ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม0%

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดประวัติศาสตร์
หน้าต่างๆ: 175

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน: ยูซุฟ เอ็น ลาลล์ญี
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 175
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 45394
ดาวน์โหลด: 4418

รายละเอียด:

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 175 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 45394 / ดาวน์โหลด: 4418
ขนาด ขนาด ขนาด
ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

จงจำไว้! การกระทำที่น่ารังเกียจของพวกเจ้า เป็นผลมาจากสันดานของความเกลียดชัง ความมุ่งร้าย ซึ่งมีผลต่อนิสัยที่ชั่วช้าของเจ้า การแก้แคนครั้งนี้เนื่องมาจากธรรมชาติอันนี้ และเจ้าเป็นผู้ที่มี

สำนึกแห่งการแก้แคนฝังลึกอยู่ในจิตใจตลอดมานับตั้งแต่สงครามบะดัรซึ่งในครั้งนั้นบรรพบุรุษของเจ้าได้ถูกสังหารเพราะเป็นปฏิปักษ์และทำการสู้รบกับศาสดา

ใครก็ตามที่เฝ้ามองเราอย่างจงเกลียดจงชัง มุ่งร้ายและจ้องจะล้างแค้น ย่อมเป็นศัตรูอย่างชัดแจ้งของครอบครัวแห่งศาสดา ใครก็ตามพึงพอใจกับการเยาะเย้ยถากถางพวกเรา ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นพวกนอกศาสนา นอกจากนี้เจ้ายังพึงพอใจในการที่ได้สังหารหลานของศาสดาและจับครอบครัวของท่านเป็นเชลย เจ้าไม่เคยคิดเลยว่า นี่คือบาปที่ยิ่งใหญ่มหันต์! ตรงกันข้ามเจ้ากลับพูดว่า ‘ถ้าบรรพบุรุษของฉันได้เห็นการกระทำของฉัน พวกเขาจะต้องพึงพอใจ และจะต้องพูดว่า

๑๔๑

โอ้ยะซีด เจ้าได้ล้างแค้นให้กับพวกเรา

ขอให้มือของเจ้าอย่าได้เจ็บปวดด้วยโรคร้ายเลย’

โอ้ ยะซีด! เจ้ามีความสุขกับการดูหมิ่นและไม่ให้เกียรติกับศีรษะของ อบาอับดิลลาฮ์ ฮูเซน โดยการใช้ไม้เขี่ยที่ริมฝีปากของท่าน เจ้าไม่รู้หรือว่าริมฝีปากนี้ ท่านศาสดาแห่งพระเจ้าได้เคยจุมพิตในโอกาสต่างๆ

เจ้าได้กรีดแผลลึกลงบนจิตใจและวิญญาณของเรา ด้วยการหลั่งเลือดหัวหน้าของชายหนุ่มแห่งสวนสวรรค์ ลูกของ อะลี บิน อบีฏอลิบ

โอ้ ยะซีด! ถ้าเจ้ามีจิตใจที่จะสะสมการกระทำที่ต่ำช้า เจ้าจงมั่นใจได้เลยว่า มือของเจ้าจะเป็นอัมพาตอย่างรุนแรงตั้งแต่ข้อศอก และเจ้าจะต้องรองอุทธรณ์ว่า ‘แม่ไม่น่าให้ฉันเกิดมาเลย!’

 เจ้าจงรู้ไว้เลยว่า พระเจ้าจะกริ้วโกรธและศาสดาจะเป็นศัตรูกับเจ้า

โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ! โปรดนำสิทธิอันชอบธรรมของเรากลับคืนมาด้วยเถิด โปรดตอบแทนผู้ซึ่งกดขี่เรา และโปรดส่งการลงโทษของพระองค์ลงมายังผู้ซึ่งทำลายสัญญาของพวกเขา ฆ่าสังหารเด็กๆ และญาติสนิทและผู้ช่วยเหลือของเรา ทำให้เราต้องอัปยศอดสู

โอ้ ยะซีด! เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ แต่จงจำไว้เถิดว่า เจ้าจะต้องตายและถูกตัดเป็นชิ้นๆ แล้วเจ้าจะถูกนำไปยังท่านศาสดา ซึ่งเจ้าจะต้องแบกบาปกรรมของเจ้าจากการที่เจ้าได้หลั่งเลือดทายาทของศาสดา ดูหมิ่นและไม่ให้เกียรติต่อครอบครัวของท่าน

๑๔๒

 เจ้าจะถูกนำไปยังที่ๆ ท่านศาสดาและสมาชิกในครอบครัวของท่านอยู่กันพร้อม เจ้าจะได้รับการลงโทษที่น่าสะพึงกลัว ซึ่งเจ้าและผู้คนของเจ้าไม่อาจหนีรอดไปได้เลย

โอ้ ยะซีด! เจ้าอย่าได้ลำพองใจในการที่เจ้าได้สังหารทายาทของท่านศาสดา เจ้าไม่รู้หรือว่า อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวเกี่ยวกับผู้ซึ่งถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮ์ว่า

‘เจ้าจงอย่าคิดเป็นอันขาดว่า ผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮ์นั้นตาย มิได้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขา ในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ’

(อัล กุรอานบทที่๓ โองการที่๑๖๙)

มีแต่ความเงียบงันในท้องพระโรงของยะซีด เมื่อท่านหญิงซัยนับจบคำสุนทรพจน์อันเร้าใจของท่าน ยะซีดหน้าซีดเผือด และไม่ปริปากพูดเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะต้องประสาทเสีย

เพราะคำพูดเหล่านั้น เพราะในท้องพระโรงเต็มไปด้วยผู้คน บรรดาบุคคลชั้นนำของวงศ์อุมัยยะฮ์ แม่ทัพนายกองของเขา พวกยิวและคริสเตียน และประชาชนจากทุกสารทิศต่างมาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั้น เพื่อมาดูบรรดาเชลยที่ถูกนำตัวมา ซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่า พวกท่านคือสมาชิกในครอบครัวของศาสดา

๑๔๓

สุนทรพจน์ได้พิสูจน์ให้ผู้คนได้ทราบแล้วว่า ครอบครัวของศาสดาถูกกระทำอย่างป่าเถื่อนโหดร้ายทารุณ

 ท่านยกย่องฐานะของครอบครัวแห่งศาสดาและแสดงให้เห็นถึงการกระทำอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้บริสุทธิ์ และหยิบยกมาให้เห็นถึงความทรยศของอบูซุฟยานและมุอาวิยะฮ์ ผู้เป็นพ่อและปู่ของยะซีด รวมทั้งความไม่เป็นธรรมของยะซีดในเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต

นางฮินด์ ภรรยาสุดที่รักของยะซีด เป็นคนศรัทธาในพระเจ้าและใจบุญ ซึ่งก่อนจะแต่งงานกับยะซีด เคยเป็นผู้รับใช้ในครอบครัวของท่านหญิงซัยนับ ในช่วงเวลาที่อิมามอะลีเป็นคอลีฟะฮ์ แม้หลัง

แต่งงานแล้วนางก็ยังคงมอบความรัก และความจงรักภักดีให้กับท่านหญิง ยะซีดรู้ดีในข้อนี้ และปิดบังแผนการสังหารฮูเซนไม่ให้นางล่วงรู้ และต้องระวังไม่ให้นางรู้ข่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่กัรบะลา เมื่อนางได้ยินเรื่องของท่านหญิงซัยนับจากหลังม่าน นางรู้สึกวุ่นวายใจอย่างมาก ราวกับเป็นลางสังหรณ์ นางรู้สึกกระวนกระวายมาหลายวันแล้ว และได้ฝันเห็นท่านหญิงทั้งสองร่ำไห้อย่างขมขื่น และเล่าให้นางฟังถึงโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่

๑๔๔

 โดยสัญชาติญาณนางเริ่มรู้ว่า สามีใจร้ายของนางกำลังปิดบังการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงบางอย่าง ซึ่งนางยังไม่สามารถรู้ว่าคืออะไร?

ด้วยความคุ้มคลั่ง นางได้รุดออกมาข้างนอกม่านโดยไม่มีผ้าคลุมผม เพื่อจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเด็กๆ ในครอบครัวของท่านศาสดา ยะซีดรู้สึกวุ่นวายใจในการการกระทำของภรรยาของตน ผู้ซึ่งมีความ

งดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วอาณาจักรว่าไม่มีใครเทียบเคียงได้ นางออกมาโดยไม่มีผ้าคลุมผมซึ่งขัดต่อจารีตประเพณีที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล เขาจึงรีบสั่งให้เลิกการชุมนุมในท้องพระโรงทันที และออกคำสั่งให้อุมัร บุตรของสะอัด นำเชลยไปขังไว้ในคุกมืดในป้อม และรอฟังคำสั่งว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาจึงรีบลงมาจากบัลลังก์ตรงมา พร้อมกับโยนเสื้อคลุมของเขาไปบนหัวของนางฮินด์และนำเข้าไปในพระราชฐาน

ฮินด์ยังคงขอร้องให้ยะซีดบอกว่าเกิดอะไรขึ้นในท้องพระโรง และเชลยนั้นเป็นใคร? ทำไมจึงมีบางคนพูด

ถึงการจับตัวหลานท่านศาสดาเป็นเชลย ยะซีดจึงตอบเลี่ยงไปและพยายามระงับความกลัวของนางด้วย

การกล่าวว่า “เชลยเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของท่านศาสดา”

๑๔๕

บรรดาเชลยสิ้นสุดการเดินทางที่คุกมืดในป้อมที่ดามัสกัส ซึ่งเต็มไปด้วยงูและแมงป่อง ทันทีที่ประตูคุกปิดลง ท่านหญิงซัยนับและอิมามซัยนุลอาบิดีน ก็เริ่มนมาซ ก้มลงกราบและวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า ให้โปรดประทานกำลังใจและความกล้าหาญ เพื่ออดทนต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกท่าน และขอบคุณต่อความช่วยเหลือ ตลอดระยะเวลาแห่งการทดสอบ ทำให้สามารถอดทนต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามโดยไม่ร้องอุทธรณ์

หลังจากที่จับเชลยขังในคุกมืดแล้ว ยะซีดก็เริ่มสับสนว่า จะปล่อยตัวให้กลับไปมะดีนะฮ์หรือจะจับขังทรมานไว้ที่นี่ เขาเริ่มสำนึกผิดและประจักษ์ว่า สิ่งที่ตนกระทำลงไปนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์

เขาจึงเริ่มใช้เล่ห์กลทางการทูต โดยโยนความผิดทั้งหมดให้กับอุบัยดุลลอฮ์ บุตรของซิญาด แม้ว่าจะต้องการสังหารอิมามซัยนุลอาบิดีน แต่ยะซีดก็ต้องขนลุกเมื่อนึกถึงคำพูดของท่านหญิงซัยนับ

ในที่สุดบรรดาเชลยก็ถูกปล่อยตัว ด้วยความพยายามของนางฮินด์ภรรยาของยะซีด นางได้มาเยี่ยมเชลย ซึ่งนางจำได้ดีพร้อมกับร่ำไห้ด้วยความเวทนาสงสาร

๑๔๖

เมื่อเห็นสภาพที่ต้องทนทุกข์ทรมาน นางปลอบโยนพวกท่านและขอร้องให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กัรบะลาอ์โดยละเอียด จากนั้น นางได้กลับไปพบยะซีดและกล่าวประณามเขาในการกระทำที่ชั่วช้า และขอร้องให้ยะซีดจัดสถานที่ๆ เหมาะสมเปลี่ยนให้ใหม่ เพราะคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านศาสดา

นางฮินด์กลับมาพบบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับหญิงรับใช้ ๒-๓ คน และทาสสาวทั้งหมดแต่งกายในชุดไว้ทุกข์ พวกนางได้มาปลอบโยนบรรดาเชลยเกี่ยวกับการสูญเสียอิมามฮูเซนและ

ผู้ติดตามท่าน นางจัดให้คนทั้งหมดย้ายไปอยู่ในสถานที่ใหม่ที่สมเกียรติ ที่ซึ่งพวกท่านสามารถจัดการชุมนุม และไว้อาลัยให้กับบรรดาผู้สละชีพผู้ล่วงลับได้

บทรายงานบันทึกว่า ยะซีดถูกบังคับทางอ้อมให้ปล่อยตัวบรรดาเชลย เพราะเขาได้รับการแจ้งข่าวว่ามีการเคลื่อนไหวต่อต้านการกระทำของเขาในหัวเมืองต่างๆ ทั่วซีเรีย เพราะผู้คนได้รับรู้ความจริงที่เกิดการสังหารหมู่ที่กัรบะลา และจับสมาชิกครอบครัวของท่านเป็นเชลย ยะซีดจึงเกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการก่อการจลาจลขึ้น เขาจึงรีบปล่อยตัวอิมามซัยนุลอาบิดีน พร้อมทั้งเคารพยกย่องให้เกียรติตามที่ควรจะได้รับ

๑๔๗

เมื่ออิมามซัยนุลอาบิดีน ได้รับการปล่อยตัวจากคุกมืดและถูกนำมาพบกับยะซีด ท่านหญิงกล่าวกับท่านว่า

 “โอ้ ผู้เป็นแก้วตาดวงใจของอา! จงเจรจากับยะซีดในท่วงทีที่เหมาะสมกับความเป็นทรชนคนพาลของมัน มันไม่เกรงกลัวต่อความกริ้วโกรธของพระผู้เป็นเจ้าและไม่ยอมรับท่านศาสดา

รวมทั้งไม่สนใจใยดีต่ออิมามอะลี ผู้สืบทอดของท่านศาสดาเลย”

ยะซีดลุกขึ้นจากบัลลังก์ของเขาทันทีที่มองเห็นอิมามมาถึง และรีบเชิญให้นั่งลงใกล้ๆ ตนเองด้วยกิริยาที่อ่อนน้อมอย่างยิ่ง พร้อมทั้งต้องการทราบถึงความประสงค์ของท่าน หลังจากถูกปล่อยตัวออกไป อิมามตอบกลับไปว่า ท่านยังไม่ได้ตัดสินใจจนกว่าจะได้ปรึกษากับท่านหญิงซัยนับก่อน

พวกสาวใช้ถูกสั่งให้จัดการนำม่านมากั้น และนำบรรดาผู้หญิงและเด็กแห่งครอบครัวของท่านศาสดามา ด้วยกิริยาที่สุภาพอ่อนโยน ทันทีที่ท่านหญิงปรากฏตัวต่อหน้า ยะซีดได้บอกกับท่านหญิงว่า

จะปล่อยตัวพวกท่าน และต้องการทราบถึงความประสงค์ว่าจะพักอยู่ที่ดามัสกัสหรือจะเดินทางกลับไปมะดีนะฮ์

๑๔๘

 ท่านหญิงตอบว่า “ก่อนอื่นฉันต้องการสิ่งแรกคือผ้าโพกศีรษะของท่านศาสดา สองผ้าคล้องคอของมารดาของฉันและผ้าที่เปื้อนเลือดของฮูเซน” ด้วยคำขอนี้ยะซีดตอบว่า “ผ้าสะระบั่นของท่านศาสดา

และผ้าคล้องคอของมารดาท่านนั้น ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีใท้องพระคลังเพื่อเป็นศิริมงคล แต่สำหรับเสื้อเปื้อนเลือดของอิมามฮูเซนนั้น ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”

ท่านหญิงกล่าวกับยะซีดว่า “โอ้ ยะซีด! เสื้อตัวนี้ทำมาจากเส้นด้ายที่ถักทอด้วยมือของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ มารดาของฉัน ในขณะที่ท่านถักทอมัน ท่านจะต้องร่ำไห้ตลอดเวลา ซึ่งท่านเคยกล่าว

เสมอว่า

‘ฮูเซนจะสวมเสื้อชุดนี้ในเวลาที่เขาจะถูกสังหารที่กัรบะลา’ ทหารที่โหดร้ายของเจ้าได้ถอดมันออกจากร่างที่ไร้วิญญาณของท่านในวันอาชูรอ”

ยะซีดจึงสั่งให้ทหารออกค้นหา เพื่อนำมามอบให้กับท่านหญิง พร้อมทั้งถามต่อไปว่า “ท่านต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากนี้อีก”

ท่านหญิงตอบไปว่า “โอ้ ยะซีด! พวกเรามิสามารถกระทำการไว้อาลัยให้กับพี่ชายของฉันตั้งแต่ท่านถูกสังหาร และในคุกมืดนี้

๑๔๙

 สะกีนะฮ์บุตรสาวสุดที่รักของอิมามฮูเซน ได้เสียชีวิตลงเพราะความทุกข์ทรมานที่ได้รับ และความระทมทุกข์ถึงบิดาของเธอ ดังนั้น เราจึงต้องการจัดการชุมนุมอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับพวกท่าน

ด้วยเหตุนี้เราต้องการบ้านที่มีบริเวณกว้างขวางสักหนึ่งหลัง สำหรับ

บุคคลในตระกูลฮาชิม และบรรดากุเรชจะได้สามารถมาร่วมกับเราในการชุมนุมเพื่อไว้อาลัยในครั้งนี้”

ยะซีดสนองตอบด้วยความเต็มใจ และได้ป่าวประกาศต่อสาธารณชนว่า ใครต้องการที่จะไปร่วมในการชุมนุมนี้ก็อนุญาตให้ไปได้

ที่มาของการจัดไว้อาลัย (อาซอดอรี)

บ้านที่ถูกจัดเตรียมให้ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับ ‘ดารุลฮิจาเราะฮ์ ในบ้านหลังนั้นเอง ท่านหญิงซัยนับได้วางรากฐานของการ

 ‘อาซอดอรี’ ให้กับอิมามฮูเซน ภายในบ้านท่านหญิงได้ปูพรมและเชิญให้อิมามซัยนุลอาบิดีนนั่งลง

๑๕๐

ในโอกาสนี้บรรดาสตรีแห่งครอบครัวท่านศาสดาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดดำ

ในช่วงเวลาระหว่างการชุมนุม สตรีในเผ่ากุเรชและตระกูลฮาชิมได้ร่วมสนทนากัน อิมามและท่านหญิงได้เล่าถึงเหตุการณ์อันเศร้าสลดและน่าสะพึงกลัวในการสังหารอิมามฮูเซน เป็นเหตุให้ผู้ที่มาร่วมชุมนุมพากันร่ำไห้ ในการชุมนุมนี้ท่านหญิงได้กล่าวสุนทรพจน์กับผู้ที่มาชุมนุมว่า

“โอ้ บรรดาสตรีชาวชีเรีย พวกท่านไม่ทราบถึงความโหดร้ายทารุณในโศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอ์ที่ซึ่งอิมามฮูเซนหลานชายท่านศาสดาและบรรดาเด็กๆ ในครอบครัวของท่าน ต้องถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ในขณะที่ยังคงหิวกระหาย ร่างกายของพวกเขาถูกกลีบเท้าม้าเหยียบยํ่าจนไม่เหลือชิ้นดี ต้องถูกทิ้งไว้กลางทะเลทรายโดยมิได้ทำการฝัง ศีรษะของท่านและคนอื่นๆ ถูกเสียบไว้ที่ปลายหอกและถูกชูมาตลอดทางพร้อมกับพวกเรามายังซีเรีย หลังจากการสังหารหมู่พวกเราถูกจับเป็นเชลย โดยคำสั่งที่ไร้ยางอายของ

อุบัยดุลลอฮ์ บุตรของซิยาด พวกเขาพาพวกพ้องของเราไปยังกูฟะฮ์ด้วยศีรษะที่ปราศจากผ้าปกปิด และให้เรานั่งบนหลังอูฐที่ไม่มีกูบ อิมามซัยนุลอาบิดีนถูกล่ามด้วยโซ่ที่หนักอึ้งรอบต้นคอ

๑๕๑

และถูกบังคับให้เดินตามคาราวานด้วยเท้าเปล่า มันเป็นภาพที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะทุกข์ทรมานมากมายสักเพียงใด”

ท่านหญิงได้เปรียบเทียบให้พวกสตรีชาวซีเรียเห็นถึงความโหดร้ายชั่วช้าของยะซีด กับคุณธรรมความดีของอิมามฮูเซน

เมื่อกลับไปยังบ้านเรือนพวกนางได้เล่าเรื่องราวที่รับฟังมาให้กับสมาชิกในครอบครัวของพวกนางได้รับรู้ความจริง และเมื่อรู้เช่นนั้นพวกเขารู้สึกต่อต้านและไม่พอใจยะซีดอย่างยิ่ง

หลังจบการชุมนุมทุกครั้ง บรรดาสตรีก็จะมาปลอบโยนท่านหญิงซัยนับ พวกผู้ชายก็จะมาปลอบโยนอิมามซัยนุลอาบิดีน การชุมนุมนี้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในหมู่ประชาชนในเมือง เสียงร่ำไห้คร่ำครวญ เสียงทุบอก ตีศีรษะได้ปรากฏเป็นรอยประทับลงไปในหัวใจของประชาชน ทำให้พวกเขาเพิ่มความทุกข์โศกและทำให้ตาสว่าง เกิดความกระจ่างเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่กัรบะลา

๑๕๒

บทที่ ๑๐

การเดินทางสู่มะดีนะฮ์

บัดนี้ยะซีดรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ และความสำนึกผิดได้เริ่มครอบงำจิตใจเขามากขึ้น และกลัวว่า ความลับที่ตนเองมีส่วนในการสังหารหมู่อิมามฮูเซนและผู้ใกล้ชิดของท่านจะถูกเปิดเผย เขาจึงต้องการให้ครอบครัวท่านศาสดาออกเดินทางไปยังมะดีนะฮ์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ด้วยเหตุนี้ ยะซีดจึงออกคำสั่งให้ ตระเตรียมการเดินทางสู่บ้านเกิด ท่านหญิงซัยนับ ขอให้ใช้ผ้าสีดำคลุมแคร่บนหลังอูฐ เพื่อประชาชนจะได้รู้ว่าพวกท่านกำลังอยู่ในระหว่างไว้อาลัย ยะซีดตกลงตามคำ

ขอ เมื่อขบวนเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง สตรีชาวเมืองดามัสกัสในเครื่องแต่งกายชุดดำไปส่งพร้อมกับกล่าวคำอำลา

๑๕๓

ซึ่งเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ รอยแผลแห่งความโศกเศร้าทุกข์ทรมาน ได้ทิ้งร่องรอยความทรงจำอันขมขื่นไว้บนหัวใจของพวกเขา ซึ่งไม่มีวันลืมเลือนต่อโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ และ

การกระทำอันชั่วร้ายดังกล่าว จะเป็นที่เล่าขานให้รู้สืบต่อกันไป จากชั่วอายุคนแล้วคนเล่าตลอดไป!

ยะซีดได้ส่งนัวะอ์มาน บิน บาชิร พร้อมทหารคุ้มกันร้อยนาย คอยดูแลและให้ความสะดวกแก่ขบวนคาราวาน ตลอดระยะทางครอบครัววงศ์วานของท่านศาสดาได้รับการดูแลอย่างดี ทุกครั้งที่หยุดพัก

การเดินทาง นัวะอ์มานและทหารคุ้มกันจะตั้งกระโจมให้พวกท่าน ซึ่งพวกท่านก็จะจัดการชุมนุมในทุกๆ ที่ที่หยุดพัก เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงโศกนาฏกรรมซึ่งเกิดขึ้นที่กัรบะลา

๑๕๔

กัรบะลาอ์

ขบวนทั้งหมดมาถึงกัรบะลาอ์ ในวันที่ ๒๐ ซอฟัร ฮ.ศ. ๖๑ (๑๘ พฤศจิกายน ค.ศ.๖๘๐) และวันนี้เองคือวัน ‘อัรบะอีน’ วันที่ ๔๐ ของการพลีชีพของอิมามฮูเซน

ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อันซอรี สาวกคนสำคัญของท่านศาสดา ก็ได้มาปรากฏอยู่ ณ ที่นี้ด้วย ท่านเป็นคนแรกที่อ่านซิยารัตให้กับอิมามฮูเซนและสหายของท่าน การได้พบกับท่านญาบิร เป็นการเตือนความทรงจำถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตสมัยที่ท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งพวกท่านทั้งหมดเป็นครอบครัวที่มีความสุข

แต่ภาพความสุขนี้ได้อันตรธานหายไปสิ้น คงเหลือแต่ความทรงจำที่ปวดร้าวในโศกนาฏกรรมที่กัรบะลา ที่ทำให้จิตใจของท่านหญิงมีแต่ความน่าสะพึงกลัวที่ต้องเห็นภาพเลือด เลือดสดๆ และการ

หลั่งเลือด!

๑๕๕

ขบวนของครอบครัววงศ์วานของท่านศาสดาได้หยุดพักที่กัรบะลา จนถึงวันที่ ๘ ร่อบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. ๖๑ (๕ ธันวาคม ค.ศ.๖๘๐) รวมเวลาราว ๑๘ วัน ท่านหญิงซัยนับ ไม่ประสงค์ที่จะเดินทางไปกับขบวน

เพราะท่านไม่ต้องการจะจากสถานที่ฝังศพของพี่ชายของท่านไป แต่เมื่ออิมามซัยนุลอาบิดีนขอร้องให้ท่านเปลี่ยนความตั้งใจ เพราะภาระหน้าที่ของท่านยังไม่สิ้นสุด ท่านจึงตอบว่า

 “โอ้ อะลี ซัยนุลอาบิดีน!

โปรดปล่อยให้อาได้อยู่ที่นี่เถิด! เพราะอาต้องการจะอยู่ใกล้ชิดกับพี่ชายของอา จนกระทั่งวาระสุดท้าย ของชีวิต อาจะกลับไปมะดีนะฮ์ได้อย่างไร ซึ่งจะต้องไปพบกับบ้านที่ว่างเปล่าของเรา?”

อิมามตอบว่า “โอ้ ท่านอาที่รัก! ท่านพูดถูกต้องแล้ว ฉันทราบดีว่ามันไม่อาจทนได้ที่จะกลับไปมะดีนะฮ์และพักอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่า ซึ่งเราได้สูญเสียคนในครอบครัวของเราไปจนหมดสิ้น

ความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้าจะต้องประทานลงมายังพวกเรา ในการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์

๑๕๖

และมันเป็นคำสั่งของศาสนทูตของพระองค์ ที่ซึ่งบิดาของฉันได้สนองพระบัญชานั้น”

หลังจากอ้อนวอนโน้มน้าวอยู่เป็นเวลานาน ท่านหญิงจึงยอมตกลงตัดใจจากกัรบะลาอ์ ซึ่งเป็นสถานที่ฝังร่างพี่ชายอันเป็นที่รักของท่านมาอย่างไม่สู้เต็มใจนัก

ตลอดทางสู่มะดีนะฮ์ พวกท่านได้จัดการชุมนุมขึ้นทุกๆ ครั้งที่หยุดพัก ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆเหล่านั้นพากันร่วมไว้อาลัยกับพวกท่าน ในขณะที่มีการเล่าเรื่องในการชุมนุมนั้น บางครั้งจะได้ยินเสียง

บทกวี คำโคลงไว้อาลัยท่านอิมามดังแว่วโดยไม่ปรากฏที่มาของเสียงนั้น.

๑๕๗

บทที่ ๑๑

มะดีนะฮ์

เมื่อยิ่งใกล้จะถึงมะดีนะฮ์ ก็ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าให้กับพวกท่านเป็นทวีคูณ ความทรงจำในภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มปรากฏขึ้นในความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งแล้วครั้งเล่า! พวกท่านมองขึ้นไปเบื้องบนด้วยดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตา ประหนึ่งดังจะกล่าวว่า

 “โอ้ พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพระองค์ขอน้อมรับพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ว่าความโหดร้ายทารุณใดก็ตามที่จะมาประสบกับพวกเรา พระองค์เท่านั้นที่เหล่าข้าพระองค์ขอความเมตตา โปรดประทานพละกำลังในการที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดนั้น”

ตามธรรมดาเมื่อผู้เดินทางได้เข้ามาใกล้ถึงบ้านเกิด พวกเขาจะมีแต่ความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้า

๑๕๘

 เพราะอีกไม่นานเขาก็จะได้พบกับสมาชิกในครอบครัวของเขา แต่นี่มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับขบวนคาราวานที่

ปราศจากอิมามฮูเซน และเด็กๆ ในครอบครัวของพวกเขา ซึ่งถูกสังหารหมู่ที่กัรบะลา

ที่นี่ (มะดีนะฮ์) พวกเขาจะต้องอธิบายว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร? และแน่นอน! พวกเขาไม่กล้าที่จะเล่าถึงความน่าสะพึงกลัวในค่ำคืนนั้น

เมื่อท่านหญิงซัยนับมองเห็นภาพมะดีนะฮ์ ท่านรำพึงว่า “โอ้ ดินแดนของท่านตาของฉัน! ท่านจะยอมรับเราได้อย่างไร ในเมื่อเรากลับมาพบกับท่านในสภาพที่โศกเศร้าเช่นนี้ เราต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักที่ใกล้ชิดที่สุด หัวใจของเรามีแต่ความสิ้นหวังและปวดร้าว โอ้ มะดีนะฮ์! เมื่อเราจากไป หัวใจของเรายังมีความสดชื่นเหมือนสวนที่เต็มไปด้วยมวลดอกไม้ แต่วันนี้เรากลับมาด้วยหัวใจที่แตกสลาย สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง”

๑๕๙

เมื่อเข้ามาใกล้มะดีนะฮ์ บาชิร บุตรของญาสญัล กวีที่มีความรักในครอบครัวของท่านศาสดา ได้ร่วมเดินทางมาในขบวนด้วย

อิมามซัยนุลอาบิดีนขอร้องให้เขาเข้าไปยังมะดีนะฮ์ก่อน เพื่อบอกข่าวกับประชาชนว่าพวกท่านกำลังกลับมา ขณะนี้ถึงบริเวณเขตรอบนอกเมืองแล้ว พวกท่านได้หยุดพักการเดินทาง ณ สถานที่นี้

บาชิรเข้าไปยังมะดีนะฮ์ และป่าวประกาศเรื่องราวความโศกเศร้าครั้งนี้ในมัสยิดของท่านศาสดา

บอกข่าวการมาถึงของขบวนคาราวานของผู้ซึ่งหัวใจแตกสลายด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

มะดีนะฮ์ตกอยู่ในความเศร้าโศก ความเศร้าเสียใจต่อข่าวร้ายนี้ ซึ่งแพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้พวกเขาอยู่ในอาการตื่นตระหนก ไม่ว่าเศรษฐีหรือยาจก ผู้ใหญ่หรือเด็ก ทั้งหมดได้มารวมตัวกันและตรงไปยังกระโจมของท่านหญิงซัยนับ เพื่อต้องการปลอบโยนพวกท่านให้คลายจากความเศร้าโศกลงบ้าง

๑๖๐