ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ชีวประวัติอิมามฮุเซน0%

ชีวประวัติอิมามฮุเซน ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน

ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ผู้เขียน: ศาสตราจารย์เชคอะลีมุฮัมมัด อะลีดุคัยยิล
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 52932
ดาวน์โหลด: 4750


รายละเอียด:

ชีวประวัติอิมามฮุเซน ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 149 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 52932 / ดาวน์โหลด: 4750
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ชีวประวัติอิมามฮุเซน

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

แล้วเขาก็ส่งคนไปพบท่านอิมามฮุเซน(อฺ) โดยให้กล่าวว่า

“ พวกเราจะยืดเวลาแก่พวกเจ้าจนถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้าหากเจ้ายอมรับโดยดุษณี เราก็จะคุมตัวพวกเจ้าไปพบกับผู้ปกครองพร้อมกับเรา นั่นคือ

อิบนุ ซิยาด แต่ถ้าหากพวกเจ้าปฏิเสธ เราก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปอย่างเด็ดขาด ”

การนมาซ

คืนนั้นท่านอิมามฮุเซน(อฺ)และมวลสมาชิกของท่าน(อฺ)อดนอนตลอดคืน พวกเขาอยู่โยงห้อมล้อมกันเหมือนฝูงผึ้งในขณะที่ท่าน(อฺ)ยืนนมาซและนั่งนมาซตลอดเวลาไม่ว่าจะโค้งหรือจะกราบจนรุ่งขึ้นวันใหม่ ท่านอิมาม(อฺ)ได้ร่วมนมาซยามรุ่งอรุณ(ศุบฮ)กับบรรดาสมาชิกของท่าน(อฺ)เสร็จแล้วท่านก็ยืนขึ้นกล่าวคำเทศนา ความว่า

“ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺทรงอนุมัติให้มีการต่อสู้ทั้งโดยพวกท่านและโดยฉันในวันนี้แล้ว จึงขอให้พวกท่านทั้งหมดมีความอดทนและจงต่อสู้ ”

หลังจากนั้นท่านอิมาม(อฺ) ก็ได้หันมาทางทหารหาญแล้วขอร้องไห้จัดแถวเพื่อออกรบในขณะนั้นพวกเขามีจำนวนเพียง 70 คน รวมทั้งคนที่มีม้าและเดินเท้า โดยมีท่านซุฮัยรฺ บิน ก็อยนฺ ( ร.ฏ.) อยู่ทางเบื้องขวา ท่านฮะบีบ บิน มะซอฮิร (ร.ฏ.) อัล-อะซะดีอยู่ทางเบื้องซ้าย

ส่วนท่าน(อฺ)กับบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)อยู่ตรงระหว่างกลาง พร้อมกันนั้นก็ได้มอบธงรบของท่าน(อฺ)ให้แก่ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ผู้เป็นน้องชาย

ทางด้านอิบนุซะอัดก็ได้จัดแถวสมาชิกของตนด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเขามีจำนวนถึง 30,000 คน โดยแต่งตั้งให้อัมรว์ บิน ฮัจญาจ อัซ-ซุบัยดี อยู่ทางด้านขวา ส่วนทางด้านซ้ายก็ให้ชิมรฺ บิน ซีล-เญาชันอยู่ ส่วนกองทัพม้าก็ให้อุซเราะฮฺ บิน ก็อยซฺ เป็นฝ่ายนำ แล้วมอบธงของตนให้ซูวัยดฺสมุนมือขวาของตนเป็นผู้ถือ

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ปฏิเสธการเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำสงคราม

ท่านอิมาม(อฺ)สั่งให้มีการขุดสนามเพลาะไว้ด้านหลังกระโจมและให้จุดไฟไว้ในนั้นเพื่อหลบการรบให้มีขึ้นเพียงด้านเดียวและเพื่อเป็นการประกันความปลอดภัยให้แก่กระโจมที่พักด้วยบรรดาฝ่ายศัตรูได้ออกมานอกบริเวณค่าย ก็เห็นแสงไฟที่ถูกจุดขึ้นในหลุมเพลาะ ชิมรฺจึง

ตะโกนขึ้นสุดเสียงว่า

“ โอ้ฮุเซน เจ้าจะรีบเอาไฟเผาตัวเองก่อนถึงวันฟื้นคืนชีพกระนั้นหรือ ”

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ถามขึ้นว่า

“ นั่นเสียงของใคร ดูเหมือนคล้ายเสียของชิมรฺ บินซีล-เญาชัน ?”

มีเสียงขานรับว่า

“ ใช่แล้วครับ ”

ท่านอิมาม(อฺ)จึงกล่าวว่า

“ เจ้านั้นแหละที่เหมาะสมจะเข้านรกมากกว่าข้า ”

มุสลิม บิน เอาซะญะฮฺ(ร.ฏ.)ทำท่าจะยิงธนูเข้าใส่ แต่ท่าน(อฺ)ได้ห้ามไว้พร้อมกับกล่าวว่า

“ ฉันรังเกียจที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำสงครามกับพวกเขา ”

ท่านประมุขของวีรชนแห่งอิสลาม(อฺ) ได้ออกมาพบกับชาวกูฟะฮฺแล้วกล่าวคำเทศนาด้วย

ถัดจากนั้น ท่านอิมาม(อฺ)ได้กล่าวคำเทศนาอีกเป็นครั้งที่สองซึ่งปรากฏว่าการเทศนาในคราวนี้ ยังผลให้บรรดาผู้นำชาวกูฟะฮฺจำนวนหนึ่งยอมรับท่านอิมาม(อฺ) และเข้ามาร่มทัพกับท่าน เช่น อัล-ฮุร บินยะซีด อัร-ริยาฮี ซึ่งมีทหารอยู่อีกจำนวนหนึ่ง

สงครามและการพลีชีพ

อิบนุซะอัดเชื่อมั่นว่า การรอคอยอย่างนี้มิได้เป็นผลดีให้กับตัวเองเลยบางทีท่านอิมามฮุเซน ( อฺ) กับพรรคพวกของท่านอาจทำการเปลี่ยนแปลงบรรดาทหารทั้งหมดได้ แล้วจะเกิดความยุ่งยากสับสนเหมือนอย่างที่กษัตริย์แห่งร็อยและราชาแห่งญุรญานได้ประสบกับความพ่ายแพ้มาแล้ว

ดังนั้นเขาจึงได้นำทหารออกมาเผชิญหน้ากับท่านอิมาม(อฺ) แล้วยกธนูขึ้นเตรียมยิงทัพทีพลางกล่าวว่า

“ พวกเจ้าจงเป็นพยานต่ออะมีร(ผู้ปกครอง)ให้ข้าด้วยว่า ข้านี่แหละคือคนแรกที่ยิงธนู ”

แล้วทหารทั้งหมดต่างก็ยิงตามทันที ปรากฏว่าพรรคพวกของท่านอิมาม

ฮุเซน(อฺ)ถึงกับต้องธนูกันหมดทุกคนไม่เว้นแต่คนเดียว

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวกับพลพรรคของท่าน(อฺ)ว่า

“ จงลุกขึ้นเผชิญกับความตายที่ไม่อาจมีใครหลีกเลี่ยงได้เถิด

อัลลอฮฺจงประทานความเมตตาแก่พวกเจ้า ธนูเหล่านี้มันถูกส่งมาจากคนเหล่านั้น ”

พลพรรคของท่านอิมาม(อฺ)ต่างพากันฮึดสู้พร้อมกัน เพียงการต่อสู้ภายในชั่วโมงเดียวปรากฎว่าพวกเขาต้องประสบความสูญเสียไปถึง 50 คน

กองหนุนที่เหลือกับบะนีฮาชิม

หลังจากที่ทหารของท่านอิมามฮุเซน(อฺ)รวมพลังกันต่อสู้ในครั้งนี้แล้ว พวกเขาสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้จำนวนนับหลายพันคน จนกระทั่งพวกเขาได้รับบาดเจ็บและสูญเสียกันจนหมด

ชาวบะนีฮาชิมจึงได้ออกมาเสนอตัว ซึ่งท่านอิมาม(อฺ)ได้จัดส่งพวกเขาไปด้วยการกล่าวอำลาซึ่งกันและกันคนแรกที่ถูกส่งตัวออกไปคือ

ท่านอะลีอักบัร บิน ฮุเซน(ร.ฏ.) เขาสามารถสังหารฝ่ายศัตรูได้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งทหารของฝ่ายศัตรูร้องลั่นระงมกันไปหมด

นักสู้คนหนึ่งกล่าวว่า

เขาสามารถสังหารทหารเหล่านั้นได้ถึง 200 คน

และหลังจากนั้น ท่านอับดุลลอฮฺ บิน มุสลิมบิน อะกีล(ร.ฏ.) ก็ได้เข้าไปทำการต่อสู้อีก โดยที่ได้ทำการต่อสู้ถึงสามคราว ปรากฎว่าเขาได้สังหารทหารฝ่ายศัตรูได้มากถึง 98 คน และในเมื่อเขาพลาดท่าเสียทีลง

บรรดาลูกหลานของอะบีฏอลิบต่างก็ออกไปรบได้ครั้งเดียว ๆ

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ตะโกนบอกพวกเขาว่า

“ จงอดทนกับความตายเถิด โอ้ลูกหลานลุงของฉันเอ๋ย ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกท่านจะไม่ได้พบเห็นการลบหลู่ดูหมิ่นอีกเลย ”

บรรดาลูกหลานของอะบีฏอลิบได้ต่อสู้กับชาวกูฟะฮฺ จนพวกเขาต้องถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก ในจำนวนคนเหล่านี้ได้แก่ ท่านอูน และมุฮัมมัดบุตรชายสองคนของท่านอับดุลลอฮฺ บิน ญะอฺฟัร ฏ็อยยาร ท่านอับดุลลอฮฺ ท่านอับดุลเราะฮฺมาน ท่านญะอฺฟัร บุตรของท่านอะกีล บิน อะบีฏอลิบ

ท่านมุฮัมมัด บินอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ) ท่านมุฮัมมัด บินมุสลิม บินอะกีล

ส่วนท่านฮะซัน อัล-มุษันนา บุตรชายของท่านอิมามฮะซัน(อฺ)นั้น ได้รับบาดแผลทั้งหมดรวม 18 แห่ง และมือขวาก็ถูกฟันจนขาดแต่ไม่ถึงกับพลีชีพ

ท่านกอซิม บุตรของท่านอิมามฮะซัน(อฺ)ก็ออกไปทำการรบด้วย ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ใบหน้าของเขาผุดผ่องสดังดวงเดือน ยามที่ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)มองไปท่าน(อฺ)ได้เข้ากอดคอแล้วร้องไห้

จากนั้นท่าน(อฺ)ก็อนุญาตให้ท่านกอซิมออกรบ เขาก็ได้ออกไปต่อสู้กับชาว

กูฟะฮฺอย่างกล้าหาญและรุนแรงจนในที่สุดเขาก็ถูกสังหาร

เมื่อท่านอับบาซ(ร.ฏ.)เห็นความสูญเสียได้เกิดขึ้นแก่อะฮฺลลบัยตฺ(อฺ)อย่างมากมายเช่นนั้นแล้ว ท่านก็พูดกับพี่ ๆ น้อง ๆ ร่วมบิดามารดาของท่าน เช่น ท่านอับดุลลอฮฺ ท่านอุษมาน และท่านญะอฺฟัรว่า

“ โอ้บรรดาลูกชายของมารดาข้า พวกเจ้าจงออกไปรบเถิดเพื่อที่ข้าจะได้ชมการเคารพเชื่อฟังของพวกเจ้าที่มีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ ”

แล้วคนเหล่านั้นก็ออกไปต่อสู้จนกระทั่งถูกสังหารจนหมดทุกคน

การพลีชีพของท่านอับบาซ(ร.ฏ.)

จนกระทั่งเมื่อไม่มีใครเหลืออยู่กับท่านอิมามฮุเซน(อฺ)เลยสักคนนอกจากท่านอับบาซ(ร.ฏ.) น้องชายคนเดียวของท่าน ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ก็ขออนุญาตจากท่านอิมามฮุเซน(อฺ)เพื่อออกไปทำการสู้รบ

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบว่า

“ เจ้าคือคนถือธงของฉัน ”

ท่านอับบาซกล่าวว่า

“ หัวใจของข้าพเจ้าตื้นตันไปหมดแล้ว ข้าพเจ้ารังเกียจการมีชีวิตอยู่ ”

ต่อจากนั้นท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ได้ขอร้องให้ท่านอะบุลฟัฏลฺ อับบาซ(ร.ฏ.)ออกไปจัดหาน้ำมาให้เด็กๆ ได้ดื่ม ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)จึงได้ออกไปทางที่ทหารเหล่านั้นประจำอยู่ ท่านได้เตือนสติคนเหล่านั้น ให้เกรงกลัวต่อพระผู้ทรงอำนาจสูงสุด แต่ก้ไม่ได้ผล แล้วท่านก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า

“ โอ้ อุมัร บินซะอัด ฮุเซนผู้นี้ เป็นบุตรของบุตรสาวท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ซึ่งพวกเจ้าก้ได้สังหารพรรคพวกของเขาและคนในครอบครัวของเขาไปแล้ว คนเหล่านั้นยังมีครอบครัวและลูกๆ ของตนซึ่งกำลังกระหายน้ำอยู่ ดังนั้นขอให้พวกเจ้ามอบน้ำดื่มให้พวกเขาด้วย ตอนนี้หัวใจของพวกเขาห่อเหี่ยวด้วยแรงกระหายที่แผดเผา และเขาเองก็กล่าวด้วยว่า จงปล่อยข้าให้ไปอยู่เสียที่โรมหรือไม่ก็ที่อินเดียเถิด ข้าทิ้งเมืองฮิญาซกับอิรักให้พวกเจ้าแล้ว ”

คำพูดของเขามีผลทำให้ชาวกูฟะฮฺบางคนร้องไห้ แต่ชิมรฺตะโกนขึ้นสุดเสียงว่า

“ โอ้บุตรของอะบูตุรอบ ต่อให้ทั้งโลกนี้เต็มไปด้วยน้ำซึ่งมันอยู่ภายใต้อำนาจของเรา เราก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าดื่มแม้แต่หยดเดียว นอกจากว่าพวกเจ้าจะต้องให้สัตยาบันแก่ยะซีดเสียก่อน ”

ท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ได้กลับไปหาท่านอิมามฮุเซน(อฺ)เพื่อแจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบ ครั้นแล้วท่านได้ยินเสียงพวกเด็กๆ ต่างพากันร้องไห้ระงมเพราะความกระหายน้ำ แต่แล้วท่านไม่สามารถจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้เลย

ความเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาวบะนีฮาชิมฉุดท่านให้ลุกขึ้นออกไปเผชิญกับชาว

กูฟะฮฺและท่านก็พบว่าพวกเขาทั้งหมดเตรียมพร้อมอยู่แล้ว

คนเหล่านั้นมีจำนวนทหารถึง 4,000 คน

ท่านรีบตักน้ำจนเต็มถุง และท่านทำท่าจะวักน้ำมาเพื่อจะดื่ม แต่เมื่อนึกถึงความกระหายของท่านอิมาม(อฺ)ผู้เป็นพี่ชาย ท่านถึงกับขว้างน้ำทิ้ง แล้วกล่าวว่า

“ โอ้ ชีวิตของผู้น้อยที่มาทีหลังฮุเซนอย่างข้า หากไม่มีเขาแล้วไซร้ตัวข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมีน้ำแห่งนี้ควรที่ฮุเซนจะได้ดื่มความเยือกเย็นของมันก่อนข้าขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ คำสอนทางศาสนาของข้าในเรื่องนี้เป็นอย่างไร ”

แล้วท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ก็รีบวิ่งกลับไปหาท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ผู้เป็นพี่ชายพลางถือน้ำไปด้วย แต่ถูกปิดล้อมเส้นทางจากทุกทิศทางโดยทหารของฝ่ายข้าศึก ดังนั้นท่านจึงจำเป็นต้องต่อสู้กับคนเหล่านั้น จนสามารถสังหารไปได้หลายคนและสามารถเปิดช่องทางเล็ดลอดจากทหารเหล่านั้นได้

ท่านรีบวิ่งต่อไปพลางกล่าวว่า

“ ใช่ว่าข้าจะวิ่งหนีเพราะกลัวความตาย เพราะความตายคือสิ่งที่จะทำให้ข้าได้พบกับดวงวิญญาณของผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับการเลือกสรร หากแต่ที่ข้าวิ่งก็เพราะต้องการจะนำน้ำไปให้ถึงเท่านั้นข้าไม่ได้กลัวความตายจากการเผชิญหน้ากับข้าศึกเลย ”

พวกทหารฝ่ายข้าศึกยิ่งรวมตัวกันขัดขวางท่านอับบาซ(ร.ฏ.)มากขึ้นท่านได้ใช้ดาบฟันจนกระทั่งเขาเหล่านั้น ได้รับความเสียหายพวกแล้วพวกเล่า แต่แล้วบรรดาฝ่ายอธรรมก็สามารถสกัดกั้นท่านได้

เพราะว่ามีคนหนึ่งที่ชื่อว่าซัยดฺ บิน อัร-ริกอด อัล-ญะฮฺนี แอบอยู่ข้างต้นอินทผลัม แล้วฟันตรงแขนขวาของท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ขาดกระเด็น

ทั้งๆ ที่แขนขวาขาดสะบั้นแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ประหวั่นต่อการพยายามที่จะนำน้ำกลับไปให้จึงกระโจม ท่านจึงตัดสินใจต่อสู้กับทหารเหล่านั้น พลางกล่าวว่า

“ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ แม้แขนขวาข้าจะขาด แต่ข้าก็จะปกป้องศาสนาของข้าและปกป้องอิมามผู้ซื่อสัตย์ บุตรของศาสดาผู้บริสุทธิ์ตลอดกาล ”

ฝ่ายข้าศึกได้ใช้ความพยามต่อสู้เพราะกลัวว่าน้ำจะถูกนำไปถึงท่านอิมามฮุเซน(อฺ)แล้วท่าน ( อฺ) จะได้ดื่ม ท่านอับบาซ (ร.ฏ.) จึงไม่ลดละในการต่อสู้กับทหารเหล่านั้นอย่างไม่แยแสกับจำนวนอันมหาศาล ความคิดที่มั่นคงคือต้องเอาน้ำกลับไปให้ลูกหลานของท่านอิมามฮุเซน (อฺ) ให้ได้ ในขณะนั้นเองทหารอีกคนหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม ที่ชื่อว่า ฮะกีม บินฏุฟีลได้โอกาสฟันแขนซ้ายของท่านขาดกระเด็นไปอีกข้างหนึ่ง ท่านใช้ส่วนที่เหลือของแขนสองข้างโอบเข้าแนบทรวงอก แล้วกล่าวว่า

“ โอ้ ชีวีตของข้า เจ้าอย่าหวาดกลัวพวกมิจฉาทิฐิ(กาฟิร) และจงรับรู้ข่าวดีจากความเมตตาของผู้ทรงอำนาจกับท่านนบี ผู้เป็นประมุขที่ถูกเลือกสรรมา บัดนี้แขนซ้ายของข้าถูกพวกละเมิดตัดขาดไปอีกแล้ว ข้าแต่พระผู้อภิบาลโปรดนำคนเหล่านั้นเข้าสู่ไฟนรกอันร้อนแรงด้วยเถิด ”

ดอดธนูพุ่งกรูมายังท่านจากทุกทิศทาง ธนูดอกหนึ่งมาต้องตรงถุงน้ำอีกดอกหนึ่งต้องตรงหน้าผาก อีกดอกหนึ่งต้องตรงนัยตา อีกดอกหนึ่งต้องตรงทรวงอกชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกหลานของคนในตระกูลอุบาน บิน ดาริมได้ฉวยโอกาสเข้ามาประชิดตัวแล้วเอาหอกติดธงฟาดลงไปบนศีรษะของท่านจนซบลงบนพื้นดิน ท่านร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า

“ โปรดรับสลามจากข้าด้วยเถิดท่าน โอ้อะบาอับดิลลาฮฺ ฮุเซน ”

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)รีบรุดมาหาท่านในทันที ครั้งแล้วท่านได้เห็นแขนสองข้างขาดออกจากกัน ตรงหน้าผากถูกเสียบอย่างยับเยิน ดอกธนูติดตรึงอยู่ในดวงตา ธงถูกฉีกขาดตกอยู่ข้างตัว

ท่านซัยยิด อิบนุ ฏอวูซ (ขอให้อัลลอฮฺประทานความเมตตา) กล่าวว่า

“ แล้วท่านอิมามฮุเซน(อฺ) ก็ร้องให้เนื่องในการถูกสังหารของท่านอับบาซ ด้วยเสียงร้องไห้อย่างรุนแรง

ท่านอิมามกล่าวว่า

บัดนี้สันหลังของข้าถูกทำลายเสียแล้ว หนทางแก้ไขของข้ามีน้อยเหลือเกินแล้ว ”

การรบของท่านอิมามฮุเซน(อฺ)

ต่อจากนั้น ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ก็บุกเข้าหาฝ่ายศัตรูโดยฟาดฟันคนเหล่านั้นทั้งทางด้านขวาและด้านซ้าย จนพวกทหารเหล่านั้นต้องถอยร่นออกจากบริเวณที่ท่านยืนอยู่ เหมือนลูกแกะที่วิ่งหนีเมื่อถูกจู่โจมโดยสุนัขป่า

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ พวกเจ้าจะหนีไปไหน เมื่อฆ่าลูกชายบิดาของข้าแล้ว พวกเจ้าจะหนีไปไหน เมื่อฆ่าน้องชายของข้าแล้ว พวกเจ้าจะหนีไปไหน เมื่อพวกเจ้าตัดแขนของข้าแล้ว ”

การขอความช่วยเหลือของท่านอิมามฮุเซน(อฺ)

ต่อจากนั้น ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ก็เดินกลับไปยังที่พักในสภาพของคนที่สิ้นหวัง(จากการรบ)เศร้าสร้อยและร้องไห้ สองมือของท่าน(อฺ)ปาดน้ำตาที่รินไหล ตอนนั้นทหารกำลังเข้าจู่โจมกระโจมของท่าน(อฺ)

ท่านหญิงซะกีนะฮฺ(ร.ฏ.)ได้ออกมาพบท่าน(อฺ) แล้วถามถึงท่านอับบาซ(ร.ฏ.)ผู้เป็นอาของตน ท่าน(อฺ)บอกเธอว่า เขาถูกสังหารเสียแล้ว

เมื่อท่านหญิงซัยนับ(อฺ)ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตะโกนขึ้นว่า

“ โอ้อับบาซ หลังจากเธอแล้วเราต้องสูญเสียแน่ๆ ”

บรรดาสตรีต่างพากันร้องไห้ ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ก็ร้องไห้กับพวกเขาไปด้วย พลางด้วยว่า

“ หลังจากเจ้าแล้ว เราต้องสูญเสียแน่ ๆ ”

ท่านอิมาม(อฺ) ต้องได้รับความโดดเดี่ยวอ้างว้าง เพราะขาดคนช่วยเหลือ และไม่มีผู้สนับสนุน ในเมื่อพรรคพวกทั้งหลายของท่าน(อฺ)ต้องเป็นชะฮีดไปแล้วส เหล่าบรรดาบะนีฮาชิมผู้กล้าในสมรภูมิ จะมีก็แต่เด็กเล็กๆ ที่กำลังร้องไห้ระงม ท่านอิมาม(อฺ) ร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า

“ ใครจะเข้ามาอยู่ร่วมกับเกียรติของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)บ้างไหมใครที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺในเรื่องของเราบ้างไหม ใครจะช่วยเหลือเราโดยมุ่งหวังต่ออัลลอฮฺบ้างไหม ?”

ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อฺ)ออกรบ

บรรดาสตรีต่างพากันร้องห่มร้องไห้ด้วยเสียอันดัง ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อฺ)พยุงตัวลุกขึ้นมาด้วยไม้เท้าและเดินถ่อด้วยดาบเพราะมีอาการป่วยอยู่จนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ท่านหญิงอุมมุกุลษูม(ร.ฏ.)ร้องเรียกท่าน(อฺ)

“ โอ้ลูกเอ๋ย กลับมาเถิด ”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ ท่านน้า ปล่อยข้าให้ออกไปสู้ต่อเบื้องหน้าบุตรแห่งศาสนทูตของอัลลอฮฺ(ศ)เถิด ”

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ตะโกนเรียกท่านหญิงอุมมุกุลษูม(ร.ฏ.)ว่า

“ จับตัวเขาไว้เพื่อไม่ให้แผ่นดินต้องว่างเปล่าจากเชื้อสายของมุฮัมมัด ”

ดังนั้นท่านหญิง(ร.ฏ.)จึงนำตัวท่าน(อฺ)กลับมาให้นอนบนที่นอน

อำลาครอบครัว

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ได้ย้อนกลับมายังครอบครัวเพื่อเป็นการอำลา และสั่งทุกคนให้อดทน แล้วท่าน(อฺ)ก็สวมชุดแต่งกาย โดยนำเอาชุดของ

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)มาสวมทับ และใส่เสื้อเกราะพร้อมกับติดดาบไว้ด้วยแล้วท่าน(อฺ)ได้ขอผ้าผืนหนึ่งที่ไม่มีใคร่ต้องการมาวางไว้ในเสื้อของ

ท่าน(อฺ)เพราะผู้ตายย่อมไม่ต้องใช้ของดีๆ ท่านหญิงซัยนับ(อฺ)ได้นำผ้าที่ดีมาให้แต่ท่าน(อฺ)ไม่ต้องการและพูดว่า

“ นั่นมันเป็นผ้าที่แสดงถึงความต่ำต้อย ”

แล้วท่าน(อฺ)ก็เอาผ้าจำพวกเดียว กับของชาวเยเมนมาฉีก แล้วทำเป็นผ้าซับใน พร้อมกับเรียกหากางเกงแบบของชาวฮิบรูมาแยกชิ้นส่วนออกแล้วสวมมันไว้เพื่อมิให้สูญเปล่า

อับดุลลอฮฺ อัร-ร่อฏีอฺ(ผู้ที่ยังไม่อดนม)

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)เรียกหาท่านอับดุลลอฮฺบุตรชายคนเล็กสุดผู้ซึ่งยังไม่อดนมมาหาเพื่ออำลา ท่านหญิงซัยนับ(ร.ฏ.)ได้นำมาให้ ขณะนั้นดวงตาของท่านอับดุลลอฮฺปิดสนิทเพราะความกระหาย ท่านอิมาม(อฺ)รับบุตรชายมาให้นั่งบนตักแล้วกล่าวว่า

“ ความหายนะจะต้องประสบแก่คนเหล่านี้ ในเมื่ออัล-มุศฏ่อฟา(นามหนึ่งของท่านนบีแปลวว่าผู้ได้รับการเลือกสรร) ทวดของเจ้าเป็นคู่ปรปักษ์กับพวกเขาเอง ”

ต่อจากนั้น ท่าน(อฺ)ได้โน้มใบหน้าลงเพื่อที่จะหอม ทันใดนั้นเอง

ฮัรมะละฮฺ บิน กาฮิล อัล-อะซาดี ได้ยิงธนูมาถูกตรงเส้นเลือดที่ลำคอของท่านอับดุลลอฮฺ ปรากฏว่าท่านถึงแก่ชีวิตในทันที( 1)

ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ได้เอามือวางลงที่คอของเด็กน้อยจนกระทั่งว่าในขณะนั้นเลือดของท่านอับดุลลอฮฺไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่โดนยิงจนท่วมมือ ท่านอิมาม(อฺ)ได้แหงนหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วกล่าวว่า

“ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้าเสียแล้ว ในเมื่อฉันเกิดขึ้นโดยการประจักษ์ของอัลลอฮฺ ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอได้โปรดอย่าให้การตัดสินเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพระองค์เลย

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้พระองค์จะทรงสกัดกั้นเราในเรื่องชัยชนะ แต่ขอให้พระองค์ประทานสิ่งที่ดีกว่านี้แทนที่แก่เราด้วย ขอได้โปรดลงโทษพวกอธรรมเพื่อเรา และโปรดบันดาลให้เราได้รับเสบียงแห่งปรโลกแก่เราแทนเสบียงแห่งโลกนี้ ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอให้พระองค์ทรงเป็นพยานต่อพวกที่ได้ฆ่าบุคคลที่เหมือนท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)มากที่สุดด้วยเถิด ”

จากนั้น ท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ก็ได้ขุดหลุมด้วยดาบและทำการนมาซให้แก่เขาและฝังเขาลงไปทั้งๆ ที่เลือดคลุกทรายอยู่อย่างนั้น

(1) นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า ท่านได้นำบุตรออกไปพบกับฝ่ายศัตรูเพื่อขอน้ำดื่ม แล้วฮัรมาละฮฺจึงยิง

การต่อสู้อีกครั้งหนึ่งของท่านอิมามฮุเซน(อฺ)

หลังจากนั้นท่านอิมามฮุเซน(อฺ)ก็มุ่งหน้าออกไปพบกับฝ่ายข้าศึกพร้อมด้วยดาบที่ติดตัวไปท่าน(อฺ)ได้ร้องเรียกคนเหล่านั้นให้ออกมาประลองกับท่านตัวต่อตัว ซึ่งแต่ละคนที่ออกมาสู้กับท่านแบบตัวต่อตัวนั้นพบจุดจบทุกคนจนกระทั่งเป็นศพที่ถูกสังหารเป็นจำนวนมากมายมหาศาล อุมัรบิน ซะอัด จึงร้องขึ้นว่า

“ นี่คือบุตรของนักต่อสู้จอมทรหด นี่คือบุตรของนักสู้ชาวอาหรับพวกเจ้าจงจู่โจมเข้าหาเขาจากทุกทิศทาง ”

ครั้นแล้วฝ่ายข้าศึกจำนวนมากถึง 4,000 คนก็บุกตะลุยเข้าใส่ ท่านอิมาม (อฺ) ได้ทำการฟาดฟัน คนเหล่านั้นได้หันไปสู้ทางด้านขวาที่จู่โจมเข้ามาอย่างโกรธแค้นจนบาดแผลหลายแผลในตัวท่าน (อฺ) ชโลมไล้ไปด้วยเลือดสด

ฝ่ายทหารของศัตรูถอยร่นออกไปจากท่าน(อฺ)และมุ่งหน้าไปที่กระโจม ยืนเรียงรายขวางทางระหว่างท่าน(อฺ)กับกระโจม ท่าน(อฺ)ได้ร้องตะโกนใส่พวกเขาว่า

“ ความวิบัติจะเป็นของพวกเจ้า โอ้พรรคพวกของอะบูซุฟยานเอ๋ยถึงแม้พวกเจ้าจะไม่มีศาสนาและไม่กลัวการคืนกลับสู่ปรโลกก็ตามทีเถิด ก็จงเป็นเสรีชนในโลกนี้และย้อนคืนกลับสู่ชาติวงศ์ของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าเป็นชาวอาหรับจริงเหมือนดังที่อ้าง ”

ชิมรฺขานตอบว่า

“ ท่านพูดอะไรหรือ โอ้บุตรของฟาฏิมะฮฺ ?”

ท่านอิมาม(อฺ) กล่าวว่า

“ ข้าคือผู้ที่ต่อสู้กับพวกเจ้า บรรดาสตรีมิได้มีความผิดอันใด เจ้าจงหยุดยั้งจากการลบหลู่ของหวงของข้าเสีย ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ”

ชิมรฺตอบว่า

“ สมควรแล้ว ”

แล้วเขาก็ออกคำสั่งให้ทหารจากทุกทิศ แยกย้ายกันออกเป็นกลุ่มย่อยรวมทั้ง 4 ทิศ พวกหนึ่งที่อยู่กับท่านอิมาม(อฺ)ล้วนแต่ถือดาบ อีกพวกที่อยู่ห่างออกไปรอบๆ ท่าน(อฺ)ล้วนแต่ถือหอก

ส่วนอีกพวกหนึ่งถือธนูกับศร คนเหล่านั้นอยู่บนเนินสูง อีกพวกหนึ่งมีก้อนหิน อีกพวกหนึ่งเป็นทหารกล้าตาย

ทหารของศัตรู โอบล้อมเข้ามาถึงตัวท่าน(อฺ) ซึ่งท่าน(อฺ)ก็สู้อย่างสุดฤทธิ์ไม่หวาดหวั่นพั่นพรึงแม้แต่น้อย มีความกล้าหาญชาญชัยอย่างไม่มีใครเสมอเหมือน

อับดุลลอฮฺ บินอัมมาร บินยะฆูษ ได้กล่าวว่า

“ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ฉันไม่เคยเห็นความอ่อนแอของเขา(หมายถึงท่านอิมาม)เลย ลูกของเขาและสมาชิกครอบครัวของเขาตลอดจนพรรคพวกเขาถูกสังหารจนสิ้น แต่เขายังอดทนอย่างเหนียวแน่นไม่เผลอไผล ไม่ประหวั่นพรั่งพรึงกันศัตรู มีคนหลายคนบุกเข้าไปหาเขา