สุนทรพจน์ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ภาค 3 ตอนที่ 2

สุนทรพจน์ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ภาค 3 ตอนที่ 2

 

ในค่ำคืน “อาชูรอ”

 

      

    ช่วงเวลาใกล้ค่ำ (หรืออาจเป็นเวลาหลังนมาซมัฆริบ) ของวันตาซูอา หลังจากที่ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้รับการประวิงเวลาจากฝ่ายศัตรู ท่านยืนขึ้นท่ามกลางบนีฮาชิมและเหล่าซอฮาบะฮ์ของท่าน พร้อมกับกล่าวสุนทรพจน์ต่อไปนี้

 

          “ขอสรรเสริญต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ด้วยการสรรเสริญที่งดงามยิ่ง และขอขอบคุณต่อพระองค์ทั้งในยามสุขสบายและในยามทุกข์ยาก โอัอัลลอฮ์ แท้จริงข้าฯ ขอขอบคุณต่อพระองค์ที่ทรงให้เกียรติแก่ (ครอบครัว) ของเราด้วย (ตำแหน่งแห่ง) การเป็นศาสดา พระองค์ทรงสอนอัลกุรอานแก่เรา ทรงทำให้เรามีความเข้าใจในศาสนาอย่างถ่องแท้ และพระองค์ได้ทรงทำให้เรามีหู (ที่คอยรับฟังสัจธรรม) มีดวงตา (ที่คอยแสวงหาสัจธรรม) และมีหัวใจ (ที่ใสสะอาด) และพระองค์มิทรงทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ตั้งภาคี แท้จริงฉันไม่เชื่อว่าจะมีซอฮาบะฮ์กลุ่มใดที่เหนือกว่า และมีความดีงามยิ่งไปกว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ของฉัน และไม่มีครอบครัวใดที่จะมีคุณธรรมและมีใจเอื้ออารียิ่งไปกว่าครอบครัวของฉัน ดังนั้นขออัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงประทานความดีงามแก่พวกท่าน”

 

         

    ท่านกล่าวต่อไปว่า “ท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ตาของฉัน เคยบอกฉันว่า แท้จริงฉันจะถูกนำมายังแผ่นดินอิรัก และจะมาหยุดพัก ณ แผ่นดินที่มีชื่อว่า “อุมูร” และ “กัรบะลาอ์” และฉันจะเป็นชะฮีดลง ณ ที่นั้น บัดนี้กำหนดสัญญาดังกล่าวได้ใกล้เข้ามาแล้ว พึงสังวรณ์เถิด แท้จริงฉันคิดว่าวัน (สุดท้าย) ของเราที่จะเกิดขึ้นจากศัตรูคือวันรุ่งขึ้นนี้ และบัดนี้ฉันอนุญาตต่อพวกท่าน ให้พวกท่านจงเป็นอิสระ ไม่มีพันธะใดๆ จากฉันต่อพวกเจ้าอีกแล้ว ราตรีนี้กำลังปกคลุมพวกท่านอยู่ ดังนั้นจงยึดมันเป็นเสมือนอูฐ และพวกท่านจงจูงมือผู้หนึ่งจากครอบครัวของฉันออกไป ขออัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงตอบแทนความดีงามแก่พวกท่านทุกคน ท่านจงแยกย้ายไปยังแผ่นดินและบ้านเมืองของท่าน แท้จริงคนพวกนั้นต้องการเพียงตัวฉันเท่านั้น หากพวกเขาได้ตัวฉันไปแล้วเขาก็ไม่ใส่ใจต่อการตามล่าบุคคลอื่นนอกจากฉันอีก” (1)

 

การทดสอบครั้งสุดท้าย

 

         

    ตลอดระยะทางจากมะดีนะฮ์จนมาถึงแผ่นดินกัรบะลาอ์ ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้แจ้งให้ทุกคนได้รับรู้ถึงการเป็นชะฮีดของท่านในหลายวาระ ท่านเปิดโอกาสให้บรรดาซอฮาบะฮ์ผู้ติดตามท่านแยกย้ายกันกลับไป และได้ยกเลิกสัตยาบันจากพวกเขาทั้งหมด ในค่ำคืนแห่งอาชูรออันเป็นค่ำคืนสุดท้าย ท่านอิมาม (อ.) ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเสนออีกครั้งหนึ่งอย่างชัดเจนว่า “กำหนดเวลา (แห่งการเป็นชะฮีดของฉัน) ได้ใกล้เข้ามาแล้ว ฉันขอยกเลิกสัตยาบันจากพวกท่านทั้งหมด พวกท่านจงใช้ประโยชน์จากความมืดสนิทของยามค่ำคืน และจงมุ่งหน้าเดินทางกลับสู่บ้านเมืองของตน”

 

         

       คำเสนอแนะดังกล่าวนี้ แท้จริงแล้วก็คือการทดสอบครั้งสุดท้ายจากท่านอิมามฮูเซน (อ.) นั่นเอง และผลของการทดสอบครั้งนี้ก็คือปฏิกิริยาตรงกันข้ามของบรรดาซอฮาบะฮ์ผู้มีใจบริสุทธิ์ของท่าน ซึ่งแต่ละคนต่างก็ประกาศถึงความจงรักภักดีที่มีต่อท่านอิมาม (อ.) และการยืนหยัดต่อสู้อย่างมั่นคงของพวกเขาจวบจนเลือดหยดสุดท้าย ด้วยคำพูดต่างๆ และด้วยการแสดงออกดังกล่าวนี้เองที่พวกเขาสามารถผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้อย่างสมศักดิ์ศรีและน่าภาคภูมิใจ

 

          ต่อไปนี้เป็นคำตอบส่วนหนึ่งของบรรดาซอฮาบะฮ์ผู้ภักดี และสมาชิกในครอบครัวผู้ซื่อสัตย์และมีความจริงใจต่อท่านอิมาม (อ.)

 

         บุคคลแรกที่กล่าวขึ้นหลังจากรับฟังสุนทรพจน์ของท่านอิมาม (อ.) ได้แก่ อับบาส บินอะลี (อ.) หรือ (อบุลฟัฏล์) ผู้เป็นน้องชายของท่าน ที่ได้กล่าวว่า “ขออัลลอฮ์ (ซบ.) อย่าทรงทำให้เราได้พบกับสิ่งดังกล่าวนี้ตลอดไป” หมายความว่า ขออัลลอฮ์ (ซบ.) อย่าทรงทำให้วันนั้นมาถึง คือวันที่พวกเราจะละทิ้งท่านไว้ตามลำพังและหนีกลับบ้านเมืองของตน

 

    ต่อจากนั้นบุคคลอื่นๆ จากบนีฮาชิมต่างก็แจ้งให้ท่านอิมามรู้ถึงความรู้สึกของตน ด้วยเนื้อหาทำนองเดียวกัน เมื่อท่านอิมาม (อ.) มองไปยังลูกหลานของอะกีลท่านก็กล่าวว่า “การถูกสังหารของมุสลิมก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเจ้า จงกลับไปเถิด ฉันอนุญาตแล้ว” (2)

 

         

       พวกเขาตอบท่านอิมาม (อ.) ว่า “ถ้าเราทำเช่นนั้น ผู้คนจะกล่าวขานเช่นใด พวกเขาจะกล่าวกันว่า แท้จริงพวกเราได้ละทิ้งหัวหน้าและผู้นำของพวกเราเอง ไม่เลย ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเราจะไม่กระทำเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด ทว่าพวกเราจะขอยอมพลีชีวิต ทรัพย์สินและครอบครัวของพวกเรา และเราจะต่อสู้เคียงข้างท่านจนกระทั่งเราได้เข้าสู่สถานที่แห่งเดียวกับท่าน และอัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงรังเกียจการมีชีวิตอยู่หลังจากที่ท่านจากไป”

 

   

    อีกผู้หนึ่งที่ได้แสดงความรู้สึกออกมาคือ มุสลิม บินเอาว์ซะญะฮ์ โดยกล่าวว่า “จะให้พวกเราทอดทิ้งการช่วยเหลือท่านกระนั้นหรือ หากเราทำเช่นนั้นเราจะไปแก้ตัวต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ได้อย่างไรเล่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะไม่ขอแยกตัวไปจากท่านอย่างเด็ดขาด จนกว่าข้าพเจ้าจะได้ทะลวงอกของพวกเขาด้วยหอกของข้าพเจ้า และตราบใดที่ดาบยังคงอยู่ในมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขอฟาดฟันกับพวกเขาต่อไป และแม้ว่าจะไม่มีอาวุธใดๆ เลยในมือข้าพเจ้าที่จะใช้ต่อสู้กับพวกนั้น ข้าพเจ้าก็จะขอขว้างปาพวกเขาด้วยก้อนหินเพื่อ (ช่วยเหลือ) ท่าน จนกว่าข้าพเจ้าจะจบชีวิตลงร่วมกับท่าน”

 

    

          ซอฮาบะฮ์อีกผู้หนึ่งของท่านคือ ซะอีด บินอับดุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) เราจะไม่วางมือจากการช่วยเหลือท่านจนกว่าอัลลอฮ์ (ซบ.) จะทรงรับรู้ว่า แท้จริงพวกเราได้พิทักษ์สิทธิ์ของท่านศาสนทูตแล้วในสิ่งที่เกี่ยวกับตัวท่าน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ หากข้าพเจ้ารู้ว่าจะต้องถูกสังหาร หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่แล้วถูกเผาเป็นจุณ แม้ว่าพวกเขาจะทำกับข้าพเจ้าอย่างนั้นถึง 70 ครั้ง ข้าพเจ้าก็จะไม่ขอแยกตัวไปจากท่าน เพื่อการปกป้องท่าน ข้าพเจ้าจะไม่กระทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อการถูกสังหารนั้นมีเพียงครั้งเดียว แต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้นคือเกียรติยศที่ไม่มีวันสิ้นสุด”

 

    ซุเฮร บินกีน กล่าวขึ้นว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะถูกสังหาร แล้วถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ จากนั้นถูกสังหารอีกครั้ง แม้ว่าข้าพเจ้าจะถูกสังหารนับเป็นพันๆ ครั้ง โดยที่อัลลอฮ์ (ซบ.) จะทรงพิทักษ์ปกป้องชีวิตท่าน และบรรดาสตรีจากอะฮ์ลิลบัยต์ของท่าน ด้วยการถูกสังหารครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็ยินดี”

 

    ในขณะนั้นเองมีข่าวว่าบุตรของ มุฮัมมัด บินบะชีร อัฏรอมีย์ (ซอฮาบะฮ์คนหนึ่งของท่าน) ถูกจับเป็นเชลยได้มาถึงท่านอิมาม (อ.) ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้านั้นเป็นอิสระแล้ว จงไปเถิด และจงพยายามหาทางปลดปล่อยลูกชายของเจ้าให้ได้”

 

         มุฮัมมัด บินบะชีร กล่าวแก่ท่านอิมาม (อ.) ว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด” เขากล่าวเสริมอีกว่า “ขอให้บรรดาสัตว์ร้ายจงกัดกินข้าพเจ้าทั้งเป็นหากข้าพเจ้าละทิ้งท่านไป”

 

      

   ท่านอิมาม (อ.) จึงมอบเสื้อผ้าที่มีค่าให้กับเขา เพื่อที่เขาจะได้มอบหมายให้บุคคลอื่นที่สามารถไถ่ตัวลูกของเขาได้ด้วยเสื้อผ้าเหล่านั้น (3)

 

        

  เมื่อท่านอิมามฮูเซน (อ.) เห็นปฏิกิริยาของบนีฮาชิมและซอฮาบะฮ์ของท่าน พร้อมทั้งได้รับฟังคำพูดต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจและการตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ และแสดงให้เห็นความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อความเป็นผู้นำของท่าน ท่านจึงได้ขอดุอาอ์ให้กับพวกเขาว่า “ขออัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงตอบแทนความดีงามแก่พวกเจ้า” พร้อมกับกล่าวอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า “แท้จริงพรุ่งนี้ฉันจะถูกสังหาร และพวกเจ้าทุกคนก็จะต้องถูกสังหารพร้อมกับฉัน ไม่มีใครเลยที่จะรอดชีวิตไปได้แม้กระทั้งกอเซ็ม และอับดุลลอฮ์ทารกน้อยที่ยังไม่หย่านม” (4)

 

         

   เมื่อบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านได้ยินเช่นนั้นต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราขอขอบคุณต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงให้เกียรติเราในการช่วยเหลือท่าน และพระองค์จะทรงทำให้พวกเรามีเกียรติ์และศักดิ์ศรีด้วยการถูกสังหารเคียงข้างท่าน โอ้บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ พวกเราจะไม่ปีติยินดีได้อย่างไรเล่า กับการที่จะได้อยู่ร่วมกับท่านในสรวงสวรรค์”

 

          

    ตามรายงานของท่านรอวันดีย์ในหนังสือ “อัลคอรออิจญ์” ปรากฏว่า จากนั้นท่านอิมาม (อ.) ได้เปิดม่านดวงตาของพวกเขา และทำให้พวกเขาได้เห็นสถานที่อยู่และสิ่งอำนวยความสุขของพวกเขาที่ถูกเตรียมไว้แล้วสำหรับพวกเขาในสวรรค์ (5)

 

คำร่ำลือที่ปราศจากความจริง

 

         

    นี่คือฉากหนึ่งของค่ำคืนแห่งอาชูรอ เป็นสุนทรพจน์ที่ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้กล่าวยกย่องและเทิดเกียรติบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่าน และคำตอบอันกล้าหาญของซอฮาบะฮ์ของท่าน

 

         

    ทว่ามีหนังสือบางเล่มอ้างรายงานจากท่านหญิงซะกีนะฮ์ บุตรีของท่านอิมามฮูเซน (อ.) เกี่ยวกับปฏิกิริยาของซอฮาบะฮ์ของท่านอิมาม (อ.) ในค่ำคืนแห่งอาชูรอ อันเป็นเรื่องราวที่รู้จักกันดีและนำมาอ้างถึงอยู่เสมอในหมู่นักพูดและนักประวัติศาสตร์ แต่ตามทัศนะของเราและเนื้อหาของประวัติศาสตร์แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ค้านกับความเป็นจริง เนื้อหาโดยสรุปของประเด็นดังกล่าวมีอยู่ว่า ท่านหญิงซะกีนะฮ์ บุตรีของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้เล่าว่า “ขณะที่ฉันนั่งอยู่ในค่ายพัก บิดาของฉันแจ้งให้รับรู้ถึงการที่ท่านจะเป็นชะฮาดัต และขอให้พวกเขาใช้ประโยชน์จากความมืดของราตรีมุ่งหน้าสู่บ้านเมืองของตน ขณะที่คำพูดของท่านยังมิทันจะสิ้นสุด บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านต่างก็แยกย้ายกันออกไปทีละสิบคน ยี่สิบคน จนในที่สุดคงเหลืออยู่เพียงเจ็ดสิบกว่าคนเท่านั้น”

 

 จากหลักฐานบางอย่างแสดงให้เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวที่เกี่ยวกับค่ำคืนแห่งอาชูรอ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะ ในตัวบทและแหล่งอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ไม่มีประเด็นดังกล่าวปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ทว่าประเด็นดังกล่าวนี้จะถูกอ้างไว้ในตัวบทและหนังสือในระดับ 3 หรือ 4 เช่น “นาซิคุตตะวารีด” ซึ่งบันทึกไว้โดยปราศจากการอ้างถึงแหล่งที่มา และหนังสือ “มะอาลิซซิบฏอยน์” โดยอ้างอิมามจากหนังสือ “นูรุลอัยน์” (6) และอื่นๆ

 

    ประเด็นดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับหลักฐานที่เคยอ้างจากท่านเชคมุฟีด และท่านฏ็อบรีย์ ซึ่งทั้งสองได้กล่าวว่า “บุคคลที่ได้ร่วมเดินทางมากับท่านอิมามโดยมีความมุ่งหวังในผลประโยชน์ทางด้านวัตถุ ก็ได้พากันแยกย้ายและเลิกล้มความตั้งใจที่จะร่วมเดินทางต่อไปกับท่านอิมาม ด้วยคำประกาศยกเลิกสัตยาบันจากท่านอิมาม ณ ตำบลซะบาละฮ์ ยกเว้นผู้ที่ตัดสินใจที่จะพิทักษ์ปกป้องท่านตราบจนลมหายใจสุดท้าย”

   เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนจำนวนมากที่ได้พากันแยกย้ายออกไปทีละสิบ ยี่สิบคนในค่ำคืนแห่งอาชูรอนั้น มาจากไหนกันเล่า

 

ข้อสนับสนุน

 

       

     ข้อสนับสนุนทัศนะดังกล่าวนี้ คือคำพูดของท่านอัรฮูม “ฏ็อบรีย์” ซึ่งหลังจากจบรายงานการบันทึกสุนทรพจน์ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ที่ได้กล่าวแสดงต่อบรรดาสาวกของท่าน ประกอบกับการอนุญาตให้พวกเขาแยกย้ายกันกลับไป และรายงานการบันทึกคำตอบของซอฮาบะฮ์ (สาวก) จำนวนหนึ่งที่กล่าวตอบท่านอิมามดังที่อ้างมาข้างต้นแล้ว ท่านได้เขียนต่อไปว่า “จากนั้นท่านอิมามฮูเซน (อ.) ขอต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ให้ทรงตอบแทนความดีงามแก่พวกเขา และท่านก็แยกตัวกลับไปยังค่ายพักของท่าน” (7)

 

         

       หากหลักฐานที่แสดงว่าสาวกจำนวนหนึ่งของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้แยกย้ายกันกลับไป ในค่ำคืนอาชูรอเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แน่นอนท่านอัรฮูมฏ็อบรีย์จะต้องบันทึกไว้ หรือไม่ก็ต้องชี้แจงในเรื่องนี้บ้าง แต่ดังที่เราได้คัดลอกมานี้ไม่มีคำพูดดังกล่าวปรากฏอยู่เลย

 

     อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ว่า เรื่องที่รายงานมาจากท่านหญิงซะกีนะฮ์ บุตรีของท่านอิมามฮูเซน (อ.) คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตำบลซะลาบะฮ์นั่นเอง ดังจะเห็นได้ว่า ในคำพูดของท่านหญิงไม่มีส่วนใดที่แสดงว่าเป็นค่ำคืนแห่งอาชูรอเลย แต่เป็นคำพูดที่บอกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนหนึ่งเท่านั้น (8) เพียงแต่นักเขียนและนักพูดบางท่านเข้าใจกันไปเองว่าค่ำคืนหนึ่งนั้นคือค่ำคืนแห่งอาชูรอ โดยลืมสถานที่หยุดพักซึ่งคือ “ตำบลซะบาละฮ์” เสียสนิท

 

สุนทรพจน์ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) อีกครั้งหนึ่งที่แสดงถึงความกล้าหาญของท่าน

 

        

          ท่านมัรฮูมมุรอกกอม อ้างรายงานไว้ว่า ในค่ำคืนอาชูรอ ภายใต้ความมืดสนิท ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้เดินวนเวียนไปรอบๆ ค่ายพักของท่าน นาเฟียะฮ์ บินฮิลาล ซึ่งเป็นซอฮาบะฮ์ผู้หนึ่งของท่านได้เข้าไปหาท่าน และถามสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องออกมานอกเขตค่ายพัก และยังกล่าวอีกว่า “โอ้บุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ การที่ท่านออกมาสู่ค่ายทหารของพวกทรราชย์นี้ ทำให้ข้าพเจ้ากังวลใจเป็นอย่างมาก”

 

          ท่านอิมาม (อ.) กล่าวตอบเขาว่า “แท้จริงฉันออกมาเพื่อตรวจดูที่ลาดและเนินสูง ทั้งนี้เนื่องจากเกรงว่า มันจะกลายเป็นสถานที่หลบซ่อน (ของฝ่ายศัตรู) ในการจู่โจมด้วยม้าศึก ในวันที่พวกเจ้าและพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากัน”

 

      จากนั้นท่านอิมาม (อ.) กล่าวกับนะเฟียะฮ์ ขณะที่ท่านจับมือของไว้ว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ค่ำคืนนี้แหละคือสัญญาหนึ่งที่ไม่มีการบิดพลิ้วใดๆ อีกแล้ว” จากนั้นท่านชี้ไปยังทิวเขาที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกลภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน พร้อมกับกล่าวกับนาเฟี๊ยะฮ์ว่า “เจ้าจะไม่เลือกเดินทางออกไปในระหว่างเขาสองลูกนี้ดอกหรือ ท่ามกลางความมืด เพื่อชีวิตของเจ้าจะได้รอดพ้นจากความตาย”

 

         

     นาเฟี๊ยะฮ์ บินฮิลาล ทรุดกายลงแทบเท้าของท่านอิมาม (อ.) และจูบเท้าทั้งสองของท่านพร้อมกับกล่าวว่า “มารดาของข้าพเจ้าจะต้องร่ำไห้ต่อข้าพเจ้า แท้จริงดาบของข้าพเจ้านั้นได้แลกซื้อมาด้วยเงินจำนวนหนึ่งพันดิรฮัม และม้าศึกของข้าพเจ้าก็เช่นกัน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ผู้ซึ่งมีพระกรุณาธิคุณต่อข้าพเจ้าโดยผ่านท่าน ข้าพเจ้าจะไม่แยกตัวไปจากท่านอย่างเด็ดขาด จนกว่าดาบของข้าพเจ้าจะหมดคม และม้าศึกของข้าพเจ้าจะอ่อนแรงลง”

 

          มุรอกกอม อ้างรายงานจากนาเฟี๊ยะฮ์ บินฮิลาล (9) ว่า หลังจากการตรวจตราความปลอดภัยรอบๆค่ายแล้ว ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ก็กลับเข้าสู่ค่ายพัก ท่านได้เข้าไปในค่ายพักของท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ส่วนฉันยืนคุ้มกันท่านอยู่นอกค่าย ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้กล่าวขึ้นว่า “โอ้พี่ชาย ท่านสอบถามบรรดาสาวกของท่านแล้วหรือยังถึงเจตนาของพวกเขา เพราะข้าพเจ้าหวั่นกลัวเหลือเกินว่า พวกเขาจะทอดทิ้งท่านในยามที่ท่านถูกจู่โจม”

 

          ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ แน่นอนฉันได้ทดสอบพวกเขาแล้ว และฉันมิได้เห็นสิ่งใดในตัวพวกเขานอกจากความเป็นผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ซึ่งพวกเขามีความหลงใหลต่อความตายเคียงข้างฉัน ประดุจดังความหลงใหลของทารกที่มีต่อน้ำนมของมารดา” (10)

 

         

   นาเฟี๊ยะฮ์ กล่าวว่า เมื่อฉันได้ยินการสนทนาดังกล่าว ฉันก็ร้องไห้และไปหาฮะบีบ บินมะศอฮิร และเล่าเรื่องที่ฉันได้ยินจากการสนทนาของท่านและน้องสาวของท่าน

 

         

          ฮะบีบ บินมะศอฮิร ได้กล่าวขึ้นว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ หากว่าฉันมิต้องรอคำสั่งจากท่านอิมามแล้ว ฉันจะจู่โจมเหล่าศัตรูในค่ำคืนนี้เสียเลย” ฉันจึงกล่าวว่า “ฉันเพิ่งแยกตัวมาจากท่าน จากค่ายพักของน้องสาวท่าน และฉันคิดว่าบางทีบรรดาสตรีต่างก็มีส่วนร่วมในความโศกเศร้าครั้งนี้พร้อมกับท่านหญิง คงจะเป็นการดีหากท่านจะรวบรวมสหายของท่านและไปพบกับพวกนาง พร้อมกับคำพูดที่จะช่วยปลอบใจพวกนางได้”

 

          ฮะบีบได้เรียกบรรดาสาวกของท่านอิมาม (อ.) ซึ่งอยู่ตามค่ายพักด้วยเสียงอันดัง ทั้งหมดก็ต่างทยอยออมาจากค่ายพัก ฮะบีบกล่าวแก่บนีฮาชิมก่อนว่า “พวกท่านจงกลับไปยังที่พักของพวกท่านเถิด จงอย่าทำให้ดวงตาของพวกท่านต้องอดหลับอดนอนเลย”

 

จากนั้นเขาได้นำคำพูดของนาเฟียะฮ์มาเล่าแก่บุคคลอื่นฟัง ทุกคนต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ผู้ซึ่งทรงกรุณาธิคุณเหนือพวกเราต่อจุดยืนดังกล่าวนี้ หากพวกเรามิได้รอคำสั่งจากท่านอิมามแล้ว เราจะโจมตีพวกเขาด้วยดาบของเราตั้งแต่บัดนี้เลยทีเดียว (โอ้ฮะบีบเอ๋ย) หัวใจของท่านจงสงบมั่น และดวงตาของท่านจงชื่นฉ่ำเถิด”

 

         

   นอกจากจะขอดุอาอ์ให้แก่พวกเขาแล้ว ฮะบีบได้กล่าวเสนอแนะว่า “จงมากับฉันเถิด เราจะไปพบกับบรรดาสตรีเหล่านั้นและจะได้กล่าวปลอบใจพวกนาง”

 

          

       เมื่อพวกเขามาถึงค่ายพัก ฮะบีบกล่าวกับสตรีแห่งบนีฮาชิมว่า “โอ้สตรีแห่งท่านศาสนทูต นี่คือคมดาบของบุรุษของพวกท่าน ซึ่งพวกเขาได้สาบานแล้วว่าจะไม่ใส่มันกลับเข้าฝัก นอกจากจะอยู่บนต้นคอของผู้ที่คิดร้ายต่อพวกท่าน และหอกทั้งหลายของบรรดาผู้รับใช้ของพวกท่าน พวกเขาก็ได้สาบานแล้วว่าจะไม่พุ่งมันไปที่อื่นใดนอกจากบนอกของศัตรูของพวกท่าน”

 

         

     สตรีผู้หนึ่ง กล่าวตอบว่า “โอ้เหล่าบุรุษผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ท่านจงพิทักษ์ปกป้องบรรดาบุตรีของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ และสตรีของท่านอมีรุลมุอ์มีนีน (อ.) เถิด” เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นบรรดาบุรุษก็ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปสู่ที่พักของตน

 

         

          นี่คือความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอีกประการหนึ่ง ของบรรดาซอฮาบะฮ์และผู้ร่วมติดตามของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ซึ่งพวกท่านได้รับฟังจากคำพูดของท่านอิมามเอง และนี่คือคำพูดของนาเฟี๊ยะฮ์ บินฮิลาลและสาวกคนอื่นๆ ของท่านในค่ำคืนแห่งอาชูรอ “ขอยอมพลีบิดาและมารดาของข้าพเจ้าเพื่อพวกท่าน พวกท่านเป็นผู้ที่ได้รับความบริสุทธิ์ และแผ่นดินซึ่งพวกท่านได้ถูกฝังร่างไว้นั้นก็บริสุทธิ์ และพวกท่านนั้นได้ประสบชัยชนะอันยิ่งใหญ่แล้ว”

 

 

บทกวีและคำสั่งเสียของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ที่มีต่อบรรดาสตรีและภรรยาของท่าน ในค่ำคืนอาชูรอ

 

        

       มีรายงานจากท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน (อ.) ว่า ในคืนอาชูรอ บิดาของฉันนั่งอยู่กับสาวกของท่านจำนวนหนึ่งภายในค่ายพัก และญูน คนรับใช้ของอบูซัร ฆ็อฟฟารีย์ ที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมและลับคมดาบของท่าน ท่าน (อ.) รำพันบทกวีขึ้นมาบทหนึ่งว่า

 

          “กาลเวลาเอ๋ย…ความเป็นมิตรของเจ้านั้นช่างเลวร้ายเหลือ

 

เจ้าได้เข่นฆ่ามิตรแท้และผู้แสวงหาไปเท่าใดแล้ว

 

ตั้งแต่อรุณรุ่งจนพลบค่ำ

 

สิ่งใดก็ไม่อาจทดแทนได้เพียงพอสำหรับเจ้า

 

แท้จริงทุกกิจการย่อมกลับคืนสู่พระองค์

 

และทุกชีวิตย่อมเป็นไปตามหนทางของมัน”

 

         

    ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน (อ.) กล่าวว่า “เมื่อฉันได้ยินบทกวีนั้น ฉันก็เข้าใจถึงเจตนาของบิดาของฉันทันที นั่นหมายถึงการแจ้งข่าวการตาย และเป็นการประกาศการเป็นชะฮีดของท่าน น้ำตาได้ไหลเอ่อดวงตาของฉัน แต่ฉันก็พยายามอดกลั้นมิให้ร้องไห้ ส่วนท่านหญิงซัยนับ (อ.) อาของฉันที่นั่งดูอยู่ข้างที่นอนของฉัน เมื่อท่านได้ยินบทกวีนั้น ประกอบกับที่ท่านเห็นบรรดาสาวกแยกย้ายกันกลับไป ท่านจึงกลับมายังค่ายพักเช่นกัน แล้วกล่าวว่า อนิจจา ทำไมความตายจึงไม่พรากชีวิตไปจากฉันเสีย วันนี้ (เป็นเสมือนวันที่) ฟาฏิมะฮ์ผู้เป็นมารดาของฉัน อะลีบิดาของฉัน และฮาซันพี่ชายของฉันได้ตายจากฉันไป โอ้ผู้สืบทอดบรรพชน โอ้ผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ (ท่านจะจากพวกเราไปอีกคนหนึ่งกระนั้นหรือ)”

 

         

           ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ปลอบประโลมท่านหญิงซัยนับ (อ.) และขอให้ท่านได้มีความอดทนว่า “โอ้น้องรัก จงอดทนด้วยความอดทนแห่งอัลลอฮ์ (ซบ.) เถิด และพึงรู้ไว้ว่า แท้จริงมนุษย์โลกทุกคนจะต้องพบกับความตาย แม้แต่ชาวฟ้าก็มิอาจจะเหลืออยู่ได้เช่นกัน แท้จริงสรรพสิ่งย่อมสิ้นสลายเว้นแต่เพียงพระพักตร์ของอัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงสร้างโลกนี้ด้วยอำนาจของพระองค์ พระองค์จะเป็นผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายฟื้นคืนชีพ เพื่อพวกเขาจะได้มีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เท่านั้นที่ทรงดำรงอยู่โดยพระองค์เอง บิดาของฉันนั้นประเสริฐกว่าฉัน มารดาของฉันก็ประเสริฐกว่าฉัน และพี่ชายของฉันก็ประเสริฐกว่าฉันเช่นกัน (แต่บุคคลเหล่านั้นก็จากโลกนี้ไปแล้ว) เป็นหน้าที่สำหรับฉันและบุคคลเหล่านั้น รวมไปถึงมุสลิมทุกคนที่จะต้องยึดถือท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซบ.) เป็นแบบฉบับ”

 

         

        ท่านกล่าวต่อไปว่า “น้องรัก อุมมุกุลษูม ฟาฏิมะฮ์ รุบาบ จงใคร่ครวญ เมื่อใดก็ตามที่ฉันถูกสังหาร ขอพวกเจ้าอย่าได้ฉีกเสื้อผ้า อย่าได้ขีดข่วนหน้าตา และอย่าพร่ำเพ้อใดๆ ทั้งสิ้น” (11)

 

การอ่านอัลกุรอานของท่านอิมาม (อ.) ในคืนอาชูรอ

 

          

   ในค่ำคืนอาชูรอ ณ ค่ายพักของท่านอิมามฮูเซน (อ) มีความเคลื่อนไหวมากผิดปกติ บางคนในค่ายก็ตระเตรียมอาวุธ บางคนก็ดื่มด่ำอยู่กับการทำอิบาดะฮ์และขอพรจากผู้อภิบาลของเขา บางคนก็ซาบซึ้งอยู่กับการอ่านอัลกุรอาน “เสียงพึมพำประดุจดังเสียงอื้ออึงของฝูงผึ้งเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา บ้างก็ยืน บ้างก็นั่ง บ้างก็รุกุอ์ และบ้างก็ซุญูด”

 

         

    มีรายงานจากเฎาะอ์ฮาก บินอับดุลลอฮ์ว่า ในค่ำคืนนั้นจะมีม้าศึกของฝ่ายศัตรูที่ถูกส่งมาจากอุมัร บินซะอ์ดิ เป็นระยะๆ เพื่อตรวจตราดูทางด้านหลังค่ายพักของท่านอิมามฮูเซน (อ.) เพื่อสังเกตการณ์ความเป็นไปภายในค่าย พวกเขาบางคนก็ได้ยินเสียงของท่านอิมามที่กำลังอ่านอัลกุรอานโองการต่อไปนี้

 

“และบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย อย่าได้คิดว่า การที่เราได้ประวิงเวลาแก่พวกเขานั้นจะเป็นความดีงานสำหรับพวกเขา อันที่จริงเราประวิงเวลาให้พวกเขาก็เพื่อให้พวกเขาเพิ่มพูนความบาป และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันอัปยศยิ่ง มิใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงทอดทิ้งบรรดาผู้มีศรัทธาให้ประสบกับภาวะที่พวกเจ้ากำลังประสบอยู่ จนกว่าพระองค์จะทรงแยกแยะสิ่งโสมมออกจากสิ่งที่ดีงาม” (12)

 

         

 เมื่อบุรุษผู้นั้นได้ยินโองการข้างต้น เขาก็กล่าวทันทีว่า “ขอสาบานต่อผู้อภิบาลแห่งกะอ์บะฮ์ พวกเราคือบุคคลที่ดีงาม ซึ่งได้ถูกแยกแยะจากพวกเจ้าแล้ว”

 

         

   บุรอยร์ บินฮะฏิร ก้าวออกมานอกค่ายพักและกล่าวตอบไปว่า “เจ้าคนชั่วช้า เจ้านั้นหรือที่อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงกำหนดให้อยู่ในหมู่ผู้ที่ดีงาม จงสารภาพผิดจากบาปอันใหญ่หลวงของเจ้าต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) เสียเถิด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเราต่างหากเล่าคือกลุ่มบุคคลที่ดีงาม ส่วนพวกเจ้าคือพวกโสมม” ชายผู้นั้นกล่าวในเชิงเย้ยหยันว่า “และฉันคือผู้หนึ่งจากบรรดาสักขีพยานในสิ่งนั้น”

 

เวทีแห่งการทดสอบ

 

         

       ในคืนอาชูรอ และในสถานการณ์เช่นนั้น ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ต้องการจะบรรยายให้เห็นถึงสถานภาพของบุคคลสองกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ โดยการเลือกเอาโองการอัลกุรอานสองโองการนี้ขึ้นมา ซึ่งโองการแรกแสดงให้เห็นถึงปรัชญาที่เหนือกว่าในทางรูปธรรมของผู้อธรรมและฉ้อฉล ซึ่งโองการดังกล่าวต้องการจะชี้ให้เห็นว่า อย่าได้ปล่อยให้ความเหนือกว่าในทางรูปธรรม เป็นสาเหตุทำให้ผู้ศรัทธาเกิดความไม่สบายใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะแท้จริงแล้วชัยชนะและความเหนือกว่าดังกล่าวนั้นเป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น และเป็นการประวิงเวลาจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ผู้อธรรมเหล่านั้นจะได้ก้าวลึกลงสู่ความชั่วร้ายและความผิดบาปมากขึ้น และพวกเขาจะได้จมปลักอยู่ในสิ่งนั้นตลอดไป หากการตีความไม่ผิดพลาด ก็อาจกล่าวได้ว่า การประวิงเวลาเช่นนี้ คือกลลวงสำหรับพวกเขานั่นเอง

 

         

 ทุกคนทุกกลุ่มและทุกระบบการปกครองที่มีรูปแบบแห่งการกดขี่ ซึ่งได้ถูกประวิงเวลาให้ในลักษณะเช่นนี้ จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเตรียมตนให้พร้อมไว้สำหรับวันหนึ่ง ซึ่งการลงโทษอันแสนเจ็บปวดที่สุด และเป็นสิ่งที่น่าอัปยศที่สุดจากพระผู้เป็นเจ้า ที่จะมาประสบกับพวกเขา

 

         

    ส่วนโองการที่สองนั้น เกี่ยวข้องกับผู้ศรัทธา โดยกล่าวว่า หากช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง พวกเขาต้องประสบกับความทุกข์ยากและความแร้นแค้นนานับปการ และจากภาพภายนอกที่ปรากฏนั้น พวกเขาได้เผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้และความสูญเสียแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่การทดสอบเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อที่ว่าบรรดาผู้บริสุทธิ์และทรงคุณธรรม จะได้ถูกจำแนกออกจากบรรดากลุ่มชนที่สกปรกโสมมและเลวร้าย

 

         

  ประเด็นดังกล่าวมิได้ถูกจำกัดอยู่แต่เพียงฉากแห่งอาชูรอ หรือสนามทดสอบแห่งกัรบะลาอ์เท่านั้น แต่ทว่าทุกยุคสมัยและทุกหนทุกแห่งบนโลกนี้ ก็คือสนามแห่งการทดสอบสำหรับมนุษยชาติทั้งมวล ดังคำกล่าวที่ว่า “ทุกๆ วันคืออาชูรอ และทุกๆ แผ่นดินคือกัรบะลาอ์”

 

ความฝันของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ในคืนอาชูรอ

 

            

          ผู้เขียน “นัฟซุลมะฮ์มูม” อ้างรายงานจากท่านมัรฮูมศุดูก (รฎ.) ว่า ในช่วงเวลาใกล้รุ่งของวันอาชูรอ ท่านอิมามฮูเซน (อ.) เคลิ้มหลับไป เมื่อท่านตื่นขึ้นมาท่านกล่าวแก่บรรดาสาวกของท่านว่า “ฉันฝันเห็นคล้ายกับว่า สุนัขฝูงหนึ่งจู่โจมเข้ามาหาฉันอย่างมุ่งร้าย พวกมันได้รุมขย้ำฉัน ในฝูงสุนัขนั้นมีตัวหนึ่งสีดำปนขาวที่ดุร้ายที่สุด ฉันคิดว่าผู้ที่รับหน้าที่สังหารฉันนั้นเป็นผู้ที่จะประสบกับโรคเรื้อน”

 

         

    ท่านอิมาม (อ.) กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า หลังจากนั้นฉันเห็นท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) พร้อมด้วยซอฮาบะฮ์ของท่านกลุ่มหนึ่ง ท่านกล่าวแก่ฉันว่า “เจ้าคือชะฮีดของประชาชาตินี้ บรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและผู้ที่อยู่ ณ บัลลังก์อันสูงส่งต่างปีติยินดีต่อ (การมา) ของเจ้า ในค่ำคืนนี้จงมาร่วมละศีลอดกับฉัน รีบมาเถิดอย่ามัวรอช้าอยู่เลย และนี้คือทูตผู้หนึ่งที่ได้ลงมาจากฟากฟ้า เพื่อที่จะรวบรวมเลือดของเจ้าไว้ในขวดแก้วสีเขียว นี่คือสิ่งที่ฉันได้ฝันเห็นเมื่อครู่นี้เอง และการเดินทางจากโลกนี้ไปนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ไม่มีข้อคลางแคลงใดๆ อีกต่อไป” (13)

 

การจินตนาการด้วยความฝัน

 

         

     เหตุการณ์ที่ถูกกำหนดว่าจะต้องเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นานนี้ ได้ถูกนำมาแสดงให้ท่านอิมามได้เห็นในความฝัน และท่านก็นำมาเล่าสู่บรรดาสาวกผู้จงรักภักดีต่อท่าน เพื่อที่ว่าจะไม่มีสิ่งใดถูกปิดบังอำพรางไปจากพวกเขา การเป็นชะฮีดในวันรุ่งขึ้นนั้น ลักษณะของผู้ฆ่าและการประสบโรคเรื้อนของเขาที่ปรากฏในความฝันว่าเป็นสุนัขสีดำปนขาว การเป็นแขกของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซบ.) การรอคอยต้อนรับวิญญาณอันบริสุทธิ์ของชะฮีดผู้ยิ่งใหญ่จากบรรดาทูตสวรรค์ และการเก็บรักษาเลือดอันบริสุทธิ์ไว้ เลือดที่จะคอยชุบชะโลมดวงใจของบรรดาสหายและมิตรแท้ของท่านให้รุ่มร้อนอยู่เป็นนิรันดร์ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ถูกแสดงให้เห็นในความฝันดังกล่าว มันคือสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่า “วันอาชูรอมาถึงแล้ว”

 

 

 

เชิงอรรถ :

 

(1) ตารีกฏ็อบรีย์ เล่ม 7 หน้า 321-322 ; กามิล อิบนิอะซีร เล่ม 3 หน้า 285 ; อิรชาด เชคมุฟีด หน้า 231 ; อัลลุฮูฟ หน้า 79 ; มักตัล คอวาริซมีย์ เล่ม 1 หน้า 243

(2) อ้างอิงเล่มเดิม

(3) หนังสือของฏ็อบรีย์ เล่ม 4 หน้า 381 ; กามิล เล่ม 3 เล่ม 3 หน้า 275 ; อิรชาด เชคมุฟีด หน้า 321 ; อะอ์ลามุลวะรอ หน้า 235 ; ลุฮูฟ หน้า 81 และมักตัล คอวิซมี เล่ม 1 หน้า 247

(4) ในหนังสือ “นัฟซุลมะฮ์มูท”

(5) มักตัล มุกอรรอม หน้า 258

(6) ในหนังสือ “อัซซะรีอะฮ์” อ้างว่า หนังสือทั้งสองเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ในประเทศอินเดีย ผู้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเป็นนักเขียนร่วมสมัย ส่วนอีกผู้หนึ่งไม่เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตามหนังสือดังกล่าว (มะอาลิซ ซิบฏอยน์) โดยตัวของมันเองแล้วไม่อาจนับได้ว่าเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้เลย

(7) อะอ์ลามุลวะรอ หน้า 236

(8) มะอาลิซ ซิบฏอยน์

(9) นาเฟี๊ยะฮ์ บินฮิลาล สาวกท่านหนึ่งของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ต้องนอนจมกองเลือดอยู่ท่ามกลางร่างที่ไร้วิญญาณจำนวนมาก หลังจากนั้นเขาได้ตกเป็นเชลยและถูกนำตัวไปยังเมืองกูฟะฮ์ เขารายงานเหตุการณ์บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาชูรอ ซึ่งส่วนหนึ่งคือประเด็นที่กำลังกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง

(10) คำพูดและเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ถูกคัดลอกมาจากหนังสือมักตัลของมัรฮูมมุรอกกอม หน้า 262

(11) อันซาบุล อัชรอฟ เล่ม 3 หน้า 185 ; ฏ็อบรีย์ เล่ม 7 หน้า 324 ; กามิล เล่ม 3 หน้า 275 ; อิรชาร เชคมุฟีด หน้า 232 ; มักตัล คอวาริซมีย์ เล่ม 1 หน้า 328 ; ตารีค ยะอ์กูบีย์ เล่ม 2 หน้า 244 ; อักบาร ซัยนะบียาต ของอะบีดลีย์ เสียชีวิตในปี 277

(12) บทอาลิอิมรอน โองการที่ 178-179

(13) มักตัล คอวาริซมีย์ เล่ม 1 หน้า 252 ; นัฟซุลมะฮ์มูม หน้า 125

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์ซอฮิบซะมาน