บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 15 (ความเป็นศาสดา)
บทเรียน นบูวัต ตอนที่ 15 (ความเป็นศาสดา)
ข้อสงสัยต่างๆที่เกี่ยวกับมุอฺญิซาตของบรรดาศาสดา(อำนาจที่เหนือธรรมชาติ)
1 ตามหลักปรัชญาหรือตามหลักวิทยาศาสตร์เรื่องของอิลลัตและมะลูล(ปฐมเหตุและผล) เป็นที่ยอมรับว่าทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีอิลลัต(สาเหตุ) และอิลลัตของมันก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้ตามหลักปรัชญาและวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ แต่ทว่าการมีอยู่ของมุอฺญิซาต(ปฏิหารย์ของศาสดา)โดยที่ไม่สามารถหาอิลลัต(สาเหตุ)ของการเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้
ดังนั้นเรื่องมุอฺญิซาตจึงเป็นเรื่องที่ทำลายระบบอิลลัตมะลูล(ระบบเหตุและผล) และสิ่งที่ทำลายอิลลัตมะลูลนั้นสิ่งนั้นก็จะถูกปฏิเสธ ปรัชญาไม่ยอมรับมะลูล(ผล)ที่ไม่มีอิลลัต(สาเหตุ) ซึ่งก็หมายความว่ามุอฺญิซาตไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามุอฺญิซาตมีจริงก็ต้องยกเลิกกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์คือปรัชญาเรื่องของอิลลัตมะลูล และการที่นักวิชาการกล่าวว่าว่ามุอฺญิซาตไม่สามารถหาอิลลัต(สาเหตุ)ของมันได้สามารถที่จะให้คำอธิบายได้อย่างไร
คำตอบคือ เป็นสิ่งที่ถูกต้องว่าทุกๆสรรพสิ่งต้องมี(อิลลัต)มีสาเหตุของมัน แต่เมื่อกรอบวางมาผิดคำถามผิดก็ไม่สามารถไปถึงคำตอบที่ถูกได้ ต้องทำลายกรอบที่ถูกวางมาก่อน คำถามของคุณเป็นคำถามที่ผิด ผิดที่ว่าทุกมะลูล(ผล)จะต้องค้นพบอิลลัต(สาเหตุ)ของมันตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะในความเป็นจริงแล้วมีอิลลัตแต่ทว่าเป็นอิลลัตที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถค้นพบอิลลัต(สาเหตุ)ของมันได้ วิทยาศาสตร์สามารถค้นพบอิลลัต(สาเหตุ)ของมะลูล(ผล)ได้เฉพาะเรื่องที่อยู่ในกฎเกณฑ์ธรรมชาติเท่านั้น แต่ทว่าในความเป็นจริงยังมีสิ่งที่สาเหตุในการมีอยู่ของมันอยู่เหนือธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับว่ามันมีอยู่จริงคือเรื่องคอริกุลอาดะฮฺ(เรื่องที่เหนือธรรมชาติปกติทั่วไป)
ซึ่งเป็นเรื่องที่สามมารถเรียนรู้ได้สามารถที่จะฝึกฝนได้ ซึ่งวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาก็ยอมรับว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง บางครั้งสาเหตุของมันมาจากจิตเกิดจากการฝึกฝนพลังจิตต่างๆ บางครั้งเป็นเรื่องเวทมนต์คาถาแต่บางครั้งยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์สาเหตุในการเกิดขึ้นของมันได้เท่านั้นเอง ดังนั้นสรุปได้ว่าการมีอิลลัต(สาเหตุ)ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอิลลัต(สาเหตุ) มีอิลลัตอยู่แต่ยังไม่สามารถค้นพบ และในวันนี้อิลลัต(สาเหตุ)ที่สามารถพิสูจน์ได้นั้นเฉพาะเรื่องที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเท่านั้น ในขณะที่ยังมีอิลลัต(สาเหตุ)ที่อยู่เหนือธรรมชาติที่สามารถทำให้เกิดมะลูล(ผล)ได้
ดังนั้นความเชื่อในเรื่องมุอฺญิซาตก็ไม่ได้ขัดกับระบบอิลลัตและมะลูล เพราะสาเหตุของการเกิดขึ้นของมุอฺญิซาตอยู่เหนือกฎธรรมชาติอยู่เหนือวิทยาศาสตร์เพราะเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ มันจึงไม่สามารถที่จะถูกพิสูจน์ด้วยสาเหตุทางกฎของธรรมชาติได้
2 ทุกสิ่งทุกอย่างมีสาเหตุในการเกิดขึ้นของมัน(อิลลัต)ซึ่งเป็นที่ยอมรับ โลกนี้เกิดมาจากระบบอิลลัตมะลูล และระบบนี้เป็นซุนนะตุลลอฮฺ(แบบฉบับของอัลลอฮฺ)เป็นแนวทางในการสร้างของพระองค์ เช่นการที่พระองค์ทรงทำให้ฝนตก อยู่ดีๆฝนจะไม่ตกลงมาทันทีเลย แต่ทว่ามีขั้นตอนของมันคือความร้อนได้เผ่าผลาญน้ำในแม่น้ำและทะเลให้ระเหยเป็นไอลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และไอเหล่านั้นได้มาร่วมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนหลังจากนั้นกลุ่มก้อนนี้ก็จะไปกระทบกับความเย็นบนชั้นบรรยากาศเมื่อมันไปกระทบกับความเย็นมันก็จะกลายเป็นน้ำ เมื่อมันเป็นน้ำมันก็มีน้ำหนักและจะต้องตกลงมาเป็นฝนในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามอิลลัตมะลูล(สาเหตุและผล) หรือการเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์จากการที่มนุษย์กินอาหารและมันได้ย่อยสลายกลายเป็นเลือด และถูกกลั่นกลองมาเป็นอสุจิถูกเก็บไว้ที่ไขสันหลังของผู้ชายและถูกผสมกับไข่ที่สุกแล้วของผู้หญิงถูกต้องตามหลักทุกอย่างหลังจากนั้นได้เกิดการปฏิสนธิระหว่างเสปิร์มและค่อยๆก่อตัวเป็นก้อนเลือด ในการสร้างของพระองค์นั้นอยู่ในระบบนี้ซึ่งเป็นซุนนะตุลลอฮฺ(แบบฉบับของอัลลอฮฺ) และในอัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้
ในซูเราะฮฺ อัลอะฮฺซาบ โองการ 62
سُنَّةَ اللَّهِ فىِ الَّذِينَ خَلَوْاْ مِن قَبْلُ وَ لَن تجَِدَ لِسُنَّةِ اللَّهِ تَبْدِيلا
“นั้นคือแนวทางของอัลลอฮฺแก่บรรดาผู้ล่วงลับไปแล้วแต่กาลก่อนและเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในแนวทางของพระองค์(ซุนนะตุลลอฮฺ)”
โองการดังกล่าวยืนยันว่าแบบฉบับของพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆดังนั้นความเชื่อในมุอฺญิซาตนั้นเท่ากับพูดว่าซุนนะฮฺของพระองค์ได้เปลี่ยนแปลไปแล้วเพราะเรื่องที่เป็นมุอฺญิซาตเป็นการเกิดขึ้นที่เหนือธรรมชาติ ไม่มีระบบอิลลัตมะลูลไม่เป็นไปตามซุนนะฮฺของพระองค์หมายความว่าไม่มีสาเหตุที่ไปที่มาขั้นตอนใดๆ
คำตอบคือ เป็นเรื่องที่ถูกที่ต้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีของมันมีสาเหตุของมัน(อิลลัต) แต่การจำกัดอิลลัตและมะลูลให้อยู่ในเรื่องธรรมชาตินั้นเป็นข้อผิดพลาดเพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อิลลัต(สาเหตุ)ของมันอยู่เหนือธรรมชาติ มันมีสาเหตุอยู่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีสาเหตุในการเกิดขึ้น เมื่อมันมีสาเหตุก็ไม่ได้ขัดกับซุนนะฮฺของพระองค์ เพราะอิลลัตของมุอฺญิซาตก็เช่นกันอยู่เหนือธรรมชาติ และอีกคำตอบหนึ่งการจำกัดสรรพสิ่งให้มีเพียงหนึ่งอิลลัตก็เป็นความผิดตามหลักวิชาการปรัชญา เช่นตัวอย่างของไฟไฟโดยตัวของมันเป็นได้ทั้งอิลลัตและมะลูล กรณีแรกเราจะพูดถึงไฟในสถานะอิลลัต(สาเหตุ)ซึ่งผลของมันคือความร้อน แต่ถ้ากรณีที่เราพูดถึงไฟในสถานะมะลูล(ผล) สาเหตุในการเกิดของมันก็คือออกซิเจนและไฟอันนี้ชนิดนี้ก็ไม่สามารถเกิดจากไนโตรเจนได้ และไฟที่เกิดมาจากไนโตรเจนและไฟชนิดนี้ก็ไม่สามารถที่จะเกิดมาจากอออกซิเจนได้ เห็นได้ว่าบางไฟเกิดมาจากออกซิเจนบางไฟเกิดจากไนโตรเจน การเกิดขึ้นของไฟไม่ได้ถูกจำกัดแค่สาเหตุเดียว หรือบางครั้งไฟอาจจะเกิดมาจากก๊าซอื่นๆมันมีหลายสาเหตุ และเรื่องของความร้อนที่เป็นผลของไฟ ความร้อนบางครั้งบางชนิดเกิดมาจากไฟ บางครั้งบางชนิดเกิดมาจากสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่ไฟก็ได้ เห็นได้ว่าสาเหตุของมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ไฟ ดังนั้นโลกนี้มีสรรพสิ่งอย่างมากมายบางสิ่งเกิดมาจากสาเหตุหนึ่ง และบางสรรพสิ่งก็เกิดมาจากสาเหตุอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นเรื่องของมุอญิซาตก็เช่นเดียวกันไม่ได้ขัดกับทษฎีเหตุและผล และยังพบอีกว่าไฟบางชนิดเกิดขึ้นจากสาเหตุที่อยู่ในธรรมชาติไฟบางชนิดเกิดขึ้นจากสาเหตุที่อยู่เหนือธรรมชาติ และจนถึงทุกวันนี้แม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบางอย่างเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารอธิบายได้ยังไม่สามารถพบสาเหตุของมัน ปฐมเหตุหรือสาเหตุไม่ได้ตายตัวไม่ได้จำกัดแค่ในโลกตามกฎธรรมชาติหรือไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งเดียว ยังมีอิลลัต(สาเหตุ)ที่เหนือธรรมชาติอย่างมากมาย
3 หนึ่งในวิธีการพิสูจน์ความเป็นศาสดาคือมุอฺญิซาต แต่ทว่ากลับพบว่าในประวัติศาสตร์และในอัลกุรอานการแสดงมุอฺญิซาตถูกปฏิเสธจากศาสดาบ่อยครั้งเป็นอย่างมาก หลายๆครั้งที่มีคนมาขอให้ท่านศาสดามูฮัมหมัด(ศ็อล)แสดงมุอฺญิซาตแต่พระองค์ลงโองการห้ามไม่ให้ศาสดาสำแดง การกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการปฏิเสธความสำคัญของมุอฺญิซาตหรือไม่ การปฏิเสธการแสดงมุอฺญิซาตเท่ากับเป็นการปฏิเสธความสำคัญของมุอฺญิซาตในการพิสูจน์ความเป็นศาสดาหรือไม่ กรณีตัวอย่าง
ซูเราะฮฺ อัลยูนุส โองการ 20
وَ يَقُولُونَ لَوْ لَا أُنزِلَ عَلَيْهِ ءَايَةٌ مِّن رَّبِّهِ فَقُلْ إِنَّمَا الْغَيْبُ لِلَّهِ فَانتَظِرُواْ إِنىِّ مَعَكُم مِّنَ الْمُنتَظِرِين
“และพวกเขากล่าวว่าทำไมอภินิหารจากพระผู้อภิบาลของเขาจึงไม่ถูกประทานมาให้เขา จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด)(ศ็อล)แท้จริงสิ่งเร้นลับนั้นเป็นสิทธิของอัลลฮฺ พวกเจ้าจงคอยดูเถิด แท้จริงฉันนั้นอยู่กับพวกเจ้าในบรรดาผู้รอคอย”
ท่านศาสดาไม่ได้แสดงมุอฺญิซาตให้พวกเขาดูซึ่งแตกต่างกับกรณีของท่านศาสดามูซา(อ)ที่พระองค์สั่งให้วางไม่เท้าและไม้มุอฺญิซาตก็ได้เกิดขึ้นไม้เท้าของท่านศาสดามูซา(อ)ได้กลายเป็นงูใหญ่ แต่กรณีของท่านศาสดามูฮัมหมัด(ศ็อล)นั้นพระองค์นั้นสั่งให้รอ อัลลอฮฺไม่อนุญาติให้แสดงมุฮฺญิซาต
ซูเราะฮฺอัลอันอาม โองการ 109
وَ أَقْسَمُواْ بِاللَّهِ جَهْدَ أَيْمَانهِِمْ لَئنِ جَاءَتهُْمْ ءَايَةٌ لَّيُؤْمِننَُّ بهَِا قُلْ إِنَّمَا الاَْيَاتُ عِندَ اللَّهِ وَ مَا يُشْعِرُكُمْ أَنَّهَا إِذَا جَاءَتْ لَا يُؤْمِنُون
“และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮฺหนักแน่นอย่างยิ่งว่า ถ้าหากมีสัญญาณ(อภินิหาร)มายังพวกเขาพวกเขาจะศรัทธาเนืองด้วยสัญญาณนั้น จงกล่าวเถิดโอ้มูฮัมหมัดว่า แท้จริงสัญญาณทั้งหลายนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺเท่านั้น แท้จริงเมื่อมันมาแล้วพวกเขาไม่ศรัทธา ”
โองการนี้ก็เช่นเดียวกันศาสดามูฮัมหมัด(ศ็อล)ไม่ได้แสดงมุอฺญิซาต(อภินิหาร) พระองค์ไม่อนุญาตถามว่ามันขัดกันหรือไม่ ในเมื่อบอกว่ามุอฺญซาตเป็นสิ่งสำคัญในการพิสูจน์ความเป็นศาสดา
คำตอบคือ ส่วนมากของโองการเหล่านี้เกิดขึ้นหลักจากความเป็นศาสดาของท่านศาสดามูฮัมหมัด(ศ็อล)ถูกพิสูจน์ทั้งจากสามวิธีทางแล้ว ทั้งด้วยวิธีทางสติปัญญาถึงพฤติกรรมคำสั่งสอนของท่าน ทั้งจากการยืนยันจากศาสดาคนก่อนหน้าและส่วนมากบรรดาผู้ที่ขอให้ศาสดาแสดงมุอฺญิซาตนั้นเป็นพวกบานีอิสรออีล ซึ่งพวกเขารู้อยู่แล้วบาทหลวงของพวกเขารู้อยู่แล้วได้พิสูจน์ไปแล้วศาสดาคัมภีร์ของพวกเขาได้กล่าวไว้แล้วได้กล่าวถึงชื่ออะห์หมัด และมีอูฐสีแดงเป็นยานพหานะ และเช่นเดียวกันท่านศาสดาอิสลามก็ได้แสดงมุอฺญิซาตต่างๆไปอย่างมากมายแล้ว แต่คนพวกนี้มาขอแบบล่อเล่นตามอารมณ์แบบสนุกสนานแบบไม่มีฮิกมะฮฺพระองค์จึงไม่อนุญาตให้แสดง ไม่ได้หมายความว่ามุอฺญิซาตไม่มีความสำคัญแต่สถานการณ์นี้นั้นหมดเวลาแสดงแล้ว อัลกุรอานก็มีหลายโองการที่ยืนยันว่าพวกเขาต้องการที่เยาะเย้ยล่อเล่นกับท่านศาสดา
ซูเราะฮฺอัศศอฟฟาต 14-15
وَ قَالُواْ إِنْ هَاذَا إِلَّا سِحْرٌ مُّبِين وَ إِذَا رَأَوْاْ ءَايَةً يَسْتَسْخِرُونَ
“และเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เป็นอภินิหารพวกเขาชักชวนกันเยาะเย้ย และพวกเขาได้กล่าวว่านี่ไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากเลห์กลอันชัดแจ้ง ”
มีคนจำนวนมากที่เมื่อมุอฺญิซาตถูกแสดงให้พวกเขาเห็นพวกเขาก็เยาะเย้ย ดังนั้นมุอฺญิซาตไม่ใช่เป็นสิ่งที่นำมนุษย์เขาสู่ศรัทธาได้เสมอไป
ซูเราะฮฺอัลกอมัร โองการ 2
وَ إِن يَرَوْاْ ءَايَةً يُعْرِضُواْ وَ يَقُولُواْ سِحْرٌ مُّسْتَمِر
“และเมื่อพวกเขาเห็นสัญญาณ(ปาฏิหาริย์)พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่านี่คือมายากลที่มาก่อนแล้ว”
อัลกุรอานชี้ให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากที่การเห็นมุอฺญิซาตแก่พวกเขาไม่มีประโยชน์ในการนำพวกเขาเข้าสู่การศรัทธาหรือเชื่อในศาสดา และถ้ายังแสดงอีกก็เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ถือว่าไม่มีสติปัญญาไม่มีฮิกมะฮ์ในการแสดง ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีผลในการนำคนเข้าสู่ศรัทธาเมื่อนั้นการแสดงมุอฺญิซาตก็จะเกิดขึ้น ในกรณีที่ไม่มีประโยชน์พระองค์จะไม่อนุญาตให้แสดงแต่ถ้าแสดงเพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าถึงแม้แสดงไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแสดงอีกในภายหลัง
ขอขอบคุณ สถาบันศึกษาศาสนา อัลมะฮ์ดี (อ.)