ความประเสริฐทั้งสิบประการของท่านหญิงซัยนับ (ซ.)
ความประเสริฐทั้งสิบประการของท่านหญิงซัยนับ (ซ.)
๑.เครื่องประดับของบิดา
๒.ความรู้จากพระเจ้า
๓.การเคารพภักดีและความเป็นบ่าวของพระเจ้า
๔.ความบริสุทธิ์และความสงบเสงี่ยม
๕.การยึดมั่นในวิลายะฮ์
๖.การให้กำลังใจ
๗.ความอดทน
๘.การเสียสละ
๙.ความกล้าหาญ
๑๐.ความคมคายและความไพเราะมีวาทศิลป์ในการพูด
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) บุตรีของท่านอิมามอะลี (อ.) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ถือกำเนิดในวันที่ ๕ เดือนญะมาดิลอูลา ปีที่ ๕ หรือ ๖ ฮิจเราะฮ์ศักราช ในเมืองมะดีนะฮ์ ท่านสูญเสียมารดาตั้งแต่อายุเพียง ๕ ขวบ และได้รู้จักกับความทุกข์ยากตั้งแต่ยังเด็ก ตลอดชีวิตของท่าน ท่านต้องเผชิญกับความยากลำบากและความเจ็บปวดมากมาย ตั้งแต่การสูญเสียบิดาและมารดา ไปจนถึงการสูญเสียพี่น้องและลูกๆ และเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ เช่น การถูกจับเป็นเชลยศึก เป็นต้น ความยากลำบากเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ท่านเป็นบุคคลที่มีความอดทนและมีความเข้มแข็ง (๑)
ท่านถูกเรียกขานว่า อุมมุล กุลษูม อัลกุบรอ และ "ศิดดีเกาะฮ์ อัศศุฆรอ และมีฉายานามว่า มุฮัดดิษะฮ์ อาลิมะฮ์ และ ฟะฮีมะฮ์ ท่านเป็นสตรีที่เคร่งศาสนา สันโดษ มีความรู้ เป็นนักพูด และมีความบริสุทธิ์ ท่านได้รับการเลี้ยงดูจากวงศ์วานของท่านนบี (ศ็อลฯ.) และความเมตตาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทำให้ท่านเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติโดดเด่น จนได้รับฉายานามว่า อะกีละฮ์ บนี ฮาชิม ท่านสมรสกับลูกพี่ลูกน้องของท่านคือ อับดุลลอฮ์ บิน ญะอ์ฟัร และมีบุตรหลายคน ซึ่งสองคนในนั้นคือ มุฮัมมัด และ อูน เขาทั้งสองได้รับชะฮีดในสมรภูมิกัรบะลาอ์ พร้อมกับท่านอิมามฮุเซน (อ.) (๒)
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) จากโลกนี้ไปในวันที่ ๑๕ เดือนเราะญับ ปีที่ ๖๒ แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช โดยทิ้งไว้ซึ่งความเศร้าโศกและความทุกข์ยาก ในบทความนี้ เราจะศึกษาและกล่าวถึงบางส่วนของความประเสริฐของท่าน
๑. เครื่องประดับของบิดา
โดยปกติแล้ว บิดาและมารดามักจะเป็นผู้ตั้งชื่อบุตร แต่ในการถือกำเนิดของท่านหญิงซัยนับ (อ.) บิดามารดาของท่านได้มอบหน้าที่นี้ให้กับท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ.) ซึ่งเป็นตาของท่าน หลังจากที่ท่านนบีกลับจากการเดินทาง ท่านได้รีบไปที่บ้านของท่านอิมามอะลี (อ.) และอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอด จากนั้น ท่านได้ตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า ซัยนับ ซึ่งหมายถึง เครื่องประดับของบิดา (๓)
๒.ความรู้จากพระเจ้า
ความสำคัญที่สุดของมนุษย์ เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือ ความรู้และความเข้าใจ ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) มีความรู้ที่ได้รับโดยตรงจากพระเจ้า ดังที่ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ได้กล่าวถึงท่านว่า : ท่านเป็นผู้มีความรู้โดยไม่ต้องมีครูสอน และเป็นผู้เข้าใจโดยไม่ต้องมีใครอธิบาย (๖)
๓.การเคารพภักดีและความเป็นบ่าวของพระเจ้า
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ได้เรียนรู้จากอัลกุรอานว่า จุดประสงค์ของการสร้างมนุษย์ คือ การเคารพภักดีพระเจ้า
ما خلقت الجن والانس الا ليعبدون
ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใด นอกจากทำการเคารพภักดีต่อข้า (๗)
ท่านได้เห็นการเคารพภักดีและการนมาซกลางคืนของบิดา มารดา และในสมรภูมิกัรบะลาอ์ ท่านได้เห็นว่า ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้กล่าวกับท่านอับบาสว่า จงกลับไปหาพวกเขาและขอเวลาพวกเขาสำหรับคืนนี้จนถึงพรุ่งนี้ เราจะได้นมาซและวิงวอนต่อพระเจ้าของเราในคืนนี้ และขอการอภัยโทษจากพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่า ฉันรักการนมาซต่อพระองค์ การอ่านคัมภีร์ของพระองค์ และการวิงวอนและการขอการอภัยโทษอย่างมากมาย (๘) ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ในประโยคเหล่านี้ ไม่ได้พูดถึงการปฏิบัติหน้าที่ แต่พูดถึงความรักในการเคารพภักดีและการนมาซ
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) เป็นหนึ่งในผู้ที่รักการเคารพภักดีและไม่ยอมให้ความทุกข์ยากมาขัดขวางการเคารพภักดีของท่าน
ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวว่า อาหญิงของฉัน คือ ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ได้ทำการนมาซทั้งฟัรฎูและนาฟิละฮ์ตลอดเส้นทางจากเมืองกูฟะฮ์ไปยังเมืองชาม และในบางสถานที่ท่านทำนมาซในท่านั่ง เนื่องจากความหิวโหยและความอ่อนแอ (๙)
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นสื่อกลางแห่งความเมตตาของพระเจ้า กล่าวกับน้องสาว ผู้เคร่งศาสนาของท่านขณะอำลาว่า โอ้น้องสาวของฉัน อย่าลืมฉันในการนมาซนาฟิละฮ์ตอนกลางคืน (๑๐)
๔. ความบริสุทธิ์และความสงบเสงี่ยม
ความบริสุทธิ์และความสงบเสงี่ยม เป็นเครื่องประดับที่สวยงามที่สุดสำหรับสตรี ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ได้เรียนรู้เรื่องความบริสุทธิ์จากบิดาของท่าน ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า ผู้ที่ต่อสู้และเป็นชะฮีดในหนทางของอัลลอฮ์ ไม่มีรางวัลใดยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้ที่มีความสามารถ แต่ยังรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ แทบจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่บริสุทธิ์นั้นใกล้เคียงกับมะลาอิกะฮ์ (๑๑)
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ได้แสดงความบริสุทธิ์ของท่าน แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ท่านในยุคแห่งการเป็นเชลยและระหว่างการเดินทางจากกัรบะลาอ์ไปยังเมืองชาม ท่านได้ยืนหยัดในการรักษาความบริสุทธิ์ของท่านอย่างหนักแน่น นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ท่านใช้มือปิดใบหน้าของท่าน เพราะผ้าคลุมหน้าของท่านถูกเปิดออกไป (๑๒)
กวีชาวอาหรับได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
ซัยนับได้รับมรดกจากมารดาของท่าน
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านและสิ่งที่เกิดขึ้น
บุตรีของอะลีเพิ่มเติมจากมารดาของท่าน
ถูกนำจากบ้านของท่านไปสู่บ้านที่เลวร้าย
ท่านใช้มือขวาปิดใบหน้าของท่าน
และหากการปกปิดไม่เพียงพอ ท่านก็จะใช้มือซ้ายช่วย
และท่านหญิงผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น ผู้ซึ่งเพื่อปกป้องขอบเขตของความละอายและความบริสุทธิ์ ได้ร้องตะโกนใส่ยะซีดว่า โอ้ลูกชายของผู้ที่ถูกปลดปล่อย [ตาของเราคือท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ.)] นี่คือความยุติธรรมหรือ? ที่เจ้าซ่อนผู้หญิงและทาสของเจ้าไว้หลังม่าน แต่กลับจับบุตรสาวของศาสดาของอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ.) เป็นเชลยและลากพวกนางไปมา? เจ้าได้ฉีกผ้าคลุมของพวกนางและเปิดเผยใบหน้าของพวกนาง (๑๓)
๕.การยึดมั่นในวิลายะฮ์ (การเป็นผู้นำ)
ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ยึดมั่นในวิลายะฮ์ของบรรดาอิมาม (อ.) อย่างแน่นแฟ้น ท่านได้เห็นการเสียสละของมารดาในการปกป้องท่านอิมามอะลี (อ.) และได้เรียนรู้บทเรียนเรื่องวิลายะฮ์จากมารดา ท่านได้แสดงความยึดมั่นในวิลายะฮ์อย่างชัดเจนในสมรภูมิกัรบะลาอ์
اطيعواالله واطيعواالرسول واولى الامرمنكم
พวกเจ้า จงเชื่อฟังอัลลอฮ์และจงเชื่อศาสนทูตและผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้า (๑๔)
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ผู้ซึ่งได้อยู่ร่วมสมัยกับบรรดามะอ์ศูมีนทั้งเจ็ด ท่านเป็นเลิศในทุกด้านของการยึดมั่นในวิลายะฮ์ (ความรู้เกี่ยวกับอิมาม การยอมจำนนโดยไม่มีข้อสงสัย การแนะนำและเผยแพร่วิลายะฮ์ การเสียสละเพื่อวิลายะฮ์ และอื่นๆ) ท่านได้เห็นด้วยสายตาของท่านเองว่า มารดาของท่านได้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องอิมามของนาง และกล่าวกับผู้เป็นวะลีของนางว่า จิตวิญญาณของฉัน เป็นค่าไถ่สำหรับจิตวิญญาณของท่าน และชีวิตของฉัน เป็นเกราะป้องกันชีวิตของท่าน (๑๖)และในที่สุด มารดาของท่านก็ได้สละชีวิตเพื่อสนับสนุนท่านอิมามอะลี (อ.) และเป็นชะฮีดในหนทางของวิลายะฮ์ ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ได้เรียนรู้บทเรียนเรื่องการยึดมั่นในวิลายะฮ์จากมารดาของท่านอย่างดี และได้แสดงออกมาได้อย่างสวยงามในสมรภูมิกัรบะลาอ์
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ได้พยายามแนะนำและเผยแพร่วิลายะฮ์โดยการปฏิเสธข้อกล่าวหาและเน้นย้ำถึงสิทธิที่ถูกลืมเลือนของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ตัวอย่างเช่น ท่านได้กล่าวในสุนทรพจน์ที่เมืองกูฟะฮ์ว่า พวกท่านจะล้างความอัปยศจากการสังหารทายาทของศาสดาองค์สุดท้าย แหล่งกำเนิดของศาสนทูต และหัวหน้าของชายหนุ่มแห่งสวรรค์ได้อย่างไร? (๑๗)
และท่านยังได้แนะนำวิลายะฮ์และอิมามัตได้อย่างดีในที่ประชุมของอิบนุ ซิยาด ในเมืองชาม และในที่ประชุมของยะซีด
ในทางกลับกัน ท่านยอมจำนนต่ออิมามัตอย่างเต็มที่ ทั้งในยุคสมัยของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และในยุคของท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) แม้ในขณะที่กระโจมถูกเผา ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของอิมามัตของท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ท่านหญิงได้เข้าไปหาท่านอิมามและถามว่าโอ้ผู้สืบทอดแห่งอดีต กระโจมถูกเผาแล้ว เราควรทำอย่างไร? ท่านอิมามตอบว่า พวกท่านจงหนีไป (๑๙)
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้ปกป้องชีวิตของท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) หลายครั้ง และยืนหยัดปกป้องท่านจนสุดความสามารถ
ก. ในวันอาชูรอ เมื่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) ขอความช่วยเหลือเพื่อให้ข้อพิสูจน์สมบูรณ์ บุตรชายที่ป่วยของท่าน คือ ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ได้ออกไปสู่สนามรบ ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้รีบไปหยุดท่าน ท่านอิมามฮุเซน (อ.) กล่าวกับน้องสาวของท่านว่า จงนำเขากลับมา หากเขาถูกสังหาร เชื้อสายของศาสดาจะสิ้นสุดลงบนโลก (๒๐)
ข. หลังจากอาชูรอ ในขณะที่ศัตรูบุกเข้าไปในกระโจม ชิมร์ตัดสินใจที่จะสังหารท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) แต่ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ตะโกนว่า ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ยอมให้ชีวิตของซัยนุลอาบิดีนตกอยู่ในอันตราย หากเจ้าต้องการสังหารเขา จงสังหารฉันก่อน ศัตรูเห็นดังนั้น จึงเลิกคิดที่จะสังหารท่านอิมาม (อ.) (๒๑)
ค. เมื่ออิบนุซิยาด ออกคำสั่งให้สังหารท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้กอดท่านและตะโกนด้วยความโกรธว่า โอ้บุตรของซิยาด! การหลั่งเลือดพอแล้ว จงหยุดสังหารครอบครัวของเรา และท่านยังกล่าวต่อไปว่า ฉันสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันจะไม่ทิ้งเขา หากท่านต้องการสังหารเขา จงสังหารฉันด้วย"
อิบนุซิยาดมองท่านหญิงซัยนับ (อ.) และกล่าวว่า น่าประหลาดใจกับสายสัมพันธ์ทางครอบครัวนี้ ที่ทำให้เธอต้องการให้ฉันสังหารเธอพร้อมกับอะลี บิน ฮุเซน จงปล่อยเขาไป
แน่นอนว่า อิบนุซิยาดนั้นเล็กน้อยเกินไปที่จะเข้าใจว่าการสนับสนุนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะความสัมพันธ์ทางครอบครัว แต่เป็นเพราะการปกป้องวิลายะฮ์และอิมามัต หากเป็นเพียงเรื่องของครอบครัวและความสัมพันธ์ ท่านหญิงซัยนับ (อ.) คงจะปกป้องชีวิตลูกๆ ของท่านและไม่ส่งพวกเขาไปสู่สนามรบอย่างแน่นอน
๖.การให้กำลังใจ
ในการเดินทางและในเหตุการณ์เลวร้าย สิ่งที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด คือ การให้กำลังใจและความมั่นใจ หากมนุษย์ไม่มีกำลังใจในการทำงานที่สำคัญและละเอียดอ่อน การงานนั้นจะไม่สำเร็จและอาจนำไปสู่ความล้มเหลว หนึ่งในคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของท่านหญิงซัยนับ (อ.) คือ การให้กำลังใจ ท่านเป็นผู้ให้กำลังใจแก่บิดาและพี่น้อง หลังจากการเป็นชะฮีดของมารดา และมีบทบาทสำคัญในการปลอบประโลมผู้ที่เหลืออยู่หลังจากการเป็นชะฮีดของพี่ชาย คือ ท่านอิมามฮะซัน (อ.) หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และตลอดช่วงเวลาที่ถูกจับเป็นเชลยศึก คุณลักษณะที่ดีประการนี้ของท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้ปรากฏชัดเจนขึ้น ท่านเป็นที่พึ่งของผู้ทุกข์ใจและที่หลบภัยของเชลยศึก ตั้งแต่หลุมสังหารจนถึงตรอกซอกแคบและมืดทึบของเมืองกูฟะฮ์ จากที่ประชุมของอิบนุซิยาดจนถึงสถานที่กดขี่ของยะซีด ท่านเป็นเหมือนเทพเจ้าผู้ช่วยเหลือของเชลยศึกในทุกที่
ท่านยังเป็นผู้ปลอบประโลมใจท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) เมื่อท่านกล่าวว่า อย่าให้สิ่งที่ท่านเห็น (การเป็นชะฮีดของบิดา) ทำให้ท่านท้อแท้ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ นี่คือสัญญาของท่านศาสดากับปู่ พ่อ และลุงของท่าน (๒๒)
๗.ความอดทน
หนึ่งในคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ คือ ความอดทนและความเข้มแข็งในความผันผวนของชีวิตและความขมขื่นของยุคสมัย อัลกุรอานได้แจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่อดทนในหลายโองการ (๒๓) และได้กล่าวเตือนถึงรางวัลอันมากมายสำหรับพวกเขา ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ในด้านนี้ ถือว่า อยู่ในจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ ในบทซิยาเราะฮ์ของท่าน เราอ่านว่า มะลาอิกะฮ์แห่งสวรรค์ต่างประหลาดใจกับความอดทนของท่าน โดยเฉพาะในเหตุการณ์กัรบะลาอ์ ท่านได้แสดงความอดทน ความพึงพอใจ และการยอมจำนนอย่างยิ่ง ซึ่งจากความอดทนของท่าน จึงจะต้องละอายใจต่อท่าน
ในที่ประชุมของอิบนุซิยาด เมื่อผู้ถูกสาปแช่งนั้นใช้คำพูดที่เจ็บปวดราดเกลือลงบนแผลของท่านหญิงซัยนับ (อ.) และเพื่อทำให้ท่านเจ็บปวด เขาพูดว่า ท่านเห็นการกระทำของอัลลอฮ์ต่อพี่ชายและครอบครัวของท่านอย่างไร? เขาต้องการจะบอกว่า ท่านเห็นแล้วใช่มั้ยว่าอั ลลอฮ์ได้นำความวิบัติมาสู่พวกท่าน? ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ไม่รีรอที่จะตอบ ด้วยความสงบที่สะท้อนถึงความอดทนและความพึงพอใจในหัวใจของท่าน ท่านกล่าวว่า ฉันไม่เห็นสิ่งใด นอกจากความสวยงาม (๒๕) อิบนุซิยาดประหลาดใจกับคำตอบของหญิงเชลยคนนี้ และเขาประหลาดใจกับความอดทน ความเข้มแข็ง และการยอมจำนนของท่านต่อความทุกข์ยาก จนเขาสูญเสียความสามารถในการโต้แย้ง
๘.การเสียสละ
อีกหนึ่งในคุณลักษณะที่ดีของมนุษย์ ผู้ยิ่งใหญ่ คือ การให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นเหนือตนเอง ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า การเสียสละคือระดับขั้นสูงสุดของศรัทธา (๒๖) และท่านยังกล่าวว่า การเสียสละ คือ การทำดีที่สูงที่สุด (๒๗)
ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ผู้ทรงเกียรติ ได้นำหน้าผู้อื่นในคุณลักษณะนี้เช่นกัน ท่านยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องชีวิตผู้อื่น และในทุกสถานการณ์ ท่านให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นเหนือตนเอง ในเหตุการณ์กัรบะลาอ์ ท่านไม่แม้แต่จะใช้น้ำส่วนของตนเอง แต่ท่านแบ่งให้กับเด็กๆ แทน ระหว่างทางจากเมืองกูฟะฮ์ไปยังเมืองชาม แม้ว่า ท่านจะหิวและกระหาย ท่านได้แสดงการเสียสละอย่างยิ่ง จนทำให้การเสียสละของท่านจะต้องละอายใจ ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวว่า ท่านหญิงซัยนับ (อ.) แบ่งอาหารที่ได้รับให้กับเด็กๆ เพราะกลุ่มชนได้ให้ขนมปังเพียงก้อนเดียวต่อวันกับพวกเรา แต่ละคน (๒๘)
ท่านหญิงได้เสียสละด้วยความยากลำบากและความเจ็บปวดจากการถูกทุบตี และท่านไม่ปล่อยให้แขนของเด็กๆถูกทุบตี
๙.ความกล้าหาญ
หนึ่งในคุณลักษณะที่โดดเด่นของผู้ยำเกรง คือ การที่พระเจ้า ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสายตาของพวกเขา และสิ่งอื่นใด นอกเหนือจากพระองค์นั้นเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรในสายตาของพวกเขา ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า ความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้างอยู่ในจิตใจของพวกเขา ดังนั้น สิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์จึงเล็กน้อยในสายตาของพวกเขา (๒๙)
ความลี้ลับของความกล้าหาญของบรรดาผู้ใกล้ชิดพระเจ้า(เอาลิยาอ์) ก็อยู่ในเรื่องนี้ ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ผู้มีมุมมองเช่นนี้ และได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวที่กล้าหาญ จึงได้รับความกล้าหาญแบบฮัยดะรี (ความกล้าหาญของท่านอิมามอะลี) ท่านได้รับฉายานามว่า อัล-ลับวะฮ์ อัล-ฮาชิมียะฮ์ (๓๐) (ราชสีห์หญิงแห่งวงศ์วานฮาชิม) และท่านได้ตะโกนใส่ศัตรูเหมือนผู้ชาย ติเตียนพวกเขา และทำให้พวกเขาต้องอับอาย โดยไม่มีความกลัวต่อใคร ท่านไม่หวาดกลัวต่อแสงของดาบที่เปื้อนเลือดของเหล่าฆาตกร ในวันนั้นที่ไม่อาจลืมเลือน ท่ามกลางดาบมากมายและศพมากมาย ท่านได้ตะโกนว่า มีมุสลิมคนใดอยู่ในหมู่พวกท่านหรือไม่? ในที่ประชุมของอิบนุซิยาด ท่านนั่งอยู่ในมุมหนึ่งโดยไม่สนใจอำนาจภายนอกของเขา และไม่สนใจคำถามของเขา ท่านได้ทำให้เขาพบกับความอับอาย โดยเรียกเขาว่า ฟาซิก (ผู้ละเมิด) และ ฟาญิร (ผู้กระทำความชั่ว) และท่านกล่าวว่า การสรรเสริญทั้งมวล เป็นของอัลลอฮ์ ผู้ทรงให้เกียรติเราด้วยศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ.) และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์จากมลทิน แท้จริงแล้ว ผู้ละเมิดเท่านั้นที่ถูกเปิดโปง และผู้กระทำความชั่วเท่านั้นที่โกหก และเขาไม่ใช่พวกเรา (๓๑)
นอกจากนี้ และในที่ประชุมของยะซีด ท่านได้แสดงความกล้าหาญแบบฮัยดะรี โดยกล่าวว่า หากความกดดันของยุคสมัยบังคับให้ฉันต้องพูดกับเจ้า [จงรู้ไว้ว่า] ค่าของเจ้าในสายตาของฉันนั้นเล็กน้อย แต่ฉันถือว่า การตำหนิและการด่าว่าเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ (๓๒)
๑๐.ความคมคายและความไพเราะมีวาทศิลป์ในการพูด
นักพูดทุกคนที่ต้องการที่จะพูดจาอย่างไพเราะและมีคารมคมคาย นอกจาก จะต้องมีพรสวรรค์แล้ว ยังจะต้องฝึกฝนอย่างมากมาย นอกจากนี้ ในขณะกล่าวสุนทรพจน์ยังต้องพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจเพื่อที่จะสามารถกล่าวสุนทรพจน์อย่างไพเราะและมีคารมคมคายได้ และผู้ฟังจะต้องมีความพร้อมร่วมด้วย มิฉะนั้นแล้ว เขาก็จะไม่สามารถพูดได้ ไม่ต้องพูดถึงการพูดจาอย่างไพเราะและมีคารมคมคาย
ท่านหญิงซัยนับ (ซ.) โดยที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนหรือฝึกพูดมาก่อน และในสภาพที่กระหาย หิวโหย อ่อนล้าจากการเป็นเชลยศึก และจิตใจที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ไร้ที่อยู่ และถูกดูหมิ่นต่างๆนานา ท่านได้พูดกับผู้คนที่ไม่เพียงแต่ไม่พร้อมที่จะรับฟัง แต่ยังโยนหินและขยะใส่ท่านอีกด้วย แต่กระนั้นเสียงของท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ก็ดังขึ้นว่าโอ้ชาวกูฟะฮ์! โอ้ผู้หลอกลวงและผู้ไม่ซื่อสัตย์... คำพูดนี้ของท่านหญิงซัยนับ (ซ.) นั้นทำให้จิตสำนึกที่หลับใหลของผู้คนตื่นขึ้น และเสียงร้องไห้จากทั้งชาย หญิง ผู้สูงอายุ เด็ก และทารกก็ดังขึ้น
คุซัยม์ อัล-อะซะดี กล่าวว่า ฉันได้สังเกตเห็นท่านหญิงซัยนับ (อ.) ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีความกระดากอายและความสงบเสงี่ยมเท่าท่านมาก่อน ราวกับว่าท่านหญิงซัยนับ (ซ.) พูดจากภาษาของท่านอิมามอะลี (อ.)
และเขายังกล่าวอีกว่า ฉันเห็นชายชราคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ฉัน ที่มีเคราเปียกปอนไปด้วยน้ำตา และเขาพูดว่า ขอให้พ่อแม่ของฉัน พลีเพื่อพวกท่าน พวกผู้สูงอายุของท่าน คือผู้สูงอายุที่ดีที่สุด พวกคนหนุ่มสาวของท่าน คือคนหนุ่มสาวที่ยอดเยี่ยมที่สุด และผู้หญิงของท่านคือผู้หญิงที่ดีที่สุด ช่วงอายุของท่าน คือช่วงอายุที่ดีที่สุด ที่ไม่ถูกดูหมิ่นและไม่พ่ายแพ้ (๓๓)
สรุป
ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ถือเป็นแบบอย่างของความประเสริฐ ความดีงามและคุณธรรมในทุกด้าน ท่านเป็นสตรีที่สมบูรณ์แบบทั้งในด้านความศรัทธา ความอดทน การเสียสละ และความกล้าหาญ ท่านเป็นแบบอย่างสำหรับทุกคนในการดำเนินชีวิตตามหลักการของอิสลามและยึดมั่นในวิลายะฮ์ของบรรดาอิมาม (อ.)
อ้างอิง
๑.เชค ซะบีฮุลลอฮ์ มะฮัลลาตี ริยาฮีน อัช-ชะรีอะฮ์ (เตหะราน, ดารุลกุตุบ อัล-อิสลามียะฮ์) เล่ม ๓ หน้า ๔๖
๒.อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๓ หน้า ๒๑๐
๓.อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๓ หน้า ๓๙
๔.ซูเราะฮ์อัล-บะเกาะเราะฮ์ โองการ ๓๑-๓๒
๕.ซูเราะฮ์ อัล-กะฮ์ฟ์ โองการ ๖๕
๖.เชคอับบาส กุมมี มุนตะฮา อัล-อามาล (เตหะราน อิลมียะฮ์ อิสลามียะฮ์ พิมพ์เก่า 1331 ฮ.ศ.) เล่ม ๑ หน้า ๒๙๘
๗.ซูเราะฮ์ อัซ-ซาริยาต โองการ ๕๖
๘.มุฮัมมัด บิน ญะรีร อัฏเฏาะบะรี ตารีค อัฏเฏาะบะรี เล่ม ๖ หน้า ๒๓๘
๙.ริยาฮีน อัช-ชะรีอะฮ์ เล่ม ๓ หน้า ๖๒
๑๐.อ้างอิงเดียวกัน หน้า ๖๑-๖๒
๑๑.นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ฟัยฎุล อิสลาม ฮิกมะฮ์ที่ ๔๖๖
๑๒.ญะซาอิรี อัล-เคาะศออิศ อัซ-ซัยนาบียะฮ์ หน้า ๓๔๕
๑๓.มุฮัมมัดบากิร มัจญ์ลิซี บิฮารุลอันวาร (เบรุต, ดารุลอิห์ยา อัต-ตุรอษ อัล-อะเราะบี) เล่ม ๔๕ หน้า ๑๓๔
๑๔.ซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ โองการ ๕๙
๑๕.ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ.) อิมามอะลี (อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)อิมามฮะซัน (อ.) อิมามฮุเซน (อ.) อิมามซัยนุล อาบิดีน (อ.) และอิมามบากิร (อ.)
๑๖. อัล-เกาว์กับ อัด-ดุรรี เล่ม ๑ หน้า ๑๙๖
๑๗. บิฮารุลอันวาร, เล่ม ๔๕ หน้า ๑๑๐-๑๑๑
๑๘.อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๔๕ หน้า ๑๓๓
๑๙.อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๔๕ หน้า ๕๘ และ มะอาลี อัซซิฏ็อยน์ เล่ม ๒ หน้า ๘๘
๒๐.บิฮารุลอันวาร เล่ม ๔๕ หน้า ๔๖
๒๑.อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๔๕ หน้า ๖๑
๒๒.อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๔๕ หน้า ๑๗๙
๒๓.เช่น ซูเราะฮ์ อัล-บะเกาะเราะฮ์ โองการ ๑๕๕ และอื่นๆ
๒๔.บิฮารุลอันวาร เล่ม ๔๕ หน้า ๑๑๕-๑๑๖
๒๕.อ้างอิงเดียวกัน หน้า ๑๑๖
๒๖.มีซานุลฮิกมะฮ์ เล่ม ๑ หน้า ๔
๒๗.อ้างอิงเดียวกัน
๒๘. ริยาฮีน อัช-ชะรีอะฮ์ เล่ม ๓ หน้า ๖๒
๒๙.นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ฟัยฎุลอิสลาม คุฏบะฮ์ที่ ๑๘๒
๓๐.บทซิยาเราะฮ์ ท่านหญิงซัยนับ (ซ.)
๓๑.บิฮารุลอันวาร เล่ม ๔๕ หน้า ๑๑๕-๑๕๔
๓๒. อ้างอิงเดียวกัน หน้า ๑๓๔
๓๓. อ้างอิงเดียวกัน เล่ม ๔๕ หน้า ๑๐๘ และ ๑๑๐
แปลและเรียบเรียง เชคญะมาลุดดีน ปาทาน