บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม0%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน: ดร.มุฮัมมัด ซะอีดีย์ เมฮร์
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 450
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 325657
ดาวน์โหลด: 4493

รายละเอียด:

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 325657 / ดาวน์โหลด: 4493
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

   การพิสูจน์ พลังอำนาจของพระเจ้า

   หลังจากที่เข้าใจในความหมายของ การมีพลังอำนาจ จะกล่าวได้ว่า พระเจ้ามีพลังอำนาจ ด้วยกับการพิสูจน์จากเหตุผลต่างๆ ซึ่งจะขอนำมากล่าวเพียงเหตุผลเดียว มีดังนี้

จากความหมายของ การมีพลังอำนาจ ถ้าสมมุติว่า พระเจ้า ไม่มีพลังอำนาจ ในกรณีนี้ ความประสงค์ของพระองค์ในการเกิดขึ้นของการกระทำนั้น  ก็จะไม่ได้เกิดขึ้น ในขณะที่การกระทำได้เกิดขึ้น หรือพระองค์มีความประสงค์และการกระทำนั้น จะไม่เกิดขึ้น  แต่การกระทำนั้นกลับเกิดขึ้นมา มีคำถามว่า แล้วอะไร คือ สาเหตุของการกระทำที่ไม่เกิดขึ้นว่า มาจากความประสงค์ของพระเจ้า?

สำหรับคำตอบ มีการคาดคะเนอยู่ ๒ สภาพ

สภาพแรก ก็คือ อาตมันของพระเจ้า เป็นสาเหตุที่ทำให้การงานนั้น ไม่เกิดขึ้น ดังนั้น สภาพนี้ถือว่า ไม่ถูกต้องและเป็นโมฆะ เพราะว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์มีความต้องการที่จะกระทำการงานหนึ่งการงานใด แล้วการงานนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งในสภาพนี้มีความขัดแย้งกับความเป็นวิทยปัญญาของพระองค์

สภาพที่สอง คือ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพระเจ้า  และเช่นกัน ในสภาพนี้ก็ถือว่า ไม่ถูกต้องและเป็นโมฆะ เพราะว่า เราได้พิสูจน์ไปแล้วว่า พระเจ้า เป็นวาญิบุลวุญูด ( สิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่) และสรรพสิ่ง เป็นมุมกินุลวุญูด (สิ่งที่จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้) และเป็นสิ่งสร้างของพระองค์ การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับผู้สร้าง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ สิ่งที่เป็นมุมกินุลวุญูด ซึ่งไม่มีความเป็นอิสระเสรีในตัวเอง

๒๘๑

 จะเป็นสาเหตุให้กับความประสงค์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเจ้ามีพลังอำนาจ ด้วยกับสาเหตุที่ว่า ความประสงค์ของพระองค์ มิได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใด นอกจากอาตมันของพระองค์เท่านั้น

   อานุภาพของพระเจ้า

   ประเด็นที่สำคัญประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับอานุภาพของพระเจ้า คือ พระองค์ มีพลังอำนาจอันที่ไม่มีที่สิ้นสุดหรือว่ามีพลังอำนาจในรูปแบบที่มีขอบเขตจำกัด

สำหรับคำตอบ มีหลายทัศนะด้วยกัน ทัศนะหนึ่งของนักเทววิทยาอิสลามบางสำนักคิด มีความเห็นว่า พระเจ้ามีอำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุดหรือพลังอำนาจของพระองค์นั้น ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง โดยที่พวกเขาได้นำหลักฐานอ้างอิงจากอัล กุรอานและวจนะมายืนยัน และในทางตรงกันข้าม มีหลายทัศนะที่มีความเห็นตรงกันว่า  พระเจ้ามีพลังอำนาจในรูปแบบที่มีขอบเขตจำกัด ด้วยเหตุนี้ ทัศนะแรก ถือว่า ถูกต้อง เพราะว่าได้พิสูจน์ไปแล้วว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะทั้งหลายที่สมบูรณ์และไม่มีที่สิ้นสุด และการมีพลังอำนาจ เป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เหตุผลทางสติปัญญาที่ใช้ในการพิสูจน์การมีพลังอำนาจของพระเจ้า นอกเหนือจาก การยอมรับว่า พระองค์มีคุณลักษณะนี้แล้ว ยังกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีคุณลักษณะการมีพลังอำนาจที่สมบูรณ์และไม่มีที่สิ้นสุด มีข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในประเด็นนี้  ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีดังต่อไปนี้

๒๘๒

   สิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้น (มุฮาล) อยู่ภายใต้การมีพลังอำนาจของพระเจ้าใช่หรือไม่?

   มีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นและถูกบันทึกในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของพลังอำนาจของพระเจ้า ก็คือ มีบางสิ่งที่มีความสัมพันธ์กับพลังอำนาจของพระองค์ และบางสิ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังนั้น ข้อสงสัยนี้ ได้มีคำอธิบายอยู่มากมาย ซึ่งพื้นฐานของข้อสงสัยนี้นั้นมาจากที่มาหรือแหล่งเดียว และคำอธิบายที่ถูกรู้จักกันโดยทั่วไป มีดังนี้

๑.พระเจ้ามีความสามารถสร้างสิ่งที่เหมือนพระองค์อยู่เคียงข้างพระองค์ได้หรือไม่?

หากยอมรับว่า พระองค์มีความสามารถ หมายความว่า ยอมรับในการมีอยู่ของภาคีที่เหมือนพระองค์  ในขณะที่บรรดานักปรัชญาเชื่อว่า พระเจ้า ไม่มีการภาคีใดอยู่เคียงข้างพระองค์ และหากยอมรับว่า พระเจ้าไม่มีความสามารถ ก็หมายความว่า การมีพลังอำนาจของพระองค์นั้น มีขอบเขตจำกัด ซึ่งยอมรับว่า พระองค์ไม่มีความสามารถที่จะทำให้การงานหนึ่งเกิดขึ้นได้

๒.พระเจ้า มีความสามารถที่จะทำให้โลกใบนี้อยู่ในฟองไข่ไก่ ฟองหนึ่งได้ใช่หรือไม่ และในสภาพที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดในไข่ฟองนั้น?

สำหรับคำตอบ ก็คือ เป็นไปไม่ได้ ก็เท่ากับว่าได้ยอมรับว่า พลังอำนาจของพระเจ้านั้นมีขอบเขตจำกัด และไม่สมบูรณ์และยังมีการกระทำที่พระองค์ไม่มีความสามารถที่กระทำได้

๒๘๓

๓.ความยุ่งยากของข้อสงสัยนี้ จากคำตอบของข้อสงสัยนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม เป็นสาเหตุของการปฏิเสธการมีพลังอำนาจของพระเจ้า เช่น เมื่อถามว่า พระเจ้ามีสามารถหรือไม่ที่จะสร้างก้อนหินสักก้อนที่พระองค์ไม่มีความสามารถยกมันขึ้นมาได้ หรือถามว่า พระเจ้ามีความสามารถหรือไม่ที่จะสร้างสิ่งหนึ่งแล้วพระองค์ไม่สามารถที่จะทำลายมันได้? ดังนั้น ไม่ว่าจะตอบว่า พระองค์มีความสามารถหรือไม่มีความสามารถก็คือ การยอมรับการมีขอบเขตการมีพลังอำนาจของพระองค์

และจากข้อสงสัยที่กล่าวข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า ข้อสงสัยดังกล่าวเกิดมาจากพื้นฐานอันเดียวกัน

และก่อนที่จะตอบคำถามนี้ มาอธิบายกันใน สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ (มุฮาล) ว่ามีด้วยกัน กี่ประเภท

สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ (มุฮาล) สามารถแบ่งออกด้วยกัน  ๓ ประเภทดังนี้

๑.สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวของมัน (มุฮาล ซาตีย์) หมายถึง สิ่งหนึ่งไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เอง ตัวอย่างเช่น สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทั้งสีขาวและสีดำ หรือสิ่งที่มีทั้งสีขาวและสีดำ

๒.สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง (มุฮาล วุกูอีย์) หมายถึง สิ่งหนึ่งไม่มีความสามารถที่จะเกิดขึ้น แต่โดยตัวของมันเองสามารถจะเกิดขึ้นได้ และการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น เป็นสาเหตุให้เกิด มุฮาล ซาตีย์ เช่น การมีอยู่ของผลโดยที่ไม่มีเหตุ เพราะว่า การเกิดขึ้นของผล เป็นสาเหตุให้เกิดความต้องการไปยังเหตุและไม่ต้องการผล 

ประเภทแรกและประเภทที่สองของมุฮาล เรียกว่า สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ทางสติปัญญา (มุฮาล อักลีย์)

๓.สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยทั่วไป (มุฮาล อาดีย์) หมายถึง สิ่งหนึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติ แต่การเกิดขึ้นของสิ่งนั้น ไม่เป็นสาเหตุมุฮาล ซาตีย์ หรือด้วยตัวของมันเอง

จากการอธิบายข้างต้น จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่า พลังอำนาจของพระเจ้า ไม่มีในสิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวของมัน และสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง และตัวอย่างของข้อสงสัยทั้งหมด เป็น ตัวอย่างของ สิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ทางสติปัญญา ทั้งสิ้น เช่น การมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับพระเจ้า และการนำโลกไปไว้ในฟองไข่ไก่ ฟองหนึ่ง และการสร้างก้อนหินที่พระองค์ยกขึ้นไม่ได้  กล่าวได้ว่า ในตัวอย่างแรก  เป็นการสมมุติว่า มีพระเจ้าอยู่สององค์ที่เหมือนกัน  และเป็นสาเหตุให้เกิดความแตกต่างกันในพระเจ้าทั้งสอง  เพราะว่าในขณะที่กล่าวว่า พระเจ้ามีสององค์ที่องค์เป็นพระเจ้าและอีกองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้า และตัวอย่างที่สอง การนำโลกนี้ไปไว้ในไข่ไก่ ก็ด้วยสาเหตุนี้เช่นกัน กล่าวคือ โลกที่มีขนาดใหญ่และไม่มีขนาดใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้หรือไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ และในตัวอย่างที่สามก็เหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่ควรสังเกตุก็คือ พลังอำนาจของพระเจ้า ไม่มีในสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวของมันและสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง มิได้หมายความว่า พลังอำนาจของพระองค์นั้นมีขอบเขตจำกัด เพราะว่า สิ่งเหล่านั้นไม่อาจจะเกิดขึ้นมาได้

บรรดานักปรัชญาอิสลามได้กล่าวว่า ผู้กระทำมีความสามารถ แต่สิ่งถูกกระทำนั้น ไม่สามารถยอมรับการกระทำได้ และเพื่อที่มีความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในตัวของเรา  เช่น นักปั้นดินเผาคนหนึ่งที่มีความสามารถปั้นเหยือกดินที่สวยงามที่สุดจากดินโคลนได้ ในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่มีดินแล้วก็มีเพียงน้ำ เขาก็ไม่สามารถที่จะปั้นเหยือกดินได้ ไม่ว่าจะเป็นเหยือกใบเล็กหรือใบใหญ่ ดังนั้น เป็นกระจ่างชัดว่า ไม่ใช่ว่านักปั้นดินเผาคนนั้น ไม่มีความสามารถหรือไม่มีประสบการณ์หรือมีความสงสัยในความเป็นนักปั้นดินเผาของเขา แต่สิ่งที่เขามี คือ น้ำ ซึ่งไม่สามารถจะทำให้เป็นเหยือกดินได้(ตัวอย่างนี้ มีความคล้ายคลึงกับการมีพลังอำนาจของพระเจ้า และ มีความแตกต่างกับการมีพลังอำนาจของพระเจ้ากับการมีพลังอำนาจของมนุษย์ แต่เพื่อที่จะเข้าใจในการมีพลังอำนาจของพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น จึงยกมาเป็นตัวอย่าง)

ตัวอย่างของประเด็นนี้ ก็เช่นกัน สิ่งที่ถูกกระทำมีข้อบกพร่อง ไม่ใช่ผู้กระทำ ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า ความหมายของสิ่งนั้นไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังอัล กุรอานที่กล่าวว่า

“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงมีพลังอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง”

ด้วยเหตุนี้ กล่าวสรุปได้ว่า ตัวอย่างทั้งหมดที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยการใช้สติปัญญา และพลังอำนาจของพระเจ้าไม่มีในสิ่งเหล่านี้ และการไม่มีพลังอำนาจของพระเจ้า มิได้หมายความว่า การมีพลังอำนาจของพระองค์นั้น มีขอบเขตจำกัด และจะอธิบายในรายละเอียดของมัน ในประเด็น ความมหัศจรรย์ของพระเจ้า ดังนั้น พลังอำนาจของพระเจ้า จึงมีในมุฮาล อาดีย์(สิ่งที่โดยทั่วไปไม่อาจจจะเกิดขึ้นได้)

๒๘๔

   การมีพลังอำนาจของพระเจ้าในการกระทำที่ไม่ดี

    ประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวกับการมีพลังอำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า คือ คำถามที่กล่าวว่า พระองค์ มีความสามารถกระทำการงานที่ไม่ดีได้หรือไม่?

สำหรับคำตอบ มีอยู่ สองทัศนะ ด้วยกัน

ทัศนะแรกมีความเห็นว่า พระเจ้าไม่มีความสามารถที่จะกระทำการงานที่ไม่ดี

ทัศนะที่สองมีความเห็นว่า พระเจ้า ด้วยกับความเป็นวิทยปัญญาของพระองค์และพระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ พระองค์ไม่กระทำการงานที่ไม่ดี แต่มิได้หมายความว่า พระองค์ไม่มีความสามารถที่จะกระทำการงานนั้น และด้วยกับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทำให้เข้าใจว่า ทัศนะที่ถูกต้อง คือ ทัศนะที่สอง 

แต่จะกล่าวถึงเหตุผลของทัศนะแรกและมาวิเคราะห์กัน เหตุผลของทัศนะแรกที่มีความเห็นว่า พระเจ้าไม่มีความสามารถในการกระทำความไม่ดี  คือ ถ้าสมมุติว่า พระเจ้ามีความสามารถกระทำการงานที่ไม่ดี หมายความว่า พระองค์เป็นผู้โง่เขลาหรือพระองค์มีความต้องการ แต่ความเป็นจริง พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงไม่มีความต้องการใดทั้งสิ้น ดังนั้น พระเจ้ามิทรงเป็นผู้โง่เขลาหรือมีความต้องการ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้า ไม่มีความสามารถที่จะกระทำการงานที่ไม่ดี

๒๘๕

การอธิบายสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น คือ การสมมุติว่า พระเจ้ามีความสามารถที่จะกระทำการงานที่ไม่ดี หมายความว่า พระเจ้าสามารถที่จะกระทำการงานนี้ได้ ในสภาพนี้ หากว่าพระเจ้า ไม่มีความรู้ในการกระทำที่ไม่ดีนั้น  ดังนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้โง่เขลา และถ้าพระองค์ทรงรู้ในการกระทำที่ไม่ดี พระองค์ก็ทรงมีความต้องการ เพราะว่า ความเป็นวิทยปัญญาของพระองค์กล่าวว่า พระองค์ ไม่กระทำการงานที่ไม่ดี  

คำตอบของเหตุผลนี้ กล่าวได้ว่า สิ่งสำคัญทั้งสอง คือ ความโง่เขลาและความต้องการ เป็นองค์ประกอบของการเกิดขึ้นของการกระทำที่ไม่ดี ในขณะที่พระเจ้ามีความสามารถกระทำการงานที่ไม่ดี พระองค์ไม่มีคุณลักษณะทั้งสอง เพราะจากความหมายของ ความสามารถ หมายความว่า การมีความสามารถในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มิได้หมายความว่า การกระทำนั้น จะต้องเกิดขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้ พระเจ้ามีความสามารถในการกระทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ด้วยกับความเป็นวิทยปัญญาของพระองค์ การกระทำนั้นจะไม่เกิดขึ้นจากพระองค์ ดังนั้น พระองค์มิได้ทรงเป็นผู้โง่เขลาหรือมีความต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พระเจ้า เป็นผู้มีวิทยปัญญา การกระทำที่ไม่ดี จึงไม่เกิดขึ้นจากพระองค์ และการไม่กระทำสิ่งไม่ดี มิได้หมายความว่า พระองค์ไร้ความสามารถ

๒๘๖

   พลังอำนาจของพระเจ้าในมุมมองของอัล กุรอานและวจนะ

    อัล กุรอานกล่าวถึง พระเจ้าว่า พระองค์ทรงมีพลังอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง (กอดีร ,กอดิรและมุกตะดิร) ดั่งพระดำรัสที่กล่าวว่า

 “แท้จริงอัลลอฮ์ทรงมีพลังอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง”และโองการต่างๆมากมายกล่าวถึง การมีพลังอำนาจของพระเจ้า

ตัวอย่างเช่น ในบทอัฏฏอลาก โองการที่ ๑๒ กล่าวว่า

“อัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และทรงสร้างแผ่นดินก็เยี่ยงนั้น พระบัญชาจะลงมาท่ามกลางมันทั้งหลาย (ชั้นฟ้าและแผ่นดิน) เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงห้อมล้อมทุกสิ่งอย่างไว้ด้วยความรอบรู้ (ของพระองค์)”

จากโองการนี้แสดงให้เห็นว่า การสร้างโลกและการบริหารการงานต่างของโลก บ่งบอกถึง สัญลักษณ์หนึ่งของ การมีพลังอำนาจของพระเจ้า

และในอีกโองการได้กล่าวว่า การสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน แสดงให้ในการมีพลังอำนาจของพระเจ้า 

บทอะฮ์กอฟ โองการที่ ๓๓ กล่าวว่า

“และพวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ซึ่งทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ และมิทรงอ่อนเพลียต่อการสร้างสิ่งเหล่านั้น ย่อมทรงเป็นผู้อานุภาพที่จะให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีก แน่นอนแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกๆสิ่ง”

และในวจนะทั้งหลายก็ได้กล่าวเช่นเดียวกันในการมีพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า

๒๘๗

วจนะหนึ่งจากท่านอิมาม ซอดิก(ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

 “พระเจ้าทรงมีความรอบรู้ในสิ่งที่พระองค์สร้างและทรงอานุภาพและทรงปกครองและดูแลในทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่งนั้น ณ พระองค์มีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่า การมีพลังอำนาจของพระองค์และความรอบรู้และการปกครอง”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๙ วจนะที่ ๑๕ )

   คำตอบจากวจนะในข้อสงสัยที่เกี่ยวกับการมีพลังอำนาจของพระเจ้า

    นอกเหนือจาก เหตุผลทั้งหลายที่เป็นคำตอบในข้อสงสัยต่างๆที่เกี่ยวกับการมีพลังอำนาจของพระเจ้าแล้ว ยังมีคำตอบจากวจนะของ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านทั้งหลาย)

ดั่งในวจนะหนึ่งที่ได้รายงานจาก  ท่านอิมามอะลี ว่า มีชายคนหนึ่งได้ถามท่านว่า พระผู้เป็นเจ้าของท่านนั้น มีความสามารถที่จะทำให้โลกใบนี้ อยู่ในไข่ไก่สักฟองหนึ่ง โดยทิ่มิได้ทำให้โลกนั้นดูเล็กลง หรือไข่ฟองนั้นใหญ่ขึ้นได้ ใช่หรือไม่?

ท่านอิมาม ได้ตอบกับชายผู้นั้นว่า

“แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งและมีเกียรติยิ่ง ไม่มีความสัมพันธ์ใดไปยัง การไม่มีพลังอำนาจและในสิ่งที่เจ้าถามแน่นอนมันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง” (อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๙ วจนะที่ ๙ )

ดังนั้น จากวจนะนี้ สรุปได้ว่า มิใช่ว่า พระเจ้าไม่ทรงมีความสามารถ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริงได้ เพราะว่า สิ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นจริง

๒๘๘

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

 

พลังอำนาจของพระเจ้ากุดรัต อิลาฮีย์    capability of Devine

สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง มุฮาล วุกูอีย์

สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวของมันมุฮาลซาตีย์

สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยทั่วไปมุฮาลอาดีย์

สรุปสาระสำคัญ

  ๑.ความหมายของ พลังอำนาจ คือ ผู้กระทำมีความสามารถกระทำการงานหนึ่งการงานใดได้ และไม่กระทำการงานนั้นก็ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การกระทำของผู้กระทำที่ได้เกิดขึ้นจาก ความประสงค์ของผู้นั้น

๒.การมีพลังอำนาจในการกระทำ ไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นจะต้องเกิดขึ้น เพราะว่า เป็นไปได้ว่า ผู้มีพลังอำนาจสามารถกระทำ หรือไม่กระทำในการกระทำหนึ่ง ในขณะที่ผู้กระทำ ก่อนที่จะทำให้การงานนั้น ให้เกิดขึ้นมา เขาก็มีความสามารถและพลังอำนาจ

๓.การมีพลังอำนาจของพระเจ้า หมายถึง การกระทำของพระองค์นั้นขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ การกระทำนั้นก็จะเกิดขึ้น และถ้าพระองค์ไม่ทรงประสงค์การกระทำนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำของพระองค์มิได้เกิดขึ้นมาจากเป้าหมายอื่น ที่มิใช่อาตมันของพระองค์

๒๘๙

๔.เหตุผลการพิสูจน์การมีพลังอำนาจที่ไม่มีขอบเขตของพระเจ้า ก็คือ พระเจ้าทรงกระทำในการกระทำของพระองค์ ด้วยความประสงค์ของพระองค์ และไม่มีการกระทำใดที่พระองค์ไม่สามารถจะกระทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งสร้างของพระองค์ และการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์

๕.พระเจ้า มีพลังอำนาจที่ไม่มีขอบเขตและไม่มีที่สิ้นสุด และพลังอำนาจของพระองค์ ไม่มีในสิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันหรือ ในความเป็นจริงได้ (มุฮาล ซาตีย์และมุฮาล วุกูอีย์) เพราะว่า การกระทำนี้ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่พลังอำนาจของพระเจ้า มีอยู่ใน สิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นโดยทั่วไป (มุฮาล อาดีย์) เช่น ปาฏิหาริย์ของบรรดาศาสดาทั้งหลาย

๖. พระเจ้า มีความสามารถที่จะกระทำในการงานที่ไม่ดีได้ แต่ด้วยกับความเป็นวิทยปัญญาของพระองค์ได้กล่าวว่า พระองค์จะไม่กระทำในการงานที่ไม่ดี

๗. อัล กุรอานกล่าวถึงพระเจ้าว่า พระองค์ทรงมีอานุภาพ ดั่งโองการที่กล่าวว่า“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงมีอานุภาพเหนือทุกสรรพสิ่ง” บ่งบอกถึง ความไม่มีที่สิ้นสุดในพลังอำนาจของพระเจ้า

๘.และอัล กุรอานยังกล่าวอีกว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และมีอำนาจการบริหารในการงานทั้งหลาย แสดงให้เห็นว่า พระเจ้ามีพลังอำนาจที่ไม่มีขอบเขตและไม่มีที่สิ้นสุด

๙.บางส่วนของวจนะทั้งหลายกล่าวถึง คำตอบของข้อสงสัยต่างๆที่เกี่ยวกับ การมีพลังอำนาจของพระเจ้า และอธิบายว่า การที่พลังอำนาจของพระองค์ไม่มีในบางสิ่ง มิได้หมายความว่า การมีพลังอำนาจของพระองค์นั้น มีขอบเขตจำกัด

๒๙๐

   บทที่ ๖

   การมีชีวิตของพระเจ้า

    การมีชีวิต  เป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระเจ้า และเป็นคุณลักษณะหนึ่ง ที่บรรดานักเทววิทยาอิสลามมีความเห็นตรงกัน แต่มีความแตกต่างในการอธิบายถึงวิธีการมีชีวิตของพระเจ้า และมีการให้ทัศนะที่แตกต่างกัน โดยนักเทววิทยาอิสลามบางคนได้กล่าวว่า การมีชีวิต เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ และบางคนก็กล่าวว่า คุณลักษณะนี้ มิได้มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ เพราะว่าการมีชีวิต เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลาย เช่น ในมนุษย์, ในสัตว์, พรรณพืช และในสิ่งอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในความหมายของ การมีชีวิต กันก่อน ดังนั้น การมีชีวิต มีความหมายว่า อย่างไร?  แล้วจะมาอธิบายในความหมายของ การมีชีวิตของพระเจ้า เป็นอันดับต่อไป

   การมีชีวิตอยู่ของสรรพสิ่ง

    เมื่อเราได้สังเกตในสภาวะของสิ่งต่างๆที่เรียกกันว่า สิ่งนั้นมีชีวิตอยู่ จะเห็นได้ว่าในการมีชีวิตอยู่ของสิ่งเหล่านั้น บรรดานักเทววิทยาได้กล่าวกันว่า ในสิ่งที่มีชีวิตอยู่ มี ๒ คุณลักษณะที่เฉพาะกับการมีชีวิตอยู่ คือ

๑.การมีความรู้

๒. การมีความสามารถ

เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่มีชีวิตอยู่ สิ่งนั้นต้องมีความรู้และมีความสามารถ ส่วนสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งนั้นก็ไม่มีทั้งความรู้และความสามารถ

๒๙๑

จะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า บรรดานักวิชาการได้กล่าวว่า การมีชีวิตอยู่ของพรรณพืชนั้นมีความแตกต่างกัน เพราะว่าการมีอยู่ของความรู้และความสามารถในแต่ละพรรณพืชก็มีความแตกต่างกันเช่นเดียวกัน ดังนั้น ความหมายของ การมีชีวิตอยู่จึงครอบคลุมทั้งมนุษย์และสัตว์

และสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งมีอยู่ ๒ ประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

๑.การมีชีวิตอยู่ของสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น มนุษย์และสัตว์ และด้วยกับการกระทำต่างๆ เช่น การเจริญเติบโต, การมีความต้องการที่อยู่อาศัย, ปัจจัยยังชีพและอาหาร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทั้งหลายของการมีชีวิตอยู่ และอาจจะกล่าวได้ว่า ทั้งหมดนั้นเป็นคุณลักษณะที่มิได้เป็นคุณลักษณะโดยเฉพาะของการมีชีวิตอยู่ และการมีชีวิตนั้น ไม่จำเป็นต้องมีคุณลักษณะดังกล่าว และคุณลักษณะเหล่านั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ในความหมายของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์และสัตว์ ซึ่งถูกนำมาใช้ในสิ่งที่เป็นวัตถุ ส่วนสิ่งที่มิใช่วัตถุ เช่น พระเจ้านั้นไม่มีความต้องการในการเจริญเติบโต ,อาหาร และที่อยู่อาศัย

๒.ความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ หมายถึง การมีความรู้และการมีความสามารถ มิได้หมายความว่า การมีชีวิตอยู่นั้นต้องมีทั้งสองคุณลักษณะดังกล่าวเท่านั้น เพราะว่า การมีชีวิตอยู่ เป็นความหมายที่มีอยู่ในการมโนภาพโดยทิ่มิได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้น การมีชีวิต จึงเป็นการมีอยู่ที่สมบูรณ์ และสิ่งใดก็ตามที่มีชีวิต สิ่งนั้นก็ต้องมีทั้งความรู้และความสามารถอยู่คู่กัน

๒๙๒

ด้วยเหตุนี้ การให้คำนิยามของ การมีชีวิต คือ การมีความรู้และความสามารถ ซึ่งเป็นการให้คำนิยามของสิ่งหนึ่งที่มีส่วนประกอบ

เมื่อความหมายของ การมีชีวิตอยู่ในทัศนะของบรรดานักเทววิทยาอิสลามนั้น เป็นที่กระจ่างชัดสำหรับเราแล้ว จะมาอธิบายกันในความหมายของ การมีชีวิตของพระเจ้า

   ความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า

    การอธิบายในความหมายของ การมีชีวิตของพระเจ้า ซึ่งบรรดานักเทววิทยาอิสลามในสำนักคิดทั้งหลายได้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

โดยที่นักเทววิทยาอิสลามในสำนักคิดอัชอะรีย์ มีความเชื่อว่า คุณลักษณะของพระเจ้านั้นมีความแตกต่างกับอาตมันของพระองค์ และยังได้กล่าวอีกว่า การมีชีวิตของพระเจ้า เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ และเป็นคุณลักษณะที่มีอยู่เหนือจากอาตมันของพระองค์ โดยมีความหมายว่า อาตมันของพระองค์มีความรู้และความสามารถอยู่คู่กัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้ที่ปฏิเสธการมีความแตกต่างกันระหว่างคุณลักษณะกับอาตมันของพระเจ้า ได้กล่าวว่า การมีชีวิตของพระเจ้า เป็นคุณลักษณะที่มิได้มีอยู่ในพระองค์ และความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า ก็คือ การมีความสามารถและการมีความรู้ และเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องห้าม

๒๙๓

ด้วยเหตุนี้  การมีชีวิต จึงเป็นคุณลักษณะหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในพระเจ้า  ซึ่งจะเห็นได้ว่า จากความหมายของ การมีชีวิต ในทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ มีความหมายที่ไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้อง ดังนั้น การมีชีวิต จึงเป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระองค์ และคุณลักษณะการมีชีวิตของพระเจ้า หมายถึง การมีชีวิตของพระองค์ในรูปแบบที่สมบูรณ์ กล่าวคือ การมีความรู้ และสามารถ แต่การมีชีวิตของพระเจ้านั้น ปราศจากการเป็นวัตถุ ซึ่งไม่มีความต้องการในการเจริญเติบโต ,ที่อยู่อาศัย, อาหาร และการพึ่งพา และสิ่งเหล่านี้มิใช่เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นกับการมีชีวิตของพระองค์

ได้อธิบายไปแล้วว่า การมีความรู้และการมีความสามารถ เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า ดังนั้น การมีชีวิตก็มีคุณลักษณะทั้งสองอยู่ด้วย และความหมายในการมีชีวิต ก็เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในพระองค์เช่นกัน   ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกันกับการมีชีวิตของสิ่งทั้งหลาย

   เหตุผลของการมีชีวิตของพระเจ้า

    เหตุผลต่างๆที่ใช้ในการพิสูจน์การมีอยู่ของคุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้า ก็สามารถใช้ในการพิสูจน์การมีชีวิตของพระองค์ได้ เหตุผลที่เข้าใจง่าย เกิดขึ้นจากการมีความรู้ของพระเจ้า และการมีความสามารถ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการมีชีวิต และได้พิสูจน์ไปแล้วว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงรอบรู้และมีความสามารถ เพราะฉะนั้น พระองค์ก็ทรงมีชีวิตอยู่เช่นกัน

๒๙๔

ดั่งใน คำกล่าวของท่านมุฮักกิก ตูซีย์ ที่ได้กล่าวว่า

“ทุกสิ่งที่มีความรู้ และความสามารถ แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นก็ต้องมีชีวิต”

   การมีชีวิตของพระเจ้า จากการอรรถาธิบายของอัลกุรอานและวจนะ

    อัล กุรอานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในโองการทั้งหลายถึงคุณลักษณะการมีชีวิตของพระเจ้าว่า

“อัลลอฮ์ (ทรงเป็นพระเจ้า) ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ (อีกแล้ว) นอกจากพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นเสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์ (แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่   ต่อหน้าพวกเขาและที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาและพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์ นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์(จะให้พวกเขารู้)เท่านั้นเก้าอี้ (คืออำนาจปกครอง) ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดินและการพิทักษ์มัน   ทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลยและพระองค์ทรงสูงส่งอีกทั้งทรงยิ่งใหญ่”

 (อัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ ๒๕๕) 

๒๙๕

                                                           

และอีกโองการหนึ่งได้กล่าวว่า              

“อัลลอฮ์นั้นคือ ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิตอยู่เสมอ (ไม่มีกาลอวสาน) ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลายเป็นเนืองนิจ (ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและทรงบังเกิด)” (บทอัลอาลิอิมรอน โองการที่ ๒)

 โองการดังกล่าวนี้ได้กล่าวถึง คุณลักษณะการมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า โดยที่อัล กุรอานได้กล่าวอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ว่า พระเจ้า คือ อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงมอบชีวิตให้กับทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า หมายถึง เมื่อพระเจ้า เป็นผู้ทรงมอบชีวิตให้กับทุกสรรพสิ่ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะไม่ทรงมีชีวิตอยู่

และในอัล กุรอานได้กล่าวอีกว่า

“และเจ้าจงมอบหมายต่อพระผู้ทรงดำรงชีวิตตลอดกาล ไม่ตาย และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์ และพอเพียงแล้วสำหรับพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในความผิดทั้งหลายของปวงบ่าวของพระองค์”

 (บทอัลฟุรกอน โองการที่ ๕๘ )

อัล กุรอานได้ใช้คุณลักษณะทั้งสอง กล่าวคือ การมีชีวิตอยู่ คู่กับการเป็นอมตะ แสดงให้เห็นว่า เป็นคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะว่า การมีคุณลักษณะ การมีชีวิตอยู่ นอกเหนือจาก การมีความรู้ในอาตมันของตนเองแล้ว ยังมีความรู้ในสรรพสิ่ง และการมีพลังอำนาจ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เกิดขึ้นในอาตมันของพระเจ้า  และการมีคุณลักษณะ การเป็นอมตะ มีความหมายว่า การมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับพระองค์ และพระองค์ เป็นแหล่งกำเนิดของการกระทำทั้งหลาย

ด้วยเหตุนี้ การกล่าวรำลึกว่า โอ้พระผู้ทรงดำรงชีวิตอยู่และเป็นอมตะ เป็นการกล่าวรำลึกที่สวยงามที่สุด

๒๙๖

ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมิแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในเทศนาบทหนึ่งที่มีคุณค่ายิ่งในเป้าหมายของการรู้จักในความสูงส่งของพระผู้เป็นเจ้า ก็คือ การรู้จักในคุณลักษณะการมีชีวิตอยู่และการเป็นอมตะและนิรันดร์

“เราไม่มีความรู้ในความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า นอกจากเรารู้ว่า พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่และเป็นนิรันดร์ และพระองค์ไม่ทรงง่วงนอนและหลับไหล” (นะฮ์ญุลบะลาเฆาะ สุนทรโรวาทที่ ๑๖๐)

บางวจนะได้กล่าวเช่นเดียวกันถึงความเป็นจริงของ การมีชีวิตอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า และความแตกต่างของการมีชีวิตอยู่ของพระองค์กับการมีชีวิตอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย

ดั่งเช่น วจนะของท่านอิมามมูซา อัลกาซิม (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ที่ได้กล่าวว่า

“อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ ในสภาพที่ไม่มีผู้ให้ชืวิต และไม่มีผู้ให้คุณลักษณะแด่พระองค์ และไม่มีการจำกัดในการมีอยู่ และพระองค์ไม่มีสถานที่พำนัก แต่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ด้วยพระองค์เอง “[๒]

 (อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๑๑ วจนะที่ ๖ )

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า คำกล่าวของอิมามนั้น มีความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง  แต่สิ่งที่เราได้รับจากวจนะนี้ ก็คือ

๒๙๗

๑.การมีชีวิตของพระเจ้านั้น ไม่เหมือนกับการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ และสิ่งสร้างพระองค์ เพราะว่าอาตมันของพระองค์มีมาแต่เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น การมีชีวิตของพระองค์ก็มีมาแต่เดิมและไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเช่นกัน

๒.การมีชีวิตของพระเจ้านั้น เป็นการมีอยู่ ที่มิได้เป็นคุณานุภาพที่มีขอบเขตจำกัด และไม่มีสถานที่

   การมีมาแต่เดิมและความเป็นอมตะและนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า

    การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์

บรรดานักปรัชญาอิสลาม มีความเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีมาแต่เดิม หมายความว่า พระเจ้าไม่มีกาลเวลาที่จำกัด และคำกล่าวที่ว่า พระองค์ทรงมีอยู่เป็นนิรันดร์ หมายความว่า ไม่มีกาลเวลาใดที่จะมาทำลายหรือทำให้พระองค์สูญสลายได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การมีอยู่ของพระองค์นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตก็ตาม เพราะว่า พระองค์ทรงมีอยู่เหนือกาลเวลา  ดังนั้น ความหมายของ การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ บางครั้งหมายถึง การคงมีอยู่ของสิ่งที่มาแต่เดิมตลอดไป

๒๙๘

   การอธิบาย การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า

   บรรดานักเทววิทยาอิสลาม มีความคิดเห็นและมีทัศนะที่แตกต่างกัน และจากทัศนะทั้งหลาย

ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า มี ๒ทัศนะที่สำคัญ ดังนี้

๑.การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้น จากทัศนะนี้ชี้ให้เห็นว่า การมีอยู่ของพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับกาลเวลา

๒.การมีอยู่ของพระเจ้านั้น อยู่เหนือกาลเวลา ซึ่งรวมถึงสิ่งที่เป็นกาลเวลาด้วย

ในทัศนะแรก บ่งบอกถึง ความเข้าใจของสามัญชนธรรมดาต่อการมีอยู่แต่เดิม และความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า และในทัศนะที่สอง เป็นทัศนะที่ถูกยอมรับในแวดวงวิชาการ เพราะว่า การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา แต่พระองค์ทรงอยู่เหนือกาลเวลา

การมีอยู่กาลเวลา หมายถึง สิ่งที่เป็นวัตถุ และอาตมันของพระเจ้า มิได้เป็นวัตถุ ดังนั้น พระองค์ไม่ทรงมีกาลเวลา

๒๙๙

   เหตุผลของ การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า 

 

   หลังจากที่ได้เข้าใจในความหมายของ การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว บัดนี้ จะมาพิสูจน์ในเหตุผลของง การมีอยู่สองคุณลักษณะ ในอาตมันของพระองค์ เหตุผลที่เข้าใจง่าย ก็คือ เหตุผลจาก ข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน (สิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่และสิ่งที่จะมีอยู่ก็ได้หรือไม่มีก็ได้) เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้า คือ สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ และการไม่มีอยู่นั้น ไม่มีในพระองค์  กล่าวคือ การไม่มีอยู่ จะไม่มีในพระองค์ในอดีต และการไม่มี จะไม่มีมา หลังจากในอนาคต

ดั่งที่ท่านควอญิฮ์ นะศีรุดดีน ตูซีย์ ได้กล่าวว่า

“ข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน ( สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ และสิ่งที่จะมีอยู่ก็ได้หรือไม่มีก็ได้) บ่งบอกถึง การมีอยู่ตลอดกาลและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า “

   การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า ในอัล กุรอานและวจนะ

    อัล กุรอานมิได้กล่าวคำว่า การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ แต่ทว่า กล่าวถึงคำที่บ่งบอกถึงความหมายของการมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์  เช่น บางครั้งเรียกพระผู้เป็นเจ้า ว่า พระองค์เป็นองค์แรกและเป็นองค์สุดท้าย

อัล กุรอานกล่าวว่า

“พระองค์ทรงเป็นองค์แรกและองค์สุดท้าย และทรงเปิดเผยและทรงเร้นลับ และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

( บทอัลหะดีด โองการที่ ๓ )

๓๐๐