พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 27290
ดาวน์โหลด: 4902

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 27290 / ดาวน์โหลด: 4902
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน  อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์

บทที่ 1

ความจำเป็นในการแสวงหาศาสนา

คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เขาไม่มีหน้าที่ต้องแสวงหาแนวทางการดำเนินชีวิต (ศาสนาหรือดีน) เขาคิดว่ามีความจำเป็นอันใดหรือที่ทำให้เขาต้องคิดคำนึงในเรื่องราวของศาสนาด้วย?

เราจะเปิดเผยให้เห็นถึงความคิดที่ผิดพลาดของพวกเขาด้วยข้อความข้างล่างนี้ และจะพูดถึงความจำเป็นในการที่ต้องแสวงหาศาสนาจาก

 2 เหตุผลด้วยกันกล่าวคือ

1. ตามคำสั่งของสติปัญญา มนุษย์ทุกคนจักต้องรู้จัก และทำการขอบคุณผู้ที่ทำดีต่อเขา

2. สติปัญญาสอนให้เรารู้ถึงความจำเป็นจะต้องสกัดกั้นอันตรายและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นเพียงการคาดเดาว่าอาจจะเกิดขึ้นก็ตาม

บทวิเคราะห์ถึงสองเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

1. หน้าที่ในการรู้จักการขอบคุณ

เราทุกคนได้ประสบกับคุณูปการแห่งการมีชีวิตในโลกนี้หลายอย่างด้วยกัน ระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ หัวใจ และอวัยวะภายในอื่นๆ ของร่างกายเราทุกส่วนมีค่ามหาศาลเกินกว่าการคิดคำนวณใด แม้กระทั่งความรู้ของเราเสียอีก

 แสงจากดวงอาทิตย์ การมีอยู่ของพืชพรรณต่าง ๆ แร่ และสสารต่าง ๆ ที่ยังอยู่ในดิน ทั้งหมดนี้คือ ความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ซึ่งเราสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ด้วยความรู้ และกำลังที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้แก่มนุษย์และที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ สติปัญญา และมันสมองอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์นั่นเองที่บดขยี้ภูเขาลูกใหญ่ ๆลง จากน้ำและแร่เหล็กต่าง ๆ

เขาได้สร้างพลังงานมหาศาลและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย

ถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่า เราไม่ควรจะรู้จักผู้ให้คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่และทำการขอบคุณต่อเขากระนั้นหรือ ?

หากชายใจบุญคนหนึ่งชอบช่วยเหลือคนรับเอาทารกคนหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่จากเขาไปตั้งแต่เกิดไว้เป็นบุตรบุญธรรม เขาได้จัดหาปัจจัยยังชีพทุกอย่างให้แก่เด็กน้อย ให้ความรัก ความเอ็นดู ฟูมฟักเด็กน้อยนั้น

 และเมื่อเด็กน้อยโตขึ้นเขาก็จัดหาครูและตำรับตำราเรียนให้

มอบทรัพย์สมบัติให้แก่เขา รับผิดชอบเด็กน้อยคนนี้ทุกอย่าง

เด็กน้อยคนนี้ไม่มีหน้าที่ต้องรู้จักตัวของผู้มีพระคุณคนนี้ และขอบคุณเขากระนั้นหรือ ?

 ดวงจิตของเขาที่เต้นเร้าอยู่ไม่มีหน้าที่ต้องสำนึกในบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ดอกหรือ ?

ในสนามแห่งการดำรงชีพ เรามีหน้าที่ที่จะต้องคำนึงถึงความโปรดปรานทั้งมวลที่มีอยู่ และเมื่อนั้นเราก็จะรู้จักผู้ประทานความโปรดปราน และพระผู้สร้างเราขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้เอง ความเพียรพยายามในการให้ได้มาซึ่งแนวทางการปฏิบัติ (ดีน) อันถูกต้อง คือความต้องการของปัญญานั่นเอง

ผู้ใดที่ยังไม่พบแนวทางอันเป็นสัจธรรม ยังอยู่ในหนทางอันมืดมนไร้ทิศทาง เขาจะต้องไมหยุดนิ่ง เขาจะต้องทำความรู้จักกับแนวทางที่เป็น

สัจธรรม และศาสนาอันเที่ยงแท้ด้วยหลักการและเหตุผลที่มั่นคงและแน่นอน เมื่อไรที่เขาได้รับน้ำเลี้ยงแห่งจิตวิญญาณ และศาสนาที่เที่ยงตรงแล้ว เขาก็จะต้องสำนึกและขอบคุณต่อพระผู้สร้างด้วยหัวใจที่สงบนิ่ง เยือกเย็น และชาญฉลาด

2. การสกัดกั้นอันตรายและผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้

หากเด็กน้อยคนหนึ่งพูดกับท่านว่า “แมงป่องเข้าไปในเสื้อของท่าน” ท่านคงต้องรีบกระโดดโหยง ถอดเสื้อออกทันที แล้วตรวจดูทุกซอกทุกมุมของเสื้อตัวนั้นเพื่อหาแมงป่องตัวนั้นให้ได้ หรือไม่ก็จนกว่าจะมั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่ในเสื้อของท่าน

ในการเดินทางยาค่ำคืนหนึ่ง ท่านได้ยินข่าวว่ามีพวกโจรดังซุ่มอยู่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากท่านไม่รู้จักทางอื่นที่มั่นใจได้ ท่านก็จะไม่ยอมออกไปโดยเด็ดขาด

ตัวอย่างข้างบนทำให้เกิดความกระจ่างว่า การสกัดกั้นอันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งจำเป็นตามสามัญสำนึก แต่อาจเป็นไปได้ว่าอันตรายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจไม่มีใครสนใจ แต่ถ้ามันร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อชีวิตละก็แน่นอน เขาไม่อาจจะมองข้ามไปได้เลย

อันตรายที่ร้ายแรงที่สุด

ในประวัติศาสตร์การดำรงอยู่ของมนุษย์ เราได้รู้จักกลุ่มบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านการรักษาสัตย์ พูดจริง และปฏิบัติการงานที่ดี

พวกเขาได้แนะนำตัวเองว่าเป็นทูตมาจากพระผู้เป็นเจ้า ได้เรียกร้องเชิญชวน

ประชาชนสู่การเชื่อมั่นและรู้จักพระองค์ รวมทั้งให้ปฏิบัติการงานหนึ่งตามพระประสงค์ของพระองค์ จากผลของความบากบั่นเพียรพยายามอย่างเหนื่อยยากของบุคคลเหล่านี้ ทำให้มีผู้คนหลายกลุ่มชน และเผ่าพันธุ์ทั่วโลก

ทุกมุมโลกมุ่งตรงมายังพวกเขา ซึ่งทำให้การถือกำเนิดของท่านนบีอีซา(อฺ) กลายเป็นการเริ่มต้นศักราชของชาวคริสต์ ส่วนฮิจญ์เราะฮฺ(การอพยพจากมักกะสู่มะดีนะ) ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ) ก็ถูกนับว่าเป็นการเริ่มต้นศักราชของชาวมุสลิมนั่นเอง

ต่อไปเราจะถามตัวเราว่า คำพูดของทูตผู้สื่อสาส์นเหล่านี้ซึ่งได้เชิญชวนประชาชนสู่ศาสนาและการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพวกเขา ได้ย้ำเตือนคนเหล่านั้นให้เกรงกลัวการลงทัณฑ์จากผลแห่งการกระทำชั่ว และการถูกพิพากษาในศาลตัดสินความอันยิ่งใหญ่ ณ เบื้องหน้าพระพักตร์ของ

ผู้พิพากษา ผู้ทรงปรีชาญาณ และเต็มไปด้วยความยุติธรรม แล้วงกำชับให้เกรงกลัวต่อความสับสนยุ่งยากแห่งวันตัดสิน การถูกลงโทษ และเสียงโหยหวน ในวันนั้นไม่อาจเทียบได้กับคำบอกเล่าของเด็กน้อยคนหนึ่งดอกหรือ ? สำหรับเรามันยังไม่ทำให้นึกถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กระนั้นหรือ ?

เป็นการถูกต้องแล้วหรือ? ที่เราจะไม่สนใจถ้อยคำ และการกระทำของคนมีศาสนาที่แท้จริงเล่านั้น ทั้งๆที่เขาเหล่านั้นได้ยืนหยัดในความเชื่อมั่นที่ตัวเองมีอยู่และไม่เคยละละความพยายาม และการเสียสละเลย ?

เป็นที่ชัดเจนว่า หากถ้อยคำของผู้สื่อสาส์นเหล่านี้ไม่อาจสร้างความมั่นใจได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับมนุษย์ละก็ อย่างน้อยความคิดหนึ่งก็อาจผุดขึ้นมาว่า “เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะพูดจริงก็ได้” ถ้าหากเป็นจริงตามที่

บรรดาผู้สื่อสาส์นเหล่านั้นกล่าวละก็ หน้าที่ของเราคืออะไร? เราจะมีคำตอบอะไรต่อหน้าศาลอันทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมของพระผู้อภิบาล

ณ ที่นี้เองที่สามัญสำนึกบอกว่าการหยุดยั้งและสกัดกั้นภยันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราต้องกระทำ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องแสวงหา“ดีน” (ศาสนา)

ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเขาเชิญชวนสู่การดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยและตามหลักมนุษยธรรม อีกทั้งยังกล่าวว่าหลังจากความตายยังมีโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล และความโปรดปรานอันไร้ของเขตรอคอยผู้ทำดีอยู่ และ

พวกเขายังแจ้งให้ทราบว่า ณ ที่นั้นจะไม่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ระทม ความกังวลใจและความหวาดกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น

สติปัญญาของเราเปิดโอกาสให้ละเลยข่าวสำคัญเหล่านั้นกระนั้นหรือ? เราไม่ควรให้ความสำคัญต่อสัญญาณอันตรายที่ว่าบาปและการดื้อดึงนั้นมีโทษทัณฑ์รออยู่กระนั้นหรือ? เราจะไม่สนใจต่อการแสวงหาศาสนา (ดีน) และพิจารณาเรื่องนี้ดูบ้างดอกหรือ ?

บทที่ 2

มารู้จักสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้

เมื่อเราจ้องมองไปที่อาคารสวยงามตระการตาใหญ่โตมโหฬาร

 เราเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ว่า วิศวกรและผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารนี้มีความชำนาญเป็นพิเศษเฉพาะทาง จากการเห็นอาคารที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ทำให้คิดไปถึงความรู้และวิทยาการของผู้สร้างมัน เช่นเดียวกันเมื่อเราดูเครื่องยนต์ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์และสิ่งประดิษฐ์ทีถูกคิดค้นขึ้นมา และผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ เราจะพิจารณาอยู่ตรงที่ความรู้ความสามารถของพวกเขานั้น

ไม่มีความจำเป็นอันใดที่เราจะต้องเห็นผู้สร้างอาคาร และผู้ประดิษฐ์ต่างๆ ด้วยตาของเราเอง แล้วถึงจะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง ในที่สุดถึงแม้ว่าเราได้ประจักษ์ด้วยตาก็ไม่อาจรับรู้ถึงความรู้ของพวกเขาด้วยประสาทสัมผัสภาพนอกได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม เราก็เชื่อในภูมิความรู้ของพวกเขา ทำไมละ? ก็เพราะว่าความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสมบูรณ์ในสิ่งที่ถูกสร้างของพวกเขาที่เห็นนั้นทำให้เราเข้าใจได้ถึงภูมิความรู้ของผู้สร้าง

 จากตรงนี้เราได้บทสรุปที่ว่า ไม่มีความจำเป็นอันใดเลยต่อการที่เราต้องการรู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่ โดยอาศัยการเป็นและประสาทสัมผัสธรรมดา

แต่ยังมีของอีกมากมายที่ไม่อาจถูกเข้าใจด้วยกับประสาทสัมผัสภายนอกได้เลย ทว่า...ด้วยกับการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อผลที่มันได้แสดงออกมา จะทำให้รู้ถึงการมีอยู่ของมันได้ทันที คนที่มีสติปัญญานั้นด้วยกับการสังเกตและเอาใจใส่เพียงเล็กน้อย เขาก็จะพบว่าไม่มีผลอันใดที่จะเกิดขึ้นโดยปราศจาก “เหตุ” หรือ “ผู้ให้กำเนิดผล” นั้น และไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์เข้ารูปเข้ารอยเกิดขึ้นโดยปราศจากผู้วางรูปแบบที่เต็มไปด้วยปัญญาและความรู้อันลึกซึ้ง

ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถแบ่งสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน

1. สิ่งที่เข้าใจกันและรับรู้ได้ด้วยกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 เห็นด้วยตา

ได้ยินด้วยหู สัมผัสความร้อนเย็นแข็ง อ่อนนุ่มด้วยมือ และลิ้มรสเปรี้ยวหวาน มัน เค็ม ด้วยกับลิ้น

2. สิ่งที่มีอยู่จริงจำพวกหนึ่งที่ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยกับประสาทสัมผัสภายนอกของเรา แต่จากการศึกษาถึงผลกระทบและผลที่แสดงให้เห็น ทำให้เรารู้ถึงการมีอยู่ของมัน อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงชนิดเดียวหรือเหมือนกันหมด บางชนิดเป็นวัตถุ บางชนิดไม่ใช่วัตถุ คือไม่มีขนาด หรือคุณสมบัติเหมือนวัตถุโดยทั่วไป เช่น

ไฟฟ้า

เราไม่อาจจะมองเห็นมันด้วยกับการดูที่สายไฟได้ แต่เรารู้ว่ามันมีไฟจากกระแสของมัน และผลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งก็คือทำให้หลอดไฟสว่าง ดังนั้นไฟฟ้า คือสิ่งหนึ่งที่มีอยู่จริงถึงแม้ว่าเราไม่อาจเห็นมันได้โดยตรง

แรงดึงดูด

ถ้าเราปล่อยหนังสือที่อยู่ในมือของเรา มันก็ตกลงบนพื้น ซึ่งก็หมายความว่า พื้นได้ดูดมันเอาไว้ แรงหรือพลังงานที่ว่านี้คืออะไร ? ซึ่งเราไม่อาจรู้สึกหรือสัมผัสได้ด้วยกับประสาทสัมผัสของเรา

นี่คือ แรงดึงดูดหนึ่งในสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ แต่เรามั่นใจว่ามันมีด้วยกับการตกของสิ่งของ (ซึ่งคือผลของมันที่ดูดสิ่งนั้นมา)

พลังแม่เหล็ก

ถ้าเราเอาแม่เหล็กไปวางใกล้กับท่อนไม้ชิ้นหนึ่ง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากที่เราเห็น แต่ถ้าเราเอาเหล็กดังกล่าวแหย่ไปที่แม่เหล็กนั้น เราจะพบว่ามีพลังพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง

รังสีที่มองไม่เห็น

ถ้าเราเอาแท่งแก้วทรงสามเหลี่ยม ให้ดวงอาทิตย์ส่องมาโดนมัน เราจะเห็นรังสี 7 สี พวยพุ่งออกมาจากแท่งแก้วนั้นอันประกอบไปด้วย

 สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้าและสีม่วง จากรังสีสีแดงถึงรังสีสีม่วงจะไม่พบรังสี สีใดอีก ทั้งๆที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ยังมีรังสีอื่นอีกที่ดวงตามองไม่เห็น ซึ่งมีผลทางความร้อนและเคมีอยู่

รังสีเหล่านี้มีชื่อว่า “ไม่ใช่สีแดงและไม่ใช่สีม่วง (ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์) ในปี ค.ศ. 1800 (ฮ.ศ1178) นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์คนหนึ่งนามว่าเฮอร์เชล เกิดความคิดว่า เขาจะต้องทำการค้นคว้าให้ได้ว่า ยังมีรังสีอื่นที่สายตามองไม่เห็นอีกหรือไม่? เขาได้เอา “เทอร์โมมิเตอร์” วางลงบนผ้าผืนหนึ่งซึ่งมีลำแสงทั้งเจ็ดปรากฏอยู่ โดยเลื่อนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ ว่างบนรังสีแต่ละทาง และวัดอุณหภูมิของแต่ละรังสีไว้ เมื่อวัดถึงรังสีสีแดง เขาพบว่า เทอร์โมมิเตอร์นั้นขึ้นสูงมาก หลังจากนั้นเขาก็ได้บทสรุปว่า

ยังมีรังสีที่มองไม่เห็น (ไม่ใช่แสงสีแดง) อยู่ และให้ความร้อนมากกว่ารังสีทั่วไป พลังความร้อนที่เป็นผลมาจากรังสีเหล่านี้ ทำให้มนุษย์เชื่อว่ามี

“รังสีไม่ใช่แสงแดง” อยู่

ในสมัยนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ชื่อ วิลาสโตน ได้นำเอาองค์ประกอบทางเคมีส่วนหนึ่งของแร่เงินมา โดยวางไว้หลังรังสีสีม่วง เขากลับพบสิ่งที่ผิดสมมุติฐานไป กล่าวคือไม่พบว่ามีรังสีอื่นอีก

แต่มี “ตัวทำ” อันหนึ่งที่ทำให้องค์ประกอบทางเคมีของแร่เงินนั้นเปลี่ยนสีเป็นสีดำ

สมัยต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า การเปลี่ยนสีผิวของร่างกายเมื่อถูกแสงอาทิตย์นั้นก็เป็นผลทางเคมีของรังสีนี้นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ยอมรับกันว่ายังมีรังสีอื่นอีก หลังจากรังสีสีม่วงซึ่งมอง ไม่เห็นโดยเรียกมันว่า “รังสีหลังแสงสีม่วง”

เสียงที่ไม่ได้ยิน

มีเสียงอีกมากมายที่เราไม่ได้ยิน เสียงเหล่านี้ถูกเรียกว่า “เสียงที่เหนือกว่าเสียงทั่วไป” ซึ่งจากผลของมัน

ทำให้เรารู้ถึงการมีอยู่ของมัน ในวงการแพทย์และอุตสาหกรรมได้ใช้ประโยชน์จากเสียงเหล่านี้

ความเข้าใจ

พวกเราทุกคนรู้จักตัวเอง คือเข้าใจว่า เรามีชีวิตอยู่ และมีการรับรู้ที่เป็นระบบเกี่ยวกับสิ่งภายนอกตัวเรา

ยกตัวอย่าง

1. ฉันได้แก้ไขปัญหาโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดได้แล้ว

2. ฉันคิดอย่างหนักถึงทฤษฏีหนึ่ง แล้วก็พบว่ามันถูกต้องแล้ว

เช่นเดียวกัน มนุษย์รู้ถึงความรอบรู้ของตัวเอง หมายความว่า “เขารู้ว่าเขารู้” ความรู้ ความเข้าใจไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู แต่มันคือความเป็นจริงที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส ซึ่งมนุษย์ทุกคนรู้จักมัน นอกเหนือจากการเห็นการได้ยิน และประสาทสัมผัสอื่นที่อยู่ในตัวเอง

ส่วนคนอื่นก็ไม่อาจที่จะล่วงรู้ได้

จากแนวทางที่ใช้ประสาทสัมผัส แต่จะต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันด้วยกับสื่อทางผลที่แสดงออกมา เช่น

นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้อธิบายถึงวิธีการแก้ปัญหาทางวิชาการหนึ่ง ก็เป็นที่รู้กันว่า เขาได้เข้าใจมันในตอนนั้น

ถ้าเราถามนักวิทยาศาสตร์คนนั้นว่า “ท่านได้รู้ถึงทางออกของปัญหานั้น แล้วใช่หรือไม่?” เขาก็จะตอบว่า

“ข้าพเจ้ารู้แล้ว” เราเข้าใจว่า เขานั้นมีความรู้ต่อสิ่งที่เขารู้มา หมายความว่า “เขารู้ว่า เขารู้วิธีแก้ปัญหานั้น”

การใช้ความคิดสร้างภาพจินตนาการ

มนุษย์สามารถที่จะสร้างภาพทุกชนิดที่เขาต้องการได้ในความรู้สึกนึกคิดของเขา เช่น เขาสามารถที่จะสร้างภาพหอ ๆ หนึ่งเหมือน “หอไอเฟล” ในโลกแห่งความคิดของเขาได้ภายในอึดใจเดียว ในขณะที่การก่อสร้างจริงๆ ของมัน (ในโลก) ต้องใช้เวลาหลายปี ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งแรงงานคนอีกนับพันคน

ไม่เพียงเท่านั้นเขาสามารถสร้างให้มันใหญ่โตกว่าเป็นพัน ๆ เท่าโดยไม่ต้องเสียแรงอะไรเลย เช่นเดียวกัน เขาอาจจินตนาการถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีอยู่จริงในโลกภายนอก เขาสามารถที่จะสร้างสัตว์ประหลาดที่มีหัวหลายหัว

และมีมือ – เท้าหลายอัน ในการจินตนาการของเขาก็ได้

 แน่นอนเหลือเกินว่าคนอื่นไม่อาจมองเห็นหรือได้ยินได้

แต่จำเป็นจะต้องติดตามจากผลของมันที่แสดงออกมา หรือจากคำพูดของคนๆ นั้น

ความรัก ความเกลียด และการตัดสินใจ

ทุกคนมีสิทธิที่จะนึกชอบสิ่งหนึ่ง และในทางกลับกันก็อาจจะรู้สึกไม่ชอบต่อสิ่งนั้นก็เป็นได้

เช่นเดียวกับที่ในชีวิตของเราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การงานทุกอย่างที่เขาชอบมัน เขาก็ต้องตัดสินใจที่จะปฏิบัติสิ่งนั้นและทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ เขาก็จะไม่สนใจมัน และตัดสินใจว่าจะไม่ทำในสิ่งนั้น

ไม่มีใครที่จะล่วงรู้การตัดสินใจของผู้อื่นได้โดยตรง ไม่รู้ว่า เขาชอบหรือเกลียดอะไร นอกจากต้องพิจารณาจากผลตอบสนองของมัน เพราะความรัก ความโกรธเกลียด และการตัดสินใจนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกมองเห็นหรือได้ยิน หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสอื่น ๆ

การมีชีวิต

ลูกไก่ตัวเล็กสีสันสวยงามตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าเรา กำลังตกไปในบ่อน้ำและตายก่อนที่เราจะช่วยไว้ได้ทัน ในวงจรชีวิตของสัตว์น้อยตัวนี้

ในช่วงเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง สภาพปัจจุบันของมันแตกต่างอย่างไรกับวินาทีที่แล้ว ที่มันยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้มันไม่หายใจ ไม่วิ่ง ไม่กินอาหารอีกแล้ว

จำเป็นจะต้องกล่าวว่า สิ่งที่มีอยู่ในสัตว์ที่มีชีวิต และไม่มีในสัตว์ที่ตายแล้วก็คือ “ชีวิต”ดังนั้น ตัวชีวิตนี้ไม่อาจสัมผัสหรือมองเห็นได้ แต่เรารับรู้ได้ว่าสัตว์ตัวนั้นมีชีวิตก็ดูจากการที่มันยังเคลื่อนที่ และกินอาหารได้นั่นเอง

ความเป็นจริงทางวิชาการ และความชัดเจนของตัวอย่างดังกล่าวข้างบนเป็นที่กระจ่างขึ้นว่า

นอกเหนือจากสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไปที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทที่สัมผัสทั้งห้า ยังมีสิ่งอื่นที่ไม่อาจสัมผัสได้โดยตรง

แต่เราสามารถรู้จักสิ่งนั้นได้จากผล และการตอบสนองที่ออกมา

เราจึงได้บทสรุปว่า ไม่เป็นการถูกต้องเลยที่เราจะปฏิเสธสิ่งหนึ่งอันเนื่องมาจากเรามองไม่เห็นมัน เพราะ

การมองไม่เห็นไม่ใช่การแสดงถึงการไม่มีของสิ่งนั้น แนวทางการรับรู้ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้มีเฉพาะกับการรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น สติปัญญา ความรู้สึกนึกคิดของเราก็สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งหนึ่งได้

ด้วยการดูจากผลของมันที่แสดงออกมา เหมือนกับการมีอยู่ของสิ่งดังกล่าวข้างต้น – ที่ถูกรู้จักจากผลที่แสดงออกมา – ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่มี

เราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าก็เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่จริงเหล่านั้น เพราะพระองค์คือความจริงแท้หนึ่งซึ่งอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ แต่จุดประสงค์ของเราก็คือ เราสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของ

สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ด้วยกับการพิจารณาผลที่แสดงออกมาของมัน

 ฉันใดฉันนั้น เราก็สามารถที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ด้วยกับผลที่ปรากฏให้เห็นอยู่

ดังนั้นพวกที่ใช้ตาดูอย่างเดียว แล้วปฏิเสธการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเพราะไม่อาจมองเห็นได้นั้น ตาใจและความคิดของเขาได้มืดบอดไปแล้ว

เพราะเรารู้แล้วว่า ตามสามัญสำนึก เราสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระผู้

เป็นเจ้าได้ด้วยกับการพิจารณาระบบแห่งการสร้างสรรค์อันวิจิตรพิสดารของพระองค์

“จงเปิดตาใจของเจ้าออก ซึ่งมันเป็นเสมือนแก่นแท้ของการมองเห็นแล้วเจ้าก็จะเห็นในสิ่งที่ไม่อาจมองเห็น”

เพราะทุกสรรพสิ่ง คือเครื่องหมายที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระองค์

แง่คิดที่ละเอียดกว่า และมีความสำคัญยิ่งกว่าที่กล่าวไป ก็คือ

การพินิจพิจารณากับผลอันเกิดจากพลานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เช่น โลก และสมาชิกโลกไม่เพียงแต่ชี้นำเราสู่การมีอยู่ของพระองค์เท่านั้น ยังทำให้เรารู้ถึงความจริงอีกหลายประเด็น กล่าวคือ โลกและสมาชิกโลกนั้น คือสิ่งที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระองค์

สิ่งที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระองค์ นี้ใช่ว่าจะมีเฉพาะกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือสถานที่หนึ่งสถานที่ใดไม่ ทุกอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่แสดงถึงการมีของพระองค์ทั้งสิ้น ดังนั้นตัวของพระองค์เอง คือความจริงแท้หนึ่ง ซึ่ง

ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เสมอเหมือนหรือเท่าเทียมพระองค์ อีกทั้งพระองค์ คือสิ่งที่มีอยู่อันไร้ขอบเขต ซึ่งมีความสมบูรณ์อย่างสูงสุดอยู่ และปราศจากซึ่งความบกพร่องใด ๆ

ด้วยเหตุนี้เอง จากการพินิจพิจารณา และศึกษาถึงร่องรอยแห่งการสร้างของพระผู้เป็นเจ้า

ทำให้เราได้พบความจริงสองประการนี้

1) การทีอยู่ของพระผู้สร้างโลก ซึ่งสรรพสิ่งทั้งมวล คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระองค์

2) อันเนื่องจากสิ่งที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระองค์นี้ไร้ซึ่งขอบเขตจำกัดไม่จำเพาะเจาะจงกับเวลาหนึ่งเวลาใด หรือสถานที่หนึ่งสถานที่ใด ทำให้เราได้เข้าใจว่า พระองค์ คือการทีอยู่หนึ่งซึ่งไร้ขอบเขตจำกัดใดๆทั้งสิ้น พระองค์มีคุณลักษณะอันสมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่า เราจะไม่สามารถรู้ถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ได้

ท่านมุฮัมมัด บินอับดุลลอฮฺ คุรอซานี คนรับใช้ท่านอิมามริฏอ(อฺ)

กล่าวว่า :

มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่กับท่านอิมาม(อ) แล้วก็มีผู้ปฏิเสธพระเจ้าคนหนึ่งได้เข้ายังกลุ่มนั้น ท่านอิมาม(อ) กล่าวกับเขาว่า

 “หากเป็นไปตามที่เจ้าพูดว่า พระผู้เป็นเจ้า ศาสนทูต และคัมภีร์ไม่มีอยู่จริง (ความเป็นจริงมี) ละก็ การนมาซ การถือศีลอด การจ่ายซะกาต และความเชื่อของเราจะเป็นอันตรายสำหรับเราหรือ?”

ชายคนนั้นไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น (แสดงว่าไม่มีอันตราย)

ท่านอิมาม(อ) กล่าวต่อไปว่า :

“แต่ถ้าสิ่งที่เรากล่าว คือพระผู้เป็นเจ้ามีจริง ศาสนามีจริง วันแห่งการตัดสินตอบแทนมีจริง (ซึ่งต้องมีอย่างแน่นอน) ว่าเป็นความจริงทั้งสิ้น เจ้าจะไม่พบกับความต้อยต่ำ และหายนะหรือ?”