เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ท่านหญิงฟาติมะห์ ผู้ดำรงศักดิ์ศรีของสตรี

2 ทัศนะต่างๆ 05.0 / 5

ท่านหญิงฟาติมะห์ ผู้ดำรงศักดิ์ศรีของสตรี

 

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) กล่าวว่า  "ฟาติมะฮ์ คือ ส่วนหนึ่งของฉัน ใครที่ทำให้นางโกรธ ก็เท่ากับทำให้ฉันโกรธ" (หนังสือ บุคอรี บาบ มุนากิบ ฟาติมะฮ์ เลขที่ 3714)

 

 ท่านหญิงฟาติมะฮ์ เป็นบุตรีของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) และท่านหญิง คอดีญะฮ์ (อ) บุตรีของคุวัยลิด นางเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลกุเรช นางเป็นหญิงคนแรกที่ยอมรับการเป็น ศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) และนางเป็นผู้ยืนเคียงบ่าเคียงใหล่กับท่านศาสดา (ซ.ล) มาตลอดการเผยแพร่ของท่าน. ท่านหญิงคอดียะห์ นางคือ ผู้เสียสละอันยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ในหนทางของอัลลอฮ์ (ซ.บ) ทรัพย์สิน เงินทองของนางที่มีอยู่ นางได้สละให้กับท่านนบี เพื่อใช้ในหนทางการเผยแพร่ศาสนาของท่าน

 

 ในบันทึกของ ฮิชาม กล่าวไว้ว่า "ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) มอบความรัก และให้เกียรติ ต่อท่านมาก ไม่ว่าจะการงานใด ท่านหญิงจะเป็นที่ปรึกษาให้กับท่านเสมอ. นางคือสตรีที่มีทรรศนะกว้าง นางเป็นผู้ศรัทธาคนแรก และในช่วงที่ท่านหญิงคอดีญะห์มีชีวิตอยู่นั้น ท่านศาสดาไม่คยมีหญิงใดเลย"

 

 นี่เป็นเพียงการแนะนำพอสังเขปผู้เป็นมารดาของท่านหญิง ซะฮ์รอ (ซ) ซึ่งถ้าจะกล่าวถึงผู้เป็นบิดา สำหรับมุสลิมทั้งหลายเป็นที่ทราบและรู้จักกันเป็นอย่างดี. แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่จะรู้จักความสัมพันธ์ของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) กับบุตรีของท่าน ฟาติมะฮ์(ซ)

 

 ท่านหญิงฟาติมะห์ (ซ) ท่านเกิดในสมัยยุคมืดของชาวอาหรับ ที่มีแต่ความโสมมในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มชนในยุคนั้น กับการปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิง ยุคที่ไร้ซึ่งจริยธรรมในการดำเนินชีวิต และการฝังบุตรสาวของตนทั้งเป็น การบีบบังคับสตรีให้ใช้ชีวิตแต่งงาน หรือการลิดรอนสิทธิของสตรี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเลือกที่จะใช้ชีวิต หรือการได้รับสิ่งที่นางสมควรจะได้ เช่น มรดกของผู้เป็นบิดา หรือสามี รายได้ที่นางได้หามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกนางเอง สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ในสมัยของอาหรับยุคมืด. การประกาศอิสลาม และการปฏิบัติของท่านศาสดาที่มีต่อบรรดาภรรยา และบุตรีของท่านเป็นแบบอย่างที่สำคัญ และเป็นการทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชนอาหรับในยุคนั้นด้วย ดังนั้น การที่อิสลามได้ประกาศความเป็นอิสระของสตรีในการเลือก หรืออิสลามได้ให้ความเท่าเทียมความเป็นมนุษย์ระหว่างหญิงและชาย หรือแม้แต่การปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลาย ถือว่าสตรีนั้นมีส่วนร่วมและสามารถได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์(ซ.บ) เท่าเทียมกับเหล่าบรรดาบุรุษ ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) ได้ปฏิบัติต่อบุตรีของท่านตรงข้ามกับที่ชนอาหรับยุคนั้นปฏิบัติต่อบุตรีของพวกเขา เช่น ท่านให้ความรัก ความเอ็นดู ให้เกียรติต่อบุตรสาวของท่าน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อชนชาติอาหรับ

 

 ฉะนั้น เกียรติและศักดิ์ศรีของสตรีที่ท่านศาสดาได้นำมาประกาศต่อประชาชาตินั้น ท่านได้ปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างโดยกับท่านหญิงฟาติมะฮ์ (ซ) เช่น

 

   - สิทธิในการมีชีวิต ซึ่งเมื่อท่านทราบว่า บุตรของท่านเป็นเด็กผู้หญิง ท่านไม่ได้ฝังบุตรสาวของท่านทั้งเป็นเหมือนอย่างที่ชาวอาหรับได้กระทำ

 

   - การได้รับเกียรติ ในรายงานกล่าวไว้ว่า  "ทุกครั้งที่ท่านหญิง ฟาติมะห์ (ซ.)เข้ามาหาท่านรอซูล (ซ.ล) ท่านจะลุกขึ้น และให้นั่งตรงที่ของท่าน" ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า สตรีก็สมควรที่จะได้รับเกียรติเช่นกัน สตรีในยุคนั้น ถูกปฏิบัติเหมือนสาวใช้ และโดนดูถูกในความเป็นสตรีของพวกนาง

 

  - สิทธิในการเลือก ท่านศาสดาได้มอบสิทธิในการเลือกให้กับท่านหญิงฟาติมะห์ (ซ) เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับกลุ่มชนในยุคนั้น. เมื่อมีบุคคลต่างๆ จากบรรดาผู้นำชั้นสูงมาสู่ขอท่าน ท่านศาสดาได้มอบสิทธิในการเลือกนี้ให้กับท่าน ซึ่งในยุคนั้น การแต่งงานของสตรีนั้น จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของครอบครัว หรือหญิงหม้ายครอบครัวของนางจะยกนางให้กับใครก็ได้ตามที่พวกเขาพอใจ

 

  - สิทธิในการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ในอิสลามมิได้แบ่งแยกความสำคัญดังกล่าวนี้ให้สิทธิเฉพาะบุรุษเท่านั้น อิสลามได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษากับสตรีเช่นกัน ท่านหญิงฟาติมะห์ (ซ) ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ในวิชาแขนงต่างๆจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล) สามารถกล่าวได้ว่า ในยุคของท่านหญิงนั้น ท่านคือครูของบรรดาสตรีทั้งหลาย และท่านยังได้สร้างลูกศิษย์ไว้อย่างมากมาย ซึ่งเป็นสตรีทั้งสิ้น

 

 - สิทธิการมีส่วนร่วมในสังคม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล) ได้เปิดโอกาสให้กับเหล่าบรรดาสตรีเข้าร่วมการนมาซในมัสยิด หรือฟังการบรรยายของท่าน แต่มีเงื่อนไขว่า พวกนางต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาสนาอย่างเคร่งครัด คือ แต่งกายให้มิดชิด ตามแบบฉบับที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ หรือการที่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (ซ) ได้นำกลุ่มสตรีมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในยามศึกสงคราม หรือแม้แต่การเปิดโอกาสให้กับบรรดาสตรีผู้ไม่รู้ ได้ถามปัญหาที่ตนสงสัย

 

  มีรายงานหนึ่งจากหนังสือ บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม 2 หน้า 3 หะดีษที่3 ได้เขียนเอาไว้ว่า   "หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาท่านหญิง เพื่อที่จะถามปัญหาข้อข้องใจที่มารดาของนางส่งให้นางมาถามท่าน  และสำหรับตัวของนางเอง โดยที่ท่านได้ตอบทุกๆปัญหาที่นางถามจนหลายคำถามมากเข้า นางรู้สึกเกรงใจ จนท่านหญิงกล่าวกับนางว่า "จงถามมาเถอะ" และท่านหญิงได้กล่าวถึงผลตอบแทนของผู้ที่ให้การศึกษาแด่ผู้อื่นต่อนาง

 

 ศักดิ์ศรีของสตรียังคงดำรงอยู่ต่อไป ถ้าหากได้ดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของท่านหญิงฟาติมะห์ (ซ) เพราะท่านนั้นคือ แบบ อย่างของบรรดาสตรีทั้งหลายทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

 

หนึ่งในแบบอย่างของท่านท่านหญิงฟาตีมะห์(อ)  ในด้านอาภรณ์ฮิญาบ

 

 ครั้งหนึ่งสาวกคนหนึ่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ซึ่งตาบอดผู้มีนามว่า อบูบะซีร ได้มาหาท่านหญิง ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ได้แลเห็นท่านหญิงได้แต่งตัวปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดออกมาพบอบูบะซีร ประหนึ่งว่าตนเองกำลังอยู่ต่อหน้าบุคคลที่มีดวงตามองเห็นได้อย่างเป็นปกติ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ได้ถามท่านหญิงว่า อบูบะซีรเป็นคนตาบอดแล้วไฉนเธอจึงคุมกายอย่างมิดชิดถึงเพียงนี้? ท่านหญิงได้ตอบบิดาของตนว่า : เขาไม่เห็นหนู แต่หนูมองเห็นเขา ยิ่งไปกว่านั้นอย่างน้อยเขาก็จะสัมผัสกลิ่นกายของหนูได้

 

 การระมัดระวังตนในการปฏิสัมพันธ์กับชายที่แปลกหน้า(เพศตรงข้าม)ในลักษณะเช่น นี้เป็นอุปนิสัยและมารยาทที่ติดกายของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรอ(ซ.) ตลอดมา

 

  อีกตัวอย่างหนึ่งจากความประเสริฐและสถานะอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(ซ.)นั่นคือ เมื่อมีพระบัญชาจากอัลลอฮ์(ซ.บ.)มายังท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ)ให้ปิดประตูบ้านของ ทุกคนที่เปิดตรงเข้าสู่มัสยิดนะบะวี(ซ็อลฯ)นั้นได้ถูกยกเว้นจากบ้านของท่าน หญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) การยกเวันดังกล่าวนี้ได้ทำให้ทุกคนประจักษ์ถึงเกียรติและความใกล้ชิดของบ้าน หลังนี้ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)เป็นอย่างดี   และทุกคนก็ทราบดีว่าบ้านที่อยู่ใกล้กับมัสยิดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)คือบ้านของท่านหญิง  ด้วยกับคุณลักษณะต่างๆอันสูงส่งทั้งหมดนี้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)และด้วย กับการอยู่ใกล้อย่างมากของบ้านหลังนี้ต่อมัสยิดนะบะวี(ซ็อลฯ)และแม้กระทั่ง ว่าด้วยกับสถานะและความยิ่งใหญ่ของผู้เป็นอิมามญะมาอัตในมัสยิดหลังนี้ซึ่ง ได้แก่ท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)เอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหรือไม่เคยมีใครกล่าวถึงว่าท่านหญิงได้เคยยืนนมาซใน มัสยิดหลังนี้ตามหลังท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ) แม้แต่เพียงครั้งเดียว  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น??! ทั้งนี้เนื่องจากว่า ท่านหญิงมีความเชื่อมั่นว่า ท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)และแม้แต่พระผู้เป็นเจ้าเองทรงรักในการที่ บรรดาสตรีจะนมาซภายในบ้านของพวกนาง

 

 สตรีผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดเคยเห็นท่านเคยยืนเผชิญหน้ากับบุรุษคนใด หรือแม้แต่การยืนนมาซตามหลังท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ภายในมัสยิดก็ตาม  แต่ไฉนเล่ายุคสมัยจึงได้กระทำกับท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ จนกระทั่งว่าภายหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ) ท่านหญิงต้องย่างกายเข้าสู่มัสยิด เพื่อกล่าวคำปราศรัยและทำหน้าที่ปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของท่านอิมามอะลี(อ.)?

 

 มีคำตอบที่ชัดเจนยิ่งในเรื่องนี้ และนั่นก็คือว่าการปกป้องอิมาม(ผู้นำ)แห่งยุคสมัยของตนนั้นเป็นหน้าที่จำเป็น(วาญิบ)สำหรับมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ทุกๆคนจำเป็นต้องปกป้องอิมามแห่งยุคสมัยของตนเองตามขอบเขตแห่งความสามารถของตน และจะต้องพิทักษ์ปกป้องอิมาม(ผู้นำ)ของเขาจากการถูกทำร้ายและการยังอันตรายต่างๆจากเหล่าศัตรูของท่าน

 ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเราทุกคน ในยามที่ท่านอิมามแห่งยุคสมัยของตนอยู่อย่างเดียวดายและไม่มีผู้ช่วยเหลือ นั้น สตรีที่เคยใช้ชีวิตอยู่หลังม่านก็ต้องออกมายืนอยู่ในสนามแห่งการต่อสู้ สงครามเพื่อปกป้องอิมาม(ผู้นำ)ของตน และกระชากหน้ากากอันชั่วร้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาให้ทุกคนได้เห็นเป็น ประจักษ์ และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าใครบ้างเป็นผู้ที่ท่าน หญิงมีความโกรธเกลียดซึ่งนั่นก็ทำให้ประจักษ์ชัดเช่นกันถึงคนที่ท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ)มีความโกรธเกลียดต่อพวกเขา อีกทั้งการปฏิเสธ(กุฟร์)และการถูกลง โทษของพวกเขาเหล่านั้นจะไมเป็นที่ปิดบังสำหรับผู้ใดอีกเลยจวบจนถึงวันกิยามะฮ์

 

 วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากเราเป็นผู้ปฏิบัติตามท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)  และมีความปรารถนาที่จะนำพาตัวเองเข้าอยู่ในแถวแห่งกองทัพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)อย่างแท้จริงแล้ว จำเป็นที่เราจะต้องปกป้องอิมามแห่งยุคสมัยของเรา และจะต้องพิทักษ์ท่านจากการล่วงละเมิดและการทำร้ายจากเหล่าศัตรูของท่าน เราทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดและในอาชีพการงานใดๆก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆที่เรามีความสามารถจำเป็นจะต้องพิทักษ์ปกป้องอิมาม(ผู้นำ)แห่งยุคสมัยของตนและพึงรู้เถิดว่าหน้าที่ขั้นต่ำที่สุดและเป็นอันดับแรกที่สุดที่เราทุกคนสามารถกระทำได้ นั่นคือเราจะต้องไม่เพิ่มเติมความเจ็บปวดให้กับท่านด้วยกับพฤติกรรมและคำพูดของเรา และจงอย่าทำให้พฤติกรรมต่างๆของตัวเราเองกลายเป็นอุปสรรคและปราการขวางกั้นการปรากฏกาย(ซุฮูร)ของท่าน บางทีด้วยกับการระวังรักษาสิ่งเหล่านี้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยตามขอบเขตที่เราสามารถกระทำได้ก็ตาม อาจจะทำให้เราได้เข้าอยู่ในกองทัพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือในภารกิจอันยิ่งใหญ่ของท่าน

 

ขอขอบคุณ เว็บไซต์เลิฟฮุเซน

 

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม