เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อิมามัต (ความเป็นผู้นำ) ตอนที่ 3

2 ทัศนะต่างๆ 04.5 / 5

อิมามัต (ความเป็นผู้นำ) ตอนที่ 3


จากบทเรียนที่ผ่านมาก็ได้ชี้ให้เห็นความเห็นแตกต่างในการเลือกผู้นำระหว่างสองแนวคิด ชีอะหฺและซุนนี ซึ่งชีอะหฺเชื่อว่าหลังจาการวะฟาตของท่านศาสดา(ศ็อล) การปกครอง ผู้นำผู้สืบทอดอำนาจการปกครองอันนี้ก็ยังเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ(ซบ)ที่จะเป็นผู้กำหนดเหมือนเดิม ในขณะที่พี่น้องซุนนีเชื่อว่าหลังจากนี้ระบบนบูวะหฺสิ้นสุดลงระบบการชี้นำจากฟากฟ้าและระบบอิมามัตก็สิ้นสุดลงพี่น้องซุนนีเชื่อว่าหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องเลือกผู้นำกันขึ้นมาเองหรือพูดอีกแบบหนึ่ง
คืออัลลอฮฺ(ซบ)ได้หมอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนเป็นสิทธิของประชาชนและด้วยความเชื่ออันนี้ที่นำสู่การล่มสลายการปกครองในอิสลาม ทำไมความเชื่อนี้นำสู่ความล่มสลลาย ซึ่งจริงๆแล้วซุนนีเชื่อในเรื่องนี้เหมือนกับชีอะหฺเหมือนในเรื่องอำนาจ แต่ซุนนีอาจเรียกผู้นำหลังจากท่านศาสดาว่าคอลีฟะฮฺซึ่งชีอะหฺเรียกว่าอิมาม เมื่อคอลีฟะฮฺออกคำสั่งเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องปฏิบัติตาม เชื่อในอำนาจผู้นำหลังจากท่านศาสดา เชื่อเหมือนชีอะหฺผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามถือว่ามีความผิดเป็นการเฟร การปฏิเสธคอลีฟะฮฺของศาสาดาก็คือการปฏิเสธศาสดา เชื่อไปถึงขั้นที่คอลีฟะฮฺสามารถเปลี่ยนแปลงชารีอัตของอิสลามได้สามารถตั้งชารีอัตใหม่ขึ้นมาได้ อย่างเช่นกรณีของท่านอุมัรที่ได้ยกเลิกเรื่องมุตอะฮฺ ในเรื่องอำนาจผู้นำหลังจากท่านศาสดาเชื่อเหมือนกัน แต่ทว่าปัญหาคือว่าที่มาเท่านั้นที่เชื่อไม่เหมือนกันเชื่อในที่มาที่มาต่างกัน พี่น้องเชื่อว่าผู้นำจะเป็นใครก็ได้ที่ประชาชนยอมรับ
แต่ชีอะหฺเชื่อว่าผู้นำต้องมาจากอัลลอฮฺ(ซบ) และด้วยความเชื่อนี้นำสู่การล่มสลายของระบบการปกครองของอิสลามเนื่องจากนำสู่ความแตกแยกในหมู่ประชาชาติอิสลาม เพราะเกิดการแย่งชิงอำนาจในการปกครอง นำสู่การขึ้นมาการปกครองของซอลิมผูอธรรมและฟาซิกผู้ฝ่าฟืน เมื่ออิสลามได้ผู้นำแบบนี้ก็ถือว่าการปกครองของอิสลามล่มสลาย เพราะการปกครองนี้ก็จะต้องเหมือนการปกครองของศาสดาทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งทางด้านอาณาจักรและศาสนจักร ผู้นำที่ซอลิมผู้นำที่อธรรมอาจะประสบความสำเร็จทางโลกทางวัตถุ แต่ทางธรรมไม่สามรถที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน อิสลามมาเพื่อชี้นำจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วย ถ้ามีผู้นำแบบนี้ครึ่งหนึ่งของอิสลามก็ล่มสลาย ความเชื่อนี้นำสู่การที่ซอลิมและฟาซิกขึ้นมาปกครอง เพราะพี่น้องซุนนีบอกว่ามนุษย์เลือกขึ้นมาเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่มีระบบระเบียบตายตัวในการเลือกอย่างสมบูรณ์ในการเลือกผู้นำ ไม่พบระบบการเลือกตั้งที่ตายตัวที่สามารถคัดสรรค์บุคคลที่ดีที่สุดเข้าสู่ระบบการปกครอง ดังนั้นระบบการคัดเลือกผู้นำของซุนนีจึงเริ่มต้นด้วยระบบซะกีฟะฮฺ คือระบบการเลือกตั้งแบบซ่องโจร ในระบบนี้พบปัญหาอย่างมากมายมีคนแค่ยี่สิบสามสิบคนไประชุมกันที่บ้านร้างหลังหนึ่งที่อยู่นอกเมืองมาดีนะฮฺซึ่งเรียกกันว่าซะกีฟะฮฺ ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นมติ พวกเขาออกไปประมาณหกไมล์ห่างจากเมืองมะดีนะฮฺในขณะที่มัยยิตของท่านศาสดายังไม่ถูกฝัง ศอฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการจัดการเรื่องมัยยิตของท่านศาสดามูฮํมหมัด(ศ็อล) แต่ขณะเดียวกันศอฮาบะฮฺอีกกลุ่มก็ไปเลือกผู้นำกันที่ซะกีฟะฮฺมีทั้งชาวอันศอรและชาวมูฮาญิรีนส่วนหนึ่งไปตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้นำหลังจากศาสดาในขณะที่คนจำนวนมากไม่รู้ ท่านอิมาอาลี ซัลมาน มิกดาร บิลาล อยู่ที่มัสยิดสาละวนอยู่กับการจัดการเรื่องมัยยิตท่านศาสดา แต่ที่ซะกีฟะฮฺมีเพียงแค่ยี่สิบสามสิบคนในหมูบ้านซะกีฟะฮฺบานีสะอีดะฮฺ และเนื้อหาในการเลือกก็หนักมีการทะเลาะมีการชักดาบมีการดึงเครากัน ซะดฺ อิบนิ อุบาดะฮฺ ซึ่งเป็นหัวหน้าชาวอันศอรได้กล่าวในที่ในที่ประชุมว่าผู้นำต้องเป็นพวกเราจากชาวอันศอร พวกเจ้าพเนจรมา พวกเจ้าไม่มีที่อยู่เราได้ให้ที่พักพิงแก่พวกเจ้า ฝ่ายมูฮาญิรีนที่มีท่านอบูบกัร ท่านอุมัร ท่านอุสมานอยู่ด้วยก็ได้ตอบว่าไม่ได้ต้องเป็นพวกเราต้องเป็นชาวมูฮาญิรีน พวกเรานำศาสนามาให้แก่พวกเจ้า ถ้าเราไม่นำศาสนามาพวกเจ้าก็ยังคงบูชารูปปั้นอยู่ ถ้าพวกเราไม่อพยพมาพวกเจ้าคงไม่มีศาสนามีการถกเถียงกันอย่างรุนแรง ในประวัติศาสตร์ได้ประทึกไว้ว่า ซะดฺ อิบนิ อุบาดะฮฺ ได้จับเคราของท่านอุมัรแล้วดึง ท่านอุมัรบอกว่าถ้าเคราฉันร่วงคอของเจ้าต้องขาดจากตัวอย่างแน่นอน ท่านอบูบักรออกมาห้าม ท่านอุมัรจึงรีบใช้โอกาสนั้นยกมือของท่านอบูบักรขึ้นและให้บัยอัตสัตยาบัน หลังจากนั้นคนอื่นๆก็ได้รวมกันบัยอัต แล้วพวกเขาก็นำข่าวนี้ไปแจ้งที่เมืองมาดีนะฮฺว่าได้เลือกตั้งผู้นำแล้วผู้นำต่อไปคือท่านอบูบักรได้รับการเลือกโยเอกฉันท์นี้คือเอกฉันท์ของพี่น้องซุนนี เกิดกระแสการต่อต้านอย่างมากในเมืองมะดีนะฮฺ ศอฮาบะฮฺจำนวนมากที่อยู่ในการสูญเสีย อยู่ในความโศกเศร้ายังไม่ทันคิดอะไร เกิดความตกใจ มีความแค้นแต่ในเวลานั้นไม่สามารถทำอะไรได้ นี้คือการเกิดขึ้นมาของตำแหน่งตัวแทนของท่านศาสดา
    สมมุตว่าเรายอมรับในระบบซะกีฟะฮฺบะนีซะอีดะฮฺ หมายความว่ายุคต่อไปก็ต้องทำแบบนี้อีกต้องมาจากการชุมนุมกันแล้วเลือกผู้นำคนต่อไป แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนี้อีก เมื่อท่านอบูบักรใกล้จะจากไปเพื่อเป็นการตอบแทนท่านอุมัรเพราะท่านอุมัรได้ยกมือเขาให้เป็นผู้นำในซะกีฟะฮฺ ก็ได้เขียนพินัยกรรมแต่งตั้งให้อุมันเป็นผู้นำคนต่อไป พี่น้องชาวซุนนีก็สร้างความชอบธรรมขึ้นมาอีกว่าการเลือกผู้นำมีสองแบบคือการชุมนุมกันและการแต่งตั้งจากคอลีฟะฮฺคนก่อน เป็นการสร้างความชอบธรรมขึ้นมา ท่านอุมัรก็ขึ้นเป้นคอลีฟะฮฺโดยชอบธรรมเมื่อไม่มีระบบระเบียบตายตัวก็เปิดโอกาสให้ฟาซิกขึ้นมาปกครอง เหล่านี้คือบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ของท่านศาสดาซึ่งปัจจุบันก็เห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ เมื่อระบบผู้นำล่มสลายก็นำสู่การล่มสลายระบบทั้งหมดของอิสลาม นั้นเมื่อสองวิธีนั้นถูกทำให้ได้รับความชอบธรรมแสดงว่าการเลือกผู้นำคนต่อไปก็ต้องเป็นไปตามนี้ ประชามติแบบซะกีฟะฮฺซึ่งไม่ได้ใช้มัสยิดด้วยมนการเลือกตั้งกันขึ้นมาในขณะที่ท่านศาสดาใช้มัสยิดทำทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้มัสยิดเป็นศูนย์กลางการปกครองแบบอิสลาม ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่าว่าซะกีฟะฮฺเป็นซ่องโจร บรรดาโจรเมื่อปล้นเสร็จก็จะมาแบ่งปันส่วนกันที่นี่ แบ่งปันส่วนกันที่ซะกีฟะฮฺ แล้ววันหนึ่งผู้นำสูงสุดของอิสลามถูกเลือกกันที่นี่ เป็นประชามติที่มีปัญหา ในขณะที่ศอฮาบะฮฺท่านศาสดามีเป็นหมื่นๆคน ส่วนการได้มาของคอลีฟะฮฺคนที่สองก็เป็นระบบทายาทการปกครองอีก เมื่อท่านอุมัรเสียชีวิต ก็เกิดระบบที่สามขึ้นมาอีกเรียกว่าระบบชูรอ ระบบชูรอในวันนั้นคือการเลือกบุคคลที่สำคัญของสังคมขึ้นมาหกคน แล้วให้หกคนนี้ทำการเลือกคอลีฟะฮฺคนต่อไปให้ทำการตกลงกัน ซึ่งมีท่านอับดุลเราะฮฺมาน บิน เอาฟ ท่านฎอลฮะ ท่านซูเบร ท่านอุสมานบินอัฟฟาล ท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ และซะฮฺ อิบนิ อาบีวักกอศ ซึ่งทั้งหกคนเป็นศอฮาบะฮฺคนสำคัญๆ ได้มีการตกลงกันว่าถ้ามติเสียงส่วนมากเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น ถ้ามติเป็นสามต่อสามก็ให้ดูว่า ท่านอับดุลเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺอยู่ฝ่ายไหน ก็ให้เลือกฝ่ายนั้น และถ้าอีกฝ่ายสามคนไม่ยอมก็ให้ฆ่าทั้งสามเสียนี้คือรายละเอียดนี้คือระบบชูรอในวันนั้น นี้คือวิธีการเกิดขึ้นคอลีฟะฮฺคนที่สาม ซึ่งมีข้อวิจารณ์อย่างมากมาย หนึ่งคือผู้ที่เลือกมาในหกคนนี้ ห้าคนเป็นศัตรูกับท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ ตั้งแต่เริ่มต้นเอาเสียงส่วนมากที่เป็นศัตรูกับเสียงส่วนน้อย ทำไมไม่เลือกจากศอฮาบะฮฺหลากหลายทำไมไปเลือกคนที่เป็นศัตรูกับท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ และนอกจากนี้มีสองคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันคือท่านอับดุลเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺ กับท่านอุสมาน บิน อัฟฟาล ซึ่งทั้งสองเป็นญาติกัน เห็นได้ว่าระบบชูรอดังกล่าวว่ามีการวางแผนมาแล้ว และอีกสองคนก็เป็นคู่หูกันและทั้งสองก็เป็นศัตรูกับท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ ส่วนซะดฺ อิบนิ อาบีวักกอสก็มีเรื่องแค้นเคืองใจกับท่านอาลี การกระทำดังกล่าวนี้มีเจตนาที่จะโดดเดี่ยวคนๆหนึ่งซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าคือท่านอาลี แต่การเสนอชื่อท่านอาลีเข้าไปเพื่อเป็นเกมการเมืองว่า เราก็เห็นด้วยว่าท่านอาลก็เหมาะในการเป็นผู้นำแต่จพทำไงได้เมื่อเสีนยงส่วนมากไม่เลือกท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบเป็นผู้นำต่อ ข้อที่สองคือ การสั่งฆ่าคนที่เหลือซึ่งการสั่งฆ่าศอฮาบะฮฺของท่านศาสดาซึ่งเจตนาจริงๆก็คือการสั่งฆ่าท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ จากรูปแบบของอการชูรอนี้สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นการเลือกผู้นำต่อจากท่านศาสดามีความสกปรกรุนแรงถึงขั้นการสั่งฆ่ากัน และพี่น้องซุนนีก็ยอมรับว่านี้คือรูปแบบหนึ่งในการเลือกผู้นำที่มีความชอบธรรม นักประวัตศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ แต่ทว่าอาจมีความแตกต่างในเรื่องบทวิเคราะห์ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้จริง และในการประชุมชูรอในครั้งนี้มติจริงก็ออกมาแบบนั้น คือมติสามต่อสาม เนื่องจากท่านฎอลฮะกับซุเบรรู้ว่าถ้าท่านอุสมานกับท่านอับดุลเราะฮฺมานที่เป็นญาติกันถ้าพวกนี้ขึ้นมาเป็นใหญ่ ไม่มีโอกาสสำหรับเขาทั้งสองเลย กวลัวว่าเขาจะไม่มีค่า ซึ่งไม่ได้เป็นห่วงอิสลาม ก็เลยเลือกอยู่ฝ่ายท่านอาลี และอีกฝ่ายหนึ่ง คือท่านอุสมาน ท่าสนอับดุลเราะฮฺมาน ท่านซะดฺ บิน อาบีวักกอสก็อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเมื่อมติสามต่อสามก็ตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใครกล้าฆ่าใครกัน เพราะท่านฏอลฮะและซุเบรก็ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านอุมัรได้เสนอต่อว่าถ้าใครเป็นผู้สละสิทธิก็ให้คนๆนั้นแหละเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ท่านอับดุลเราะฮฺมานก็รีบสละสิทธิ และสิทธิในการตัดสินเลือกก็มาอยู่ที่อับดุลเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺ ซึ่งตอนแรกถ้าจะตั้งท่านอุสมานขึ้นมาดิบๆเลยก็กลัวว่าจะถูกตั้งข้อครหาว่าตั้งลูกพี่ลูกน้องตัวเอง เลยทำพิธีบางอย่างโดยการไปหาท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ และได้กล่าวกับท่านอาลีว่าฉันพร้อมที่จะแต่งตั้งท่านเป็นคอลีฟะฮฺ แต่ว่าท่านต้องปกครองด้วยอัลกุรอาน ซุนนะฮฺ และแบบฉบับของชัยคัยนฺ (ผู้อวุโสทั้งสองคือท่านอบูบักรและท่านอุมัร) ห้ามไปเปลี่ยนแปลงซุนนะฮฺของท่านอบูบักรและท่านอุมัร เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านอาลี บิน อาบีฏิลิบได้ตอบว่าฉันพร้อมที่จะปกครองด้วยอัลกุรอานและแบบฉบับของท่านศาสดา และตามแบบฉบับของฉันแต่ฉันจะไม่ตามซุนนะฮฺของชัยคัยนฺ ท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ ก็ไม่รับเงื่อนไข และเขาก็นำเงื่อนไขนี้ไปเสนอแก่ท่านอุสมาน ท่านอุสมานก็ยอมรับอับดุลเราะฮฺมานก็เลยแต่งตั้งให้อุสมานเป็นคอลีฟะฮฺคนต่อไปอย่างชอบธรรม และวาญิบที่ประชาชาติต้องฏออัตเชื่อฟัง นี่คือการได้มาของคอลีฟะฮฺแบบที่สาม จนกระทั่งการปกครองของอุสมานั้นแหลกเหลว จนมุสลิมเองทนไม่ได้ ก็มีประชามติว่าให้ปลดท่านอุสมาน เป็นประชามติจริงๆของชาวเมืองมาดีนะฮฺทั้งหมด แต่อุสมานก็ไม่ยอมลาออก จึงนำสู่การล้อมการจารจนเกิดขึ้นในเมืองมะดีนะฮฺ จนกระทั้งประสบความสำเร็จในการฆ่าอุสมาน และไม่มีใครยืนเคียงข้างอุสมานเลย เป็นประชามติจริงๆ ถึงขั้นที่มุสลิมไม่อนุญาตให้ฝังศพอุสลามในสุสานมุสลิม และไปฝังในสุสานของยาฮูดี เพราะถือว่าอุสมานได้ออกจากอิสลามแล้ว เนื่องจากการปกครองของเขาจะเริ่มเปลี่ยนเป็นระบบรัชทายาท ซึ่งขัดกับตำแหน่งการเป็นตัวแทนของท่านศาสดาอย่างสิ้นเชิง เมื่ออุสมานถูกฆ่าแล้ว ชาวเมืองมาดีนะฮฺทั้งหมดก็ได้ไปล้อมบ้านท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบ เพื่อเรียกร้องให้ท่านเป็นคอลีฟะฮฺ เป็นประชามติจริงๆเป็นมติของมวลมหาประชาชน ตอนแรกท่านอาลีก็ไม่รับตำแหน่งนี้ บรรดาชาวเมืองได้กล่าวกันว่าถึงขั้นที่ถ้าท่านไม่ยอมรับด้วยวิถีนี้ เราก็จะบังคับท่านด้วยการชักดาบออกจากฟัก เราจะฆ่าท่าน จึงเกิดแบบฉบับอันที่สี่ขึ้นมา คือมติมวลมหาประชาชนของชาวซุนนีถึงวิธีในการได้มาของคอลีฟะฮฺ เมื่อได้มาสี่วิธีแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอ ก็ยังเกิดวิธีที่ห้าอีก คือการก่อกบฏ ยึดอำนาจ มีกองกำลัง ใครก็ตามที่ก่อกบฏในการยึดอำนาจผู้นำก่อนหน้านี้ได้สำเร็จเขาก็มีความชอบธรรมในการสืบอำนาจต่อในการปกครอง มีรัฐถาธิปัตย์ขึ้นมา กฎนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองของมุอาวียะฮฺ เพราะเมื่อท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺ มุอาวียะฮฺก็ประกาศตัวเป็นกบฏทั้งๆที่ท่านอาลีเป็นคอลีฟะฮฺโดยประชามติของมวลมหาประชาชน เริ่มมีคอลีฟะฮฺสองคนแต่อำนาจไม่เต็มเป็นครั้งแรกที่คอลีฟะฮฺท่านศาสดามีสองคน ศอฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งก็ยึดถือมุอาวียะฮฺเป็นคอลีฟะฮฺเป็นอามีร  คอลีฟะฮฺอีกกลุ่มหนึ่งก็ยึดถือท่านอาลี (อ) นี้คือผลที่เกิดขึ้นจากความคิดที่ว่าอัลลอฮฺ(ซบ)ไม่มีหน้าที่ในการเลือกผู้นำหลังจากท่านศาสดมูฮัมหมัด(ศ็อล) ผลของการที่ประชาชนเลือกกันมาเอง แต่ในตอนแรกมุอาวียะฮฺก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร จนกระทั่งท่านอาลี บิน อาบีฏอลิบเป็นชาฮีดและได้จากโลกนี้ไป มุอาวียะฮฺจากเดิมที่เป็นกบฏก็เป็นลีฟะฮฺอย่างสมบูรณ์ด้วยวิธีการกบฏ ยึดอำนาจรัฐประหารมาอยู่ที่ซีเรีย(ชาม) บรรดาอุลามาอฺซุนนีก็ฟัตวาว่าเมื่อมุอาวียะฮฺยึดอำนาจมาได้ และปกครองที่ซีเรียก็เป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งหมดที่จะต้องปฏิบัติตาม เคารพภักดีต่อตัวแทนของท่านศาสดาที่ได้มารด้วยการรัฐประหาร เหล่านี้คือผลที่เกิดจากการที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้เลือกผู้นำภายหลังจากท่านศาสดาขึ้นมาเอง

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม