พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 27287
ดาวน์โหลด: 4902

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 27287 / ดาวน์โหลด: 4902
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

และการดำรงชีวิตที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งมีเพียงการประพฤติดี และขัดเกลาจิตวิญญาณเท่านั้นที่จะได้รับมัน

การดำเนินชีวิตแบบมีมโนธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

การดำเนินชีวิตแบบมีมโนธรรมนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีกฏเกณฑ์เหมือนสิ่งอื่น มโนธรรม คือ ผลลัพธ์ของการประพฤติปฏิบัติของมนุษยชาติ แต่ทว่าเป็นความประพฤติที่ได้รับการขัดเกลาที่ถูกต้อง และได้รับการสอนสั่งจากผู้อบรมสั่งสอนที่ได้รับบัญชาจากเบื้องบนเท่านั้น

คำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกบัญญัติศัพท์ว่า ชะรีอะฮฺ นั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเป็นจริงทั้งหลาย เรื่องราวทั้งหมดของโลกแห่งการสร้างสรรค์ และโลกแห่งการมีอยู่ที่เราเรียกว่า ตักวีน นี้

อันเนื่องมาจากการที่เราไม่อาจรับรู้ถึงความจริงแท้ของโลก

 ความเหมาะสม ความเสื่อมเสีย และความเป็นไปต่างๆ ของมัน (เพราะความรู้อันน้อยนิดของเรานั่นเอง) จึงทำให้เราไม่อาจล่วงรู้พฤติกรรมที่เป็นตัวสร้างความสูงส่งทางมโนธรรมของเรา แต่ทว่า...บรรดาอิมาม(อฺ) ได้กล่าวถึงความจริงแท้ ความเหมาะสมอันสูงส่งนั้นเสมือนกับครูที่รู้จริง และมีเมตตาที่ได้ทำหน้าที่สาธยายเรื่องราวอย่างแจ่มแจ้งแก่มวลมนุษย์ จนกว่าพวกเราทุกคนจะพบกับความผาสุก และไปถึงยังชีวิตอันสูงส่งทางจิตวิญญาณ

ดังนั้น ศาสนา ก็คือ ที่รวมทั้งหมดของความจริงแท้ และการรู้จักทั้งมวลสูงส่งกว่าความเข้าใจขั้นพื้นฐานของเรา ซึ่งอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ได้อธิบายมันโดยผ่านบรรดาศาสนทูต และตัวแทนของท่านศาสดาผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน

จนกว่าภายในของเราจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสูงส่งทางจิตวิญญาณ และมโนธรรมทั้งหลาย อีกทั้งได้ตระเตรียมความสุขชั่วนิจรันดร์แก่เรา

สิ่งนี้ก็คือว่า หากเราทำการเชื่อฟังเราก็จะพบกับชัยชนะ และความสำเร็จแต่ถ้าเราฝ่าฝืน เราก็จะขาดทุน

เปรียบเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของผู้ดูแลคนหนึ่ง เขาเชื่อฟังคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามอย่างเคร่งครัด ไม่ว่างานใดที่เป็นความประสงค์ของผู้ดูแลคนนั้น เขาก็พร้อมจะปฏิบัติตามโดยปราศจากการตั้งคำถามใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่า เขาจะไม่เข้าใจถึงเป้าหมายของสิ่งนั้นก็ตามแต่เมื่อกาลเวลาได้ผ่านเลยไป จนกระทั่งจริยธรรม และพฤติกรรมอันดีงามที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในของเขาได้ก่อตัวขึ้นมา แน่นอนชีวิตทั้งชีวิตของเขาจะเต็มไปด้วยความปรกติสุขอย่างแน่นอน...แต่ในทางกลับกัน หากเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้ดูแลคนนั้น เขาก็จะประสบในภายหลังว่า มันช่างสูญเสียอย่างมหันต์

การชี้นำสู่การมีชีวิตชีวา

ณ ที่นี้ เรามาดูกันว่า การเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตทาง

มโนธรรม และความสมบูรณ์นั้น(แน่นอนอย่างยิ่งต้องมีผู้นำทาง) เป็นหน้าที่ของใคร? ของบุคคลธรรมดาสามัญกระนั้นหรือ? หรือว่า ควรจะเป็นบุคคลที่ถ้อยคำทั้งหลายของเขาเป็นที่น่าเชื่อถือได้ พฤติกรรมทั้งหลายของเขาถูกปกป้องจากความผิดพลาดทั้งมวล ตามศัพท์ก็คือ “มะอฺศูม”

และตัวของเขาจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งทางจิตวิญญาณด้วย ก็เพราะว่า อัลลอฮฺ(ซ.บ.) จะไม่มอบหน้าที่การชี้นำประชาชนให้แก่บุคคลที่ตัวเองยังไม่ได้รับทางนำเฉพาะอย่างยิ่ง “อิมามะฮฺ” (ฐานภาพแห่งการเป็นอิมาม) โดยทั่วไป ไม่ได้ให้ความหมายว่า การชี้นำแบบธรรมดา เพราะหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนไม่ใช่เฉพาะแต่อิมามเท่านั้น

จุดมุ่งหมายของการชี้นำที่ว่านั้นคือ การชี้นำแบบตามคำสั่ง ตราบใดที่พวกเขายังไม่มีสภาพทางจิตวิญญาณอันสูงส่ง และความเป็นจริงของโลกทั้งมวลยังไม่ถูกเปิดเผยแก่พวกเขาละก็ พวกเขาจะไม่สามารถชี้นำตามลักษณะนี้ได้

จากการค้นคว้าโองการอัลกุรอานในเรื่องของ อิมามะฮ์(ฐานภาพแห่งการเป็นอิมาม) และฮิดายะฮฺ(การชี้นำ) นั้น เราพบว่า โดยทั่วไปแล้วในหลายๆ ที่ด้วยกันเมื่อมีการกล่าวถึงคำว่า “อิมามะฮฺ” จะมีถ้อยคำ “ฮิดายะฮฺบิลอัมรฺ” ตามติดมาด้วยในลักษณะการอธิบายและขยายความ

ฮิดายะฮฺบิลอัมรฺ(การชี้นำแบบตามคำสั่ง)

อิมามไม่เพียงแต่ทำหน้าที่สอนกฏเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติ และชี้นำโดยทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ยังมีฐานภาพของการได้รับการจงรักภักดี และการชี้นำทางด้านใน หมายความว่า ท่านจะทำหน้าที่ดึงบุคคลที่มีความสามารถและความเหมาะสมนำพาเขาสู่ความสมบูรณ์จากแนวทางทางด้านความลึกล้ำภายใน

การชี้นำเช่นนี้ถูกเรียกว่า การชี้นำแบบตามคำสั่ง เพราะวางพื้นฐานอยู่บนเรื่องการได้รับความโปรดปรานทางด้านจิตวิญญาณและตำแหน่งด้านใน

การชี้นำด้านใน คือ ตำแหน่งอันสูงส่งหนึ่งซึ่งบรรดาศาสนทูตทั้งหลายได้รับหลังจากตำแหน่งแห่งการเป็นนบีแล้ว

 ดังที่อัลลอฮ์(ซ.บ.) ได้มอบตำแหน่งอิมาม และฐานภาพแห่งการชี้นำ

ด้านในแก่ท่านนบีอิบรอฮีม(อฺ)หลังจากที่ท่านเป็นนบีแล้วพระองค์ตรัสว่า

“...พระองค์ตรัสว่า อันที่จริงข้าได้มอบตำแหน่งอิมามของประชาชาติแก่เจ้า...” (บทอัล-บะกอเราะฮฺ: 124)

อันเนื่องมาจากได้รับตำแหน่งแห่งการได้รับการจงรักภักดีและการชี้นำแบบตามคำสั่งนี้ บรรดาอิมามจึงสามารถกระทำการงานหนึ่งซึ่งตามสายตาของบุคคลทั่วไปเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อและเป็นไปไม่ได้

ตามหลักฐานจากอัล-กุรอาน ท่านอาศิฟ บิน บัรคิยาซึ่งเป็นวะศีย์(ทายาทตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย) ขอท่านนบีสุลัยมาน(อฺ)สามารถนำเอาบัลลังก์ของราชินีแห่งเมืองซะบาอ์ มาวางตรงหน้าท่านนบีสุลัยมาน(อฺ)ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เพราะเขามีความสามารถเหนือโลกที่อยู่เหนือธรรมชาติ และได้รับรู้ถึงความจริงแท้บางประการของโลกนี้

บรรดาอิมามมะอฺศูม (อฺ) ของเราอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า และสูงส่งกว่าท่านอาศิฟ บินบัรคิยายิ่งนัก

หลักฐานของความจริงข้อนี้ ก็คือ ตำราประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับและหลักฐานทีเป็นข้อเท็จจริง

ได้กล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ ที่มีเรื่องการชี้นำทางจิตวิญญาณ และอำนาจภายในของบรรดาท่านอิมาม(อฺ) เหล่านั้น

อันเนื่องมาจากการที่ตัวท่านอิมามอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งทางด้านจิตวิญญาณ ยังมีการชี้นำ และการดึงดูด

อีกประเภทหนึ่งที่สามารถ มีอิทธิพลต่อดวงจิตของบุคคลที่มีความพร้อมอื่นๆ จะเข้ามามีอำนาจ และชักจูงพวกเขาสู่ความสมบูรณ์...ดังที่เราจะได้อ่านชีวประวัติของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของท่านอิมาม(อฺ)

 ดังตัวอย่างต่อไปนี้

(1) ชายชาวซีเรีย

อะลี บิน คอลิดเคยเป็นซัยดีย์ (หมายถึงบุคคลที่ไม่ยอมรับอิมามท่านอื่นหลังการจากไปของท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อฺ) มาก่อน มีชีวิตอยู่ในสมัยของท่านอิมามญะวาด(อฺ) ได้กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองซามัรรออ์ มีคนบอกข่าวแก่ข้าพเจ้าว่ามีการนำตัวชายคนหนึ่งมาจากดะมัสกัส โดยที่เขาอ้างตัวว่าเป็นศาสดา เขาถูกจองจำมา ข้าพเจ้าจึงรีบไปดู พอพบชายคนนั้นข้าพเจ้าถามเขาว่า

“เรื่องราวเจ้าเป็นอย่างไร?”

เขาตอบว่า

“ฉันอยู่ในเมืองชาม (ซีเรีย) ทำอิบาตะฮฺอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า สถานที่ฝังศีรษะอันศักดิ์สิทธิ่ของนายแห่งเสรีชน ฮฺเซน บินอะลี (อฺ) คืนหนึ่งฉันเห็นบุคคลหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่หน้าฉัน กล่าวกับฉันว่า

“ลุกขึ้นยืน”

ฉันลุกขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว เดินตามเขาไป แล้วก็พบว่าตัวเอง อยู่ในมัสญิดกูฟะฮฺ

เขาถามว่า

“ท่านรู้จักมัสญิดนี้ไหม”

ฉันตอบว่า

“รู้จัก นี่คือมัสญิดกูฟะฮฺ”

เขาทำนมาซ และฉันก็นมาซกับเขา แล้วฉันก็เดินไปข้างหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าเดินฉันก็พบว่า ตัวเองอยู่ในมัสญิดมะดีนะฮฺแล้ว

เขากล่าวศอละวาตแด่ท่านศาสดา(ศ) แล้วเราทั้งสองก็ร่วมนมาซที่นั่น

 เมื่อเราออกมาจากที่นั่นแล้วก็ได้เดินต่อไป...ไม่กี่อึดใจก็พบว่า ตัวเองอยู่ที่มักกะฮฺ...ทำการฎอวาฟ...เรากลับออกมาก้าวเท้าไม่กี่ก้าวก็พบว่าตัวเองอยู่ที่เดิมในดะมัสกัส...แล้วชายคนนั้นก็หายตัวไป ดูเหมือนว่ามีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านไป

เหตุการณ์ผ่านไปหนึ่งปี...ปีต่อมาฉันก็พบชายคนนั้นอีก ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเรียกฉันให้ร่วมเดินทางเหมือนอย่างครั้งก่อน แล้วเราก็ร่วมเดินทางไปยังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นอีก...เมื่อถึงเวลาที่เขาจะจากฉันไป ฉันถามเขาว่า

“ฉันคือมุฮัมมัด บินอะลี บินมูซา บินญะอฺฟัร (อิมามที่ 9)”

ฉันได้เล่าเรื่องนี้กับทุกคนที่ฉันพบ จนกระทั่งเรื่องนี้ไปถึงหูของมุฮัมมัดบินมาลิก เขาออกคำสั่งให้จับฉันมาแล้วใส่ร้ายฉันว่า ฉันคือผู้อ้างตัวเป็นศาสดาและก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นฉันอยู่ในคุกนี่ละ”

ข้าพเจ้า (อะลี บินคอลิด) กล่าวกับเขาว่า

 ฎท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเล่าสภาพของท่านแก่มุฮัมมัด บินมาลิกไหม?”

เขาตอบว่า

“ได้ซิ”

แล้วข้าพเจ้าก็เขียนไปตามนั้น แต่อิบนุอับดุลมาลิก ตอบกลับมาว่า

“บอกกับเขาว่า ให้เรียกคนที่เคยพาเขาไปกูฟะฮฺ มักกะฮฺ มะดีนะฮฺ และพากลับมาที่ดะมัสกัส ให้มาช่วยเขาออกไปจากคุกนี้ซิ”

จากคำตอบนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวัง

เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตรงไปยังคุกเพื่อเอาคำตอบไปให้ชายคนนี้แต่กลับพบว่ามีทหารและประชาชนมากมายรายล้อมคุกนั้น ข้าพเจ้าถามพวกเขาว่า เกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่า

“นักโทษที่อ้างตัวว่าเป็นศาสดาคนนั้น ได้แหกคุกออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาดำดินหรือติดปีกบินไป”

หลังจากที่ข้าพเจ้าพบกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ข้าพเจ้าละทิ้งมัซฮับเดิมคือซัยดีย์ แล้วกลายเป็นชีอะฮฺคนหนึ่งของท่านอิมามญะวาด (อฺ)

(2) ท่านมัยษัม ตัมมาร (ร.ฏ.)

ท่านอิมามอะลี(อฺ) นายของบรรดามุตตะกีน ซื้อท่านมัยษัมมา และปลดปล่อยเขาให้เป็นไท ท่าน(อฺ)

“ท่านชื่ออะไร”

เขาตอบว่า

“ซาลิม”

ท่านอิมาม (อฺ) บอกเขาว่า

“แต่ฉันได้ยินท่านศาสดาบอกว่าชื่อเดิมของท่าน คือ มัยษัม”

เขาตอบว่า

“ผู้เป็นที่รัก(ศ) พูดถูกต้องแล้ว ส่วนท่านก็กล่าวได้ถูกต้อง ชื่อเดิมของฉัน คือ มัยษัมไ

ท่านอิมามา(อฺ) กล่าวต่อไปว่า

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้คงชื่อที่ท่านศาสดา(ศ) บอกไว้ ส่วนชื่ออื่นให้ทิ้งไปเลย”

ท่านอิมาม(อฺ) ซื้อทาสคนนี้มาปล่อยให้เป็นไท รากของความเมตตาฝังอยู่บนบ่าของเขา ถึงขนาดที่ว่า จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็อยู่กับท่านตลอด...ความตายไม่อาจจะพรากรากเหง้าแห่งความเมตตานี้ไปจากเขาได้

ท่านมัยษัม เป็นเสรีชนที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะ ท่านค่อยๆได้รับเกียรติอย่างสูงตามมแนวทางของอิมามอะลี(อฺ) และอยู่ในตำแหน่งมิตรสหายคนหนึ่งของท่าน(อฺ) เขามีความรอบรู้อย่างละเอียดและติดตามสัจธรรมอยู่เสมอ เขามีความรัก อย่างไรหลงต่อท่านอิมามอะลี(อฺ) เขาได้รับการดลใจจากท่านอิมาม(อฺ) เสมือนหญ้าที่แห้งเหี่ยวรอน้ำฝน ฉันใดฉันนั้น เขาดำเนินชีวิตอยู่กับท่านอิมาม(อฺ) จมปลักอยู่กับท่าน(อฺ) เติมรัศมีแห่งดวงจิต และความเบิกบานให้แก่ตัวเอง เขาไม่ยอมแลกเปลี่ยนความสุขทางใจนี้ด้วยกับความสุขทางโลก

วันหนึ่งท่านอิมาม(อฺ) กล่าวกับเขาว่า

 “หลังจากที่ฉันจากท่านไปแล้ว ท่านจะถูกแขวนและร่างกายจะถูกฟันหลายแผล และในวันที่สาม เคราของท่านจะเป็นเปียกชุ่มไปด้วยเลือดที่มาจากจมูกและปากของท่าน ท่านจะถูกแขวนคอข้างหน้าของอัมร บิน ฮะรีน พร้อมกับคนอีก 9 คน ที่แขวนคอของท่านจะสั้นกว่าคนอื่น มานี่ซิเราไปดูต้นอินทผาลัมที่ท่านจะต้องถูกแขวนคอบนนั้น ฉันจะชี้ให้ดู”

ท่านอิมาม(อฺ) ชี้ต้นอินทผาลัมต้นนั้นให้ท่านมัยษัมดู เวลาผ่านไปหลายปี ท่านอิมาม(อฺ) เป็นชะฮีด บะนีอุมัยยะฮฺเข้ามามีอำนาจ ท่านมัยษัมแวะเวียนไปที่ต้นอินผาลัมต้นนั้นอยู่บ่อยๆ ท่านจะมานมาซที่นั่นแล้วพูดกับมันว่า

“ต้นไม้เอ๋ย อัลลอฮฺ (ซ.บ) ประทานความจำเริญให้แก่เจ้าแล้ว ข้าถูกสร้างมาเพื่อเข้า ส่วนเจ้าก็เจริญเติบโตมาเพื่อข้า”

ในปีที่ท่านมัยษัม ถูกสังหารเป็นชะฮีด เขาได้เดินทางไปทำฮัจญ์ และได้พบกับท่านหญิงอุมมุซะละมะฮฺ(ร.ฏ.) ท่านหญิงกล่าวกับเขาว่า

“ฉันได้ยินท่านรอซูลฺลลอฮฺ(ศ) กล่าวฝากฝังท่านไว้กับท่านอะลี”

ท่านมัยษัมถามข่าวคราวของท่านอิมามาฮุเซน (อฺ) จากท่านหญิงอุมมุซะละมะฮฺ เมื่อได้ยินว่าท่าน(อฺ)ออกจากเมืองไปแล้ว เขาพูดขึ้นว่า

“ขอฝากสลามไปยังท่านอิมามด้วย บอกกับท่านว่าในไม่ช้าฉัน และท่านจะได้พบกัน ณ เบื้องหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ)”

ท่านหญิงอุมมุซะละมะฮฺสั่งให้ทุกคนนำน้ำหอมมาประพรมที่เคราของท่านมัยษัม แล้วพูดกับเขาว่า

“ในไม่ช้านี้ เคราของท่านจะเปลี่ยนสีเป็นสีเลือด (ตามแนวทางแห่งการมอบความจงรักภักดีต่อท่านศาสดาและลูกหลานของท่าน)”

ท่านมัยษัมเดินทางถึงเมืองกูฟะฮฺ ทหารของอิบนิซิยาดจับตัวเขาได้แล้วนำไปมอบอินนุซิยาด ต่อไปนี้คือ

คำโต้ตอบระหว่างเขากับชายโฉดคนนั้น

อินนิซิยาด ถามเขาว่า

“พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหนละ”

ท่านมัยษัม ตอบอย่างอาจหาญว่า

“กำลังนั่งรอคนอธรรมอยู่ และเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

อิบนุซิยาด เปลี่ยนเรื่องถามต่อว่า

“นายของเจ้า อะลีบอกเกี่ยวกับตัวของเจ้า และข้าว่าอย่างไรบ้าง”

ท่านมัยษัม ตอบว่า

“ท่าน(อฺ) กล่าวว่าเจ้าจะจับข้าแขวนคอพร้อมกับอีก 9 คน และแขวนคอของข้าจะสั้นกว่าเพื่อน”

อิบนุซิยาด กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า

“ข้าอยากที่จะทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับคำพูดของนายเจ้า คิดหาวิธีอื่นจัดการกับเจ้า”

ท่านมัยษัม ยืนกรานว่า

 “เจ้าจะทำได้อย่างไร ท่านอะลี(อฺ) ได้รับการบอกกล่าวมาจากท่านศาสดา(ศ) และท่านศาสดา(ศ) รู้เรื่องนี้ มาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ) เจ้าจะขัดแย้งกับพระองค์ได้กระนั้นหรือ? ข้ารู้เกี่ยวกับสถานที่นี่ข้าเป็ชะฮีดอีกด้วย และข้าก็เป็นมุสลิมคนแรกที่จะถูกสนตะพาย”

อับดุลลอฮฺ บิน ซิยาด ออกคำสั่งด้วยความโกรธจัดว่าให้นำตัวเขาไปขังก่อน...ในคุกนี้เองที่เขาได้บอกข่าวการเป็นอิสระของท่าน มุคตาร ษะก่อฟี (ขณะนั้นอยู่ในคุกดังกล่าวด้วย) โดยบอกกับเขาว่า

ไท่านจะได้สังหารอับดุลลอฮฺ บิน ซิยาด เป็นการล้างแค้นให้กับ

ท่านอิมามฮุเซน”

 

เหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นจริงตามที่เขาบอกทุกประการ

แล้วในที่สุด ท่านมัยษัมก็ถูกนำตัวไปยังลานประหาร ยังแท่นแห่งการดีดตัวของดวงจิตอันสูงส่ง ณที่นั้น

เป็นจุดเริ่มต้นของการล่องลอยแห่งดวงจิตที่มุ่งสู่สถานที่ที่สูงสุด ดีเด่นที่สุด เขาถูกนำตัวไปใกล้บ้านของอัมร์บินฮะริษ และถูกจับตรึงแขวนบนต้นอินทผาลัมที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ประชาชนเข้ามาจับกลุ่มรายล้อมเขา

 เขาสบโอกาสที่จะได้สาธยายความประเสริฐของท่านอิมามอะลี(อฺ) ริมฝีปากเผยอขึ้น ลิ้นเริ่มกระดก หัวใจของผู้คนเริ่มสั่นไหวรับความจริง เขาทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งรับรู้ความจริง มีคนแจ้งข่าวแก่ อิบนิ ซิยาดว่า

ท่านมัยษัมกำลังประณามว่า เขาได้ออกคำสั่งให้เอาที่รัดปากม้า (หรือสุนัข) มาปิดปากของท่านมัยษัมเพื่อยุติการพูด ทหารได้เข้ามาเฆี่ยนเขาตามร่างกาย (เหมือนกับที่ท่านอิมามอะลี(อฺ) บอกทุกประการ

ท่านมัยษัมกล่าวได้แต่เพียงว่า

“อัลลอฮุอักบัร”

ในวันที่สาม เลือดจากปากและจมูกของท่านไหลมาเปื้อนเคราทำให้มันเปลี่ยนเป็นสีแดง ขออัลลอฮ์(ซ.บ) ทรงประสาทพรแต่เขาด้วย

(3) ท่านเอาซ์ ก็อรนี

ท่านศาสดา (ศ) กล่าวว่า

“กลิ่นอายของสวรรค์พัดมาจาก็อรนุ เอาซ์ ก็อรนีเอ๋ย ฉันชื่นชมท่านมากใครที่เจอเขาก็จงฝากสลามของฉัน ไปยังเขาด้วย”

ท่านอิมามอะลี(อฺ)กล่าวในขณะที่มีประชาชนจากแถบซีก็อรนฺให้บัยอะฮฺกับท่าน(อฺ) ว่า

“จากเมืองกูฟะฮฺจะมีทหาร 1000 คนไม่มากและน้อยไปกว่านี้จะมาทำการบัยอะฮฺต่อฉัน”

เมื่อถึงเวลานั้น ท่านอิบนุอับบาสนับจำนวนทหารได้เพียง 999 คนเท่านั้นเกิดประหลาดใจว่าหายไปไหน 1 คน ไม่ทันไร ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ สวมชุดทหารเต็มยศ เดินตรงไปยังท่านอิมามาอะลี (อฺ) แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าต้องการให้บัยอะฮฺแต่ท่านจนกว่าจะได้พลีชีพ”

ท่านอิมาม(อฺ) เอ่ยขึ้นว่า

“ท่านมีชื่อว่าอะไร”

เขาตอบว่า

“เอาซ์ ครับ”

ท่านอิมาม (อฺ) กล่าวเสริมว่า

 “ท่านคือเอาซฺ ก็อรนีใช่ไหม?”

เขาตอบว่า

ท่านอิมาม(อฺ) อุทานขึ้นว่า

“อัลลอฮุอักบัร ผู้ที่ฉันรักที่สุด รอซูลุลลอฮฺ(ศ) แจ้งให้ฉันทราบว่า

ฉันจะได้พบกับศอฮาบะฮฺของท่านที่มเชื่อว่าเอาซ์ ก็อรนี ซึ่งเป็นพลพรรคของอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และจะตายในสภาพของชะฮีด อีกทั้งเขาจะให้การชะฟาอะฮฺ(ช่วยเหลือพิเศษในวันกิยามะฮฺ) แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก

ท่านเอาซ์ มีชื่อเสียงมากทางด้านความสูงส่งทางจิตวิญญาณ เขาหลงใหลต่อการอิบาดะฮฺเฉกเช่นการรักเงินและทองของโลกนี้ (สำหรับบุคคลทั่วไป)

จากถ้อยคำของท่านเอาซ์ข้างล่างนี้จะทำให้ทุกคนมองเห็นความสูงส่งด้านจิตวิญญาณของชายคนนี้

* ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ การครุ่นคิดถึงความตาย และความน่ากลัวของวันแห่งการตัดสินจะทำให้ปวงบ่าวผู้มีอีหม่านไม่มีความรู้สึกรื่นเริงยินดีต่อโลกนี้เลย

* พวกเขากล่าวหาและให้ร้ายพวกเราในเรื่องที่เราดำเนินการกำชับเรื่องคุณธรรมและห้ามปรามในเรื่องที่ชั่วร้าย แต่ด้วยกับเรื่องดังกล่าวนี้ที่เราได้ยืนหยัดเพื่อสัจธรรม

(4) ท่านกัมบัร

ท่านกัมบัรก็เป็นอีกผู้หนึ่งในจำนวนผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากท่านศาสดา(ศ) และท่านอิมามอะลี(อฺ) จนกระทั่งได้รับตำแหน่งอันสูงส่งท่างจิตวิญญาณ เขาไม่กลัวที่จะพูดความจริง และค้นคว้าแนวทางที่ถูกต้อง ตามทัศนะของคนที่ใฝ่แต่โลก เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขามุ่งมั่นต่อการขัดเกลาจิตวิญญาณตนเอง จนกระทั่งถึงระดับที่เป็นผู้พิทักษ์ความเร้นลับทั้งหลายของท่านอิมาม(อฺ)

มีประโยคที่ทรงคุณค่าไม่รู้ลืมของชายกล้าหาญผู้นี้ที่พูดต่อหน้า ฮัจญาจ บินยูซุฟ (คนกระหายเลือดและทำชั่วเป็นอาจิณ)

ฮัจญาจถามว่า

“เจ้าทำงานอะไรให้อะลีบ้าง?”

เขาตอบ

“ข้าเป็นคนเตรียมน้ำสำหรับทำวุฏอ์ให้แก่เขา”

ฮัจญาจ ถามต่อไปว่า

“เมื่อเขาเริ่มเอาน้ำวุฏอ์ เขากล่าวอะไรบ้าง

ท่านกัมบัร ตอบว่า

“เขาอ่านอายะฮฺนี้”

“เมื่อพวกเขาหลงลืมที่ถูกย้ำเตือนแก่พวกเขา(เช่นความโปรดปรานต่างๆ) เราก็ยังเปิดเผยประตูของทุกสรรพสิ่งแก่พวกเขา (เพื่อเป็นหลักฐานสุดท้าย) จนกระทั่งพวกเขารู้สึกยินดีต่อสิ่งที่ถูกประทานให้ แล้วเราก็ยึดทุกอย่างมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงพากันหมดหวัง แล้วรากเหง้าของกลุ่มชนที่กดขี่ก็ถูกถอนรากถอนโคน การสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก”  (บทอัลอันอาม: 44-45)

ฮัจญาจ เอ่ยขึ้นว่า

“ข้าคิดว่าเจ้ากำลังตีความหมายโองการดังกล่าว ว่าหมายถึงข้านะ”

ท่านกัมบัรตอบอย่างเกรงกลัวว่า

“ก็ใช่นะซิ”

ฮัจญาจ จึงตอบว่า

“ถ้าข้าจับเจ้าสังหาร เจ้าจะทำอย่างไร”

ท่านกัมบัร ตอบอย่างองอาจว่า

“ข้าก็จะพบกับความสุขชั่วนิรันดร์ ส่วนเจ้าก็จะพบกับความขมขื่นไปตลอด”

ฮัจญาจกล่าวต่อไปว่า

“เจ้าจงด่านายของเจ้าอะลีซิ”

ท่านกัมบัร ตอบปฏิเสธว่า

“ถ้าข้าแสดงความโอหังต่อศาสนาของเขาแล้วละก็ เจ้าสามารถแนะนำข้าสู่ศาสนาที่ดีกว่านั้นได้หรือเปล่า?”

ฮัจญาจ ไม่ตอบคำถามนั้นแต่ได้พูดขึ้นว่า

“ข้าจะสังหารเจ้าด้วยมือของข้าอย่างแน่นอน ลองบอกมาซิว่า จะให้ข้าสังหารเจ้าด้วยวิธีอะไร?”

ท่านกัมบัร ตอบแบบไม่ใยดีว่า

“แล้วแต่เจ้าซิ”

ฮัจญาจ ถามว่า

“ทำไมละ”

ท่านกัมบัร อธิบายว่า

“ไม่ว่าเจ้าจะสังหารข้าด้วยวิธีเช่นใด ข้าก็จะสังหารเจ้าด้วยวิธีนั้น (ในวันกิยามะฮฺ) นายของข้าบอกว่าข้า ข้าจะถูกตัดคออย่างอธรรม

แล้วฮัจญาจก็สั่งให้ตัดคอท่านกัมบัร

บทที่ 26

อะมีรุ้ลมุอ์มินีน(อฺ) ตัวแทนจากการแต่งตั้งของท่านศาสดา(ศ)

ตัวแทนของท่านศาสดา(ศ)

ชีอะฮฺ 12 อิมาม คือผู้ที่เชื่อและศรัทธาว่าหลังการจากไปของท่าน

รอซูลุลลอฮฺ (ศ) ผู้นำโลกอิสลาม คือ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี(อฺ) และลูกหลานผู้บริสุทธิ์ทั้ง 11 คนของท่าน (อฺ) แนวความเชื่อและศรัทธามั่นดังกล่าวนี้มีเหตุผลที่ชัดเจนและกระจ่างชัดที่สุด ซึ่งเมื่อได้เห็นแล้วย่อมไม่มีความเคลือบแคลสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นหลงหลืออยู่

ท่านญาบิร บินอับดุลลอฮฺ อันศอรี(ร.ฏ.) ศอฮาบะฮฺคนหนึ่งของท่านศาสดา(ศ) กล่าวว่า

วันหนึ่งเมื่อโองการที่กล่าวถึงความจำเป็นในการเชื่อฟังอัลลอฮฺ ศาสนทูตและอุลุลอัมรุ ถูกประทานลงมา

ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ(ศ)ว่า

“พวกเรารู้จักอัลลอฮฺและศาสนทูตแล้ว ส่วนอุลุ้ลอัมรฺคือผู้ใดกันเล่า?”

ท่านศาสนทูต(ศ) ตอบว่า

“พวกเขาคืออิมาม(ผู้นำ) และตัวแทนของฉัน คนแรกในหมู่พวกเขาคือ อะลี บิน อะบีฏอลิบ คนต่อมา เรียงตามลำดับก็คือ ฮะซัน, ฮุเซน, อะลี บิน

ฮุเซน, มุฮัมมัด บินอะลี ซึ่งในคัมภีร์เตารอตเรียกว่า บากิร