จอมราชันย์แห่งโคราซาน จักรพรรดิแห่งอาหรับและอะญัม (ตอนที่ 2)

จอมราชันย์แห่งโคราซาน จักรพรรดิแห่งอาหรับและอะญัม (ตอนที่ 2)

 

ทำไมท่านอิมามฮูเซน(อ)ไม่เลือกที่จะเป็นชะฮีดในนครมะดีนะฮฺ ? ทำไมท่านอิมามฮูเซน(อ) ไม่เลือกที่จะเป็นชะฮีดที่นครมักกะฮฺ ? เพราะเป้าหมายแห่งการเป็นชะฮีดที่สูงสุดคือต้องเป็นชะฮีดที่แผ่นดิน “กัรบาลาอฺ”เท่านั้น

 

อะอิมมะฮฺ(อ) ส่วนมากก็จะเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านอิมามฮาซัน อัลมุจฺตาบา(อ) ไม่รบให้เป็นชะฮีดไปเลย ? ทำไมต้องเจรจาและ ยอมเซ็นสัญญากับมุอาวียะหฺ เพราะภารกิจยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อะอิมมะฮฺ(อ) ทุกท่านจะต้องรู้ว่าตัวเองจะต้องเป็นชะฮีดเมื่อไหร่ ดังนั้นเมื่อท่าน อิมามริฎอ(อ) ไปถึงจุดนั้น ถ้ายังคงดื้อรั้นต่อไปก็อาจจะเป็นชะฮีดก่อนเวลาที่กำหนด และก่อนเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นอิมามจึงยอมรับตำแหน่งรัชทายาท แต่มีเงื่อนไขว่า ท่านจะไม่แต่งตั้งและจะไม่ปลดผู้ใด อาจจะให้คำแนะปรึกษาบางประการถ้ามีความจำเป็นเท่านั้น

 

เมื่อท่านอิมามริฎอ(อ)ยอมรับตำแหน่งนี้ มะอฺมูน อัรรอชีด ก็ได้ประกาศมีการเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ต้องการชี้ให้เห็นว่าตัวเขาก็มีความรักต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ซึ่งจริงๆแล้วในมุมมองของ นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ และบรรดาอาเล็มอุลามะอฺ บอกว่า แท้ที่จริงแล้วหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของมะอฺมูน อัรรอชีด ที่ให้ท่านอิมามยอมรับตำแหน่งรัชทายาทนั้น ต้องการที่จะทำลายท่านอิมามริฎอ(อ) ต้องการจะทำลายความเชื่อถือของบรรดาชีอะฮฺ หรือบรรดาบุคคลที่มีความรักต่อบรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) เพราะในหน้าประวัติศาสตร์เป็นที่ประจักษ์สำหรับทุกคนแล้วว่า คอลีฟะฮฺอับบาซียะหฺไม่มีความชอบธรรมในการปกครอง และบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ก็จะต้องต่อสู้เพื่อเอาอำนาจนั้นกลับคืนมาอยู่ภายใต้การปกครอง ฉะนั้นเมื่อคอลีฟะฮฺไม่ชอบธรรม เมื่อทรราชไม่ชอบธรรมการยอมรับเป็นรัชทายาทของทรราชก็นำมาซึ่งความเสื่อมเสียได้ และแล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงเช่นนั้น

 

หลังจากท่านอิมามริฎอ(อ) รับตำแหน่งรัชทายาท คือเป็น คอลีฟะฮฺคนต่อไปหลังจากที่มะอฺมูน อัรรอชีด ได้เสียชีวิตแล้ว ชีอะฮฺ สิบสองอิมามก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม อย่างน้อยที่สุดแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งคือกลุ่มที่เข้าใจ กลุ่มที่ไม่ล้ำหน้าและไม่รั้งหลัง คอยติดตามและเชื่อฟัง อีกทั้งตระหนักการกระทำของอิมามจะต้องมีเหตุผล จะต้องมีฮิกมัต เพราะบรรดาอะอิมมะฮฺ(อ) เป็นมะอฺซูม ถ้าตัดสินใจหรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วย่อมมีเหตุผลและจะต้องมีความถูกต้อง เราจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม แหละนี่คือหลักที่สำคัญประการหนึ่ง บรรดา อะอิมมะฮฺ(อ) เป็นมะอฺซูม เป็นผู้บริสุทธิ์ การตัดสินใจของพวกท่านนั้นในบางครั้งเรามองจากภาพนอกอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหมือนกับที่ท่านอิมามฮาซัน อัลมุจฺตาบา(อ) เซ็นสัญญากับมุอาวียะฮฺ และยอมมอบตำแหน่งคอลีฟะฮ์ให้กับมุอาวียะฮฺ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความถูกต้อง ฉะนั้นบุคคลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยึดมั่นอยู่กับอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) อย่างแท้จริง

 

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่ล้ำหน้า หมายความว่า กลุ่มที่กล่าวหาท่าน อิมามริฎอ(อ) ในลักษณะต่างๆนานา ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้เกิดมัศฮับต่างๆขึ้นมาในชีอะฮฺ เนื่องจากไม่เข้าใจหรือรับไม่ได้ในการกระทำของท่านอิมามริฎอ(อ) ที่ยอมรับตำแหน่งรัชทายาทจากมะอฺมูน อัรรอชีด ล้ำหน้าถึงขั้นบอกว่าท่านอิมาม(อ)ได้ทรยศต่ออิสลาม  มีการวางแผน ลอบสังหารอิมาม(อ) หลายต่อหลายครั้ง  บุคคลที่ล้ำหน้าอะอิมมะฮฺ(อ)คือกลุ่มที่ชนที่จะพบกับความ “พินาศ” ฉะนั้นในประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า บรรดาชีอะฮฺได้ก่อกบฏต่อท่านอิมามริฎอ(อ) เพราะพวกเขาสอบตกในเรื่องของ “อุศูลุดดีน” กล่าวคือ ไม่เรียนบทวิชาอิมามัตที่สมบูรณ์ ไม่เข้าใจความเป็นอิศมัต(ความบริสุทธิ์) หรือความเป็นมะอฺซูมของอิมาม และไม่เข้าใจความรู้ของ บรรดาอะอิมมะฮฺ(อ)

 

กลุ่มที่สาม คือกลุ่มชนที่รั้งหลัง นั้นหมายความว่า ดีใจเป็นอย่างมากที่อิมามรับตำแหน่งรัชทายาท

 

เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เกิดในประวัติศาสตร์ของท่านอิมามริฎอ(อ)และอย่างน้อยที่สุดมีสามกลุ่มนี้อยู่ คือกลุ่มรั้งหลัง คือไม่เข้าใจเป้าหมายของอิมาม(อ) ว่าทำเพื่ออะไร เข้าใจว่าอิมามก็ทำเพื่อดุนยาเหมือนกับตัวเองมี ! คือชีอะฮฺที่ต้องการอยู่กับอับบาซียะหฺ ชีอะฮฺ ต้องการรับใช้อับบาซียะหฺ หลงระเริงดีใจว่าเราได้สบายแล้วเพราะมะอฺมูนก็พยายามที่จะดึงบรรดาชีอะฮฺจำนวนหนึ่งให้มารับใช้ตัวเขา จนบางครั้งท่านอิมามต้องออกเตือนว่า “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว” การที่ฉันรับตำแหน่งรัชทายาทนั้น ไม่ใช่อย่างที่พวกท่านเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบาย  ไม่ใช่แม้แต่เพื่อความสุขสบายของชีอะฮฺในยุคนั้น  แต่ฉันมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า  มีเป้าหมายที่สำคัญกว่า  มีภารกิจจากอัลลอฮฺ(ซบ) ที่พวกเจ้าจะไม่มีวันรับรู้และเข้าใจว่า ภารกิจของการเดินทางมายังโคราซานนั้นคืออะไร ?

 

มะอฺมูน อัรรอชีด ก็เพิ่มความเข้มข้นในการที่จะผูกมัดท่านอิมาม ริฎอ(อ) เพิ่มความเข้มข้นในการที่จะหลอกชีอะฮฺทั่วทั้งอาณาจักรอิสลาม โดยการยกลูกสาวของเขาให้กับอิมามริฎอ(อ) ฉะนั้นเป็นทั้งรัชทายาทและราชบุตรเขยของ มะอฺมูน อัรอชีด ลองคิดดูว่ามันจะยิ่งเพิ่มความโกรธให้กับบรรดาชีอะฮฺที่ล้ำหน้ามากสักขนาดไหน

 

ยุคสมัยของท่านอิมามริฎอ(อ) เป็นยุคที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก ในบทดุอาอฺต่างๆกล่าวว่าผู้ที่ล้ำหน้าจะพบกับความพินาศ ผู้ที่รั้งหลังก็จะพบกับความพินาศเช่นกัน เพราะ “วิลายัต” นั้นไม่มีใครมีสิทธิ์เดินก้าวนำไปข้างหน้าแม้แต่เพียงก้าวเดียว และก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ก้าวช้ากว่าบรรดาอิมามแม้แต่ก้าวเดียวเช่นกัน ทั้งก้าวล้ำข้างหน้าไปหนึ่งก้าวก็จะพบกับความพินาศ ก้าวหลังไปหนึ่งก้าวก็จะพบกับความพินาศ ในบทดุอาอฺและบทซิยารัตถูกกล่าวและเน้นย้ำเป็นอย่างมาก เพราะเหตุผลหนึ่ง การงานของบรรดา อะอิมมะฮฺ(อ) ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์แค่วันสองวันนั้นเท่านั้น ทุกคำพูด  ทุกคำสั่งสอน ทุกการปฏิบัติของอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) สามารถใช้ได้ในทุกยุค ทุกสมัย และบางการกระทำนั้นมีเป้าหมายเพื่ออนาคต  บางครั้งเราแทบจะกล่าวได้ว่าเป้าหมายในอนาคตอันยาวไกลนั้นคือ บรรดาอะอิมมะฮฺ(อ) ย่างก้าวเพื่อสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นหลังจากที่เป็นรัชทายาท ท่านอิมามริฎอ(อ)ก็เริ่มพลิก สถานการณ์ ด้วยตำแหน่งที่มีเกียรติ ด้วยอำนาจที่มีเกียรติต่างๆ ด้วยการนำเสนอวิชาการและสอนหนังสือในสถานที่ ที่มะอฺมูนได้สร้างไว้ให้กับท่าน ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ได้นำเสนอความรู้ของอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) สู่แผ่นดินโคราซานในยุคนั้น

 

ในประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่าช่วงเวลาที่ท่านอิมาม(อ) กำลังเข้าสู่เขตแดนของเมืองมัชฮัด ซึ่งยุคก่อนเรียกว่า “เมืองมัรวฺ” มีมุสลิมทั้งซุนนีและชีอะฮฺจำนวนหลายหมื่นคนยืนรอท่านอิมาม(อ) ตลอดเส้นทางเพื่อที่จะขอบันทึก ฮะดิษจากลูกหลานของรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) สักหนึ่งฮะดิษ ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า แม้แต่อาเล็มอุลามะอฺ ชาวอะหฺลิลซุนนะฮฺก็ได้บันทึกฮาดิษ ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ได้นำเสนอฮาดิษบทหนึ่ง (สถานภาพด้านความรู้ ของอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) นั้นยิ่งใหญ่อย่างมาก) เมื่อประชาชนได้ล้อมตัวท่านอิมามริฎอ(อ) อย่างเนืองแน่น ซึ่งในภาพภายนอกนั้นมะอฺมูน อัรรอชีด เชิญอย่างสมเกียรติให้ท่านอิมามนั่งอยู่บนราชรถ และมีทหารคอยอารักขารอบๆตัวท่าน เมื่อประชาชนขอร้อง ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็สั่งให้หยุด จากประชาชนก็ร้องขอว่า โปรดกล่าวฮะดิษสักหนึ่งบทให้กับเราเถิด ฮาดิษบทนี้ อุลามาอฺซุนนีชั้นสูงได้บันทึกเอาไว้

 

อิบนุ มัสอูด เป็นหนึ่งในนักรายงานฮาดิษที่ชาวอะหฺลิซซุนนะหฺให้การยอมรับ ได้บันทึกฮาดิษบทนี้และได้บอกไว้ว่า ฮาดิษบทนี้เป็น ฮาดิษที่ฉันตั้งชื่อว่า (ซิล ซิลาตุล ซะฮับ ) ฮาดิษที่มีสายรายงานเป็น “ทองคำ” ทำไมจึงเป็นฮะดิษทองคำ? ทำไมอิบนุ มัสอูด ซึ่งเป็น นักรายงานฮาดิษที่โด่งดังของซุนนีคนหนึ่ง ตั้งชื่อฮาดิษนี้ว่าฮาดิษที่มีสายรายงานเป็นทองคำ เพราะฮาดิษบทนี้ถูกรายงานโดยท่านอิมามริฎอ(อ) กล่าวว่า

 

سَمِعتُ أبی موسَی بنَ جَعفَرٍ یقولُ: سَمِعتُ أبی جَعفَرَ ابنَ مُحَمَّدٍ یقولُ: سَمِعتُ أبی مُحَمَّدَ بنَ عَلِی یقولُ: سَمِعتُ أبی عَلِی بنَ الحُسَینِ یقولُ: سَمِعتُ أبِی الحُسَینَ بنَ عَلِی بنِ أبی طالِبٍ یقولُ: سَمِعتُ أبی أمیرَ المُؤمِنینَ عَلِی بنَ أبی طالِبٍ یقولُ: سَمِعتُ رَسولَ اللّهِ(ص) یقولُ: سَمِعتُ جَبرَئیلَ یقولُ: سَمِعتُ اللّهَ جَلَّ جَلالُهُ یقولُ: لا إلهَ إلَّا اللّهُ حِصنی، فَمَن دَخَلَ حِصنی أمِنَ مِن عَذابی

 

 

ความว่า   ฉันได้ยินจากมูซา อิบนฺ ญะอฺฟัร(อ.) บิดาผู้ทรงเกียรติของฉัน ได้อ้างคำพูดของญะอฺฟัร อิบนฺ มุฮัมมัด ศอดิก(อ) บิดาของท่าน ผู้ที่เล่าคำพูดของมุฮัมมัด อิบนฺ อะลี(อ) บิดาของท่าน ผู้ได้รายงาน คำพูดของอะลี อิบนฺ ฮุเซน(อ) บิดาของท่าน ผู้ที่ได้อ้างคำพูดของฮุเซน(อ) ผู้เป็นนายของชายหนุ่มในสวรรค์ ผู้ที่ได้อ้างคำพูดโดยตรงจากท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ(ศ) ผู้ซึ่งได้รายงานคำพูดของญิบรีล(อ) ผู้ซึ่งอ้างคำพูดจากพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่งว่า  กล่าวว่า (กาลีมาตุล ลาอิลา ฮะอิลลัลลอฮฺ ฮิสนี ฟามันดาคอลา ฮิสนี อามีนามิน อะซฺาบี)  กล่าวว่า  กาลีมะหฺ “ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ” “เป็นเกราะป้องกันของฉัน ผู้ใดที่เข้าสู่เกราะของฉัน เขาจะรอดพ้นจากบทลงโทษของฉัน

 

จากนั้นท่านอิมาม(อ)ก็เดินทางต่อ และแล้วสักพักหนึ่งท่านสั่งให้หยุด และก็เปิดม่านที่อยู่ในราชรถ ในภาษาอาหรับเรียกว่า “มะอฺมัน” เปิดอีกครั้งหนึ่งท่านอิมามริฎอ (อ) ก็กล่าวว่า ด้วยเงื่อนไขของมัน และเราอะฮฺลุลบัยตฺ (อ) คือเงื่อนไขอันนั้น

 

หมายความว่า กาลีมะหฺอันนี้มีเงื่อนไขของมัน ไม่ใช่ทุกคนกล่าว “ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ” แล้วจะได้รับการปกป้องจากไฟนรก !

 

คำว่า “เราคืออะฮฺลุลบัยตฺ(อ) คือเงื่อนไขอันนั้น” หมายความว่า (กาลีมะหฺ ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ) จะถูกยอมรับก็ต่อเมื่อ ควบคู่กับความรัก ความเชื่อและการฏออัตต่ออะฮฺลุลบัยตฺ(อ) เท่านั้น “บรรดาอาเล็มอุลามาอฺของเราได้ทำการอธิบายว่า “เตาฮีด” กับ “วิลายัต” คือเหรียญเดียวกันที่มีสองด้าน ถ้าเตาฮีดเป็นหัว วิลายัตของอะฮฺลุลบัยต(อ)คือก้อย แต่มันก็คือเหรียญอันเดียวกัน ดังนั้นคำว่า “ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺ” ปราศจากวิลายัต ก็จะไม่มีค่าใดๆ ปราศจากวิลายัตแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) กาลีมะหฺอันนั้นก็ไม่มีวันถูกยอมรับ”

 

โดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์ Syedsulaiman