ฮะดิษ ฆอดีรคุม


    ฮะดิษ ฆอดีรคุม  ( حديث غديرخم )

ท่านศาสดาได้กล่าวแนะนำถึงการเป็นผู้นำสืบต่อจากท่าน ศ. ของท่านอะลี อ. เรื่อยมาในหลาย ๆ เหตุการณ์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เพื่อให้บรรดามุสลิมทั้งหลายได้รับรู้ถึงสถานภาพของท่านอาลีและของตนเอง และท่านได้ประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่เฆาะดีรคุมท่ามกลางบรรดานักแสวงบุญที่เดินทางกลับจากการทำหัจญ์ร่วมกับท่านศาสดาเป็นครั้งสุดท้ายจำนวน 120,000 คน นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า

การประกอบพิธีฮัจญ์อำลาได้เสร็จสิ้นลง ท่านศาสดาและบรรดาสาวกที่ชุมนุมกันอยู่อย่างเนืองแน่นเต็มไปหมดในทุกที่ บัดนี้พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางกลับคืนสู่มาตุภูมิ ท่านให้สัญญาณและกองคาราวานจึงเริ่มเดินทางออกจากนครมักกะฮ์

มีที่ราบอยู่แห่งหนึ่งเรียกว่า “ ฆอดีรคุมม์ ” ตั้งอยู่ห่างจากนครมักกะฮ์ไปทางทิศเหนือไม่มากนัก และเป็นชุมทางของถนนหลายสาย เมื่อท่านศาสดาได้เดินทางมาถึงบริเวณ“ ฆอดีรคุมม์ ” นี้ ท่านได้รับโองการใหม่สุดโองการหนึ่งจากเบื้องบน ซึ่งมีบัญชามาดังต่อไปนี้

يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ مَا أُنزِلَ إِلَيْكَ مِن رَّبِّكَ وَإِن لَّمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ وَاللّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ

“ โอ้ศาสนทูต จงประกาศสาส์นอันนั้นที่ได้ถูกส่งมายังเจ้า จากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า ถ้าหากเจ้าไม่กระทำเช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ทำให้ภารกิจของพระองค์สมบูรณ์ และไม่ได้ประกาศสิ่งใดเลย และพระเจ้าจะทรงปกป้องเจ้าจากผู้คน ( ผู้ซึ่งมุ่งหมายในสิ่งชั่วร้าย ) แท้จริงพระเจ้ามิทรงนำทางบรรดาผู้ที่ปฏิเสธสัจธรรม ” ซูเราะห์ อัลมาอิดะ โองการที่ 67

พระบัญชาของพระองค์ผู้ทรงสูงสุดเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นนัก ถ้าหากจะมีก็จะไม่ลักษณะของความเด็ดขาดเช่นที่ปรากฏอยู่ในโองการนี้ และมีความสัมพันธ์อย่างแจ้งชัดกับเรื่องบางอย่างที่มีความสำคัญที่ท่านศาสดาต้องประกาศด้วยตนเอง ณ ที่นั้น และ ณ เวลานั้น ฉะนั้นท่านจึงมีคำสั่งให้กองคาราวานของท่านหยุดพักการเดินทาง และมีบัญชาให้กองคาราวานที่เดินล้ำหน้าไป และที่เดินออกไปในทิศทางอื่นกลับมาหาท่าน ท่านได้รอคอยจนกระทั่งกองคาราวานกองสุดท้ายที่เดินทางออกจากนครมักกะฮ์ได้เดินทางมาถึง

ท่านศาสนทูตมีเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่จะต้องประกาศก่อนที่บรรดาผู้ประกอบพิธีฮัจญ์จะแยกย้ายกันไป และท่านมีความกังวลเป็นที่สุดว่า บรรดามุสลิมจะต้องมีจำนวนที่มากที่สุดเพื่อมารับฟังท่าน แท่นเทศนา แท่นหนึ่งได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยใช้กูบของอูฐ และท่านศาสดาได้ยืนขึ้นบนกูบนั้นเพื่อว่าผู้คนที่มีจำนวนอันมากมายมหาศาลจะได้เห็นท่านด้วยกับตาของพวกเขาเอง อะลี อ. ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านยืนอยู่ข้างๆท่าน ท่านศาสดาบัดนี้พร้อมแล้วที่จะทำการประกาศ อันเป็นประวัติศาสตร์ซึ่งสอดคล้องกับอาณัติของพระองค์ที่ทรงสูงส่งที่ได้อ้างถึงข้างต้น ท่านได้กล่าวขอบคุณต่อพระเจ้าที่ได้ทรงประทานความจำเริญให้กับอิสลามให้ความกรุณาปรานี และความเตตาของพระองค์และจากนั้นท่านจึงได้เสนอคำถามดังต่อไปนี้กับมวลมุสลิม

أَلَسْتُ أَوْلَى بِكُمْ مِنْ أَنْفُسِكُمْ ؟ ” قَالُوا : بَلَى يَا رَسُولَ اللَّهِ
ฉันมีสิทธิต่อตัวของพวกเจ้า มากกว่าตัวของพวกเจ้ามีต่อตนเองหรือไม่

มวลมุสลิมต่างพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ ศาสนทูตของพระเจ้า ย่อมมีสิทธิต่อตัวของเรามากกว่าตัวของเรามีสิทธิต่อตนเอง ” ท่านกล่าวต่อไปว่า หากถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันก็มีข่าวสารที่สำคัญที่จะแจ้งให้แก่พวกท่านทราบ ท่านได้ประกาศสาส์นออกไปดังต่อไปนี้

โอ้มวลมุสลิม ฉันนั้นเป็นผู้ที่ต้องตายเสมือนกับพวกท่านทั้งหลาย และในไม่ช้าฉันก็กำลังจะต้องตอบรับต่อหน้าพระพักตร์ของพระผู้อภิบาลของฉัน

ฉันขอสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าในกรุณาธิคุณของพระองค์ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และพระองค์ทรงเป็นเอกะ เราล้วนแต่ต้องขึ้นตรงต่อพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีคู่ครอง ไม่มีบุตร ไม่มีภาคีใดๆ ฉันเป็นข้าทาสของพระองค์ และพระองค์ทรงเลือกฉันให้เป็นศาสนทูตของพระองค์ เพื่อการนำทางมวลมนุษยชาติ โอ้ท่านทั้งหลาย จงเกรงกลัวพระองค์ ให้อยู่ตลอดเวลาเถิดและจงอย่าฝ่าฝืนพระองค์ จงอย่าทำการสู้รบนอกจาก เพื่ออิสลาม และจงจดจำไว้ด้วยว่าความรู้ของพระเจ้าครอบคลุมทั่วทุกสิ่ง

โอ้มวลมุสลิม จงระวังเถิดว่า เมื่อฉันได้จากไปแล้วจะมีผู้คนที่เขาแอบอ้างข้อความต่าง ๆที่เป็นเท็จมาให้กับฉัน และจะมีผู้คนอื่นๆที่จะเชื่อถือในพวกเขา แต่ฉันขอแสวงหาการคุ้มครองจากพระเจ้าว่า ฉันจะพูดแต่สิ่งที่เป็นสัจธรรม และเชิญชวนพวกท่านมาสู่ในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานมาให้กับฉัน บรรดาผู้ที่ละเมิดในเรื่องนี้จะต้องได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน

ณ จุดนี้ อุบาดะฮ์ อิบนิ ซอมิตผู้เป็นสาวกคนหนึ่งได้ลุกขึ้นมาและถามขึ้นว่า“โอ้ศาสนทูตแห่งพระเจ้า เมื่อเวลานั้นได้มาถึงเราควรจะมองหาใคร เพื่อแสวงหาทางนำ ? ” ท่านศาสนทูตแห่งพระเจ้าได้กล่าวตอบดังต่อไปนี้

“ ท่านควรจะได้ปฏิบัติตามและเชื่อฟังผู้คนที่มาจากครอบครัว ( อะห์ลุลบัยต์ ) ของฉัน พวกเขาเป็นทายาทของความรู้แห่งการเป็นศาสดาและเป็นศาสนทูตของฉัน พวกเขาจะช่วยท่านให้พ้นจากการหลงผิด และพวกเขาจะนำพวกท่านไปสู่ทางรอด พวกเขาจะเชิญชวนท่านมาสู่คัมภีร์และซุนนะฮ์ของฉัน จงปฏิบัติตามพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่เคยตกอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งใดเลย การศรัทธาในพระเจ้าของพวกเขาไม่เคยสั่นคลอน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับทางนำที่ถูกต้อง นั้นคือ พวกเขาเป็นอิมามและพวกเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกท่านจากความเชื่อที่หลงผิด และการกระทำที่นอกรีตต่าง ๆ ”

พระเจ้าทรงมีบัญชาพวกท่านให้รักอะห์ลุลบัยต์ของฉัน การเสียสละให้กับพวกเขาถูกทำให้เป็นภาคบังคีบสำหรับพวกท่าน ( อัลกุรอานซูเราะห์ที่ 42 โองการที่ 23 ) พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์ ( อัลกุรอานซูเราะห์ที่ 33 โองการ 33 ) พวกเขาเป็นพวกที่ถูกประทานความมีคุณธรรมความดี และความประเสริฐเลอเลิศมาให้ ซึ่งไม่มีผู้ใดเลยที่จะได้ครอบครอง พวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วยกับพระองค์เอง

ณ จุดนี้ ท่านได้จับมือของอะลี บิน อบีฏอลิบ ยกขึ้นสูงและกล่าวว่า :

من كنت مولاه فهذا علي مولاه

“ขอให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ผู้ใดก็ตามที่เขามีฉันเป็นเมาลา(นาย) ของเขา อะลี ก็เป็นเมาลา(นาย)ของเขาด้วย ”

เมื่อได้ประกาศสาสน์นี้แล้ว มุฮัมมัด ศ. ได้ยกมือของท่านขึ้นสู่ฟากฟ้า และกล่าวว่า :

اَللّهُمَّ والِ مَنْ والاهُ وَ عادِ مَنْ عاداهُ وَاحِبَّ مَنْ أحِبَّهُ وَ أَبْغِضْ مَنْ أَبْغَضَهُ وَانْصُرْ مَنْ نَصَرَهُ وَاخْذُلْ مَنْ خَذَلَهُ وَ أَدِرِ الْحَقَّ مَعَهُ حَيثُ دارَ

“ โอ้ พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นมิตรกับเขาผู้ที่เป็นมิตรกับอะลี และขอพระองค์ทรงเป็นศัตรูกับเขาผู้ที่เป็นศัตรูของอะลี โอ้ พระเจ้าโปรดให้การช่วยเหลือเขาผู้ที่ช่วยเหลืออะลี และทรงละทิ้งเขาผู้ซึ่งละทิ้งอะลี โปรดให้สัจธรรมอยู่กับเขาตราบที่เขามียังมีชีวิต และโปรดอย่าแยกเขาออกสัจธรรม”

คำปราศรัยได้จบลง มุฮัมมัด มุสตอฟาศาสนทูตแห่งพระเจ้าได้ประกาศอย่างเป็นรูปแบบและเป็นทางการในการแต่งตั้งอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงอำนาจของบรรดามุสลิมทั้งมวล และได้แต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าของรัฐและรัฐบาลแห่งอิสลาม

ทันทีที่การประกาศนี้ได้เสร็จสิ้นลงโองการอีกโองการหนึ่งซึ่งเป็นโองการสุดท้ายของอัลกุรอาน อัลมะญีดได้ถูกประทานลงมาให้กับมุฮัมมัด ซึ่งมีความหมายดังต่อไปนี้

الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلاَمَ دِينًا

“วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์เพื่อพวกเจ้าแล้ว และได้ทำให้ความโปรดปรานของข้าสมบูรณ์เหนือพวกเจ้า และได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาของพวกเจ้า” อัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 4

โองการสุดท้ายของวะฮ์ยู ที่ถูกส่งลงมายังโลกนี้ได้ถูกประทานลงมาในวันที่ 18 ของเดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีที่ 10 ของปฏิทินแห่งอิสลาม

ฮะดีษเฆาะดีรเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญและยิ่งใหญ่ ที่ยืนยันถึงความประเสริฐของท่านอิมามอะลี อ. ที่มีเหนือบรรดาเซาะฮาบะฮฺทั้งหลายทั้งในด้านความรู้ ความศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาวะการเป็นผู้นำ(อิมาม)ที่สืบต่อจากท่านศาสดา ศ.