เมตตาธรแห่งจักรวาล (ตอนที่ 3)

 

กองทัพอิมามมะฮฺดี(อ) คือ กองทัพธรรม

 

ประชาติอิสลามทั้งซุนนีและชีอะฮ์รู้ดีว่า ก่อนถึงวันกิยามะฮ์ในยุค อาคิรุซซะมานจะปรากฏกกองทัพหนึ่งที่เป็นกองทัพ ของดัจญาล เรียกว่า กองทัพของซุฟยานีที่นำกองทัพโดยลูกหลานของอะบูซุฟยานออกมาต่อสู้กับกองทัพของมะฮฺดี

 

เรื่องราวของท่านอิมามมะฮฺดี(อ) เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในอิสลาม ท่านศาสดาได้กล่าวรายละอียดเอาไว้อย่างสมบูรณ์  อุลามาอฺบางท่านบอกว่ามีฮะดิษรายงานถึง 72 สาขา หากอิสลามแตกแยกกันมากเท่าใดเรื่องราวของอิมามมะฮฺดี (อ) ก็จะเป็นเรื่องที่มุตะวะตีร

 

มีฮะดิษรายงานยืนยันคนที่จะกลับมาฟื้นฟูอิสลามให้อิสลามนั้นครองโลก วจนะท่านศาสดาบอกว่า

บุตรของฉัน หลานฉันชื่อของเขาเหมือนชื่อของฉัน คือตัวแทนของท่านนบีมุฮัมมัด(ซล)” บทสรุปจากท่านศาสดาคือ อิมามมะฮฺดี (อ) คือตัวแทนของท่านนบี กองทัพอิมามมะฮฺดีคือกองทัพธรรม อิมามจะรวบรวมมุสลิมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชูธงลาอิลาฮาอิลลัลลอฮฺครอบคลุมโลก จะนำความยุติธรรมคุ้มครองโลก สืบทอดความเมตตาแห่งสากลจักรวาลที่อัลลอฮฺ (ซบ) ทรงประทานให้กับท่านศาสดามาปฏิบัติให้โลกเห็น

 

ประกาศให้โลกได้รู้ว่าลูกหลานของท่านศาสดาคนสุดท้ายจะนำความเมตตาแห่งสากลจักรวาลอันเป็นจริยวัตรสูงสุดของท่านศาสดาที่เป็นปู่ทวดของท่านมาปกครองมนุษยชาติให้อิ่มเอิบด้วยความสุข ความสันติ โลกทั้งใบมีความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง

 

ดังนั้นที่ท่านรอซูล(ซล) ได้กล่าวว่า “มะฮฺดีที่จะปรากฏตัวในยุคสุดท้ายนั้นจะทำให้โลกนี้มีแต่ความยุติธรรม มีสันติภาพ เสรีภาพ การกดขี่และความอยุติธรรมทั้งหลายจะหมดไป

มีริวายะฮฺอีกจำนวนมากรายงานว่ามนุษยชาติส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามแต่ก็อยู่ใต้ร่มธงแห่งความเมตตาของอิมามมะฮฺดี(อ) และด้วยบารมีแห่งความเมตตานี้ทุกคนก็ยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ในที่สุด

 

ท่านอิมามมะฮฺดี(อ) มาเพื่อนำความเมตตาแห่งสากลจักรวาลของท่านศาสดา มาปฏิบัติให้โลกเห็น โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา มาเพื่อให้มนุษยชาติพึงประจักษ์ในคุณธรรมอันประเสริฐของศาสดาแห่งอัลลอฮฺ(ซบ) อันเป็นการยืนยันสัจธรรมจากอัลกุรอานและฮะดิษ แต่แทนที่อุลามาอฺของลัทธิวะฮาบีจะได้สำเหนียกกลับขอดุอาอฺให้ตนอยู่กับกองทัพของซุฟยานีเพื่อต่อสู้กับกองทัพของอิมามมะฮฺดี(อ) เสียเอง การประกาศของเขาไม่ได้สำนึกผิดชอบชั่วดี ไม่ได้ละอายต่อพี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาที่ยึดมั่นในคำปฏิญาณตนสูงสุดของอิสลามว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ (ซบ) และ มุฮัมมัด (ซล) คือศาสนฑูตของพระองค์

 

โดยตรรกะการปฏิเสธกองทัพอิมามมะฮฺดี(อ) ก็คือการปฏิเสธกองทัพของท่านนบีมุฮัมมัด(ซล) ความจริงที่ปรากฏประการหนึ่ง มุฟตี บินบาซ อุลามาอฺของวะฮาบีได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจด้วยความยะโสโอหังว่า “ตนสอนหนังสืออยู่ในมัสยิดดุนนบีมาแล้วสี่ห้าสิบปี ในมัสยิดมีสุสานของท่านรอซูลอยู่ตรงกลาง ได้บอกว่า อย่าว่าแต่จะให้สลามเลยแม้แต่สุสานก็ยังไม่เคยหันไปมอง

 

ตามปกติของมุสลิมที่เป็นวิญญูชนต้องเข้าใจว่าอิสลามสอนให้มุสลิมรักบิดามารดา รักเอาลิยาอฺและอัมบิยาอฺของ อัลลอฮฺ(ซบ) มีฮะดิษยืนยันว่าการไปขอพรที่สุสานของบิดามารดา แม้จะไม่ได้ถือว่าที่สุสานไม่ได้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่สามารถกระทำได้ด้วยสิทธิแห่งความเป็นบิดามารดาตน เพราะฉะนั้นที่สุสานของท่านศาสดาจึงเป็นที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณเป็นการตะวัซซุลขั้นสูงสุด มิบังควรลบหลู่ดูหมิ่นทั้งด้วยกาย วาจา ใจ ยิ่งอ้างตนว่าเป็นอุลามาอฺด้วยแล้ว แถมเป็นอุลามาอฺระดับมุฟตีจึงเป็นมหันตโทษอัน อุกฤษณ์ โทษที่เขาพึงได้รับ จากอัลลอฮฺ(ซบ) จึงเป็น อาจินไตย

 

อิสลามสอนมุสลิมว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา” ชี้ให้เห็นถึงความคุณอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นมารดาอย่างลึกซึ้ง ที่สุสานของบิดามารดาจึงเป็นสถานที่ที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณของลูกหลานอันจะนำไปสู่การแสดงความรักความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อศาสดานบีมุฮัมมัด (ซล) และ อะฮฺลุลบัยตฺ (อ) ในที่สุด

 

การสู้รบในประเทศซีเรียปัจจุบันจากกองกำลังกบฏซึ่งมีกองทัพย่อยของซุฟยานีและนักล่าอาณานิคมตะวันตกโดยมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง โดยไม่ได้คำนึงถึงความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่บริสุทธิ์ สงครามนี้เป็นสงครามระหว่างวะฮาบีผู้กบฏกับพี่น้องซุนนี ซุนนีเหล่านี้ถูกวะฮาบีขับไล่ในยุคที่พวกตนเริ่มมีอำนาจ ต่างลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของซีเรีย อีกทั้งมีความคิดอุตริว่ากองทัพของซุฟยานีจะมาสถาปนารัฐซีเรียเตรียมการต่อสู้กับกองทัพของอิมามมะฮฺดี(อ) ความคิดอันโฉดเขลา อานารยะจึงยอมทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตอันบริสุทธิ์ของมุสลิมที่ไม่รู้ อิโหน่อิเหน่ ทั้งยังมีมหาอำนาจตะวันตกคอยสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์มาให้อย่างต่อเนื่อง

 

ซีเรียที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศที่มีรัฐบาลอิสลามคอยพิทักษ์ปกป้องอิสลามอันบริสุทธิ์ อิหร่าน ฮิซบุลลอฮฺและมุสลิมซุนนีที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ลี้ภัยที่มาตั้งรกรากในซีเรียต้องสนับสนุนให้การช่วยเหลือ กองกำลังกบฏที่มีนักล่าอาณานิคมตะวันตกหนุนหลังและมีกองทัพซุฟยานีสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเหิมเกริมถึงขนาดประกาศว่า

วันนี้ถ้าท่านนบีมุฮัมมัด(ซล) ยืนอยู่ข้างรัฐบาลซีเรีย ก็พร้อมที่จะทำสงครามกับท่านโดยตรง!

 

แนวความคิดนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่าอิสลามวันนี้หาใช่อิสลามที่มีท่านศาสดาเป็นผู้นำอีกต่อไป ความปรารถนาสูงสุดของ    วะฮาบีก็คือกองทัพ ซุฟยานีต้องครองประเทศอิสลาม ต้องเตรียมพร้อมต่อสู้กับกองทัพของ อิมามมะฮฺดี(อ) สงครามในซีเรียเป็นสงครามระหว่างวะฮาบีกับซุนนี  เป็นสงครามระหว่างกองทัพซุฟยานีกับกองทัพมุฮัมมะดี(อ) ในเชิงสัญลักษณ์ ชีอะฮฺและฮิซบุลลอฮฺจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือพี่น้องซุนนีในซีเรียอย่างไม่มีทางเลือก

 

ความคิดอันสุดโต่งเหิมเกริมอุตริของนักรบวะฮาบีได้ประกาศก้องว่า “นบีของพวกมันคืออบูซุฟยาน ไม่ใช่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซล)” การประกาศเช่นนี้มุสลิมผู้ศรัทธาจึงไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากประกาศสงครามกับพวกนักรบสถุลเหล่านี้จนถึงที่สุด เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งอิสลามอันบริสุทธิ์อันมี เอกองค์อัลลอฮฺ (ซบ) เป็นพระเจ้าและนบีมุฮัมมัด (ซล) เป็นศาสนฑูต

 

เหตุการณ์ในซีเรียปัจจุบันนี้ชี้ให้เห็นว่าพี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาจำเป็นต้องประกาศตัวสงครามกับนักรบวะฮาบีที่ออกมาประกาศว่าตนคือกองทัพของซุฟยานี มุสลิมผู้ศรัทธาในฐานะกองทัพมุฮัมมะดี(อ) จึงต้องสนับสนุนรัฐบาลซีเรียเพื่อปกป้องไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของศาสนาอิสลาม อันบริสุทธิ์

 

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำเป็นต้องกล่าวถึงคือความแตกต่างกันในวันถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) คือพี่น้องซุนนีถือเอาวันที่ 12 แต่พี่น้องชีอะฮฺถือว่าเป็นวันที่ 17 เดือนรอบีอุลเอาวัล ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ) จึงใช้ความแตกต่างนี้ให้เป็นโอกาสแห่งความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้องซุนนีและชีอะฮฺ.ให้ความแตกต่างระหว่าง 5 วันของวันถือกำเนิดเป็นสัปดาห์แห่งเอกภาพที่จะเฉลิมฉลองวันเมาลิดนี้อย่างอลังการโดยทั่วกัน

 

ทั้งซุนนีและชีอะฮฺต่างมีจุดยืนเหมือนกันนั่นคือเทิดทูนสดุดีเกียรติคุณและจริยวัตรอันประเสริฐของท่านศาสดา ทั้งท่าน    อิมามโคมัยนี(รฎ) ได้เริ่มนัดประชุมอุลามาอฺซุนนีและชีอะฮฺร่วมกันทั่วโลกที่กรุงเตหะรานและได้จัดทุกปีอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่การจรรโลงไว้ซึ่งอิสลามอันบริสุทธิ์

 

ในเรื่องนี้ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ถูกอุลามาอฺจำนวนหนึ่งออกมากล่าววิพากษ์วิจารณ์เหมือนกันว่าเป็นความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด บางคนถึงกับกล่าวว่าเป็นอุตริกรรมของท่าน โดยลืมนึกไปว่าบรรดาอิมามของเราได้วางรากฐานความเป็นเอกภาพของพี่น้องมุสลิมเอาไว้โดยไม่แบ่งแยกซุนนีและชีอะฮฺ

 

จริยวัตรของท่านอิมามอะลี(อ) ได้พยายามประคับประคองความเป็นเอกภาพนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น โดยมี ริวายะฮฺจำนวนมากสนับสนุนความคิดนี้ แต่มาสมบูรณ์ในสมัยของท่านอิมามญะอฺฟัรฺ(อ) ซึ่งประจวบเหมาะกับวันนี้เป็นวันวิลาดัตของท่านเช่นเดียวกันตรงกับวันวิลาดัตปู่ทวดของท่านอย่างอัศจรรย์

 

คุณูปการของท่านอิมามญะอฺฟัรฺ(อ) ที่ควรแก่การศึกษาจริยวัตรของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างนิกายผ่าน อุลามาอฺชั้นสูง กรณีของอิมามฮานาฟีที่ปวารณาตนเป็นศิษย์ของท่านอยู่สองปี ทั้งที่มีแนวความคิดแตกต่างกันอยู่บางประการ เรื่องนี้ยืนยันกันทั้งนิกายชีอะฮฺและนิกายซุนนี ท่านอิมามฮานาฟีถึงกับกล่าวว่า “เป็นความภาคภูมิใจที่ได้ศึกษาอิสลามกับท่านอิมามญะอฺฟัรฺ (อ) เพราะได้ความรู้และข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมุสลิมหลายประการ

 

เมื่อมีโอกาสที่ท่านอิมามญะอฺฟัรฺ(อ) ได้พบปะกับบรรดาสาวกของท่าน ท่านได้ตอบคำถามในเรื่องการนมาซญะมาอะฮฺกับพี่น้องซุนนีอย่างน่าฟังว่า ถ้าหากต้องนมาซแถวเดียวกันกับพี่น้องซุนนีแล้วทำให้เกิดความเป็นภราดรภาพระหว่างกันได้ ก็ประหนึ่งกับการนมาซแถวแรกกับท่าน รอซูลุลลอฮฺ(ซล)

 

และมีอีกหลายประการที่เป็นเรื่องของการสร้างความเป็นภราดรภาพ บางริวายะฮฺบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำน้ำนมาซเหมือนกับเขาแล้วเกิดความรักความเข้าใจต่อกันก็ควรทำ นี่คือความหมายของคำว่า ตะกียะฮฺ การณ์ใดถ้าทำแล้วมีแต่ความแตกแยกกันในระหว่างพี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาจำเป็นต้องงดเว้นโดยเด็ดขาด

 

โดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี

 

ขอขอบคุณเว็บไซต์ Syedsulaiman