บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 14 (ความเป็นศาสดา)
บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 14 (ความเป็นศาสดา)
วิธีการพิสูจน์ความเป็นศาสดาสามารถรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลหนึ่งเป็นศาสดา
1 ตรวจสอบด้วยสติปัญญาด้วยความรู้ด้วยสัญลักษณ์ด้วยพฤติกรรมในคำสั่งสอนของเขา เช่นตัวอย่างของท่านซัลมานอัลฟาร์ซีท่านรู้ว่าศาสดาองค์ต่อไปมีสัญลักษณ์อะไรบ้าง กรณีของท่านซัลมานคือท่านรู้ว่าท่านศาสดานั้นจะไม่รับศอดาเกาะฮฺ และมีสัญลักษณ์หนึ่งอยู่ที่บ่าหรือไหล่ หรือเกี่ยวกับปัญหาทางความรู้ที่เขายังหาคำตอบไม่ได้และผู้ที่สามารถให้คำตอบนั้นได้คือศาสดา ซึ่งเรื่องนี่มีรายละเอียดมาก
2 จากการประกาศของศาสดาองค์ก่อน เช่นศาสดามูซา(อ)ท่านได้ประกาศว่าศาสดาองค์ต่อไปคือฮารูน(อ)
3 มุอฺญิซาต (อำนาจที่เหนือธรรมชาติ)
วิธีที่ดีที่สุดและสามารถเข้าใจได้ง่ายสำหรับมนุษย์ทุกคนคือ “มุอฺญิซาต” ซึ่งการรู้ด้วยสติปัญญาหรือความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์นั้นไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะมีความรู้เหมือนอย่างที่ท่านซัลมานอัลฟาร์ซีรู้ เพราะต้องใช้ความรู้ข้อมูลเป็นอย่างมาก ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่ามีคนมีสองคนเท่านั้นที่รู้สัญลักษณ์ของผู้ที่เป็นศาสดาก่อนการประกาศความเป็นศาสดา คือ ท่านซัลมานอัลฟาร์ซี และบะฮีรอบาทหลวงชาวคริสต์เตียน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการแสดงมุอฺญิซาต(อำนาจที่เหนือธรรมชาติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง)
- มุอฺญิซาตคืออะไร
จะเรียกสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นมุอฺญิซาตได้นั้นสิ่งนั้นต้องมีสามองค์ประกอบด้วยกัน
1 คือสิ่งที่เหนือปกติธรรมดาทั่วไป (คอริกุลอาดะฮฺ) ต้องแสดงคอริกุลอาดะฮฺ สิ่งที่ผิดปกติทั่วไปได้
คอริกุลอาดะฮฺแบ่งออกเป็นสองประเภท
- สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้สามารถเรียนรู้ได้ สามารถฝึกฝนได้แต่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด
- ไม่มีมนุษย์คนใดทำได้ เป็นอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำได้
สิ่งที่เหนือธรรมชาติบางอย่างที่มนุษย์สามารถทำได้และมีสิ่งที่เหนือธรรมชาติบางอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ ตามหลักวิทยาศาสตร์สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติคือสิ่งที่การเกิดขึ้นของมันเกิดขึ้นด้วยเหตุและผลตามหลักของฟิสิกส์เคมีซึ่งมีเหตุและมีผลตามธรรมชาติหรือสามารถอธิบายเหตุของการเกิดขึ้นของสิ่งนั้นด้วยหลักของธรรมชาติ เช่นการที่ผู้หญิงจะให้กำเนิดบุตรได้ต้องผ่านการแต่งงานมาก่อนนั้นคือสาเหตุในการมีบุตร ไม่ใช่ว่าผู้หญิงเดินไปชนต้นไม้แล้วท้อง มีเหตุมีผลตามหลักธรรมชาติของมัน ส่วนคอริกุลอาดะฮฺคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไม่สามมารถอธิบายได้ด้วยหลักของธรรมชาติ หรือไม่มีสาเหตุตามธรรมชาติ หรืออาจจะมีสาเหตุแต่ไม่ใช่สาเหตุตามหลักธรรมชาติทั่วไป เช่นกลเวทมนต์คาถา ฤษีชีไพร พ่อมดหมอผี สิ่งเหล่านี้มีจริงในโลกแห่งธรรมชาติ การกระทำที่เหนือธรรมชาติของพ่อมดหมอผี ฤษีชีไพรคนเหล่านี้สามารถทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ หายตัวได้ เหาะเหินได้ เดินบนน้ำได้ พระบางองค์สามารถเหาะเหินได้
ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลทางธรรมชาติได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นประเภทที่สามารเรียนรู้ฝึกฝนได้ หรือหมอดูสามารถปิดตาแล้วดูว่าอะไรเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมุอฺญิซาต
- คอริกุลอาดะฮฺ อิลาฮี สิ่งที่เหนือธรรมชาติที่เกิดจากอำนาจของอัลลอฮฺ(ซบ)โดยตรง พลังเหนือธรรมชาติมีหลายแบบบางครั้งมาจากพลังนัฟซานีของมนุษย์พลังด้านในของมนุษย์พลังทางด้านจิตสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย เช่นการเพ่งให้เหล็กงอ สะกดจิให้ลอย จ้องสัตว์ให้หัวใจวายตาย นักวิทยาศาสตร์เริ่มยอมรับว่ามนุษย์มีพลังจิต สิ่งนี้ก็คือ คอริกุลอาดะฮฺ แต่ไม่ใช่ทุกคอริกุลอาดะฮทุกอย่างจะเป็นมุอฺญิซาต คอริกุลอาดะฮฺอิลาฮีไม่มีมนุษย์คนใดบนโลกนี้สามารถทำได้ ไม่มีการเรียนรู้ไม่สามารถฝึกฝนได้ พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ ซึ่งคอริกุลอาดะฮฺนี้สามารถเป็นมุอฺญิซาตได้ เช่นพระองค์สั่งให้ศาสดามูซา(อ)โยนไม้เท้าลงบนพื้นศาสดาไม่รู้ด้วยว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ไม้เท้าได้กลายเป็นงู เป็นงูจริงๆที่มีความใหญ่ไม่ได้เป็นภาพลวงตา ซึ่งแตกต่างกับมายากลที่ใช้พลังจิตเวทมนต์ทำให้คนมองเห็นเป็นงู แต่ทว่าไม้เท้าของท่านศาสดามูซา(อ)คืองูจริงๆที่ได้กินงูของพวกนักมายากลทั้งหมดซึ่งศาสดาไม่ได้เรียนมาจากที่ไหน ไม่ได้ฝึกฝนเป็นอำนาจของอัลลอฮฺ(ซบ)โดยตรงที่อนุมัติให้เกิดขึ้น นี้คือความแตกต่างระหว่างคอริกุลอาดะฮฺทั่วไปกับคอริกุลอาดะฮฺอิลาฮี(สิ่งที่เหนือธรรมชาติที่มาจากอัลลอฮฺโดยตรง)
ซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเจ้าโดยตรง หรือการฟื้นคืนชีพคนตายของท่านศาสดามูซา(อ) ซึ่งในความเป็นจริงอำนาจพวกฤษีชีไพรก็คืออำนาจของพระองค์ที่พระองค์ได้มอบให้พวกเขาไป เช่นศาสดาอิสลามฝ่าดวงจันทร์ซีกหนึ่งไปทางตะวันตกอีกซีกหนึ่งไปทางตะวันออก เป็นการฝ่าจริงๆเกิดขึ้นตามอำนาจของพระองค์โดยตรง และจะเป็นมุอฺญฺซาตอย่างสมบูรณ์ได้นั้นเมื่อผู้ที่สำแดงคอริกุลอาดะฮฺอิลาฮีพร้อมกับที่เขาได้ประกาศตัวเป็นศาสดา เมื่อนั้นสามารถที่จะเรียกได้ว่าสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงคือมุอฺญิซาต แต่ถ้าเขาไม่ได้ประกาศตนเป็นศาสดา ก็จะเรียกว่า “กะรอมัต”
และในคอริกุลอาดะฮฺอิลาฮีก็แบ่งออกเป็นสองประเภท
- บางครั้งคอริกุลอาดะฮฺถูกแสดงโดยเอาลียาของอัลลอฮฺ(ซบ) บางครั้งไม่ได้ถูกแสดงโดยบรรดาศาสดา แต่คือเอาลียาอฺของพระองค์ก็สามารถที่แสดงคอริกุลอาดะฮฺได้เช่น การรักษาโรคที่ไม่มียารักษาอ่านดุอาอฺเป่าไปในน้ำเปล่าๆแก้วเดียวก็สามารถรักษาให้หายจากโรคมเร็งได้ เพราะเพียงแค่น้ำเปล่ามันไม่สามารถรักษามเร็งได้ ไม่มีโรคไหนที่รักษาได้ด้วยการกินน้ำเพียงแก้วเดียว แต่ถ้าหายนั้นคือสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่มันไม่สามารถอธิบาด้วยหลักฟิสิกส์เคมีนี้ก็คือคอริกุลอาดะฮฺ ดังนั้นคอริกุลอิลาฮีคือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น คอริกุลอาดะฮฺของบรรดาเอาลียาอฺเรียกว่า “กะรอมัต” ไม่เรียกว่า “มุอฺญิซาต” แต่ในความเป็นจริงเหมือนกันไม่มีความแตกต่างๆใด เพราะในการแสดงกะรอมัตของเขาไม่ได้ควบคู่กับการประกาศความเป็นศาสดา แต่ถ้าเขาประกาศตัวเป็นศาสดามันก็เป็นมุอฺญิซาต บรรดาอาลิมอุลามาอฺขึ้นสูงเชื่อว่า บรรดาเอาลียาอฺอัลลอฮฺสามารถที่จะฟื้นชีวิตคนตายเหมือนที่ศาสดามูซา(อ)ทำได้ สามารถฝ่าทะเลได้แต่ไม่เรียกมุอฺญิซาตเพราะไม่ได้ทำในนามศาสดา แตกต่างกันที่ชื่ออย่างเดียว ระหว่างกะรอมัตกับมุอฺญิซาต และในกะรอมัตมันก็มีคามแตกต่างความเข็มข้นและสูงสุดเท่ากับมุอฺญิซาตของบรรดาศาสดา ดังนั้นวิธีที่พิสูจน์ศาสดาที่ทั่วไปที่สุดซึ่งทุกคนสามารถรู้ได้นั่นคือมุอฺญิซาต ศาสดามามูซา(อ)มายังฟิรอูนกล่าวฉันคือศาสดาของอัลลอฮฺ(ซบ) มีสาสน์มายังเจ้า สิ่งแรกที่ที่ฟิรอูนถามว่าถ้าเจ้าเป็นศาสดาไหนลองแสดงมา แม้ฟิรอูนก็รู้ว่าถ้าเป็นศาสดาจริงต้องสร้างแสดงสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ อัลลอฮฺ(ซบ)ก็ได้วะฮฺยู(วิวรณ์)ให้ศาสดามูซา(อ)ให้วางไม้เท้าลงและไม้เท้าได้กลายเป็นงูใหญ่
๒ สิ่งนั้นเกิดจากกระทำของพระเจ้าโดยตรง
๓ ควบคู่กับการประกาศการเป็นศาสดา
ขอขอบคุณ สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)