ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ตอนที่ 25

บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)

ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ตอนที่ 25

 

ความแตกต่างระหว่างการมีชะฟาอัตกับการไม่มีชะฟาอัต

 

ถ้าเราจะดูจากกฎหมายในโลกนี้ การอภัยโทษกับคนที่กระทำความผิด สมมุติ คนทำผิดห้าคน คนหนึ่งให้การดีให้ความร่วมมือทั้งๆที่ทำผิด ก็จะถูกศาลนำมากันเป็นพยานเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี อาจจะได้รับการลดโทษด้วย ส่วนคนอื่นที่ถูกกักขังไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่ามันไม่ยุติธรรม เพราะกรณีนี้คนที่ให้การดีเขาไม่ได้ใช้ พรรคพวก เงิน หรืออำนาจเลย แต่เขาได้รับการลดโทษด้วยกับการสำนึกผิดของเขาและพร้อมที่จะให้การให้ความร่วมมือ

 

ในวันกิยามัตก็เช่นกัน เมื่อพระองค์ทรงเปิดช่องทางของการอภัยโทษ แน่นอนการจะได้รับการอภัยโทษนั้นมีขั้นตอนมีเงื่อนไข มีกฎเกณฑ์ เพราะถ้าไม่มีเงื่อนไขไม่มีกฎเกณฑ์ทุกคนก็จะได้รับหมด ถ้าได้รับทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องมีชะฟาอัต เพราะไม่มีความแตกต่างระหว่างมีชะฟาอัตกับไม่มีชะฟาอัต ซึ่งเงื่อนไขของมันก็คือ ความดี

 

กรณี มนุษย์ที่ทำผิดที่ไม่มั่นใจว่าได้ชดใช้ไปหมดแล้ว เช่น คนบางคนขาดนมาซมา 20 ปีเตาบัตชดใช้ได้ 18 ปีแต่ตายก่อนเหลืออีกสองปี แน่นอนว่า มีสิทธิ์ที่จะโดนลงโทษ กรณีเช่นนี้เวลาที่จะชดเชยความผิดพลาดก็ไม่มีอีกแล้ว

 

สมมุติต่อไปอีก ประตูอภัยบาป มีประตูเดียว คนที่เตาบัตกลับตัวกลับใจแล้วแต่ชดใช้ยังไม่ครบ สิ่งที่ยังไม่ชดใช้จึงมีสิทธิ์ที่จะต้องโดนลงโทษ ฉะนั้น หากประตูอภัยโทษมีประตูเดียว มนุษย์จะประสพความยุ่งยากลำบากเป็นอย่างมาก ทว่าด้วยกับความเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดประตูแห่งการชะฟาอัตขึ้นมาอีก เปิดโอกาสต้อนรับทุกคน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้เข้าประตูนี้ แต่ทั้งนี้ต้องมีคุณสมบัติที่ดี กล่าวคือ ต้องมีความรัก มีความผูกพันกับบรรดาบุคคลที่อัลลอฮ(ซบ)มอบสิทธิแห่งการชะฟาอัตให้กับพวกเขาเช่นนบีหรืออะฮฺลุลเบต(อ)

 

ดังนั้นแล้ว เมื่อใดที่มนุษย์ มีความรัก มีความผูกพันกับบรรดาอะฮฺลุลเบต(อ) แล้ว ประตูนี้จะเปิดต้อนรับ ประตูนี้พร้อมให้ทุกคนที่ทำความรู้จักกับบรรดาอะฮ์ลุลเบต(อ) จะไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์นี้เพราะเขาจน จะไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์นี้เพราะเขาไม่มีอำนาจ หรือไม่มีพรรคพวก ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับชะฟาอัตจากอะฮ์ลุลเบต(อ)

 

จะเห็นได้ว่า เงื่อนไขเบื้องต้น ต้องทำความรู้จักและมีความรักต่ออะฮ์ลุลเบต(อ)อย่างแท้จริง ซึ่งมีรากฐานมาจากอัลกุรอานจากความประสงค์ของท่านศาสดามูฮัมมัด(ศ) ในซูเราะฮ์ อัชชูรอ โองการที่ 23

 

قُل لَّا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَىٰ

 

“จงกล่าวเถิดมูฮัมมัดฉันไม่ขอสิ่งใดในการเผยแพร่ศาสนา นอกจากให้มีความรักต่อบรรดาเครือญาติสนิท (อะฮ์ลุลเบต) ของฉัน”

 

คำอธิบาย : ถ้าหากมนุษย์ไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะโวยวายหรือตัดพ้อว่า มันไม่ยุติธรรม เพราะอัลกุรอานได้เสนอแนวทางในการรอดพ้น เสนอหนทางไห้มนุษย์ได้รับการชะฟาอัต(อนุเคราะห์)ไว้แล้ว

 

คำถามที่เป็นข้อสงสัยเล็กๆอีกประการหนึ่ง คือ ถ้าพระผู้เป็นเจ้ายุติธรรม ทำไมมนุษย์จำนวนหนึ่งได้เกิดมาเป็นมุสลิม และอีกจำนวนหนึ่งไม่ได้เกิดมาเป็นมุสลิม

 

ประเด็นนี้ มีคำตอบสั้นๆดังนี้

 

1. ไม่มีมนุษย์คนใดได้ขึ้นสวรรค์เพราะเป็นมุสลิมตั้งแต่กำเนิด

 

2.มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์ก็ต่อเมื่อวิถีชีวิตของเขาดำเนินอยู่ในหลักการอิสลามอย่างแท้จริง

 

3.ไม่มีใครตกนรกเพราะเขาไม่ได้เป็นมุสลิมมาตั้งแต่กำเนิด

 

ดังนั้น หากพิจารณาความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้านั้น แท้จริงแล้วพระองค์จะทรงชี้นำมวลมนุษย์เหมือนกันหมด ด้วยการใส่ฟิตรัตติดตัวมาด้วย เห็นได้ว่า พระองค์มอบสามัญสำนึก หรือสัญชาติญาณด้านในเพื่อให้มนุษย์แสวงหาสัจธรรม แสวงหาพระองค์และธรรมชาติดั้งเดิมในการเคารพภักดีพระองค์ไว้ในตัวของมนุษย์อย่างสมบูรณ์แล้ว

 

ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี