พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 27277
ดาวน์โหลด: 4902

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 27277 / ดาวน์โหลด: 4902
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

สิ่งเหล่านี้ก็คือ “มุอญิซาต” ของนบีมูซา (อฺ) นั่นเอง

 อัลลอฮฺ (ซ.บ) ประทานสัญลักษณ์เหล่านี้ให้แก่ท่าน (อฺ) เพื่อทำให้

พวกฟิรอูนหมดความสงสัยในตำแหน่งการเป็นนบีของท่าน(อฺ)

พระองค์ประทานอำนาจให้แก่ท่าน(อฺ) เพื่อคนพวกนั้นจะได้ไม่คิดว่า

ท่าน (อฺ) อวดอ้างตัวเองว่าเป็นศาสนทูต

ณ ที่นั้น อัลลอฮฺ ได้ประทานคำสั่งให้ท่านนบีมูซา (อฺ) มุ่งหน้าไปหา

ฟิรอูน การเผยแพร่สาส์นของท่านก็เริ่มขึ้น ณ บัดนั้น

ในตอนเริ่มต้น ท่าน (อฺ) ก็บอกถึงการเป็นศาสนทูตของท่านแก่ฟิรอูนด้วยถ้อยคำที่งดงาม ได้เรียกร้องเชิญชวนให้เขาเข้ามาสู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว

ท่าน(อฺ) ถามเขาว่า

“ท่านต้องการจะมีจิตวิญญาณที่งดงามบริสุทธิ์หรือเปล่า ต้องการให้ข้าแนะนำท่านยังพระผู้อภิบาลของท่านหรือเปล่า?”

ท่านฟิรอูน ถามท่านนบี(อฺ) กลับว่า

“แล้วพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเป็นใครกัน?”

ท่าน(อฺ) กล่าวตอบว่า

“พระผู้เป็นเจ้าของข้าก็คือ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าและผืนแผ่นดิน พระองค์คือผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง”

ฟิรอูนรู้สึกโมโห จ้องไปที่หน้าท่านนบี(อฺ) แล้วกล่าวว่า

“เจ้าไม่เคยรู้จักพระผู้เป็นเจ้าองค์ไหนนอกจากตัวข้าเองเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคารพภักดีต่อข้าละก็ เจ้าก็จะต้องถูกลงโทษด้วย”

ท่าน (อฺ) ตอบว่า

“แล้วถ้าข้ามีสัญลักษณ์จากพระผู้เป็นเจ้ามาแสดงล่ะ ท่านจะว่าเช่นไร”

ฟิรอูน ถามว่า

 “ไหน อยู่ไหนล่ะ เอามาแสดงซิ ถ้าเจ้าไม่ได้โกหก”

ท่าน(อฺ) จึงขว้างไม้เท้าออกไป บัลดลนั้นเองมันก็กลายเป็นงูใหญ่ในทันที และท่าน(อฺ)ก็ได้ แบมือออก มันก็ส่องแสงสว่างเรืองรอง ฟิรอูนตกอยู่ในภวังค์ระหว่างทางสองแพร่งที่ต้องเลือกเดิน คือมูซา พระเจ้าของมูซาและ

สัญลักษณ์ต่าง ๆ จากพระผู้เป็นเจ้า

 อีกทางหนึ่ง ก็คือ อำนาจเด็ดขาดที่มีต่อประชาชนชาวอียิปต์

 และในที่สุดความหลงตัวเองก็หักห้ามไม่ให้ยอมแพ้ต่อท่านนบีมูซา(อฺ) แต่ก็ยังคงงุนงงต่อสิ่งที่ได้ประจักษ์ต่อกับสายตา

เขารำพึงรำพันต่อตัวเองว่า

“ทำอย่างไรน่ะ จะบอกผู้คนว่าเขาก็เป็นแค่พ่อมดหมอผี”

จากการเดาส่งเดชของเขาจึงทำให้เขาเรียกเสนาอำมาตย์เข้ามาพบ แล้วบอกพวกนั้น โดยสร้างเรื่องขึ้นมาว่า

“หมอผีคนนี้จะขับไล่พวกเจ้าจากบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเจ้าเข้าแทนที่พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะว่าอย่างไร?”

พวกนั้นตอบว่า

“จับเขาไว้ก่อน แล้วเชิญชวนนักมายากล พ่อมด หมอผี มาชุมนุมกันเพื่อให้เขาปราชัยให้ได้ด้วยการเปิดโฉมหน้าของเขา”

ฟิรอูนยอมรับข้อเสนอนี้ ออกคำสั่งให้นักมายากล นักไสยศาสตร์มืออาชีพทุกคนมาชุมนุมกัน โดยให้สัญญากับพวกนั้นว่า

“ถ้าทำให้มูซาแพ้ได้ละก็ เจ้ามีทุกอย่างได้เสวยสุขเคียงข้างข้า”

ด้วยกับความคิดที่จะทำให้ท่านนบีมูซา(อฺ) ยอมจำนนให้ได้และได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ พวกเขาก็เลยขว้างเชือกและไม้เท้าลงไปบนพื้น ด้วยเวทมนตร์คาถาและมายากลของพวกเขา สิ่งนั้นได้กลายเป็นงูตามสายตาปรกติของประชาชนกำลังทำท่าเคลื่อนไหว ประชาชนที่รายล้อมอยู่นั้น อ้าปากค้างด้วยความตะลึง แต่ท่านนบีมูซา(อฺ) อยู่กับผู้เป็นเจ้า และที่วิเศษไปกว่านั้น ก็คือ พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับท่านนบีมูซา (อฺ) ท่าน(อฺ) จึงไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น ท่าน(อฺ) ได้ขว้างไม้เท้าของท่าน (อฺ) ไปท่ามกลางงูมายากลเหล่านั้น ทุกคนประจักษ์ด้วยสายตาว่า

ไม้เท้าของท่านกลายเป็นงูใหญ่เข้าบดขยี้แล้วกลืนกินงูเล็กๆ ของนักมายากลทันที ไม่มีอะไรหลงเหลือนอกจากความว่างเปล่า

ทันใดนั้นเอง บรรดานักมายากล นักเล่นของ นักไสยศาสตร์ทั้งหมดก็บังเกิดอีหม่าน ศรัทธาต่อท่านนบีมูซา(อฺ) โดยพูดจากใจเป็นเสียงเดียวกันว่า

“พวกเราขอศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งผองซึ่งก็คือพระผู้เป็นเจ้าของมูซาและฮารูน”

พวกเขาก้มลงซูญด ขออภัยโทษต่อทุกๆ สิ่งที่พวกเขาได้เคยกระทำมา

ฟิรอูนรู้สึกโกรธจัด ขู่คนพวกนั้นทันที แต่ทว่าพวกเขาเหล่านั้นรู้ดีกว่าใครทั้งหมด ถึงความแตกต่างระหว่าง “มายากล” กับ “มุอฺญิซาต” ของท่านนบี (อฺ) พวกเขารู้ดีว่า ท่านนบีมูซา (อฺ) ไม่ใช่นักมายากล กำลังอำนาจ

ของพวกเขาเป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้สึกกลัวคำขู่ดังกล่าวเลย

ฟิรอูนกล่าวกับพวกเขาว่า

 “เจ้ากล้าดีอย่างไร ที่ศรัทธาต่อพระผู้เป็นของมูซาก่อนที่ข้าจะอนุญาต ข้าจะตัดแขน ตัดขาของเจ้า แขวนไว้ตามต้นอินทผาลัม”

เขาคิดเหมือนคนไร้สติว่า การมีอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า ต้องรอคำอนุญาตจากเขาเสียก่อน

นักมายากทั้งหลายจึงพูดขึ้นว่า

“พวกเราไม่ยกท่านเหนือพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสร้างเราขึ้นมา เราขอคืนกลับยังพระผู้อภิบาลของเรา เราหวังในการอภัยโทษจากพระองค์อันเนื่องมาจากเราเป็นชนกลุ่มแรกที่ศรัทธาต่อมูซา ส่วนตัวท่านนั้นถ้าต้องการ

จะทำอะไร กับพวกเราก็เชิญเถิดเรารู้ดีว่า ดุนยานี้ไม่จีรังยังยืนหรอก”

ทว่า..ถ้อยคำอันเร้าร้อนดังกล่าว ไม่ได้ทำให้หัวใจอันหยาบกระด้างของ

ฟิรอูนอ่อนลงเลย เขายังคงหลงระเริงในอำนาจของตัวเอง

กลุ่มชนของฟิรอูนได้จับชาวบะนีอิสรออีลเป็นเชลย ส่วนผู้หญิงกักกันไว้ เพราะไม่มีพิษมีภัยอะไร ส่วนเด็กหนุ่มจับฆ่าไม่เหลือหรอ หลายต่อหลายครั้งที่อัลลอฮฺ(ซ.บ) ทำให้กลุ่มชนของฟิรอูนพบกับความด้อยต่ำ ไร้เกียรติยศ เพื่อเป็นบทเรียนแก่ตัวเอง เวลาใดที่มีภัยบะลาอ์ (การลงทัณฑ์) ลงมา พวกเขาก็จะได้สัญญากับนบีมูซา(อฺ) ว่า หากอัลลฮฺ (ซ.บ) ได้ทรงปัดเป่า

“ภัยบะลาอ์” ให้ห่างไกลเขาแล้ว เขาก็จะมีอีหม่านและเชื่อฟังพระองค์

อย่างไรก็ตามเมื่อภัยบะลาอ์จากไป สัญญาของเขาก็จางหายไปด้วย

 พวกเขาหลงลืมมันอย่างสิ้นเชิง แล้วก็เริ่มการบิดพริ้วต่อไป

ฟิรอูน กล่าวกับกลุ่มชนของเขาว่า

“ปล่อยให้ข้าได้ฆ่ามูซาด้วยมือของข้าเอง ข้ากลัวว่าเขาจะเอาศาสนาไปจากตัวของพวกเจ้าแล้วจะสร้างความเสียหาย ระส่ำระสายให้เกิดขึ้นบนหน้าพื้นแผ่นดินนี้”

ท่านนบีมูซา (อฺ) กล่าวอยู่เสมอว่า

“ฉันขอความคุ้มครองไปยังพระผู้อภิบสลอยู่เสมอจากคนพาลทั้งหลายที่ไม่เชื่อในวันแห่งการตอบแทน”

ในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ซ่อนความศรัทธาของเขาไว้ หันไปทางกลุ่มชนที่หลงผิดไปแล้ว กล่าวด้วยเสียอันดังว่า

“พวกท่านต้องการสังหารบุคคลที่กล่าวว่าอัลลอฮฺ (ซ.บ) คือพระผู้อภิบาลของฉัน กระนั้นหรือ? หรือว่า

พวกท่านไม่เห็นสัญลักษณ์อันแจ้งชัดที่มีพร้อมกับเขาเลยหรือ? “

ฟิรอูนป่าวประกาศว่า

“ทำตามที่ข้าบอก”

ชายมุอ์มินคนนั้นก็ร้องเตือนประชาชนอีกว่า

“ฉันกลัวว่าถ้าพวกท่านทำเช่นนั้น พวกท่านจะต้องพบกับสภาพเช่นเดียวกับกลุ่มชนของ นบีนูฮฺ ชาวอาด และชาวษะมูด ฉันกลัวว่าพวกท่านนั้นได้ทำลายตัวของตัวเองให้พบกับภัยพิบัติแห่งไฟนรก แล้วก็จะไม่มีใครช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากการลงทัณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้เลย”

ฟิรอูนไม่ได้สนใจต่อคำเตือนของชายคนนั้น คงคิดแต่แผนการของตนและหันไปบอกฮามาน อำมาตย์ของตนว่า

 “จงสร้างหอคอยอันสูงใหญ่ให้ข้า เพื่อข้าจะได้ขึ้นไปบนท้องฟ้าพบกับพระเจ้าของมูซา”

ชายคนดังกล่าวผู้มีอีหม่านที่มั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา ก็ยังคงตะโกนถ้อยคำดังกล่าวต่อไป

 เขากล่าวว่า

“จงเชื่อข้าเถอะ ข้าจะชี้ทางสว่างให้แก่ท่าน โอ้พวกพ้องของข้า

การดำรงชีวิตในดุนยานี้ไม่จีรังยั่งยืนหรอก อย่าได้หลงใหลต่อมันเลย โลกหน้าต่างหากที่แท้จริงแน่นอนและเป็นนิรันดร์ การกระทำทุกอย่างของมนุษย์จะถูกสอบสวนใครทำชั่วก็จะถูกลงทัณฑ์ ใครทำดีก็จะได้รับรางวัลตอบแทน รางวัลที่ว่าก็คือ สวนสวรรค์

กลุ่มชนของข้าเอ๋ย...ข้าขอเรียกร้องให้พวกท่านสู่ความรอดพ้น แล้วทำไมพวกท่านต้องเรียกร้องข้าไปสู่ไฟนรกเล่า?

พวกท่านต้องการให้ข้าเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงเอกะ โดยเอาสิ่งหนึ่งขึ้นเป็นภาคีหรือ? ข้าขอเชิญชวนพวกท่านสู่พระผู้อภิบาล

 ผู้ทรงเมตตาที่แท้จริงและผู้ทรงยิ่งใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าที่เราจะต้องคืนกลับสู่พระองค์

ใครก็ตามที่มองเห็นสัจธรรม และเข้าใจแล้วแต่ไม่ยอมมอบกายถวายชีวิตต่อสัจธรรมละก็ เขาจะต้องอยู่ในไฟนรกอย่างแน่นอน

อีกไม่นานเกินรอ พวกท่านจะได้เห็นตามสิ่งที่เจ้าได้พูดไป”

ฟิรอูนและกลุ่มชนของเขา หาได้ยอมกลับเนื้อกลับตัวไม่ พระผู้เป็นเจ้าได้รับเอาชายมุอ์มินที่มีอีหม่านมั่นคงไว่ในอ้อมกอดของพระองค์

 ส่วนพวกที่เชื่อตามฟิรอูนก็จะต้องได้รับภัยบะลาอ์

ในที่สุด พระผู้เป็นเจ้าก็สั่งให้ท่านนบีมูซา(อฺ) อพยพกลุ่มชนผู้ถูกดขี่ออกจากอียิปต์ในตอนกลางคืน ท่าน(อฺ) ก็ทำตามนั้น พวกเขาได้มุ่งหน้าสู่ทะเลแดง ในหัวใจของพวกเขายังคงหวาดกลัวว่า ขออย่าให้ฟิรอูนได้ตามทันเลย แต่ฟิรอูนก็ตามพวกเขาทัน เมื่อชาวบะนีอิสรออีลเห็นกองทัพอันมหึมาของ

ฟิรอูนแล้ว ก็เกิดความกลัว สันสน ทำอะไรไม่ถูก ข้างหน้าก็เป็นทะเล ข้างหลังก็คือ กองทัพอันเกรียงไกรของฟิรอูน ท่านนบี(อฺ) ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ(ซ.บ)

พระองค์สั่งให้ท่าน (อฺ) เอาไม้เท้าฟาดไปบนทะเล แล้วรีบข้ามไป ไม้เท้าได้จำแลงแสนยานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ผ่าทะเลแยกออกเป็นทางเดิน ชาวบะนีอิสรออีลรีบเดินตามท่านนบี(อฺ) ไปเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางกำแพงใหญ่สองด้าน แต่ไม่ใช่กำแพงอิฐ มันคือกำแพงที่เป็นน้ำ อัลลอฮฺอักบัรฺ แล้วพวกเขาก็ผ่านไปได้สะดวก กองทัพของฟิรอูนมาถึงริมทะเล คิดไม่ออกจะทำประการใดต่อไป จะเดินหน้าลงทะเล

หรือจะย้อนกลับ ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้เขาตะลึง มูซาและพวกนั้นข้ามทะเลได้อย่างไร เขาตัดสินใจออกคำสั่งให้ทุกคนตามมูซาและคนพวกนั้นให้ทัน ในใจก็ยังหยิ่งผยองว่า ต้องจับมันให้ได้ ทันใดนั่นเอง กำแพงยักษ์ก็ล้มคลื่นลงมา กลายเป็นสายน้ำอันเชี่ยวกราก ถาโถมเข้ามา ฟิรอูน เมื่อเห็นว่าตัวเองหมดทางสู้แล้วก็เกิดเชื่อขึ้นมาแต่สายไปเสียแล้ว มันทั้งหมดจมอยู่ในทะเล ถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย

อัล-กุรอาน ได้อธิบายถึงนาทีระทึกใจของฟิรอูนว่า

“เมื่อเขาใกล้จมน้ำ เขากล่าวขึ้นว่า ข้าขอศรัทธาว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระเจ้าที่พวกบะนีอิสรออีลศรัทธา ข้าขอยอมจำนน (มีเสียงตอบว่า) ตอนนี้นะหรือ? ก่อนหน้านี้เจ้าได้ทำชั่ว ก่อการละเมิด และเป็นผู้สร้างความเสียหาย ฉะนั้น(จะมีวันหนึ่ง)วันที่เราจะเอาร่างของเจ้าออกจากน้ำ เพื่อเป็นสัญญาณเตือนแก่คนรุ่นหลังเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่มักจะหลงลืมสัญญาณของเรา

{ที่มีมาในอดีต}” (บทยูนุซ: 90-92)

ชาวบะนีอิสรออีลข้ามทะเลมาได้ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้

หากว่าท่านนบีมูซา(อฺ) ไม่ได้รับความปลอดภัยและรอดพ้นจากเงื้อมมือของฟิรอูน และการอธรรมของเขาละก็ สิ่งที่ท่าน(อฺ) ตอ้งเผชิญก็คือความโง่เขลาและการจ้องจับผิดของชาวบะนีอิสรออีล พวกเขาได้เดินทางต่อไป จนกระทั่งถึงสถานที่หนึ่งทที่มีกลุ่มชนที่บูชารูปปั้นอาศัยอยู่

ชาวบะนีอิสรออีลได้วอนขอต่อท่านนบีมูซา(อฺ) ว่าขออนุญาตให้พวกเขาได้สร้างรูปปั้น ขึ้นมาสัก 1 ชิ้น เพื่อเคารพบูชา จะได้ไม่น้อยหน้าคนกลุ่ม่นั้น ท่านนบี (อฺ) รู้สึกอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง

ท่าน(อฺ) จึงกล่าวขึ้นว่า

“พวกเจ้าช่างเขลาอะไรเช่นนี้ พวกเจ้ายังคอยที่จะให้ข้าแสวงหาพระเจ้าอื่น นอกจากพระองค์ผู้ทรงช่วยพวกเจ้าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของฟิรอูนอีกกระนั้นหรือ?”

พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกท่านนบีมูซา(อฺ) ให้ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มชน เป็นเวลา 30 วัน เพื่อทำอิบาดะฮฺต่อพระองค์ ท่าน(อฺ)จึงเต่งตั้งนบีฮารูน(อฺ) ให้เป็นตัวแทนของท่าน(อฺ) ในกลุ่มชนนั้น คอยดูแลพวกเขา เวลาผ่านไป 30 วันตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ท่านนบีมูซา(อฺ) ได้ขออยู่เพิ่มอีก 10 วัน เมื่อครบ 40 วัน “คัมภีร์เตารอต” ก็ถูกประทานมาให้แก่ท่าน (อฺ) เพื่อเป็นข้อชี้นำแก่ชาวยะฮูดี

แต่ทว่า... ท่านนบี(อฺ) จากไปเพียงไม่กี่วัน พวกนั้นก็ยังคงคิดถึงแต่เรื่องรูปปั้น นักเวทมนตร์คนหนึ่ง ชื่อซามิรี จึงออกอุบายรวบรวมเพชรนิลจินดา ที่พวกเขานำติดตัวมา สร้างรูปปั้นวัวขึ้นมาตัวหนึ่ง มีเสียงร้องได้

(เป็นฝีมือการปั้นของซามิรี) แล้วก็กล่าวกับชาวบะนีอิสรออีล ผู้มีปัญญาอันต้อยต่ำว่า

“นี่คือพระเจ้าของมูซา และพระเข้าของพวกท่าน จงกราบไหว้บูชาพระองค์”

พวกนั้นลืมไปสนิทว่า พระเจ้าไม่อาจจะมีเรือนร่างได้ แล้วจะอยู่ในสถานที่หนึ่งและเวลาหนึ่งได้อย่างไร

พวกเขาลืมไปว่าพระเจ้านั้นจะต้องยอมรับการเป็นผู้ชี้นำพวกเขาได้ พวกเขาหลงลืมคำสอนของท่านนบีมูซา(อฺ)เสียสิ้น ยอมรับรูปปั้นวัวนั้นซึ่งเป็นฝีมือการปั้นของ ซามิรี เองที่ไม่ได้ให้คุณให้โทษแก่ผู้ใดเลยว่าเป็นพระเจ้า

พวกเขาไม่สนใจคิดว่า ผู้ปั้นรูปปั้นนั้นซามิรี เป็นผู้ทำให้มันมีเสียงขึ้นมา ถ้ามีความจำเป็นถึงขนาดที่ว่า พระเจ้าจะปรากฏท่ามกลางผู้คนละก็

พระองค์ก็จะต้องชี้นำแก่ประชาชนได้ เป็นที่กระจ่างชัดว่า การชี้นำได้ กับ การส่งเสียงร้องอย่างไร้เหตุผลนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง?

พวกยะฮูดีก็หลงผิดด้วยประการเช่นนี้ ไม่สนใจต่อคำเตือนของท่านนบีฮารูน(อฺ) เลย

เมื่อท่านนบีมูซา(อฺ) กลับมาเห็นพฤติกรรมหลงผิดอัดชัดแจ้งเช่นนั้น

ท่าน(อฺ) รู้สึกเศร้าใจ และกล่าวตำหนิคนพวกนั้น

ท่าน(อฺ) กล่าวกับซามิรี ว่า

“จะให้ข้าทำอย่างไรกับพระเจ้าที่เจ้าสร้างมันมากับมือ ข้าจะเผามัน แล้วเอาเถ้าถ่านไปทิ้งในทะเล พระผู้เป็นเจ้าที่เที่ยงแท้ของเจ้านั้น คือพระองค์ผู้ซึ่งรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ทั้งมวล นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้น”

รูปปั้นดังกล่าวก็ถูกทำลายลง

คำพูดของท่านนบีมูซา(อฺ) ไม่ได้สร้างสำนึกให้กับคนพวกนั้นมากนักเขายังคงเป็นนักแก้ตัวและบิดพริ้วสัญญาทุกอย่าง หลังจากท่านนบีมูซา(อฺ) จากไปแล้ว ในหมู่พวกเขามีส่วนน้อยเท่านั้นที่ยอมรับต่อสัจธรรม

 ส่วนใหญ่ไม่สนใจ และดูแคลนต่อคำพูดของศาสดาผู้ถูกเลือกสรรของพระผู้เป็นเจ้าตลอดมา พวกเขายังคงสร้างการกดขี่ และสังหารพวกท่านเหล่านั้น ถึงขนาดขโมยคัมภีร์อันศักสิทธิ์ ซึ่งถูกประทานลงมาไปแก้ไข เพิ่มเติม ประดิษฐ์ออกมาเป็น “คัมภีร์เตารอต” ที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งความไม่สมบูรณ์ที่ปรากฏอยู่ในนั้น มากมายจนถึงขนาดที่ไม่อาจเรียกมันได้ว่าเป็น “คัมภีร์จกฟากฟ้า” อีกต่อไป

บทที่ 18

มะซีย์(อฺ) ศาสดา และบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า

มัรยัม: มารดาของท่านนบีอีซา(อฺ)

ภรรยาของอิมรอนเป็นหมันไม่อาจมีบุตรได้ แต่ได้ยินมาจากสามีของนางว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่า

จะประทานเด็กน้อยคนหนึ่งให้ ซึ่งด้วยพลานุภาพของพระองค์ สิ่งที่ตายไปแล้ว สามารถกลับมีชีวิตขึ้นมาได้ ให้คนป่วยหายจากอาการป่วยของเขาได้

อันเนื่องมาจากนางมีศรัทธาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สามารถที่จะสร้างสภาวะเหมาะสมขึ้นมากับนางได้ นางจึงวอนขอบุตรจากพระองค์

พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงตอบรับการวิงวอนขอของนาง นางได้ตั้งครรภ์ และเป็นการขอบคุณต่อความโปรดปรานที่ได้รับ นางได้ทำการบนบาน (นะซัร) ไว้ว่าขอมอบเด็กน้อยที่จะเดิดมาให้เป็นคนรับใช้ในบ้านของพระผู้เป็นเจ้า (บัยตุลมักดิส)

เด็กน้อยที่เกิดมาเป็นผู้หญิง เมื่อนางเห็นลูกน้อย

นางพูดขึ้นว่า

“โอ้พระผู้เป็นเจ้า เด็กน้อยเป็นผู้หญิง อย่างไรก็ตามข้าพระองค์ก็จะทำตามที่ได้บนบาน (นะซัร) ไว้ ข้าพระองค์ขอตั้งชื่อเด็กน้อยคนนี้ว่า มัรยัม ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้เด็กน้อยคนนี้ และลูกหลานของเธอรอดพ้นจากความชั่วหลายของชัยฎอน”

ภรรยาของอิมรอนอุ้มลูกน้อยไปยัง “บัยมุ้ลมักดิส” มอบให้แก่ผู้ดูแลสถานที่นั้น อันเนื่องจากเด็กน้อยคนนี้เป็นลูกของหัวหน้าของพวกเขา

พวกเขาจึงแย่งที่จะเป็นผู้ดูแลเด็กน้อย เพื่อเป็นเกียรติต่อตัวเองว่า ได้อบรมสั่งสอนลูกของอิมรอน ในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ เลยตัดสินใจด้วยการจับฉลากผลออกมาเป็นชื่อของท่านนบีซะกะรียา(อฺ)(ผู้ดูแลคนหนึ่งของบัยตุ้ลมักดิส) ท่านหญิงมัรยัม (อฺ) จึงตกอยู่ภายใต้การดูแลของท่านนบีซะกะรียา (อฺ)

ในที่สุด เด็กน้อยคนนี้ได้เจริญเติบโตขึ้น ปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮฺ และรับใช้ในบ้านของพระผู้เป็นเจ้า ความบริสุทธิ์ใจและอิบาดะฮฺของเธอมีมากจนถึงขนาดที่ว่า เมื่อไรก็ตามที่ท่านนบีซะกะรียา(อฺ) เข้ามายัง “มิฮฺรอบ”

สถานที่อิบาดะฮฺของเธอจะพบอาหาร (ที่มาจากฟากฟ้า) วางอยู่

ท่าน(อฺ) ถามด้วยความประหลาดใจว่า

“อาหารเหล่านี้มาจากไหน”

ท่านหญิงมัรยัม(อฺ) ตอบว่า

“จากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้ทรงประทานปัจจัยเครื่องยังชีพแก่ทุกคนที่พระองค์ทรงประสงค์

ซะกะรียาแลยะฮฺยา(อฺ)

ภรรยาของท่านนบีซะกะรียา(อฺ) ก็เป็นหมันเช่นเดียวกับมารดาของท่านหญิงมัรยัม(อฺ) จึงทำให้จนป่านนี้ยังไม่มีบุตรสืบสกุล ทั้งๆที่อายุก็มากแล้ว เมื่อท่านนบีซะกะรียา(อฺ) เห็นฐานภาพอันสูงส่งของท่านหญิงมัรยัม (อฺ) ใน “มิฮ์รอบ” ของเธอ ได้ประจักษ์ด้วยสายตาเห็นถึงความโปรดปรานอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระผู้เป็นเจ้า

ทำให้ท่าน(อฺ) ยกมือวอนขอลูกที่ศอลิฮฺจากพระผู้เป็นเจ้าโดยกล่าวว่า

“ยาอัลลอฮฺ ข้าพระองค์วอนขอลูกที่ศอลิฮฺและบริสุทธิ์คนหนึ่งจากพระองค์ โปรดประทานลูกที่เป็นที่พึงพอพระทัยของพระองค์ให้เป็นทายาทของข้าพระองค์ และของวงศ์วานยะอฺกูบด้วยเถิด”

ขณะที่ท่านนบีซะกะรียา(อฺ) กำลังทำนมาซอยู่ใน “มิฮฺรอบ” ของท่านนั้น

มะลาอิกะฮฺพูดกับท่าน(อฺ) ว่า

“พระผู้เป็นเจ้าแจ้งข่าวดีเรื่องประทานบุตรคนหนึ่งแก่ท่านชื่อยะฮิยา ซึ่งเป็นหนึ่งในศาสนทูตผู้ทรงคุณธรรมและมีความยำเกรง

ท่านนบีซะกะรียา(อฺ) ซึ่งซราภาพแล้วอีกทั้งยังรู้ว่าภรรยาของตัวเองเป็นหมัน (โดยทั่วไปแล้วยากที่จะรอคอยความโปรดปรานในเรื่องการตั้งครรภ์ได้เลย) เกิดความรู้สึกแปลกใน จึงพูดว่า

“โอ้พระผู้เป็นเจ้า ในสภาพที่ข้าพระองค์และภรรยาของข้าพระองค์เป็นอยู่นี้ พระองค์ประทานบุตรให้แก่ข้าพระองค์ได้อย่างไรกัน?”

มีเสียงตอบมาว่า

“เรื่องอย่างนี้ง่ายมากสำหรับพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ใช่ดอกหรือที่ทำให้เจ้าบังเกิดขึ้นมาจากสิ่งไม่มี?”

และแล้วท่านนบีซะกะรียา(อฺ) ก็ได้บุตรชายคนหนึ่ง นามว่า ยะฮฺยา

ท่านนบียะฮฺยา คือศาสดาท่านหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า ท่าน(อฺ) ได้เรียกร้องและเชิญชวนให้ประชาชนเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินสู่แนวทางแห่งความผาสุกตลอดทั้งชีวิตของท่าน(อฺ)

ในที่สุดท่าน(อฺ)ก็ถูกกษัตริย์องค์หนึ่งของบะนีอิสรออีล ซึ่งตั้งใจที่จะทำการขัดแย้งกับพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการแต่งงานกับหลายสาวของตัวเอง แล้วท่าน(อฺ)ก็ห้ามไม่ให้ทำเช่นนั้น ท่าน(อฺ)จึงถูกสังงหารเป็นชะฮีด

อีซา มะซีฮ์ (อฺ)

ท่านหญิงมัรยัม (อฺ) เด็กสาวที่ตั้งแต่แล็กๆ เติบโตอยู่ในบ้านของพระผู้เป็นเจ้าและท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ คือซะกะรียา (อ) รับหน้าที่ดูแลเธอ ในวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังอิบาดะฮฺอยู่ มะลาอิกะฮฺคนหนึ่งจำแลงร่างเป็นมนุษย์เข้ามาพบเธอ ท่านหญิงมัรยัม(อฺ) คิดว่า เขาเป็นมนุษย์จึงเกิดความรู้สึกกลัว ขอความคุ้มครองยังอัลลอฮฺ(ซ.บ)

มะลาอิกะฮฺตนนั้นจึ่งแจ้งข่าวดีแก่เธอว่า

“ข้าได้รับบัญชามาจากองค์พระผู้อภิบาลของเธอ ให้แจ้งข่าวดีว่าพระองค์จะประทานเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ให้แก่เธอ”

ท่านหญิงมัรยัม(อ.) ถามว่า

“เป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ตลอดมานั้น ยังไม่มีชายใดได้สัมผัสฉันเลย และฉันก็ไม่ใช่หญิงชั่วด้วย”

มะลาอิกะฮฺตอบว่า

“องค์พระผู้อภิบาลตรัสว่า การงานเช่นนี้สำหรับข้าแล้วมันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน เพื่อที่เราจะทำให้เขาเป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเมตตาของเรา”

ท่านหญิงมัรยัม(อฺ)ก็ตั้งครรภ์ และอันเนื่องจากเธอไม่มีสามี ก็เลยมีคนบางคนที่ชอบพูดจาไร้สาระ

กล่าวหาเธอว่าทำเรื่องที่น่าอับอายขึ้นแล้ว

เพื่อหลบหนีความเจ็บปวดจากถ้อยคำดังกล่าว เธอจึงต้องออกไปจากสังคมไปหลบพักอยู่ ณ สถานที่หนึ่งซึ่งไกลจากผู้คน รอคอยวันทีเด็กน้อยจะลืมตาดูโลก

ในที่สุด เวลาที่รอคอยก็มาถึง เธอรู้สึกเจ็บครรภ์จึงไปหลบอยู่ใต้ต้นอินทผาลัมแห้ง (เพื่อหาที่ลับตาบรรเทาความเจ็บปวด) แล้วก็คลอดทารกน้อยโดยปราศจากผู้ช่วยคนใด

ความอ้างว้าง ความเจ็บปวด กลัวเสื่อมเสียเกียรติยศ และครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนพวกนั้นเชื่อในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

เธอจึงรำพันกับตัวเองว่า

“ไม่น่าเลย ฉันต้องถูกลืมไปแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ตายอย่างนั้นนะหรือ”