ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ชีวประวัติอิมามฮุเซน0%

ชีวประวัติอิมามฮุเซน ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน

ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ผู้เขียน: ศาสตราจารย์เชคอะลีมุฮัมมัด อะลีดุคัยยิล
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 52935
ดาวน์โหลด: 4750


รายละเอียด:

ชีวประวัติอิมามฮุเซน ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 149 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 52935 / ดาวน์โหลด: 4750
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

บทที่ 4

มีชายคนหนึ่งออกมาจากฝ่ายทหารของอิบนุซะมัด เขามีชื่อเรียกว่าตะมีม บินฮุศ็อยนฺ อัล-ฟะซารี เขาร้องเรียกว่า

“ โอ้ ฮุเซนและพรรคพวกฮุเซน พวกท่านเห็นน้ำในแม่น้ำฟะรอตแล้วใช่ใหม มันใสสะอาดเหมือนท้องปลา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พวกท่านจะไม่ได้ลิ้มชิมรสของมันแม้สักหยดเดียว ก่อนที่พวกท่านจะถูกฆ่าตายไปอย่างทารุณ ”

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ) กล่าวถามว่า

“ ชายผู้นั้นเป็นใคร ?”

มีคนบอกท่านว่า

“ ตะมีม บินฮุศ็อยนฺ ”

ท่านอิมาม(อฺ)จึงกล่าวว่า

“ ชายคนนี้และบิดาของเขาคือชาวนรก ข้าแต่อัลลอฮฺ ได้โปรดสังหารเขาท่ามกลางความกระหายของเขาในวันนี้ด้วยเถิด ”

ไม่นานเขารู้สึกกระหายน้ำจนกระทั่งพลัดตกจากอานม้าแล้วม้าก็เหยียบเขาตายในทันทีนั้น ( 6)

(6) บิฮารุล-อันวาร เล่ม 10 หน้า 171

บทที่ 5

อะบูฮะดูฟ ได้ยิงธนูไปที่หน้าผากของท่านอิมามฮุเซน(อฺ) ท่าน(อฺ)รีบดึงออกมาได้ พลันเลือดก็ไหลทะลักออกมาจากใบหน้า

แล้วท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงแลเห็นว่าข้าฯต้องอยู่ในฐานะเช่นไรกับปวงบ่าวของพระองค์ที่เป็นพวกละเมิด ข้าแต่อัลลอฮฺ ได้โปรดคิดคำนวณพวกเขาให้ครบถ้วน จงฆ่าพวกเขาให้ราบคาบและอย่างปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่ในหน้าแผ่นดินแม้แต่คนเดียวและอย่าอภัยแก่พวก

เขาตลอดกาล ”

แล้วท่าน(อฺ)ได้ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

“ โอ้ประชาชาติที่เลวร้าย พวกเจ้าขัดแย้งกับศาสดามุฮัมมัด(ศ)ในเรื่องลูกหลานของท่าน(ศ)

จงรู้ไว้เถิดว่า หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าไม่อาจจะฆ่าใครได้อีก แต่เขาจะทำให้พวกเจ้าอ่อนแอ เนื่องจากการที่พวกเจ้าฆ่าฉัน ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันหวังว่าอัลลอฮฺจะทรงยกย่องฉันด้วยตำแหน่งชะฮีดต่อจากนั้นพระองค์จะทรงล้างแค้นต่อพวกเจ้าแทนฉัน โดยที่พวกเจ้าไม่รู้ตัว ”

ฮุศ็อยนฺจึงกล่าวขึ้นว่า

“ พระองค์จะทรงล้างแค้นเราแทนเจ้าได้อย่างไรหรือ โอ้บุตรของฟาฏิมะฮฺ ?”

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบว่า

“ ความชั่วของพวกเจ้าจะติดตามอยู่ในท่ามกลางพวกเจ้าเองจนมีการหลั่งเลือดของพวกเจ้าหลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้ถูกกระหน่ำด้วยการลงโทษอย่างรุนแรง ” ( 7)

( 7) เยามุล-ฮุเซน หน้า 70

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงรับดุอาอ์ของท่านอิมามฮุเซน(อฺ) เพราะไม่นาน

ท่านมุคตาร(ร.ฏ.)ก็เข้ามามีอำนาจเหนือพวกเขา แล้วจัดการลงโทษพวกเขาต่อจากนั้นฮัจญาจ บิน ยูซุฟ ก็เข้ามาปกครองจนเกิดการนองเลือดกันในหมู่พวกเขา

บทที่ 6

อับดุลลอฮฺ บิน ฮฺศ็อยนฺ อัล-อะซะดี ซึ่งยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกับทหารกลุ่มหนึ่ง เขาตะโกนด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“ โอ้ ฮุเซน ทำไมท่านไม่มองดูน้ำที่สดใสเหมือนท้องฟ้า แต่ท่านไม่อาจลิ้มรสของมันได้แม้สักหยดเดียว ก่อนที่พวกท่านจะต้องตายไปด้วยความกระหาย ”

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ) กล่าวว่า

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ ได้โปรดสังหารเขาให้ตายไปด้วยความกระหายด้วยเถิด และอย่าให้อภัยแก่เขาตลอดกาล ”

ฮะมีด บินมุสลิม กล่าวว่า

“ ขอสาบานด้วยพระนามพระนามของอัลลอฮฺ หลังจากนั้นไม่นานฉันได้ไปเยี่ยมอาการป่วยของเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ฉันเห็นเขาดื่มน้ำจนท้องกาง

หลังจากนั้นก็อาเจียนออกมาแล้วร้องว่ากระหายน้ำๆ แล้วก็กลับไปดื่มอีกจนท้องกาง หลังจากนั้นก็อาเจียนอีกเขาทรมานด้วยความกระหายน้ำ เขามีอาการเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปจนถึงแก่ความตาย ” ( 8)

( 8) บิฮารุล-อันวาร เล่ม 10 หน้า 191

บทที่ 7

ชายคนหนึ่งจากตระกูลของอุบาน บินดาริม ซึ่งมีชื่อว่าซุรอะฮฺ ได้ยิงธนูไปถูกที่ซอกคอของท่านอิมามฮุเซน(อฺ)จนทำให้เลือดหลั่งออกมา ท่าน(อฺ)กำหยาดเลือดแล้วขว้างขึ้นสู่ท้องฟ้า พลางกล่าว

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดทำให้เขากระหาย โปรดทำให้เขากระหาย ”

มุฮัมมัด อัล-กูฟี รายงานว่า :

คนที่ได้ไปพบเห็นเขาเล่าให้ฉันฟังว่า ในขณะที่เขาใกล้จะตายนั้นเขาร้องครวญครางเพราะความร้อนระอุภายในท้องและเย็นจัดที่สันหลัง ที่ด้านหน้าของเขาอบไว้ด้วยหิมะน้ำแข็ง แต่ด้านหลังของเขาต้องอบไว้ด้วยกองไฟ เขากล่าวว่า

“ จงให้ฉันได้ดื่มน้ำเถิด ฉันจะตายด้วยความหิวอยู่แล้ว ”

จนได้มีคนนำน้ำมาให้เขาดื่มคราวละเต็มภาชนะใหญ่ ในนั้นมีทั้งเหล้าองุ่น มีทั้งน้ำและนมที่พอเพียงสำหรับดื่มกันห้าคน แต่เขาดื่มแล้วดื่มอีกแล้วกล่าวอยู่แต่ว่า

“ เอาน้ำมาให้ฉันเถิด ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว ”

จนท้องของเขาโป่งเหมือนท้องอูฐ (9)

( 9) ตารีค อิบนิอะซากิร เล่ม 4 หน้า 337

การต่อสู้ของอิมามฮุเซน(อฺ) : ค้ำจุนเสาหลักแห่งอิสลาม

มุอาวิยะฮฺนั้น ถึงแม้จะเป็นคนที่เหิน ห่างจากคำสอนของศาสนาอิสลามและไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์อัล-กรุอานเท่าที่ควรและขัดแย้งกับวิถีทางของศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ(ศ)แต่เขาก็ยังเป็นคนดำรงนมาซ ยังบำเพ็ญฮัจญ์ ยกย่องศ่อฮาบะฮฺ และยังมีความพอใจในการเขียนถึงท่านศาสนทูต(ศ)และยังอ้างถึงในสิ่งที่ได้ยินมาจากท่าน(ศ) หมายความว่าสีสรรของอิสลามยังพอจะมีอยู่สำหรับการครองอำนาจรัฐและยังมีกลิ่นไอของศาสนาชี้นำสังคมอยู่

แต่เมื่อยะซีดเข้ามารับอำนาจการปกครอง ในกลางปีที่ 60 ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะเขาคือ คนที่ถูกกำเนิดขึ้นมาด้วยความโสมมเป็นคนที่มีความแปลกพิสดารในเรื่องความเชื่อความคิดและการกระทำ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้อะไรในด้านศาสนาเลย หรือแม้จะเป็นเรื่องซุนนะฮฺ

ก็ตามเมื่อบิดาของเขาได้แลเห็นความพิกล ความคึกคะนองของเขา และเห็นว่าเขาเป็นนักดื่มสุรา ก็รู้เลยว่าเขามิใช่คนที่เหมาะสมต่อตำแหน่งค่อลีฟะฮฺซึ่งสำคัญมาก

มุอาวิยะฮฺ เคยกล่าวไว้ว่า

“ ถ้าหากฉันไม่ลุ่มหลงในตัวของยะซีด แน่นอนสายตาของฉันจะต้องมองเห็นความชอบธรรมเป็นแน่แท้ ”

ชายคนนี้พูดตามความเป็นจริง กล่าวคืออารมณ์ของเขาหมกมุ่นอยู่ในการสร้างความยุ่งยากแก่มวลมุสลิมอย่างใหญ่หลวง จนคนทั้งหลายและแม้แต่เขาเองก็ไม่อาจรับได้

ในที่นี้ ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะกล่าวถึงความเหลวไหลของบุคคลผู้นี้เพราะไม่มีใครสามารถกล่าวถึงเรื่องของเขาในด้านนี้ให้ครบถ้วนได้ และคำกล่าวของเขาต่อไปนี้ ก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เป็นถึงความเหลวไหลอย่างสิ้นเชิงของเขา :

“ พวกฮาชิม(ตระกูลของท่านศาสดา)ได้เล่นเกมส์การครองอาณาจักรผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นหาได้มีคำสอนใดๆ ไม่ และวะฮฺยูก็มิได้ถูก ประทานมาแต่อย่างใด ”

งานชิ้นแรกที่ยะซีดลงมือทำหลังจากที่รับอำนาจการปกครอง คือ เขียนจดหมายส่งไปยังข้าหลวงของตนในเมืองมะดีนะฮฺ คือวะลีด บินอุตบะฮฺบินอะบีซุฟยานว่า

“ ให้จับตัวฮุเซน , อับดุลลอฮฺ บินอุมัร , อับดุร-เราะฮฺมาน บินอะบูบักรฺ , อับดุลลอฮฺ บินซุเบรมาให้สัตยาบันด้วยความรุนแรง และถ้าหากใครขัดขืนก็ให้ตัดคอเสีย แล้วให้ส่งศีรษะไปแสดงแก่ฉัน ” ( 1)

(1) มักตัล ฮุเซน ของค่อวาริซมี่ เล่ม 1 หน้า 178

คำถามที่มักจะถามกันก็คือว่า

ทำไม หลานของศาสดาจึงไม่ยอมให้สัตยาบันต่อยะซีด ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดการนองเลือด ทั้งทางด้านอะฮฺลลบัยตฺ(อฺ)และบรรดาสาวก

ท่านฮะซัน(อฺ)พี่ชาย ยังยอมให้สัตยาบันต่อมุอาวิยะฮฺได้ ทำไม ?

เราขอตอบว่าในตอนต้นเราได้กล่าวแล้วว่า ระหว่างมุอาวิยะฮฺกับยะซีดนั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก การให้สัตยาบันต่อยะซีดย่อมหมายความว่า หลานของท่านศาสดา(ศ)ให้การรับรองและพอใจในสภาพสังคมที่เป็นอยู่อย่างนั้น ซึ่งในภายหลังก็เท่ากับเป็นการทำลายอิสลามและถอดถอนวิญญาณแห่งศรัทธาออกจากมวลมุสลิม คำสอนของศาสนาก็จะถูกทำลายสร้างไปจากพวกเขา

เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าขนาดหลานของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)และบุตรของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ) ประมุขของชายหนุ่มชาวสวรรค์ยังยอมรับการใช้สัตยาบันต่อยะซีดอย่างสวามิภักดิ์ได้ ทั้งๆที่ท่านศาสนทูต(ศ)เคยกล่าวต่อหน้าท่าน(อฺ)ว่า

“ บุคคลใดที่เห็นผู้ปกครองสร้างความอธรรม แล้วไม่คิดแก้ไขก็ให้เตรียมที่นั่งของตนไว้ในไฟนรก ”

การปกครองของใครที่ไหนอีกเล่า ที่จะเลวร้ายยิ่งกว่าการปกครองของยะซีด และจะมีใครที่ไหนอีกเล่าสมควรจะเข้าทำการแก้ไขยิ่งกว่าบุตรของท่านศาสนทูต(ศ)ซึ่งเป็นเสาหลักของอิสลาม(2)

(2) ดูหนังสือที่เขียนโดยอุซตาซ อับดุล-กอดิร อะฮฺมัด ยูซุฟ ซื่อ ฮะซันบินอะลี

ใครก็ตามที่รู้จักนิสัยใจคอของยะซีดและจุดยืนแห่งความเชื่อของเขาจะต้องเชื่อถือได้เลยว่า ถ้าหากอำนาจปกครองเป็นของเขาอย่างเต็มรูปแบบเขาจะต้องทำลายอิสลามเนื่องจากความบ้าบิ่นและความละเมิดของเขาที่หางไกลจากหลักความเชื่อทางศาสนาอย่างยิ่ง นับเป็นความแค้นที่สะสมมาแต่กาลก่อน ดังนั้น จึงจำเป็นที่ประมุขของบรรดาชะฮีดต้องไม่ยอมให้สัตยาบัน ท่าน(อฺ)จึงได้ออกเดินทางจากเมืองมะดีนะฮฺ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นจากฝ่ายปกครอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยะซีดได้สั่งให้มีการสังหารท่าน(อฺ)ในเมื่อท่าน(อฺ)ไม่ยอมให้สัตยาบัน ท่านอิมาม(อฺ)ได้นำครอบครัวและน้องๆ ออกไปยังเมืองมักะฮฺ ซึ่งอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงกำหนดไว้ว่าใครที่เข้าไปเมืองนี้จะได้รับการปลอดภัย แต่ยะซีดยังส่งอุมัร บิน ซะมัด บิน อาศ เข้าไปในกลุ่มทหารและ

แต่งตั้งให้เขาบัญชาการฮัจญ์ และทำหน้าที่ดูแลพิธีกรรมและสั่งว่า

“ ถ้าพบฮุเซนที่ไหน ก็ให้ฆ่าเสียที่นั่น ” ( 3)

(3) มักตัล ฮุเซน ของมุก็อรรัม หน้า 193

ดังนั้นจึงจำเป็นที่ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ต้องออกจากเมืองมักกะฮฺอีกเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าแต่ปรารถนาความสันติ โดยเกรงว่าจะเกิดการ

นองเลือดในสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ท่าน(อฺ)ได้ออกเดินทางจากที่นั่นในวัน

ตัรวียะฮฺ(8 ซุลฮิจญะฮฺ)และถอดเอียะฮฺรอมของท่าน(อฺ)โดยเปลี่ยนเป็นการทำอุมเราะฮฺมุฟร่อดะฮฺ

ยังมีคำถามอีกข้อหนึ่งว่า ด้วยเหตุอันใดท่าน(อฺ)จึงมุ่งหน้าไปยังเมืองกูฟะฮฺแทนที่จะไปยังเมืองอื่น ตอนแรกท่าน(อฺ)ออกจากเมืองมะดีนะฮฺของตาของท่านคือศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอันตรายและต้องรีบรุดออกจากเมืองมักกะฮฺอีกด้วยความจำใจ แล้วทำไมท่านจึงเลือกเมืองกูฟะฮฺ แทนที่จะเป็นบัศเราะฮฺ เยเมน อียิปต์ หรือซีเรีย ?

เมืองบัศเราะฮฺนั้น แม้จะเป็นเมืองหน้าด่านของอิรัก แต่ชาวเมืองที่นั่นแตกแยกกันเป็นพรรคเป็นพวก บางทีศัตรูของอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)อาจอยู่ที่นั่นประกอบกับพวกเจ้าเมืองและสมุนบริวารทั้งหลายมีกันเป็นจำนวนมากและมีความเข้มแข็งกว่าบรรดาผู้ที่สวามิภักดิ์ต่ออะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)

เมืองเยเมนนั้น โอกาสน้อยมากที่ท่านประมุขของบรรดาชะฮีดจะเลือก เมื่อท่านเองก็เคยรู้ว่าคนเมืองนั้นเป็นพวกที่ทำการบกพร่องอย่างใหญ่หลวง และมักจะล่อลวงกับคนที่พบปะกัน พวกเขามิได้ให้การรับรองแก่บะซัรบินอัรฏอและทหารของเขาแม้แต่น้อย จนถึงกับสร้างความเสียหายในหน้าแผ่นดิน ฆ่าใคนได้ก็จะฆ่า ปล้นใครได้ก็จะปล้น

ส่วนอียิปต์ นับตั้งแต่อุมัร บิน อาศเข้าไปปกครองและได้สังหาร

ท่านมุฮัมมัด(ร.ฏ.)บุตรของท่านอะบูบักรฺที่นั่น ซึ่งเป็นคนที่ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ)แต่งตั้งให้ประจำที่นั่น พวกเขาปกครองเมืองนี้ด้วยการกดขี่ บีฑา โดยถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นประเทศที่สองของพวกตนรองจากเมืองชาม(ซีเรีย)เพราะมีบรรดาคนที่นิยมยกย่องอุษมานร่วมมือกับพวกเขาซึ่งเป็นพวกที่มีความแค้นเคืองต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)

ส่วนเมืองชาม(ซีเรีย)นั้น คือเมืองที่อยู่ในอุ้งมือของศัตรูอยู่แล้วและที่นั่นคือแหล่งที่ตั้งฐานบัญชาการทางทหารของคนเหล่านั้น

นี่คือ เหตุผลที่ว่าทำไมท่านอิมามฮุเซน(อฺ)จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองกูฟะฮฺแทนที่จะเลือกไปเมืองอื่นๆ ในดินแดนของอิสลามยามนั้น ประการหนึ่งเมืองนี้มีบรรดาชีอะฮฺกระจัดกระจายอยู่จำนวนมากเพราะเคยเป็นเมืองหลวงของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ)และท่านอิมามฮะซัน(อฺ) และเป็นเมืองที่

มุอาวิยะฮฺทอดทิ้ง กล่าวคือคนเหล่านั้นได้สังหารบุคคลระดับหัวหน้าประจำเมืองนี้เสียแล้ว เช่น ฮะญัร บินอาดี อัล-กินดีและสหายของเรา รวมทั้ง

อัมรว์ บินอัล-ฮัมกฺ และสมาชิกกลุ่มหนึ่งของเขาซึ่งเป็นคนสำคัญระดับแนวหน้าและเป็นหัวหน้าของที่นั่น โดยที่ซิยาด บุตรของชายโฉดและ

อัล-มุฆีเราะฮฺ บินชุอบะฮฺได้สังหารพวกเขารวมทั้งคนอื่นๆ ที่เป็นลูกน้องและสมุนของอุมาวิยะฮฺก็ร่วมกันฆ่าคนเหล่านี้ด้วย

ในขณะเดียวกับที่ทิศทางเดินทางท่านประมุขแห่งวีรชนอิสลาม(อฺ)ถูกปิดประตูหมด จนไม่เหลือเมืองอื่นๆ ให้เลือกอีกเลยนอกจากเมืองกูฟะฮฺนั้นเราก็พบว่าชาวเมืองกูฟะฮฺเคยมีการติดต่อกับท่านอิมามฮุเซน(อฺ) มาก่อน

นั่นคือกรณีที่คนเหล่านั้นเคยเขียนจดหมายถึงท่าน(อฺ)ในสมัยของ

มุอาวิยะฮฺ และสัญญากับท่าน(อฺ)ว่าจะร่วมทำการต่อสู้สนับสนุนท่าน(อฺ) แต่ขณะนั้นท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ได้ขอประวิงเวลาไว้ก่อน เพราะระหว่างท่าน(อฺ)เองกันมุอาวิยะฮฺยังมีสัญญากันอยู่ ในขณะเดียวกันท่าน(อฺ)ก็ไม่ต้องการบิดพลิ้วสัญญา

ท่านเชคมุฟีด (ขอให้อัลลอฮฺประทานความเมตตา) ได้กล่าวว่า :

“ อัล-กัลบี , อัล-มะดาอินี และนักประวัติศาสตร์ท่านอื่นๆ ได้อธิบายว่าเมื่อท่านอิมามฮะซัน ( อฺ) ถึงแก่กรรม พวกชีอะฮฺในเมืองอิรักได้มีการเคลื่อนไหวและเขียนจดหมายถึงท่านอิมามฮุเซน (อฺ)

ให้ถอนตัวออกจากมุอาวิยะฮฺและสัญญาว่าจะให้สัตยาบันต่อท่าน(อฺ)แต่ท่าน(อฺ)ได้ยับยั้งคนเหล่านั้นไว้โดยให้เหตุผลว่าระหว่างท่าน(อฺ)กับมุอาวิยะฮฺต่างมีสัญญากันอยู่ ซึ่งไม่บังควรแก่ท่าน(อฺ)ที่จะผิดสัญญา จนกว่าให้เวลากำหนดได้ผ่านพ้นไปก่อน ” (4)

(4) อัล-อิรชาด หน้า 200

หลังจากที่ยะซีดเข้ารับตำแหน่งแล้ว สาส์นจากคนเหล่านั้นที่เขียนติดต่อถึงท่านอิมามฮุเซน ( อฺ) มีมากจนกระทั่งท่านได้รวบรวมไว้เองถึง 12,000 ฉบับ (5)

(5) มะษีรุล-อะฮฺซาน ของอิบนุนะมา หน้า 16, อับศอรุล-อัยนฺ หน้า 5, มักตัล ฮุเซน ของมุก็อรรอม หน้า 163

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ) ได้ส่งท่านมุสลิม บินอะกีล(ร.ฏ.)ลูกพี่น้องของท่าน(อฺ)ไปยังเมืองกูฟะฮฺและชาวเมืองกูฟะฮฺก็ให้การตอบรับท่านประมุขแห่ง

วีรชนอิสลาม(อฺ) โดยได้เข้ามอบสัตยาบันกันอย่างมโหฬาร

กล่าวคือ จำนวนคนที่ให้สัตยาบันต่อท่านมีมากถึง 18,000 คน จนทำให้ลูกน้องของยะซีดซึ่งเป็นใหญ่อยู่ที่นั่นต้องได้รับความโดดเดี่ยวอยู่แต่ในวังของตน เพราะคนทั้งหลายไม่ร่วมมือกับเขาเลยไม่ว่าจะเป็นนมาซวันศุกร์หรือนมาซรวมธรรมดาท่านมุสลิม จึงเขียนจดหมายถึงท่านอิมามฮุเซน (อฺ) ก่อนถูกสังหาร 27 วันความว่า

“ ผู้ตรวจการณ์มิได้กล่าวเท็จต่อเจ้านายของตนเลย บัดนี้ชาวกูฟะฮฺได้ให้สัตยาบันต่อข้าพเจ้า มากถึง 18,000 คนแล้ว ดังนั้นขอให้รีบมาในทันทีที่จดหมายของข้าพเจ้ามาถึงท่าน ” (6)

(6) มักตัล ฮุเซน ของมุก็อรรอม หน้า 168

ในช่วงเวลาที่ท่านมุสลิม(อฺ)เขียนจดหมายถึงท่านอิมามฮุเซน(อฺ)อยู่นั้นเหตุการณ์ในเมืองกูฟะฮฺยังเป็นปกติ เขาจึงย้ำให้ท่านอิมาม(อฺ)รีบเดินทางมาแต่ยะซีดได้ส่งคนติดตามไปสังหารท่านอิมาม(อฺ)ที่มักกะฮฺ และกำชับว่าต้องฆ่าให้ได้ แม้จะเป็นที่ตรงบริเวณอัล-กะอฺบะฮฺก็ตาม ดังนั้น จึงจำเป็นที่ท่าน(อฺ)จะต้องรีบเดินทางออกไปทันที

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)พร้อมด้วยสมาชิกครอบครัวและพรรคพวกจำนวนหนึ่งได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองกูฟะฮฺ ในระหว่างทางท่าน(อฺ)ก็ทราบข่าวว่า ทางเมืองกูฟะฮฺได้มีการแปรพักต์เสียแล้ว

อีกทั้งท่านมุสลิม บิน อะกีลและสหายคนอื่นของเขารวมทั้งบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือเขาถูกสังหารเสียแล้ว ท่านอิมาม(อฺ)ได้ประกาศข่าวนี้ให้กลุ่มชนของท่าน(อฺ)ทราบเพื่อให้พวกเขาพิจารณาหาเส้นทางเดินเสียใหม่

หลังจากที่ท่าน(อฺ)ประสบกับปัญหาที่เป็นอุปสรรคเสียแล้ว เชคมุฟีด(ขอ

ให้อัลลอฮฺประทานความเมตตา)ได้กล่าวว่า

ท่าน(อฺ)ได้นำหนังสือฉบับหนึ่งออกมาอ่านให้ประชาชนรับทราบดังมีใจความต่อไปนี้

“ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ บัดนี้เราได้ทราบข่าวที่เลวร้ายที่สุดเรื่องหนึ่ง นั่นคือมุสลิม บิน อะกีล ,

ฮานี บิน อุรวะฮฺ , อับดุลลอฮฺ บิน ยักฏ็อร ได้ถูกสังหารเสียแล้ว

แน่นอนชีอะฮฺของเราได้สร้างความเสียหายให้แก่เราแล้ว ในหมู่พวกท่าน

ถ้าหากคนใดต้องการจะเปลี่ยนแปลงเส้นทาง ก็ขอให้รีบไปเสียจะไม่มีปัญหาข้อขัดแย้งใดๆและไม่มีข้อตำหนิติเตียนใดๆ ” (7)

(7) ญะลาอุล-อุยูน เล่ม 2 หน้า 152

จึงเป็นโอกาสดีสำหรับคนอาหรับกลุ่มหนึ่งที่ติดตามท่าน(อฺ)มาในคราวนี้ ซึ่งแอบหลบมากับท่านด้วยโดยหวังว่าจะได้เป็นสมาชิกร่วมของประเทศใหม่ โดยมุ่งหวังผลประโยชน์หรือแสวงหารายได้บางประการเท่านั้น

ในขณะที่ท่านอิมามฮุเซน(อฺ) ได้รับทราบข่าวนี้ เส้นทางที่ท่าน(อฺ)กำลังเดินอยู่ก็ถูกปิดกั้นอีกด้วย นั่นคืออุบัยดิลลาฮฺ บิน ซิยาด ได้ส่งอัล-ฮุศ็อยนฺ

บิน นามีร เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจการณ์ของตนให้ไปเฝ้าอยู่ที่อัล-กอดิซียะฮฺและได้วางกองทหารม้าเอาไว้ระหว่างเมืองกอดิซียะฮฺกับคอฟาน ระหว่าง

กอดิซียะฮฺกับอัล-ก็อฏก่อฏอนียะฮฺอีกทั้งยังได้มีการยึดเส้นทางระหว่าง

วากิเศาะฮฺกับซีเรียและบัศเราะฮฺด้วย จึงเป็นเหตุให้ท่านอิมาม(อฺ)ต้องเผชิญกับปัญหาการปิดล้อมของทหารเหล่านั้น ที่นำทัพมาโดยอัล-ฮุร บิน ยะซีด อัร-ร็อยฮานี ซึ่งอัล-ฮุรได้ขัดขวางการเดินทางไว้ตลอดแนว

ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยินยอมตกลงกันว่าให้ท่านอิมาม(อฺ)หาเส้นทางเดินสายใหม่โดยอย่าได้ย้อนกลับไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และไม่ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองกูฟะฮฺ

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)และอัล-ฮุรได้เดินทางด้วยกันจนกระทั่งมาถึง

“ กัรบะลาอ์ ” ซึ่งที่นั่นได้กลายเป็นสมรภูมิแหล่งสุดท้าย เป็นดินแดนแห่ง

วีรชนอิสลามและเป็นดินแดนที่จารึกความกล้าหาญในรูปแบบต่างๆ ไว้มากมาย

ลำดับเหตุการณวีรชนแห่งกัรบะลาอ์

บทที่ผ่านมาท่านได้อ่านเรื่องการต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน(อฺ)และการเดินทางของท่าน(อฺ)ที่เข้าสู่ “ กัรบะลาอ์ ” แล้วท่าน(อฺ)ได้เดินทางมาถึงที่นั่นในวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมุฮัรร็อม ฮ.ศ. 61

และท่าน(อฺ)ก็ยงคงพักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งทหารของฝ่ายข้าศึกติดตามมาทัน ในจำนวนนั้น

ชิมรฺ เป็นฝ่ายนำมา 4,000 คน

ยะซีด บินอัร-ริกาบ เป็นฝ่ายนำมา 2,000 คน

อัล-ฮุศ็อยนฺ บิน นามีร เป็นฝ่ายนำมา 4,000 คน

ชิบษฺ บิน รุบอี เป็นฝ่ายนำมา 1,000 คน

กะอับ บิน ฏ็อลฮะฮฺ เป็นฝ่ายนำมา 3,000 คน

ฮิญาร บินอับญัร เป็นฝ่ายนำมา 1,000 คน

มะฏอยิร บินร่อฮีนะฮฺ อัลมาซินีเป็นฝ่ายนำมา 3,000 คน

นัศรฺ บินฮัรชะฮฺ เป็นฝ่ายนำมา 2,000 คน

ทั้งนี้ต่างก็เข้ามาสมทบกับกองทหารของอิบนุชะอัด ซึ่งมีไม่น้อยกว่า

20,000 คน อิบนุซิยาดก็ยังส่งทหารมาสมทบอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งมีจำนวนมากถึง 30, 000 คน

คืนแห่งวัน อาชูรออ์

ในคืนวันพฤหัสที่ 9 ของเดือนมุฮัรร็อม อิบนุซะอัดได้นำทหารของตนเข้าไปหาท่านอิมามฮุเซน (อฺ) ซึ่งท่านอิมาม (อฺ) ก็ได้ส่งท่านอับบาซ (ร.ฏ.) น้องชายของท่าน (อฺ) ออกไปพบกับพวกเขาโดยได้สั่งว่า

“ เจ้าจงขี่พาหนะของฉันออกไปพบกับพวกเขา แล้วถามพวกเขาดูว่าพวกเขามาทำไม และต้องการอะไร ?”

ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ขี่พาหนะออกไปพร้อมกับพลทหารม้า 20 คน

ในจำนวนนั้นมีซุฮัยรฺและฮะบีบรวมอยู่ด้วย ท่านถามพวกเขาตามที่ท่านอิมาม (อฺ)สั่ง

พวกเขาตอบว่า

“ มีคำสั่งจากอะมีร(ผู้ปกครอง)มาว่า ให้เราเสนอแก่พวกเจ้าถึงเรื่องการยินยอมตกลงอยู่ภายใต้การปกครอง มิฉะนั้นแล้วก็ให้เราสู้รบกับพวกเจ้า ”

ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ก็ได้หวนกลับมาแจ้งให้ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)รับทราบถึงสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการ

ท่านอิมาม(อฺ)ได้พูดกับท่านว่า

“ จงกลับไปพบกับพวกเขาและขอร้องให้พวกเขาคอยให้คืนนี้ผ่านไปจนถึงพรุ่งนี้ก่อน

เพราะว่าเราจะทำนมาซต่อพระผู้อภิบาลของเราในคืนนี้ ซึ่งเราจะวิงวอนขอจากพระองค์และขอการอภัยโทษจากพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่า ข้ารักการนมาซและการอ่านคัมภีร์ อีกทั้งวิงวอนขอดุอาอ์และขอการอภัยโทษจากพระองค์ ”

ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ได้กลับไปหาคนเหล่านั้นอีกครั้งและขอร้องพวกเขาว่า ให้ค่อยเวลาจนคืนนี้ผ่านไปก่อน อิบนุ ซะอัดลุกขึ้นยืนถามคนทั่วไป

อัมรว์บินฮัจญาจกล่าวขึ้นว่า

“ มหาบริสุทธิ์เป็นของอัลลอฮฺ พวกเขาเป็นนักบุญ ในเมื่อขอร้องท่านเช่นนั้น ก็สมควรแล้วที่ท่านจะยินยอมพวกเขา ”

ก็อยซฺ บินอัชอัษ กล่าวว่า

“ ยินยอม่ไปตามที่พวกเขาขอร้องเถิด ขอสาบานด้วยอายุขัยของข้าเองว่าพรุ่งนี้ท่านจะต้องมีชัยชนะในการสู้รบได้แน่นอน ”

อิบนุซะอัดจึงพูดว่า

“ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันต้องรู้ว่าเขาทำอะไรในยามที่ฉันยืดเวลาให้พวกเขาคืนนี้ ”