คำอธิบายโองการที่ 44- 45- 46 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
คำอธิบายโองการที่ 44- 45- 46 จากบทอัลบะกอเราะฮ์
أَ تَأْمُرُونَ النَّاس بِالْبرِّ وَ تَنسوْنَ أَنفُسكُمْ وَ أَنتُمْ تَتْلُونَ الْكِتَب أَ فَلا تَعْقِلُونَ
وَ استَعِينُوا بِالصبرِ وَ الصلَوةِ وَ إِنهَا لَكَبِيرَةٌ إِلا عَلى الخَْشِعِينَ
الَّذِينَ يَظنُّونَ أَنهُم مُّلَقُوا رَبهِمْ وَ أَنهُمْ إِلَيْهِ رَجِعُونَ
ความหมาย
44.สูเจ้ากำชับมนุษย์ให้กระทำความดี (เชิญให้ศรัทธาท่านศาสดา ซึ่งคุณลักษณะกล่าวไว้ในเตารอต) แต่สูเจ้าลืมตัวเองกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่สูเจ้าอ่านคัมภีร์ (แห่งฟากฟ้า) แล้วสูเจ้าไม่ใช้ปัญญาอีกหรือ
45. และสูเจ้าจงขอการช่วยเหลือด้วยความอดทน และการนมาซ แท้จริงนมาซเป็นเรื่องหนักมาก เว้นแต่ผู้ที่นอบน้อมถ่อมตน
46. ผู้ตระหนักชัดว่า แน่นอนพวกเขาจะพบพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาจะกลับไปยังพระองค์
คำอธิบายกำชับความดีแก่ผู้อื่นแต่ตนเองกับลืม
บรรดาผู้รู้และนักปราชญ์ยะฮูดีย์ ก่อนการแต่งตั้งศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ให้เป็นศาสดา พวกเขาเชิญชวนให้มีศรัทธาต่อท่าน และบางคนกำชับเครือญาติของตนที่ยอมรับอิสลามว่า จงยืนหยัดและมั่นคงต่อความศรัทธาของตนต่อไป ส่วนตนเองไม่ศรัทธา เช่น เรื่องราวของ ฟัครุลอิสลาม ผู้เขียนหนังสือชื่อ อะนีซุ อัล อิอ์ลาม ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในบาทหลวงชาวคริสต์คนหนึ่ง เข้าศึกษาคำสอนศาสนาจากบาทหลวงชาวคริสตร์ด้วยกันจนกระทั่งจบ เขากลายเป็นบาทหลวงที่มีชื่อเสียงและได้รับเกียรติอย่างสูง ในคำนำหนังสือเขากล่าวถึงอิสลามไว้อย่างน่าสนใจว่า....หลังจากที่ฉันได้ออกเผยแผ่คำสอน ด้วยความยากลำบากในหมู่ชาวคริสต์ด้วยกัน ตามเมืองต่าง ๆ จนกระทั่งมีชื่อเสียงและได้รับการยกย่อง ในด้านความยำเกรงฉันจัดอยู่ในระดับแนวหน้า นิกายคาทอลิคทั้งจากผู้ปกครองและไม่ใช่ผู้ปกครอง หากมีคำถามจะต้องย้อนกลับไปหาบาทหลวงคนดังกล่าว ฉันศึกษานิกายต่าง ๆ ของศาสนาคริสตร์กับเขาอยู่ระยะหนึ่ง เขามีลูกศิษย์มากมาย แต่ในหมู่สานุศิษย์ด้วยกัน เขาเอ็นดูฉันเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น วันหนึ่งนักบวชได้มาหาลูกศิษย์ของเขา และหมกมุ่นอยู่กับการวิพาก ซึ่งหัวข้อวิพากนั้นเกี่ยวกับความหมายของคำว่า ฟารุ เกาะลีฏอ ในภาษาซีเรียและกรีกโบราณ การวิพากของพวกเขาดำเนินไปอย่างเอาจริงเอาจัง ฉันเล่าเหตุการณ์วิพากอย่างละเอียดให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ถามฉันว่า แล้วเธอเลือกทัศนะของใคร ฉันตอบว่า ฉันเลือกทัศนะของนักอรรถาธิบายคนหนึ่ง
อาจารย์ กล่าวกับฉันว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ทัศนะที่ถูกต้องไม่ใช่ทัศนะเหล่านี้ ฉันขอร้องให้อาจารย์อธิบายทัศนะที่ถูกต้อง ซึ่งฉันสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่าจะไม่ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด
อาจารย์ กล่าวว่า คำที่บาทหลวงกำลังวิพากกันนั้น เป็นนามของศาสดาชาวมุสลิม ซึ่งหมายถึง อะฮฺมัด หรือมุฮัมมัด หลังจากนั้น อาจารย์บอกให้ฉันไปเปิดหีบใบหนึ่งแล้วหยิบหนังสือออกมา ฉันนำหนังสือมาให้ท่าน ปรากฏว่าหนังสือ 2 เล่มดังกล่าวเป็นภาษากรีก และภาษาซีเรียโบราณ (Syriac)ก่อนการปรากฎของศาสดาในอิสลาม ทั้งสองบันทึกอยู่บนหนังสัตว์ และหนังสือทั้งสองเล่มแปลคำว่า ฟารุ เกาะลีฏอ ว่าหมายถึง อะฮ์มัด หรือ มุฮัมมัด หลังจากนั้นอาจารย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนการมาของศาสดาอิสลาม บาทหลวงชาวคริสตร์ทั้งหลายไม่เคยขัดแย้งกัน ทั้งหมดเห็นพร้องต้องกันว่า คำ ๆ นี้ หมายถึง อะฮ์มัด หรือ มุฮัมมัด แต่หลังจากมุฮัมมัดปรากฏตัวแล้ว เพื่อรักษาสถานภาพและชื่อเสียงจอมปลอมของตน พวกเขาจึงเปลี่ยนความหมายเป็นอย่างอื่น แน่นอนสิ่งนั้นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเจ้าของอินญิลอย่างแน่นอน
ฉันถามว่า ท่านมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
ตอบว่า เนื่องจากการปรากฏตัวของอิสลาม ศาสนาคริสต์จึงถูกยกเลิกไป อาจารย์กล่าวคำนี้ ซ้ำถึงสามครั้งด้วยกัน
ฉันถามว่า ปัจจุบันนี้ แนวทางแห่งการช่วยเหลือ และแนวทางแห่งสัจธรรมคืออะไร
ตอบว่า อิสลาม และการปฏิบัติตามมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)
ฉันถามว่า การปฏิบัติตามมุฮัมมัดถือว่าเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือหรือ
ตอบว่า วัลลอฮิ ถึง 3 ครั้ง หลังจากนั้นอาจารย์ร้องไห้ และฉันก็ร้องไห้ อาจารย์กล่าวเสริมว่า ถ้าเจ้าต้องการโลกหน้า และต้องการความช่วยเหลือ เจ้าต้องเลือกศาสนาที่เที่ยงธรรมเท่านั้น ฉันจะขอดุอาอ์ให้เจ้า และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เจ้าช่วยเป็นพยานด้วยว่า จิตวิญญาณด้านในของฉันเป็นมุสลิม และเป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)
ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่า อัลกุรอานประณามการกระทำของพวกเขา โดยกล่าวว่า สูเจ้ากำชับมนุษย์ให้กระทำความดี (เชิญให้ศรัทธาท่านศาสดา ซึ่งคุณลักษณะกล่าวไว้ในเตารอต) แต่สูเจ้าลืมตัวเองกระนั้นหรือ ทั้ง ๆที่สูเจ้าอ่านคัมภีร์ (แห่งฟากฟ้า) แล้วสูเจ้าไม่ใช้ปัญญาอีกหรือ
โดยหลักการแล้วให้เผยแผ่ และเชิญชวนประชาชนด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า จงเชิญชวนประชาชนให้ทำความดีด้วยการกระทำ มิใช้ด้วยลิ้น[1]
บรรดานักปราชญ์ของยะฮูดียฺนั้นกลัวว่า ถ้ายอมรับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อำนาจ บารมี และเกียรติยศจอมปลอมจะหลุดลอยไปจากเขา และประชาชนชาวยะฮูดีย์จะไม่เชื่อฟังพวกเขาอีก ด้วยเหตุนี้ คุณสมบัติต่าง ๆ ของท่านศาสดาที่บันทึกอยู่ในเตารอต พวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ความอดทนและความสัมพันธ์กับพระเจ้า
อัล-กุรอานต้องการสอนให้มนุษย์รู้จักความอดทนอดกลั้น รู้จักการควบคุมอารมณ์ ไม่ปฏิบัติตามความต้องการของจิตใจ และสามารถถอดถอนตำแหน่ง และเกียรติยศจอมปลอมออกจากตนได้ สำหรับความก้าวหน้า และชัยชนะต่ออุปสรรคปัญหาจำเป็นต้องมีพื้นฐานสำคัญ 2 ประการดังนี้ กล่าวคือ ประการหนึ่งจัดว่าเป็นกองกำลังสำคัญภายใน และอีกประการหนึ่งเป็นสถานที่อิงอาศัยที่มั่นคงแข็งแรงภายนอก โองการข้างต้นกล่าวถึงฐานอำนาจอันเป็นรากฐานสำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์เอาไว้ ได้แก่ ความอดทน และ นมาซ
ความอดทน หมายถึง สภาพของการยืนหยัดอย่างมั่นคง โดยไม่ท้อถอยเมื่อเผชิญกับอุปสรรคปัญหานานาประการ ส่วนนมาซเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อที่ดีที่สุด ระหว่างพระเจ้ากับปวงบ่าวซึ่งถือว่าเป็นฐานกำลังที่แข็งแรงที่สุดสำหรับมนุษย์
แม้คำว่า ศอบัร (อดทน) ตามรายงานจำนวนมากมายจะกล่าวว่าหมายถึง ศีลอด ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจาะจงเฉพาะศีลอดเพียงอย่างเดียว ทว่าการกล่าวถึงศีลอดในฐานะของตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากการแสดงความเคารพภักดีดังกล่าว จะทำให้จิตใจและความศรัทธามีความมั่นคงแข็งแรง และทำให้สติปัญญาสามารถควบคุมอารมณ์ฝ่ายต่ำไว้ได้อย่างดี
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ทุกครั้งเมื่อเผชิญกับอุปสรรคปัญหา และทำให้ฉันไม่สบายใจ ฉันจะนมาซและถือศีลอด[2]
รายงานกล่าวว่า เมื่ออิมามอะลี (อ.) เผชิญกับปัญหาสำคัญ ท่านจะนมาซ และหลังจากนั้นจะอ่านโองการ (وَاسْتَعِينُواْ بِالصَّبْرِ وَالصَّلوةِ) และสูเจ้าจงขอการช่วยเหลือด้วยความอดทน และการนมาซ
อิมามซอดิก (อ.) เมื่อมีความทุกข์ หรือเศร้าโศกกับปัญหาทางโลก ท่านจะวุฎูอ์ และไปมัสญิดเพื่อ นมาซ และอ่านดุอาอ์ เนื่องจากพระเจ้าตรัสว่า สูเจ้าจงขอการช่วยเหลือด้วยความอดทน และการนมาซ
นมาซจะนำมนุษย์ไปสู่พลังอำนาจที่ไม่มีวันสูญสลาย และจะทำให้ปัญหาทุกอย่างง่ายดายสำหรับตนเอง ซึ่งความรู้สึกนั้นเองเป็นสาเหตุทำให้ มนุษย์มีความอดทน และใจเย็นมากขึ้น แม้ว่าจะเผชิญกับปัญหา และเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม
โองการสุดท้ายที่กล่าวถึง ณ ที่นี้ แนะนำบุคคลที่มีความนอบน้อมและมีสัมมาสมาธิว่า พวกเขาตระหนักชัดว่า แน่นอนพวกเขาจะพบพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาจะกลับไปยังพระองค์
คำว่า ยะซอนนูน มาจากคำว่า ซอนนะ บางครั้งหมายถึง การคาดคิด การคาดการล่วงหน้า และบางครั้งหมายถึง ความมั่นใจ (ยะกีน) แน่นอนสิ่งที่อัลกุรอานกล่าวถึงคือ ความศรัทธาและความมั่นใจ เนื่องจากการได้พบกับพระผู้อภิบาล และการย้อนกลับไปหาพระองค์ จะทำให้ความนอบน้อม ความยำเกรงในพระเจ้า การรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่อยู่ในจิตใจของเขามีชีวิตชีวาขึ้นมา และสิ่งนี้เป็นผลที่เกิดจากการสั่งสมความศรัทธาที่มีต่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพ หมายถึงวันนั้นมนุษย์ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน ณ สนามตัดสิน เพื่อรอคำพิพากษาจากพระผู้เป็นเจ้าไปตามผลบุญและผลกรรมของตนที่ก่อไว้
ประเด็นสำคัญ
การพบกับพระเจ้าหมายถึงอะไร
คำว่า ละกออุลลอฮ์ ( การพบกับพระเจ้า ) ถูกกล่าวซ้ำหลายครั้งในอัล-กุรอาน ซึ่งทั้งหมดมีความหมายเหมือนกันคือ การปรากฏตัวในสนามแห่งการตัดสิน (กิยามะฮ์) แน่นอนจุดประสงค์ของ ละกอ หมายถึงการพบกับพระเจ้า เป็นการพบด้วยความรู้สึก ไม่เหมือนกับการพบกันของคนสองคน เนื่องจากพระเจ้าไม่มีเรือนร่าง ไม่มีสีสัน และไม่มีสถานที่จำกัดเพื่อว่าสายตาทั่วไปจะได้มองเห็นพระองค์ ทว่าจุดประสงค์ของการพบพระเจ้า ณ ที่นี้หมายถึง การได้เห็นร่องรอยแห่งอำนาจของพระองค์ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ รางวัล การลงโทษ และความโปรดปรานของพระองค์ หรือหมายถึงการเห็นของจิตด้านใน เนื่องจากบางครั้งมนุษย์พัฒนาไปถึงยังจุดที่ว่า สามารถมองเห็นพระเจ้าด้วยตาใจ โดยไม่มีความคลางแคลง หรือความสงสัยใด ๆ หลงเหลืออีก
สภาพดังกล่าวอาจเกิดจาก ร่องรอยของความบริสุทธิ์ ความยำเกรง การแสดงความเคารพภักดี และการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์บางกลุ่มบนโลกนี้ เช่น สาวกคนหนึ่งของท่านอิมามอะลี (อ.) ชื่อ ซะอ์ลับ ยะมานีย์ เขาถามอิมามว่า ท่านเคยเห็นพระผู้อภิบาลของท่านหรือไม่
อิมาม (อ.) ตอบว่า จะให้ฉันแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า ที่มองไม่เห็นกระนั้นหรือ
เขาขอให้อิมามอธิบายเพิ่มเติม อิมาม (อ.) กล่าวว่า สายตาทั่วไปไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ สิ่งที่มองเห็นพระองค์คือ รัศมีแห่งความศรัทธาที่ปรากฏบนหัวใจของทุกคน[3]
การมองเห็นด้วยจิตด้านในนี้ ในวันกิยามะฮ์จะปรากฏกับมนุษย์ทุกคน เนื่องจากร่องรอยแห่งความยิ่งใหญ่ และพลังอำนาจของพระเจ้าในวันนั้นจะปรากฏชัดเจน แม้แต่บุคคลที่มีจิตใจมืดบอด หรือจิตใจเป็นโรคในวันนั้นเขาจะมีศรัทธามั่นคง แต่เป็นความศรัทธาที่ไร้ความหมาย ไม่ก่อประโยชน์อันใดอีกต่อไป
อ้างอิง
[1]ซะฟีนะตุลบิฮาร คำว่า อะมัล
[2]มัจญ์มะอุลบะยาน
[3]นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ฮิกมะฮ์ 179