เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ) บทเรียนแห่งชีวิตและจิตวิญญาณ

108 ทัศนะต่างๆ 01.0 / 5


ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ) บทเรียนแห่งชีวิตและจิตวิญญาณ

لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِمَنْ كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا ﴿۲۱﴾
سورة الاحزاب
“โดยแน่แท้ ในรอซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮ์และวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก”

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่เอกองค์อัลลอฮ์(ซบ.)ขอความสันติจงมีแด่ท่านศาสดาและวงศ์วานลูกหลานผู้บริสุทธิ์ของท่านทุกคน เนื่องในการครบรอบอัยยามฟาฏิมียะฮ์ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ขอน้อมแสดงความเสียใจต่อท่านอิมามประจำยุคประจำสมัย อิมามมะฮ์ดี(อ)และต่อท่านประมุขสูงสุดท่านซัยยิดอะลี คอเมเนอีย์ตลอดจนบรรดาผู้รักในอะหลุ้ลเบตอะลัยฮิมุสลามทุกคน

เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าตำแหน่งอันสูงส่งทางจิตวิญญาณนั้นจะได้มาจากอีหม่านและอะมั้ล ดังนั้นความเชื่อแบบผิด ๆ ที่ว่าหากบุคคลใดมีความเกี่ยวข้องทางเชื้อสายกับบุคคลสำคัญหรือกับผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดแล้ว เขาจะสามารถบรรลุธรรมได้โดยไม่จำเป็นต่อการเพียรพยายามฝึกปรือเพื่อขัดเกลาตน เพราะอันที่จริงแล้วหากบุคคลยิ่งมีเชื้อสายและยิ่งมีความเกี่ยวข้องหรือมีสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับท่านนบีและบรรดามะศูม ยิ่งใกล้ชิดมากเท่าไหร่เรื่องราวก็จะยิ่งเรียกร้องให้บุคคลคนนั้นต้องแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าให้เหนียวแน่นยิ่งกว่าผู้อื่นในการพัฒนาตัวตนของเขา โดยเฉพาะในทางจิตวิญญาณนั้นยิ่งต้องล้ำลึกกว่าผู้อื่น โดยทำให้บรรดาผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดย่อมจะมีภาระหน้าที่ที่หนักกว่าผู้อื่นเป็นอีกหลายเท่าเป็นทวีคูณ เช่น บรรดาซาดาตผู้สืบเชื้อสายจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) บรรดาอาลิมอุละมาอผู้รู้ ตลอดจนบรรดานักเรียนศาสนา..

เมื่อสรุปได้ว่าความสูงส่งทางจิตวิญญาณนั้นมาจากอีหม่านและอะมั้ล ดังนั้นโอกาสจึงเป็นของมนุษย์ทุกคนที่จะสามารถไต่เต้าและแสวงหาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ตามแบบฉบับที่อัลลอฮ์(ซบ.)ได้วางเอาไว้ จึงอยู่ที่การเป็นนบี การเป็นอิมามมะอศูม (อ) การเป็นบุตรีแห่งศาสดา(ศ็อลฯ)ไม่ได้จะเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่าย ๆ แต่ทว่าหนทางแห่งการไปสู่ความเป็นวะลียุ้ลลอฮ์ และการแสวงหาความประเสริฐในความเป็นมนุษย์,การเสริมสร้างจิตวิญญาณนั้นเปิดกว้างสำหรับทุกคน ดังนั้นการอ้างถึงเหตุผลของความห่างไกลต่ออัลลอฮ์(ซบ.)และรอซูลและศาสนาของพระองค์ไม่ใช่ตรรกที่กินกับปัญญาหรือจะเป็นตรรกที่จะใช้ได้เมื่อเผชิญหน้ากับการสอบสวนของอัลลอฮ์(ซบ.)ในวันแห่งการตัดสินตอบแทน

"ฉันไม่ใช่ลูกสาวนบี,ฉันไม่ใช่มะอศูม ฉันไม่ใช่อุละมาอ,ฉันไม่ใช่นักเรียนศาสนา,ฉันไม่ใช่เครือญาติของนักเรียนศาสนา,ฉันไม่ใช่แนวนักเรียนศาสนา ซึ่งในที่สุดก็จะกลายเป็นฉันไม่ใช่แนวศาสนา..ดังนั้นฉันจะมีวิถีชีวิตแบบชิว ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องเคร่งครัดไม่ต้องเคร่งเครียดอะไรมาก ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่แปลกอะไร สั้นบ้างยาวบ้างแล้วแต่โอกาส เพราะฉันไม่ใช่.. เพราะฉันไม่ได้อยู่ในวงการศาสนา..
แน่นอนว่าแนวคิดและข้ออ้างลักษณะนี้นั้นใช้ไม่ได้และไม่ถูกต้อง เพราะวงการศาสนาไม่ใช่วงการดารา ไม่ใช่วงการกีฬาที่หากผู้ใดไม่ได้อยู่ในวงการนั้น ๆ หรือไม่ได้มีเครือญาติ ไม่ได้มีคนรู้จักก็จะสามารถปลีกตัวไปมีวิถีชีวิตในแบบของตัวเอง โดยมองว่าต้นแบบเช่นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)นั้นช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวฉันเสียเหลือเกิน

ในขณะที่ประโยคหนึ่งของดุอากุเมลมีคำสารภาพความจำนนจากท่านอิมามอะลี(อ)ผู้เป็นนายแห่งศรัทธาชนว่า
 وَلا يُمْكِنُ الفِرارُ مِنْ حُكُومَتِكَ.
“โอ้อัลลอฮ์..ไม่มีทาง..ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหนีไปจากการปกครองของพระองค์”

 การปกครองที่มาจากความเมตตาที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ที่จะชี้นำปวงบ่าวของพระองค์เอาไว้ในทางที่เที่ยงตรงซึ่งจะเป็นประโยชน์และความผาสุกแก่ตัวของเขาเอง

ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงประทานต้นแบบอย่างที่เป็นรูปธรรมให้แก่มวลมนุษยชาตินั่นหมายความว่ามนุษย์ย่อมสามารถ มนุษย์ย่อมทำได้

: لَا يُكَلِّفُ ٱللَّهُ نَفْسًا إِلَّا وُسْعَهَا ۚ
“อัลลอฮ์จะไม่มอบภาระที่เกินกำลังแก่ผู้ใดเว้นแต่เท่าที่เขาจะแบกรับไหว”

 ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่ถูกกำหนดมาให้เป็นชะรีอัตบทบัญญัติทางศาสนาอย่างชัดเจนบวกกับมีบรรดามะอศูม(อ)เป็นแบบอย่างด้านภาคปฏิบัติแล้วยิ่งบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่จะกระทำ อีกทั้งยังย่อมมีผลประโยชน์คุณูปการทั้งทางโลกและทางธรรมอยู่ในการงานนั้นสำหรับมนุษย์เป็นแน่

ดังนั้นขออย่าได้มีการละเลยที่จะขัดเกลาตนเพราะมองว่าเป็นเรื่องธรรมะธรรมโมเป็นเรื่องไกลตัวหรือแย่ไปกว่านั้นคือถึงขั้นละเมิดบทบัญญัติที่เป็นวาญิบที่เป็นฮะร่ามไปมีวิถีชีวิตที่ห่างไกลหรือตรงกันข้ามกับต้นแบบแห่งความเป็นมนุษย์ที่อัลลอฮ์(ซบ.)ได้วางไว้ในวิถีชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)และบรรดามะอศูมีน(อ) เพราะหากเป็นเช่นนั้นเขาคือผู้ขาดทุนและล้มละลายทั้งในโลกนี้และปรโลก
ส่วนบรรดาบุคคลที่ยึดถือแบบอย่างแห่งพระผู้สร้าง พวกเขาจะหล่อหลอมตัวตนให้ใกล้เคียงกับต้นแบบมากที่สุด จนกระทั่งได้จิตวิญญาณอันเดียวกันนั้น แนวคิดของเขาจะเป็นแนวคิดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ) การประพฤติปฏิบัติของเขา ความคิดอ่าน การพูด การเดิน การตัดสินใจของเขาจะเป็นการตัดสินใจในแนวเดียวกันกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ) ในการดำเนินชีวิตเขาจะตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าในสถานการณ์เช่นนี้หากเป็นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)จะกระทำเช่นไร เมื่อเขาเผชิญหน้าอยู่ระหว่างการเลือก เขาจะเลือกสิ่งที่ใกล้เคียงกับอุดมการณ์ของฟาฏิมะฮ์(ซ)ให้มากที่สุด  

อัลฮัมดุลิลละห์ที่ในการบรรยายวันต่อไป เราจะได้รับฟังรายละเอียดที่มีเนื้อหาเชิงลึกในวิถีคุณธรรมต่าง ๆ ของท่านหญิง(ซ)จากคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยวันนี้จะขอนำเสนอบุคลิกภาพที่โดดเด่นของท่านหญิง 2 ประการด้วยกัน

1-วิชาความรู้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ):

นางคือผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิชาการระดับสูง และอยู่ในฐานะผู้คงแก่เรียนผู้ใกล้ชิดท่านศาสดาจนเป็นที่พึ่งทางวิชาการของชาวเมืองมาดีนะห์และนอกเมืองทั้งชายและหญิง ในทุกๆวันจะมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่จะเดินทางมายังบ้านของท่านหญิงเพื่อไขคำถามศาสนาและเรื่องราวหลักศรัทธา แม้แต่วิญญูชนระดับใหญ่ เช่น ท่านซัลมาน ฟารซี ผู้เป็นสาวกเอกของท่านศาสดาก็มักจะมาขออนุญาตเข้าพบท่านหญิงเพื่อแสวงหาวิชาความรู้ในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ทว่าเป็นความศรัทธามั่นสำหรับเราว่า วิชาความรู้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ) นั้นเป็นความรู้ที่ถ่ายทอดมาอย่างพิศวงเชื่อมโยงกับต้นน้ำอันเป็นแหล่งแห่งวิชาการและความรอบรู้ของอัลลอฮ์(ซบ.)และท่านศาสดา(ศ็อลฯ)เรียกว่า علم الدني
 รวมถึงฉายานามสำคัญอีกประการหนึ่งที่ถูกขนานนามว่า محدثة (สตรีผู้สนทนากับมะลาอิกะห์) นั้นบอกเราได้เป็นอย่างดีว่า ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ(ซ)ท่านนี้ ย่อมมีการติดต่อสื่อสารกับมวลหมู่ทูตสวรรค์ทุกระดับชั้นเป็นแน่
 
2-ความโดดเด่นอีกประการหนึ่งของท่านหญิงคือภาคแห่งการ อิบาดัต(การบำเพ็ญภาวนานมัสการพระผู้เป็นเจ้า)ริวายะห์มากมายที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ถูกบันทึกไว้ทั้งในตำราของอะหลุ้สซุนนะห์และชีอะฮ์ โดยสามารถสรุปความประเสริฐในภาคอิบาดัตของนางไว้ในฮะดีษบทนี้ได้

 ความว่า:เมื่อฟาฏิมะฮ์(ซ)เข้าสู่เมี๊ยะห์รอบและนมัสการวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า รัศมีแห่งการอิบาดัตของนางจะสาดส่องไปยังมิติแห่งมะลาอิกะห์อย่างเจิดจ้า "ทั้งที่เป็นที่รู้กันว่ามิติแห่งมะลาอิกะห์ซึ่งเป็นมิติลี้ลับแห่งบรรดาทูตสวรรค์นั้นเป็นมิติแห่งแสงอยู่แล้วแต่ทว่าด้วยความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่มีอยู่ในอิบาดัตของนางจนเกิดรัศมีผ่องอำไพสาดส่องจากพื้นโลกสู่ชั้นฟ้าได้ จึงสามารถเป็นแรงบันดาลใจแก่เราทุกคนในทุกด้านแห่งการประพฤติตน โดยเมื่อเรามีแบบอย่างที่สูงส่ง และมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นให้ได้ ให้ใกล้เคียงกับต้นแบบที่สุดเท่าจึงจะเป็นพลังผลักดันสู่การกระทำได้
ขอให้ชื่อของเราได้อยู่ในดุอาและการวิงวอนของท่านหญิงเถิด ดังที่นางได้สอนสั่งบุตรของตนว่า

 

                                                                                        الجار ثم الدار
  จงนึกถึงผู้อื่นก่อนที่จะนึกถึงตนเอง


บทความโดย ซัยยิดะฮ์บุชรอ ฮุซัยนี

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม