของอัลกุรอานคือ วิชาการและความรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
3. ปาฏิหาริย์ของอัลกุรอาน คือ หนทางที่นำไปสู่การนอบน้อมต่อพระเจ้า
อัลกุรอาน โองการที่ 15 บทฮูด
อัลกุรอาน โองการนี้กล่าวถึงผลสรุปในภารกิจการงานของผู้ที่ลุ่มหลงโลก โองการกล่าวว่า
15. مَن كَانَ يُرِيدُ الْحَيَاةَ الدُّنْيَا وَزِينَتَهَا نُوَفِّ إِلَيْهِمْ أَعْمَالَهُمْ فِيهَا وَهُمْ فِيهَا لَا يُبْخَسُونَ
คำแปล :
15. ผู้ใดปรารถนาชีวิต (เลวร้าย) บนโลกนี้และความบรรเจิดของโลก เราก็จะตอบแทนให้พวกเขาอย่างครบถ้วน ซึ่งการงานของพวกเขาในโลกนี้ และพวกเขาจะไม่ถูกลิดรอนในโลกนี้แต่อย่างใด
คำอธิบาย :
1.โองการนี้ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงแบบฉบับและหลักการของพระเจ้าที่ว่า ผลแห่งการงานที่ดีของมนุษย์จะไม่ถูกทำลายเด็ดขาด ถ้าหากวัตถุประสงค์ของเขาคือวัตถุปัจจัย เขาก็จะได้รับผลตอบแทนเฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น แต่ถ้าวัตถุประสงค์ของเขาคือพระเจ้าแล้วละก็ เขาจะได้รับประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
2.การที่อัลกุรอานใช้คำว่า ซีนัต ในโองการข้างต้นต้องการบ่งชี้ให้เห็นถึงการแสวงหาผลประโยชน์ และปัจจัยบนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคปัญหาแต่อย่างใด แต่สำหรับความหลงใหลในปัจจัยทางโลก และการแสวงหาความสุขชนิดเลยเถิดย่อมได้รับการประณามหยามเหยียด เนื่องจากความประพฤติเช่นนั้นจะทำให้มนุษย์ออกห่างจากปรโลก
3. การกล่าวโดยใช้คำว่า อิรอดะฮฺ ของโองการข้างต้นหมายถึง ถ้าหากบุคคลใดนำเอาโลกเป็นเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของตน เขาก็จะออกห่างจากมโนธรรม คุณธรรม และปรโลกหน้า แต่สำหรับการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องเป็นไปตามธรรมชาติถือว่าไม่เป็นไร เนื่องจากโลกนี้คือปฐมบทสำหรับโลกหน้า
4.ถ้าบุคคลใดบนโลกนี้ประพฤติปฏิบัติคุณงามความดี เช่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือรับใช้ด้านวิชาการแก่สังคมและมนุษย์ชาติ แต่วัตถุประสงค์ที่กระทำมิใช่การมุ่งหวังความใกล้ชิด หรือความพึงพอพระทัยของพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบแทนคุณาประโยชน์ด้านวัตถุในการงานเหล่านั้น ไปตามสภาพแก่เขาบนโลกนี้ เช่น บางครั้งเขาอาจได้รับคำชมเชยและเสียงยกย่องจากสังคมจนเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม แต่ทว่าการกระทำเหล่านี้มิได้มีประโยชน์อันใดในปรโลกแม้แต่นิดเดียว
5.โองการข้างต้นเน้นย้ำว่าผลรางวัลของกลุ่มชนที่ลุ่มหลงโลกจะได้รับรับการตอบแทนอย่างสมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่าในวันปรโลกพวกเขามิมีสิ่งใดผูกพันกับอัลลอฮฺ (ซบ.) อีกต่อไป
บทเรียนจากโองการ :
1. อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงตอบแทนรางวัลแก่กลุ่มชนผู้บูชาโลกอย่างครบสมบูรณ์ แต่พวกจะถูกกีดกันผลรางวัลทุกประการในปรโลก
2. อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงตอบแทนผลรางวัลไปตามเป้าหมายของงานนั้นๆ
3. รางวัลของแต่ละบุคคลจะได้รับการตอบแทนสมบูรณ์ (แม้ว่าจะไม่มีเป้าหมายหรืออุดมการณ์ก็ตาม)
อ้างอิง
[1]มัจญฺมะอุล บะยาน ตอนอธิบายโองการดังกล่าว , บิฮารุลอันวาร เล่ม 9 หน้า 103,104
[2]อัลกุรอานบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 23-24