บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม0%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน: ดร.มุฮัมมัด ซะอีดีย์ เมฮร์
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 450
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 326696
ดาวน์โหลด: 4537

รายละเอียด:

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 326696 / ดาวน์โหลด: 4537
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

ความหมายของวิธีการแรกคือ มนุษย์ใช้เหตุผลตามหลักการและกฏต่างๆ ของตรรก และปรัชญาในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า และการมีอยู่ของคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์ ส่วนในวิธีการที่สองคือ การรู้จักพระเจ้าโดยผ่านการปฏิบัติ ซึ่งเกิดจากการขัดเกลาจิตวิญญาณของมนุษย์และการยกระดับจิตใจให้สูงส่ง  จนสามารถมองเห็นพระองค์และคุณลักษณะอันสวยงามทั้งหลายของพระองค์ได้ด้วยตาแห่งปัญญา

การจัดแบ่งการรู้จักพระเจ้าอีกระบบหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางหลักของการรู้จักอันประกอบด้วย แนวทางของสติปัญญา วิทยาศาสตร์ และแนวทางของจิต

๑. สติปัญญา เป็นวิธีการที่มนุษย์ใช้เหตุผลตามหลักการและกฎต่างๆ ของตรรก และปรัชญาในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า และคุณลักษณะของพระองค์

๒.วิทยาศาสตร์และการทดลอง ในบางครั้ง มนุษย์มิได้ใช้เหตุผลของปรัชญาหรือกฏต่างๆ ของตรรกศาสตร์ แต่เขาได้รับเหตุผลต่างๆในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าด้วยกับการสังเกตุในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในโลกและในตัวของมนุษย์ ทำให้เขารู้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้าอยู่จริง วิธีการนี้จึงถูกเรียกว่า “เหตุผลทางประสบการณ์นิยม”

เหตุผลทฤษฎีที่ว่าด้วยกฏและระเบียบของโลก ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลดังกล่าวซึ่งเกิดจากการสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของโลก การใช้กฏของตรรกศาสตร์ และปรัชญามาอ้างเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

๒๑

๓.จิตหรือญาณวิสัย หมายถึง บางครั้ง การรู้จักพระเจ้าไม่ต้องการเหตุผลที่สลับซับซ้อนของปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์ ประสบการณ์นิยม แต่การรู้จักพระเจ้าอาจเกิดจากภายในส่วนลึกของมนุษย์หรือด้วยกับญาณวิสัย โดยผ่านการฝึกฝนและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในคำสอนของศาสนา จนสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ด้วยตาแห่งปัญญา ซึ่งวิธีการนี้จะเกิดเฉพาะเจาะจงกับกลุ่มชนบางกลุ่มเท่านั้น และในอิสลามก็ให้การยอมรับพวกเขาและเรียกพวกเขาว่า นักรหัสยวิทยา (อาริฟ)

   วิธีการทั่วไป และวิธีการโดยเฉพาะ

   วิธีการรู้จักพระเจ้ามีอีก ๒  วิธีการ ดังนี้

 ๑.วิธีการทั่วไป

 ๒.วิธีการอันเฉพาะเจาะจง

   ความหมายของวิธีการทั่วไป หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ได้ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ว่าจะเป็นวิชาการใดหรือวัฒนธรรมใดก็ตาม

   ส่วนวิธีการโดยเฉพาะเจาะจงนั่นหมายถึง วิธีการที่ต้องใช้เหตุผลทางวิชาการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ เป็นวิธีการที่มีความยากลำบากต่อการสร้างความเข้าใจ ทั้งเหตุผลที่ซับซ้อนทางปรัชญาและตรรกศาสตร์ หรือแม้แต่เหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ เช่น ทฤษฎีที่ว่าด้วยกฏและระเบียบของโลก

ในที่นี้ จะขออธิบายถึงการรู้จักพระเจ้าโดยวิธีการฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิม) หลังจากนั้น จะกล่าวถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยกฎและระเบียบของโลก

๒๒

 ส่วนในตอนท้ายจะกล่าวถึงเหตุผลทางสติปัญญา

   ศัพท์วิชาการท้ายบทที่ ๑

การสกัดกั้นอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้   : Removing harm

การสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ (ผู้มีบุญคุณ)

: Thanks giving                                            

การแสวงหาและการรู้จักพระเจ้า      :  Theist

วิธีการทางสติปัญญา         : Reason

วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือประสบการณ์นิยม    : Experience

วิธีการทางจิตหรือญาณวิสัย     : Intuition

๒๓

   สรุปสาระสำคัญ

๑.เรื่องของการรู้จักพระเจ้า นอกจากจะมีความสำคัญต่อมนุษย์ในด้านทฤษฎีทางความคิดแล้ว ยังมีผลต่อการปฏิบัติทางด้านการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ดังนั้น ความเชื่อในพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้จะมีผลโดยตรงต่อการปฏิบัติของมนุษย์

๒.การรู้จักพระเจ้า  ไม่ใช่ว่ามีความสำคัญกับมนุษย์เท่านั้น หากยังเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์อีกด้วย เพราะว่าพวกเขามีความต้องการที่จะรู้จักพระเจ้าให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ โดยเหตุผลทางสติปัญญาคือ ให้มนุษย์หลีกออกห่างจากภยันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และการรู้สำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพให้เขา

๓.การรู้จักพระเจ้า มีด้วยกัน ๓ ระดับขั้น

(๑).การรู้จักอาตมันของพระเจ้า หมายถึง การรู้จักระดับนี้ทั้งมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายไร้ความสามารถในการที่จะรู้จักในแก่นแท้แห่งอาตมันของพระองค์

(๒).การรู้จักว่า พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่

(๓).การรู้จักในคุณลักษณะ และการกระทำของพระเจ้า

การรู้จักในระดับที่สอง และสามนั้น มีความเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะรู้จักพระเจ้าจากระดับขั้นเหล่านี้

การรู้จักระดับขั้นที่สอง เป็นมูลเหตุสำคัญทำให้มนุษย์แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม

(๑). มนุษย์กลุ่มที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า

(๒).มนุษย์กลุ่มที่มีความสงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้า

(๓).มนุษย์กลุ่มที่มีความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า

๒๔

การให้ทัศนะที่แตกต่างกันทางคุณลักษณะ และการกระทำของพระเจ้า เป็นสาเหตุทำให้เกิดสำนักคิดต่างๆ ในเทววิทยาอิสลาม และเป็นยังสาเหตุทำให้มีความแตกต่างในระหว่างศาสนาทั้งหลายด้วย

๔.แม้ว่า วิธีการรู้จักพระเจ้ามีมากมายก็ตาม  มนุษย์ทุกคนต่างมีวิธีการรู้จักพระเจ้าเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการเหล่านั้นได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่

(๑).วิธีการทางสติปัญญา

(๒).วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลประสบการณ์นิยม

(๓).วิธีการทางจิตหรือญาณวิสัย

๕.นอกเหนือจากวิธีการทั้งสามแล้ว ยังมีวิธีการรู้จักพระเจ้า อีก สอง วิธีการ ดังนี้

(๑).วิธีการทั่วไป เป็นวิธีการของมนุษย์ทุกคนในการรู้จักถึงพระเจ้า

(๒).วิธีการโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นวิธีการของมนุษย์บางกลุ่มโดยอาศัยการอ้างอิงเหตุผลทางวิชาการต่างๆในการรู้จักพระเจ้า

๒๕

   บทที่ ๒

   วิธีการฟิฏรัต(สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์)

   บทนำเบื้องต้น

   ได้กล่าวแล้วว่าวิธีการการรู้จักพระเจ้านั้นมีหลายวิธี  ตลอดจนวิธีการทางญาณวิสัย นอกจากนั้นแล้วยังมีวิธีการฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิม) ซึ่งหมายถึง การรู้จักพระเจ้าผ่านทางจิตใต้สำนึกของมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั่นเอง วิธีการนี้เป็นขั้นตอนทั่วไปสำหรับการรู้จักพระเจ้า นอกเหนือจากวิธีการฟิฎรัตแล้ว ยังมีวิธีการในระดับสูงสุดอีกวิธีหนึ่งนั่นคือ วิธีการจาริกทางจิตวิญญาณของนักรหัสยวิทยา (อาริฟ) หมายถึง การรู้จักพระเจ้าโดยผ่านการอิบาดะฮ (การฝึกฝนและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในคำสอนของศาสนา) และการขัดเกลาจิตวิญญาณ จนสามารถมองเห็นคุณลักษณะอันสวยงามทั้งหลาย (ซิฟะตุลญะมาลียะฮฺ) และคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์ (ซิฟะตุลญะลาลียะฮฺ) ได้ด้วยตาแห่งปัญญา มิใช่ตาเนื้อ 

อันดับแรกจะอธิบายความหมายของคำว่า ฟิฏรัต ในด้านภาษา ก่อน หลังจากนั้นจะอธิบายเหตุผลของวิธีการฟิฏรัต ต่อไป

๒๖

   ฟิฏรัต ความหมายด้านภาษา และเชิงวิชาการ

    คำว่า “ฟิฏรัต” ในภาษาอาหรับมาจากรากศัพท์คำว่า ฟิฏร์ แปลว่า การแยกออกของสิ่งหนึ่งตามด้านยาว

นักอักษรศาสตร์ได้ให้ความหมายคำว่า ฟิฏรัต ว่า การแยกออกหรือการแตกออกของๆ สิ่งหนึ่ง ดังนั้น การสร้างของพระเจ้าก็เปรียบเสมือนกับการแยก หรือการแตกออกจากการที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเหตุนี้ คำว่า ฟิฏรัต จึงหมายถึง การสร้างหรือการบันดาล กล่าวคือ การเกิดขึ้นของการกระทำหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ฟิฏรัต อันเป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างสรรค์โดยเฉพาะ

อัล กุรอาน กล่าวว่า

 “ดังนั้น เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้ ฟิตรัตของอัลลอฮ์ คือการสร้างมนุษย์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของพระองค์” (บทอัรรูม โองการที่ ๓๐)

อิสลามเชื่อว่า พระเจ้าทรงแนะนำพระองค์ให้มนุษย์รู้จักก่อนที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดความเชื่อนี้ต่อไป

ส่วนความเชื่อที่ว่า การมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฎรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) นั้นเป็นจริงหรือไม่ ?

๒๗

   การอธิบายความหมายของการมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฏรัต

   กล่าวได้ว่า หลังจากที่ได้อธิบายความหมายของคำว่า ฟิฏรัตไปแล้ว สิ่งจำเป็นที่จะต้องอธิบายต่อไปคือ ความหมายของประโยค การมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) โดยเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น หมายความว่าอย่างไร?

สำหรับคำตอบ  บรรดานักวิชาการได้ให้ทัศนะไว้ต่างๆมากมาย ซึ่งจะขออธิบายเฉพาะในทัศนะที่สำคัญเท่านั้น ซึ่งมีดังนี้

๑.ทัศนะที่กล่าวว่า  “ประโยคพระเจ้ามีอยู่จริง เป็นประโยคตรรกเบื้องต้น และประโยคการมีอยู่ของพระเจ้า เป็นฟิฏรัต(สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ก็เป็นประโยคตรรกะเบื้องต้นเช่นกัน”

 เป็นที่ทราบกันดีว่า นักตรรกศาสตร์อิสลามได้อธิบายไว้ว่า ประโยคตรรกหรือประพจน์ ถูกแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ ประโยคตรรกเบื้องต้นหมายถึง ประโยคที่ประกอบด้วยประธานและผลลัพท์ รวมทั้งตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เช่น ประโยค มนุษย์เป็นสัตว์ที่พูดได้ (มนุษย์ คือ ประธานของประโยค สัตว์พูดได้ คือ ผลลัพท์ และคำว่า เป็น คือ ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประธานและผลลัพท์) ดังนั้น ตามทัศนะนี้ ประโยค การมีอยู่ของพระเจ้าเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิม จึงเป็นประโยคตรรกเบื้องต้น

๒.ทัศนะที่กล่าวว่า “ประโยคที่กล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นประโยคตรรกฟิฏรีย์ (ประโยคตรรกประเภทหนึ่ง)”

๒๘

นักตรรกศาสตร์อิสลามกล่าวว่า ประโยคตรรกฟิฏรีย์ หมายถึง ประโยคตรรกะประเภทหนึ่งที่ต้องการเหตุผลเพื่อยืนยันถึงการเกิดขึ้นของประโยคนั้น แต่เนื่องจากความชัดเจนของประโยคจึงไม่ต้องหาเหตุผลมายืนยัน และในเวลาที่กล่าวประโยคนั้นออกมา เหตุผลของมันได้เกิดขึ้นโดยฉับพลัน เหมือนกับประโยคในคณิตศาสตร์ที่กล่าวว่า เลขสองเป็นครึ่งหนึ่งของเลขสี่ ซึ่งถือว่าเป็นประโยคตรรกฟิฏรีย์ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ตามทัศนะนี้ ความหมายของความเชื่อที่ว่า การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ก็คือ เมื่อได้กล่าวประโยคนี้ออกไป เหตุผลของมันได้เกิดขึ้นทันทีทันใดในสติปัญญาของมนุษย์ และไม่ต้องหาเหตุผลใดมายืนยันเลย ดังนั้นกฏตรรกนี้ยังสามารถใช้กับข้อพิสูจน์ในเหตุผลของการมีความต้องการของสิ่งที่ต้องพึ่งพา (มุมกินุลวุญูด) ยังสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ (วาญิบุลวุญูด) ได้อีกด้วย

๓.ทัศนะที่กล่าวว่า พระเจ้าได้ทรงแนะนำตนเองให้มนุษย์รู้จักพระองค์ก่อนที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้

คำอธิบาย

 

ทัศนะนี้ บ่งบอกถึง ความเชื่อที่กล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่จริงเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น มีมาก่อนการถือกำเนิดของเขาในโลกแห่งธรรมชาติ ในอีกโลกหนึ่ง ณ ที่แห่งนั้น พระเจ้าทรงแสดงตนเองให้มนุษย์รู้จัก ด้วยกับคุณลักษณะทั้งหลายที่สวยงามของพระองค์ (ซิฟัตญะมาลียะฮ์) แล้วมนุษย์ทั้งหลายต่างก็ยอมรับในความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์

๒๙

 แต่ทว่าหลังจากที่มนุษย์มาสู่โลกแห่งวัตถุ กลับหลงลืมต่อการรู้จักอันนั้น แต่ในความเป็นจริง แก่นแท้แห่งการรู้จักพระเจ้านั้น ยังอยู่ในสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขา ตลอดเวลาและตลอดไป

นักวิชาการที่ยอมรับในทัศนะนี้ ได้กล่าวอ้างหลักฐานจาก อัล กุรอาน และวจนะต่างๆมากมาย

โองการที่สำคัญของอัล กุรอาน คือ โองการที่เรียกว่า พันธสัญญา   ซึ่งมีดังนี้

“และจงรำลึกเถิดว่า ในขณะที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ดลบันดาลให้เผ่าพันธ์ของอาดัม ออกมาจากไขสันหลังของพวกเขาและให้พวกเขายืนยันแก่ตัวของเขาเอง (โดยตอบคำถามที่ว่า) ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่าใช่แล้ว พวกเราขอยืนยัน เพื่อป้องกัน พวกเจ้ากล่าวในวันกิยามะฮ์ (วันแห่งการตัดสิน) ว่า แท้จริงพวกเราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”(บทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ ๑๗๒)

๔.ทัศนะที่กล่าวว่า “มนุษย์รู้จักพระเจ้าได้ด้วยกับการรับรู้โดยตรง (อิลม์ ฮุฎูรีย์)”

คำอธิบาย

ทัศนะนี้ มีความเห็นว่า การรู้จักพระเจ้าเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ที่เกิดจากการรับรู้โดยตรง ก็เพราะว่าพระเจ้า คือ ผู้สร้างเขานั่นเอง

การอธิบายในทัศนะนี้มีดังนี้

การรับรู้ของมนุษย์สามารถที่จะแบ่งได้เป็น สองประเภทคือ

๑.การรับรู้โดยตรง หมายถึง การรับรู้โดยปราศจากสื่อของคำและความหมาย

๒.การรับรู้โดยผ่านสื่อ หมายถึง การรับรู้ที่เกิดขึ้นจากการให้ความหมายและการสร้างมโนภาพ

กล่าวได้ว่า การรับรู้โดยตรง มิได้เกิดขึ้นจากการสร้างมโนภาพและการให้ความหมาย แต่เป็นการเกิดขึ้นของสิ่งที่ถูกรับรู้(มะอ์ลูม) ในตัวของผู้รู้ (อาลิม) เช่น ความรู้สึกหิว หรือความเจ็บปวด ส่วนความแตกต่างระหว่างการรับรู้ทั้งสองประเภทก็คือ การรับรู้โดยผ่านสื่อ คาดว่าจะเกิดความผิดพลาดได้ แต่การรับรู้โดยตรง ไม่มีความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในการรับรู้นี้ได้

 ทัศนะที่บ่งบอกถึงความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริงเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น เกิดขึ้นจากการรับรู้โดยตรง มิใช่เกิดจากการรับรู้โดยผ่านสื่อ หรือการสร้างมโนภาพ และการให้เหตุผล ดังนั้น การรู้จักพระเจ้า ก็คือ การรู้จักในตัวตนของมนุษย์นั่นเอง

คำอธิบายทั้งหลายในความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น มีความแตกต่างกัน แต่มีความเชื่อที่เหมือนกันว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เกิดจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และโดยที่ไม่ต้องหาเหตุผลใดมายืนยันในประโยคนี้

ด้วยเหตุนี้ อัล กุรอานได้กล่าวว่า การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ แต่การที่จะรู้จักพระองค์นั้น ต้องรู้จักจากคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์เท่านั้น

ในตอนท้ายสามารถสรุปได้ว่า

๑.การมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ จากคำอธิบายทั้งหลายนั้น มิได้หมายความว่า  มนุษย์ทุกคนมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง และไม่มีผู้ใดที่ปฏิเสธหรือสงสัยในการมีอยู่ของพระองค์

๓๐

และเป็นที่ทราบกันดีว่า ในกลุ่มชนบางกลุ่ม ปฏิเสธในสิ่งที่ชัดเจนที่สุด หรือมีความสงสัยในสิ่งนั้น เช่น การสงสัยการมีอยู่ของพระเจ้า ดังนั้น การยอมรับคำอธิบายในทัศนะที่หนึ่งและที่สองมิได้ขัดแย้งกับการมีอยู่ของกลุ่มชนที่สงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้า (พวกชักกากีน) และกลุ่มชนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระองค์ (พวกมุลฮิดีน) และจากคำอธิบายในทัศนะที่สามและที่สี่ แม้ว่า มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าด้วยกับการรับรู้โดยตรงจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขา แต่เนื่องด้วยการที่เขานั้นหลงใหลในสีสันที่สวยงามของโลกแห่งวัตถุ ทำให้เขาหลงลืมการรู้จักอันนั้น ดั่งเช่น ผู้ป่วยที่บาดเจ็บสาหัส ในขณะที่เขาได้รับข่าวดี เขากลับดีใจมากจนลืมนึกถึงความเจ็บปวดของเขาไปชั่วระยะหนึ่ง และเช่นกัน เมื่อมนุษย์ได้ประสบกับอุปสรรคปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ เมื่อนั้นเขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระผู้ทรงเดชานุภาพเหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้น การมีอยู่ของพวกที่สงสัยและปฏิเสธก็มิได้ขัดแย้งกับความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริงนั้น เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์

๒.ได้อธิบายไปแล้วว่า ความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และเนื่องจากการหลงใหลของมนุษย์ในโลกแห่งวัตถุ ทำให้เขาไม่รู้จักพระองค์ และเป็นม่านปิดกั้นเขาต่อการรู้จักถึงพระองค์ สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ตื่นขึ้นและเปิดม่านสู่การรู้จักพระองค์ได้นั้น มีหลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลหนึ่ง คือ การใช้เหตุผลทางวิชาการมายืนยันต่อการรู้จักพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม และหนึ่งในเหตุผลทั้งหลายที่ทำให้มนุษย์ตื่นขึ้น คือ การใช้เหตุผลทางสติปัญญา ดังนั้น การมีความเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ จากการยืนยันของเหตุผลทางสติปัญญา มิได้หมายความว่า เหตุผลนั้นไม่มีประโยชน์และไม่ถูกต้อง แต่การให้เหตุผลนี้ เพื่อที่จะทำให้มีความเข้าใจในการรู้จักพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

๓๑

   การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของอัล กุรอาน

     อัล กุรอานได้ให้ความสำคัญในเรื่องการรู้จักพระเจ้า เป็นอย่างมาก โดยมีโองการทั้งหลายที่ได้กล่าวถึง การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และในวจนะที่มีอยู่มากมายก็ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน บางโองการได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ตรงกันกับความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ดั่งในโองการนี้

           

 “ดังนั้น เจ้าจงหันหน้ามาสู่ศาสนาอันเที่ยงตรงเถิด เป็นสัญชาตญาณของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงบันดาลมนุษย์มาบนนั้น” (บทอัรรูม โองการที่ ๓๐)

 

คำอธิบาย

จากโองการนี้ แม้ว่าได้กล่าวถึง ศาสนาของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ แต่ยังสามารถกล่าวได้อีกว่า ความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่ ก็เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาด้วยเช่นกัน เพราะว่า ความเชื่อในศาสนานั้น เกิดขึ้นจากคำสอนของบรรดาศาสดา รวมถึงความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าด้วย และหากว่า การมีความเชื่อในศาสนา หมายถึง การยอมรับและการเคารพภักดีต่อพระเจ้า ดังนั้น  การเคารพภักดีต่อพระองค์ จึงเกิดขึ้นจากการมีความเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริงอย่างแน่นอน

และอีกโองการหนึ่งที่กล่าวถึง การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ คือ โองการที่เรียกกันว่า “พันธสัญญา”

อัลกุรอานกล่าวว่า

“และจงรำลึกเถิดว่า ในขณะที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ดลบันดาลให้เผ่าพันธ์ของอาดัม ออกมาจากไขสันหลังของพวกเขาและให้พวกเขายืนยันแก่ตัวของเขาเอง (โดยตอบคำถามที่ว่า) ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่าใช่แล้ว พวกเราขอยืนยัน เพื่อป้องกัน พวกเจ้ากล่าวในวันกิยามะฮ์(วันแห่งการตัดสิน)ว่า แท้จริงพวกเราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

(บทอัลอะอฺรอฟ โองการที่๑๗๒)

คำอธิบาย

โองการนี้ มีความหมายที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมากในการเข้าใจและการตีความ ด้วยเหตุนี้ บรรดานักอรรถาธิบายอัล กุรอานได้ให้ทัศนะที่แตกต่างกัน แม้ว่าบางคนกล่าวว่า โองการนี้เป็นโองการที่คลุมเครือ(มุตะชาบิฮ์)  แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากโองการนี้ ก็คือ พระเจ้าได้ทรงแนะนำตนเองให้มนุษย์รู้จักถึงความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ก่อนการสร้างมนุษย์ขึ้นมา อีกทั้งยังให้มนุษย์มีความเชื่อต่อพระองค์ ตั้งแต่วันที่เขามาจุติยังโลกจนถึงวันแห่งการตัดสิน เพื่อที่จะทำให้เหล่าผู้ปฏิเสธได้สำนึกในวันแห่งการตัดสินว่า มีพระเจ้าอยู่จริง อย่างไรก็ตาม การยอมรับความเชื่อที่กล่าวว่า การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ บรรดานักอรรถาธิบายอัล กุรอานได้ยกโองการนี้ เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่า พระเจ้าได้ทรงแนะนำตนเองให้มนุษย์รู้จักในความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ก่อนการสร้างมนุษย์ และบางคนได้อธิบายว่า มนุษย์รู้จักถึงพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองจากการรับรู้โดยตรงที่ปราศจากความผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น

และเช่นเดียวกัน ยังมีโองการจากอัล กุรอานอีกมากมายที่ยืนยันถึงประเด็นดังกล่าว เช่น โองการที่ได้กล่าวถึง การรำลึกถึงพระเจ้า ในขณะที่มนุษย์ประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยพวกเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ดังนั้นครั้นเมื่อพวกเขา(มนุษย์ทั้งหลาย)ได้โดยสารเรือ พวกเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า(อัลลอฮ์) อย่างบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาของพวกเขา แล้วเมื่อพวกเขาได้รับความปลอดภัยจากภยันอันตราย พวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์”

 (บทอัลอังกะบูต โองการที่๖๕ ,บทลุกมาน โองการที่ ๓๓ บทอัลนะห์ล์ โองการที่ ๕๒)

โองการเหล่านี้บ่งบอกถึงการยอมรับว่า การรู้จักพระเจ้านั้น เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์

๓๒

   การรู้จักพระเจ้า  เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของวจนะ

   มีวจนะต่างๆมากมายที่ได้กล่าวถึงการรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ แต่ในการอธิบายความหมายของสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น เห็นได้ว่ามีความแตกต่างกัน โดยบางวจนะได้กล่าวว่า รากฐานของศาสนาอิสลาม เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และอีกวจนะหนึ่งกล่าวว่า รากฐานของหลักศรัทธาของอิสลาม เช่น เตาฮีด

(ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า), นะบูวะฮ์(สภาวะการเป็นศาสดา), อิมามะฮ์(สภาวะการเป็นผู้นำสืบทอดจากศาสดามุฮัมมัด) ทั้งหมดนั้น เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และในท้ายที่สุด การรู้จักพระเจ้า ก็ถือว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ด้วยเช่นกัน 

เช่น การรายงานของสาวกคนหนึ่งของท่านอิมามมุฮัมมัด บากิร (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน)

 เขาได้ถามท่านอิมามเกี่ยวกับการอรรถาธิบายในโองการอัล กุรอาน บทที่ ๒๒ โองการที่ ๓๑ ถึง

คำว่า ฮุนะฟาอฺ ในโองการนี้ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร?

ท่านอิมามตอบว่า

 “ฮุนะฟาอฺ หมายถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เขา และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในการสร้างสรรค์ของพระองค์”

๓๓

 

หลังจากนั้น อิมามได้กล่าวอีกว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้รู้จักพระองค์ด้วยสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาเอง”

   ศัพท์วิชาการท้ายบทที่ ๒

๑.คำว่า ฟิฏรัต หมายถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ หรือธรรมชาติด้านในของเขา   : The human nature, innate

๒.ประโยคตรรกะฟิฏรีย์ หมายถึง ประโยคตรรกะประเภทหนึ่งที่ต้องการเหตุผลยืนยันการเกิดขึ้นของประโยคนั้น แต่เนื่องจากความชัดเจนของประโยคจึงไม่ต้องหาเหตุผลมายืนยัน เมื่อเวลาที่กล่าวประโยคนั้นออกมา เหตุผลของมันได้ปรากฏโดยฉับพลัน เหมือนกับประโยคในคณิตศาสตร์ที่กล่าวว่า เลขสองคือ ครึ่งหนึ่งของเลขสี่

๓.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ หรือเป็นธรรมชาติด้านในของเขา      : God knowing nature

๔.ประโยคตรรกเบื้องต้น   :  Self evident proposition

๕.การรับรู้โดยตรง          :  Immediate knowledge

๖.การรับรู้โดยผ่านสื่อ     :  Empirical knowledge

๓๔

   สรุปสาระสำคัญ

๑.คำว่า ฟิฏรัต หมายถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ที่เป็นรูปแบบหนึ่งในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า    

๒.คำอธิบายในการรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ มีด้วยกันหลายทัศนะ ดังนี้

(๑).การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เป็นประโยคตรรกเบื้องต้น เหมือนกับประโยคที่กล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่จริงก็เป็นประโยคตรรกเบื้องต้นด้วยเช่นกัน

(๒).ประโยคการรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เป็นประโยคตรรกฟิฏรีย์ หมายถึง ประโยคตรรกประเภทหนึ่งที่ต้องการเหตุผลในการยืนยันประโยคนั้น แต่เหตุผลของมันเกิดขึ้นทันทีที่ได้กล่าวประโยคนั้นออกไป

(๓).คำอธิบายในทัศนะที่สาม คือ พระเจ้าได้แนะนำตนเองให้กับมนุษย์รู้จักพระองค์ก่อนการสร้างเขาขึ้นมา แต่หลังจากที่มนุษย์มาสู่โลกนี้แล้วได้หลงลืมต่อการรู้จักอันนั้น ซึ่งในความเป็นจริง รากเดิมของการรู้จักพระเจ้านั้นยังมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน 

(๔).มนุษย์รู้จักพระเจ้า ด้วยกับการรับรู้โดยตรง ที่ไม่ใช่การรับรู้โดยผ่านสื่อ และไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างมโนภาพหรือจากการเข้าใจในความหมาย และไม่ใช่การใช้เหตุผลทางสติปัญญา แต่คือการรู้จักพระเจ้าด้วยกับสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเขาเอง

๓๕

๓.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ มิได้หมายความว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีความเชื่อในพระเจ้าเหมือนกันหมด และไม่มีผู้ใดที่ปฏิเสธ หรือสงสัยในการมีอยู่ของพระองค์เลย

๔.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้หลงใหลในโลกแห่งวัตถุ จึงทำให้เขาลืมต่อการรู้จักถึงพระองค์ และสาเหตุที่ทำให้เขาตื่นจากการหลับไหลด้วยกับเหตุผลต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม จะด้วยกับการยืนยันทางสติปํญญาหรือทางจิตวิทยาก็ตาม

๕.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ มิได้หมายถึง การปฏิเสธการใช้เหตุผลทางสติปัญญาที่นำมาพิสูจน์และยืนยัน แต่การใช้เหตุผลประเภทนี้ สามารถทำให้มีความเข้าใจต่อการรู้จักพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

๖.อัล กุรอานได้กล่าวไว้ในโองการทั้งหลายเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และได้อธิบายอีกว่า การรู้จักพระองค์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มนุษย์นั้นได้ประสบกับอุปสรรคหรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และในวจนะทั้งหลายก็ได้กล่าวในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

๓๖

   บทที่ ๓

   ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก

   ได้กล่าวไปแล้วว่า วิธีการฟิฏรัต เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการรู้จักพระเจ้า ซึ่งเกิดจากจิตใต้สำนึกของมนุษย์ และยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่พิสูจน์ในการมีอยู่จริงของพระเจ้าได้ นั่นคือ วิธีการวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลทางประสบการณ์นิยม หมายความว่า เมื่อมนุษย์ได้ทำการศึกษาพิจารณาและค้นคว้าเกี่ยวกับโลกแห่งธรรมชาติ โดยการสังเกตจากสิ่งที่ต่างๆที่อยู่รอบด้านตัวเขา ทำให้รับรู้ถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้า และอัล กุรอานก็ได้ให้ความสำคัญ โดยได้เน้นย้ำให้มนุษย์ใช้สติปัญญาในการครุ่นคิดต่อการสร้างสรรค์ของพระเจ้า และบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามก็ ได้ยึดถือเอาวิธีการนี้ เป็นวิธีการทั่วไปต่อการรู้จักพระองค์

ประเด็นที่สำคัญและควรรู้เบื้องต้น มีหลายประเด็นด้วยกัน ดังนี้

๑.จากการศึกษาและตรวจสอบในทัศนะต่างๆของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลาม สังเกตุได้ว่า มีการให้ทัศนะ และความคิดในการอธิบายความหมายของวิธีการนี้ที่แตกต่างกันออกไป และเรียกวิธีการนี้ว่า ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก หรือข้อพิสูจน์ในการสร้างของพระเจ้า

นักวิชาการบางคนได้กล่าวว่า วิธีการนี้ คือ การใช้เหตุผลทางสติปัญญาที่เกิดจากหลักการของวิทยาศาสตร์ และบางทัศนะกล่าวว่า วิธีการนี้ เป็นวิธีการที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของมนุษย์ เพื่อที่จะใช้ในการกระตุ้นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาให้ตื่นขึ้น

๓๗

จะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า บรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม ได้ใช้วิธีการนี้ในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า และการมีอยู่คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น การมีความรู้ การมีวิทยปัญญา ฯลฯ

๒.ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก คือ การใช้เหตุผลทางสติปัญญา ที่มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

(๑). ประโยคที่ใช้ในการพิสูจน์มีความสัมพันธ์กับเหตุผลทางสติปัญญา และมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับมโนธรรมของมนุษย์

(๒). ทฤษฎีนี้มีความเข้าใจง่าย เพราะว่า ปราศจากหลักการของปรัชญาและกฏต่างๆของตรรกศาสตร์

(๓). เหตุผลนี้มีความใกล้ชิดกับคำสอนของโองการทั้งหลายในอัล กุรอาน และทำให้เกิดความผูกพันธ์ของผู้ที่เคร่งครัดในศาสนากับทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก อีกทั้งได้สร้างความสมานฉันท์ระหว่างสติปัญญากับการวิวรณ์ด้วย

(๔). นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าในความลี้ลับของโลก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึง ความมีระบบและระเบียบของโลก ดังนั้น การค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ จึงเป็นบทสรุปอย่างชัดเจนในการให้เหตุผลเช่นนี้

(๕).เหตุผลนี้ ยังส่งผลต่อหลักศรัทธาของมนุษย์อีกด้วย

๓.เหตุผลนี้ มีความเป็นพิเศษและเฉพาะเจาะจง แม้ว่าในอดีต บรรดานักเทววิทยาอิสลามของสำนักคิดทั้งหลาย มิได้ให้ความสำคัญมากนักเท่าไรในทฤษฎีนี้ มีเพียง ท่านฟัครุดดีน อัรรอซี ซึ่งเป็น นักเทววิทยาอิสลามท่านหนึ่งของสำนักคิดอัชอะรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมะตอลิบุลอฺาลียะฮ์ เกี่ยวกับการอธิบายในเหตุผลนี้ว่า มีคำอธิบายมากมาย และเขาเชื่อว่า เหตุผลนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อนำมารวมกับเหตุผลอื่นๆ จึงสามารถใช้ในการพิสูจน์ถึง การรู้จักพระเจ้าได้

๓๘

 และท่านมุฮักกิก ลาฮีญี ก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นนักเทววิทยาอิสลามที่สำคัญคนหนึ่งของสำนักคิดชีอะฮ์อิมามียะฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ โกฮัร มุรอด เกี่ยวกับเหตุผลนี้ว่า หลังจากที่ได้พิสูจน์ในเหตุผลนี้ ก็สามารถสรุปได้ว่า โลกแห่งธรรมชาตินั้น เป็นโลกที่ต้องมีความเป็นระบบและระเบียบ อีกทั้งเป็นโลกที่มีความสวยงามที่สุด ซึ่งบ่งบอกถึงความมีวิทยปัญญาของพระเจ้า แต่มิได้บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระองค์

   อะไร คือ ความเป็นระบบและระเบียบ?

   ก่อนที่จะอธิบายและวิเคราะห์ในทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก จะมาพิจารณาในความหมายของ ความเป็นระบบและระเบียบ ในด้านภาษาและเชิงวิชาการ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของความเป็นระบบและระเบียบนั้น มีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน สาม  องค์ประกอบ ดังนี้

๑.การเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย

๒. ผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ

๓.ความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งสอง หมายถึง ระหว่างสรรพสิ่งกับผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ

จะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึง ความเป็นระบบและระเบียบ จะต้องมีการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีความเป็นระบบและระเบียบจากผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ และการสังเกตุจากความหมายข้างต้น สามารถบอกได้ว่า ความเป็นระบบและระเบียบถูกแบ่งออก เป็นหลายประเภทด้วยกัน และประเภทที่เฉพาะเจาะจง ก็มีองค์ประกอบ อยู่ ๓ องค์ประกอบ เช่นกัน ดังนี้

๓๙

๑.การเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลายที่เป็นวัตถุ

๒.การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆโดยธรรมชาติ (ปราศจากเหตุผลใดๆ)

๓.สิ่งต่างๆมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึง การมีอยู่ของระบบและระเบียบของสิ่งหนึ่ง หมายความว่า สิ่งนั้นจะต้อง มีองค์ประกอบ ดังที่กล่าวไปข้างต้น

   เหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ

   เหตุผลที่ใช้ในการพิสูจน์ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก ประกอบด้วย ๒ ข้ออ้าง และ ๑ ข้อสรุป ดังนี้

ข้ออ้างหลัก คือ  โลกแห่งธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีความเป็นระบบและระเบียบ

ข้ออ้างรอง คือ ทุกสิ่งที่มีความเป็นระบบและระเบียบ จะต้องมีผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ

ข้อสรุป คือ โลกแห่งวัตถุนั้น จะต้องมีผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ นั่นคือ จะต้องมีพระเจ้าอยู่ และป็นผู้จัดให้สิ่งต่างๆนั้น เป็นระบบและระเบียบ ดังนั้น การอธิบายข้ออ้างทั้งสองนี้ บรรดานักวิชาการด้านเทววิทยาอิสลาม มีทัศนะที่แตกต่างกัน และจะขออธิบายเพียงบางส่วน

๔๐