มิติแห่งความดีงามด้านบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

มิติแห่งความดีงามด้านบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

 

ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าได้กล่าวถึงบุคลิกภาพและสถานะทางจิตวิญญาณที่สูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(ซ.) แต่แม้ว่าปัญญามนุษย์จะถ่ายทอดความสูงส่งของนางในรูปของหนังสือหรือ

 

สุนทรพจน์ให้มากกว่านี้อีกสักร้อยสักพันเท่า ก็ยังเทียบได้เพียงหยดน้ำในมหาสมุทร ความดีงามของนาง[1] และถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะตีแผ่ทั้งหมด ก็ถือว่ายังดีที่ได้นำเสนอละอองความดีงามของนาง ณ ที่นี้ ดังที่นักกวีได้ประพันธ์ไว้ว่า

 

“แม้มิอาจดื่มทะเลให้เหือดแห้ง  อย่างน้อยขอจิบให้ได้แรงก็ยังดี”

 

เกี่ยวกับบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(ซ.) ปัญญาที่เฉียบแหลมที่สุดในหมู่มนุษยชาติก็ยังงุนงงกับความสูงส่งทางบุคลิกภาพ และหากต้องการจะเข้าใจบุคลิกภาพของนางอย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องน้อมรับฟังฮะดีษจากบรรดามะอ์ศูมีน(อ.)ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย

 

มีฮะดีษที่เชื่อถือได้หลายบทระบุว่า บุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เปรียบเสมือนแก่นแท้ของลัยละตุ้ลก็อดร์ (ค่ำคืนแห่งอานุภาพ)  เนื่องจากลัยละตุ้ลก็อดร์เป็นฐานรองรับการประทานพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่เป็นรูปเล่ม ส่วนท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นฐานรองรับการประทาน

อัลกุรอานที่พูดได้(บรรดาอิมาม) ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่พัฒนาถึงขีดสุดของความเป็นมนุษย์[2]

 

ฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)สูงส่งถึงขั้นที่ว่าความพึงพอใจและความกริ้วโกรธของนาง ถือเป็นมาตรวัดความพึงพอใจและความพิโรธของท่านนบี(ซ.ล.)และพระองค์ อัลลอฮ์

 

ดังที่มีฮะดีษระบุว่า

 

“ฟาฏิมะฮ์ คือ ส่วนหนึ่งของฉัน ผู้ใดที่ทำให้นางสุขใจ ถือว่าทำให้ฉันมีความสุขด้วย และผู้ที่ทำให้ฉันมีความสุข ย่อมทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัย ฟาฏิมะฮ์ คือ มนุษย์ที่ประเสริฐสุดในสายตาของฉัน”[3]

 

 อีกฮะดีษหนึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ระบุว่า "มัรยัมคือประมุขของสตรีในยุคของนาง ทว่าฟาฏิมะฮ์บุตรีของฉัน เป็นประมุขแห่งอิสตรีทั่วโลกนับแต่บรรพกาลจนถึงวันสิ้นโลก"[4]

 

 อีกฮะดีษกล่าวว่า "มีมะลาอิกะฮ์ตนหนึ่งได้แจ้งแก่ฉันว่า ฟาฏิมะฮ์(ซ.)คือประมุขแห่งสตรีชาวสวรรค์ และเลอเลิศที่สุดในหมู่อิสตรี" [5]

 

จะเห็นได้ว่าคุณงามความดีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์สูงส่งยิ่งกว่าท่านหญิงมัรยัมและสตรีที่ได้รับการยกย่องอย่างเช่นท่านหญิงอาซียะฮ์ เพราะเกียรติสูงสุดของท่านหญิงอาซียะฮ์คือการได้รับโอกาสในการช่วยทำคลอดท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[6]

 

ส่วนมิติทางด้านศีลธรรมจรรยาของท่านหญิงนั้น สังเกตุเห็นได้จากวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและสมถะ ทั้งที่สามารถจะได้รับความสะดวกสบายขั้นสูงสุด เนื่องจากนางมีฐานะเป็นธิดาของท่านนบี(ซ.ล.) ท่านนบี(ซ.ล.)ได้มอบที่ดินเกษตรกรรม"สวนฟะดัก"แก่นาง[7] ซึ่งทำรายได้ให้กับนางไม่น้อย นางสามารถจะหาซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างครบครันสำหรับครอบครัว แต่นางเลือกบริจาคผลกำไรทั้งหมดแก่ผู้ยากไร้ โดยตนเองก็ทนใช้ชีวิตอย่างสมถะต่อไป

 

มิติทางบุคลิกภาพอีกประการหนึ่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ก็คือ มิติแห่งการบริจาคและความเสียสละ ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวการบริจาคชุดเจ้าสาวของตนแก่หญิงชราผู้ยากไร้ในคืนวิวาห์ หรือเมื่อครั้งที่ได้บริจาคอาหารแก่ผู้ยากไร้ เด็กกำพร้า และเชลยศึก ทั้งๆที่ครอบครัวของนางไม่มีอาหารเพื่อละศีลอดเป็นเวลาสามคืนติดต่อกัน อันได้รับการตีแผ่ไว้ในซูเราะฮ์ อัดดะฮ์ริ (อัลอินซาน)

 

อีกมุมหนึ่งของคุณความดีของนาง ก็คือ การทำอิบาดะฮ์ ในเชิงปริมาณนั้น นางทำอิบาดะฮ์ในทุกย่างก้าว เพราะไม่ว่าพฤติกรรมหรือวจีกรรมของนาง ความเพียรพยายามของนาง ลมหายใจเข้าออกของนางทั้งวันและคืน ล้วนแล้วแต่เป็นอิบาดะฮ์ทั้งสิ้น[8] หลังจากที่ท่านหญิงนำลูกๆเข้านอนและทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจะทำนมาซตะฮัจญุดจนเท้าทั้งสองข้างบวมเป่ง [9]

 

อิบาดะฮ์ของเธอเปี่ยมสว่างไสวถึงขั้นที่มวลมะลาอิกะฮ์แปลกใจที่เห็นลำรัศมีส่องสว่างจากบ้านของท่านหญิง กระทั่งมลาอิกะฮ์ระดับสูงกว่าเจ็ดหมื่นตนพร้อมใจกันกล่าวสลามและอวยพรแด่ท่าน[10]

 

หนึ่งในความภาคภูมิใจของชีอะฮ์ อิมามียะฮ์ ก็คือ เศาะฮีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์  ซึ่งญิบรออีลได้ถ่ายทอดความรู้บางประการแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์[11]

 

ความเหนียมอายและจริตแห่งกุลสตรี นับเป็นอีกมิติหนึ่งของบุคลิกภาพอันงดงามของท่านหญิง ซึ่งควรได้รับการเชิดชูเป็นแบบอย่างสำหรับสตรีในสังคม

ในวันหนึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ได้เอ่ยถามบรรดาสาวก ว่า

 

"วิถีชีวิตแบบใดเหมาะสมที่สุดสำหรับสตรี?" ท่านซัลมาน (ซึ่งเป็นชายชรา) ไม่สามารถตอบได้ จึงมาเยี่ยมเยียนและสอบถามจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ นางตอบว่า "เหมาะสมที่สุดสำหรับสตรีคือ ไม่จ้องมองบุรุษเพศ และไม่ปล่อยให้บุรุษเพศจ้องมอง"[12]

 

ท้ายนี้ขอเน้นบุคลิกภาพของท่านหญิงที่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นแบบอย่าง นั่นคือ

 

ความกล้าหาญที่จะรักษาหลักวิลายะฮ์ (อำนาจ)และอิมามัต(ตำแหน่งผู้นำ) เห็นได้จากการที่ท่านหญิงสำแดงบทบาทดังกล่าวอย่างงดงามหมดจด หลังการจากไปของนบี(ซ็อลฯ)[13]

 

นางรู้จักผู้คนในยุคนั้นเป็นอย่างดี ทราบดีว่าคนในยุคนั้นไม่เข้าใจคำพูดของนาง อีกทั้งไม่อาจหาญพอที่จะช่วยเหลือนาง แต่นางประสงค์จะให้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้ชนรุ่นหลังได้ประจักษ์และแยกแยะสัจธรรมจากอธรรม  ดังที่กล่าวว่า

 

 "ฉันรู้ดีว่าพวกท่านตกอยู่ใต้อาณัติของความต้อยต่ำ พิษแห่งการนิ่งนอนใจได้ครอบคลุมพวกท่าน และเมฆแห่งความบิดพลิ้วที่ดำทะมึนได้ปกคลุมหัวใจพวกท่าน จะพูดอย่างไรได้ในเมื่อใจของฉันกระอักเลือด และไม่อาจเงียบเฉยได้อีกต่อไป"[14]

 

ตลอดเวลาที่เท่านหญิงต่อสู้ทางความคิดและตีแผ่ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ท่านหญิงไม่เคยท้อถอยยอมจำนน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มุสลิมทุกยุคสมัยได้เข้าใจว่า ไม่ควรอดรนทนดูการรุกรานทางความเชื่อโดยไม่ทำอะไร นางมิได้นิ่งนอนใจต่ออุตริกรรมและการบิดเบือนอิสลาม นางผงาดสู้และเปิดโปงอธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งนี้ก็เพราะหยั่งรู้มาจากการบอกเล่าของญิบรออีลว่า ในอนาคตจะมีผู้มีศักยภาพพอที่จะช่วยเชิดชูอิมามัต(ตำแหน่งผู้นำ)ให้รุ่งโรจน์ เมื่อนั้นจุดประสงค์ของการสรรสร้างมนุษย์ก็จะสัมฤทธิ์ผล[15]

 

 

 

อ้างอิง

 

[1] รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี, หน้า 21

 

[2] อ้างแล้ว, หน้า17

 

[3] อะมาลี, เชคฏูซี, เล่ม 1, หน้า 24

 

[4] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 43, หน้า 24, ฮะดีษที่ 20

 

[5] อะมาลี, เล่ม 1, หน้า 457 และ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์, หน้า 8 และ ฆอยะตุลมะรอม, หน้า 177 และ บิฮารุลอันวาร, เล่ม 43, หน้า 2

 

[6] อ้างแล้ว

 

[7] อัลกาฟี, เล่ม 1, หน้า 538, หมวด بَابُ الْفَیْ‏ءِ وَ الْأَنْفَالِ وَ تَفْسِیرِ الْخُمُسِ وَ حُدُودِهِ وَ مَا یَجِبُ فِیهِ

 

[8] อิห์กอกุลฮักก์, เล่ม 4, หน้า 481

 

[9] บิฮารุลอันวาร, เล่ม 42, หน้า 177

 

[10] อ้างแล้ว, เล่ม 43, หน้า 12, ฮะดีษที่ 6

 

[11] อ้างจากคำสั่งเสียทางการเมืองของอิมามโคมัยนี, เศาะฮีฟะฮ์นูร, เล่ม 21, หน้า 171, :

 เราภูมิใจที่ดุอา(คำวิงวอน)อันตรึงใจ ซึ่งขนานนามกันว่าอัลกุรอานที่เหินสู่เบื้องบนนั้น มาจากอิมามมะอ์ศูมีน (บรรดาผู้นำ ผู้บริสุทธิ์) ของเรา เราภูมิใจที่เรามีมุนาญาต ชะอ์บานียะฮ์ (บทวิงวอนประจำเดือนชะอ์บาน)จากบรรดาอิมาม และดุอาอะรอฟะฮ์จากอิมามฮุเซน และเศาะฮีฟะฮ์ ซัจญาดียะฮ์, ที่เปรียบดั่งคัมภีร์ซะบูรของวงศ์วานนบี และเศาะฮีฟะฮ์ ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมการดลใจท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โดยพระองค์

 

[12] วะซาอิลุชชีอะฮ์, เล่ม 14, หน้า 43,172 และ บิฮารุลอันวาร, เล่ม 43, หน้า 54

 

[13] รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี, หน้า 145

 

[14] กัชฟุลฆุมมะฮ์, เล่ม 1, หน้า 491 และ อัลอิห์ติญาจ, หน้า 102 และ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์, หน้า 37

 

[15] รินน้ำเกาษัรอันบริสุทธิ์, มุฮัมมัดตะกี มิศบาห์ ยัซดี, หน้า 149

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์อิสลามเควสท์