สาส์นเตือนสติของอิมามญะวาด ตอนที่ 4
สาส์นเตือนสติของอิมามญะวาด ตอนที่ 4
สาส์นฉบับที่ ๔
สาส์นที่ท่านอิมามญะวาด(อฺ) ส่งไปยังท่านซะอฺดุ้ลคอยรฺ(ร.ฏ.)มีใจความดังนี้
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงปรานี ผู้ทรงเมตตาอยู่เป็นนิรันดร์ ต่อไปนี้ฉันจะขอสั่งเสียท่านไว้เกี่ยวกับการสำรวมตน(ตักวา) ต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) เพราะแท้จริงในเรื่องนี้จะนำมาซึ่งความสันติ
สุข และเป็นทรัพย์สินอันถาวรแท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงกำหนดหลักการสำรวมตนไว้แก่ปวงบ่าวไปตามสภาพทางด้านสติปัญญาของเขาและทรงยับยั้งความมืดบอดและความโง่เขลาให้พ้นจากปวงบ่าวโดยการสำรวมตน กับการสำรวมตนนี่แหละที่ศาสดานูฮฺได้รับความปลอดภัยพร้อมกับบรรดาผู้ที่อยู่กับเขาในเรือ และ
ท่านนบีศอลิฮฺพร้อมกับผู้ที่อยู่กับเขาก็ได้ปลอดภัยจากการลงโทษ กับการสำรวมตนนี่แหละที่บรรดาผู้มีความอดทนได้รับชัยชนะ และอุปสรรคต่าง ๆ อันจะยังความเสียหายเหล่านั้นได้รอดพ้นไป
การสำรวมตน(ตักวา)เป็นพี่น้องของพวกเขา ตามแนวทางแห่งความปลอดภัยดังกล่าวพวกเขาได้สัมผัสกับความประเสริฐนั้น
พวกเขาได้ละทิ้งการละเมิดของพวกเขา
จากการไปถึงยังความปรารถนาต่างๆ สิ่งใดก็ตามที่เป็นอุทาหรณ์ในคัมภีร์มายังพวกเขา เขาเหล่านั้น
ได้สรรเสริญสดุดีต่อพระผู้อภิบาลในฐานะที่พระองค์ทรงประทานเครื่องยังชีพให้แก่พวกเขาและในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งมวลการสรรเสริญ เขาเหล่านั้นตำหนิตัวเอง อันเนื่องมาจากสิ่ง
ทั้งหลายที่พวกเขาผิดพลาด ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้มีข้อตำหนิ
จงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่งนั้นทรงเกื้อการุณย์ ทรงมีความรอบรู้เสมอ อันที่จริงแล้วความกริ้วของพระองค์นั้นย่อมประสบแก่ผู้ซึ่งไม่ยอมรับความโปรดปราน
ของพระองค์ อันที่จริงแล้วพระองค์ทรงยับยั้งผู้ที่ไม่ยอมรับการให้ของพระองค์ที่มาจากพระองค์อันที่จริงแล้วพระองค์ทรงบันดาลให้ผู้ที่ไม่ยอมรับทางนำของพระองค์ได้หลงทาง ต่อจากนั้นพระองค์
ทรงเรียกร้องปวงบ่าวของพระองค์ไว้ในคัมภีร์ด้วยสุรเสียงที่ก้องกังวานอย่างมิขาดสาย และพระองค์ไม่เคยยับยั้งคำวิงวอนของบรรดาปวงบ่าว ดังนั้น อัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะทรงสาปแช่งบรรดาผู้ที่
ปิดบังซ่อนเร้นสิ่งที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประทานมา และพระองค์ทรงบันทึกเรื่องความเมตตาได้สมบูรณ์อย่างแท้จริงและเที่ยงธรรมยิ่ง
กล่าวคือ พระองค์มิได้เริ่มต้นใช้ความกริ้วแก่บรรดาปวงบ่าว
ก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะโกรธเคืองพระองค์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในส่วนของวิชาความรู้ขั้นยะกีน และวิชาความรู้แห่งการมีตักวา ทุกๆ ประชาชาตินั้น อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ทรงถอดถอนความรู้แห่งคัมภีร์ออกไปจากเหล่านั้นในยามที่พวกเขาปฏิเสธ และพระองค์ทรงบันดาลให้ศัตรูของพวกเขาเป็นผู้ปกครอง
พวกเขาในยามที่พวกเขาให้การยอมรับแก่ศัตรู ส่วนหนึ่งที่เป็นการละเมิดของพวกเขาต่อคัมภีร์ก็คือ
การที่พวกเขายังคงรักษาไว้ซึ่งตัวอักษรของคัมภีร์ แต่กลับเบี่ยงเบนกฎเกณฑ์ต่างๆ ของคัมภีร์
กล่าวคือ เขาเหล่านั้นเรียนรู้คัมภีร์แต่มิได้นำพาคนโง่เขลาได้ทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมต่อการท่องจำการรายงานฮะดีษของพวกเขา
และบรรดานักปราชญ์ต่างทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจต่อการละทิ้งความรับผิดชอบของพวกเขา ส่วนหนึ่งจากการละทิ้งคัมภีร์ของพวกเขาก็คือ พวกที่ไม่มีวิชาความรู้ได้ทำหน้าที่ปกครองพวกเขา ผู้ปกครองที่ว่านั้นได้นำพาพวกเขาสู่ตัณหา ได้นำพาไปสู่ความหลงผิด และได้ส่งเสริมพวกเขาสู่ความตกต่ำ และเขาเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของศาสนา ต่อจากนั้น
พวกเขาได้สืบมรดกอยู่ในความโง่เขลาและด้อยปัญญา ประชาชาติจึงมีการแสดงออกแต่ในส่วนที่เป็นกิจการของมนุษย์ ห่างไกลจากกิจการของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะย้อนคืนกลับสู่
พระองค์ ความเลวร้ายจะต้องประสบแก่บรรดาผู้อธรรมที่เปลี่ยนแปลงเอาหลักการปกครองของมนุษย์แทนหลักการปกครองของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)แต่แล้วในประชาชาติเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน โดยมีบรรดาผู้ซึ่งขยันหมั่นเพียรในด้านการทำอิบาดะฮฺตามแนวทางแห่งการหลงผิดนั้น มีลักษณะที่น่าทึ่ง สร้างความปั่นป่วน กล่าวคือการเคารพภักดีที่พวกเขามีอยู่นั้นเป็นการสร้างความยุ่งยากสำหรับประชาชาติและผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขา
แน่นอนที่สุดได้มีคำตักเตือนแก่บรรดาปวงบ่าวไว้ในบรรดาศาสดาทั้งหลายแล้ว
แท้จริงมีนบีท่านหนึ่งซึ่งมีความพร้อมในด้านการเชื่อฟังแต่แล้วท่านได้ละเมิด(การละเมิดในที่นี้มิใช่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ตามความเข้าใจโดยทั่วไป อันจะทำให้บกพร่องต่อคุณสมบัติการเป็นนบี โปรดพิจารณาเรื่องนี้จากหนังสือที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อของชีอะฮฺ)ต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)
ในเรื่องๆ หนึ่งเท่านั้น ท่านถึงกับต้องถูกนำออกจากสวนสวรรค์ และถูกผลักไสให้ไปอยู่ในท้องของปลาตัวใหญ่ ท่านมิได้รับความปลอดภัยเลยจนกว่าได้ยอมรับผิด และขออภัยโทษ ดังนั้นจงรับรู้ถึง
ความผิดของบรรดาบาทหลวงและพวกปุโรหิตทั้งหลายผู้ที่นำพาต่อการปิดบังคัมภีร์และบิดเบือนมัน
ดังนั้น การค้าของพวกเขาเหล่านั้นมิได้ให้ผลกำไรแต่อย่างใด และพวกเขามิได้เป็นผู้อยู่ในทางนำอีกด้วย
แล้ท่านก็จะต้องรู้จักความคล้ายคลึงของพวกเขาในประชาชาตินี้นั่นคือเขาทั้งหลายผู้ซึ่งยังดำรงรักษาไว้ซึ่งอักษรต่างๆ ในคัมภีร์แต่กระทำการบิดเบือนกฎเกณฑ์ต่างๆ ของคัมภีร์ กล่าวคือเขา
เหล่านั้นจะอยู่ร่วมกับบรรดาเจ้านายและคนมีทรัพย์สินเงินทอง เมื่อผู้นำแห่งความอยากใคร่ได้แยกตัวออกมาพวกเขาก็จะอยู่กับคนส่วนมากที่เป็นชาวโลก และนี้ก็คือระดับของพวกเขาในด้าน
ความรู้ พวกเขายังคงอยู่ในความโลภโมโทสัน พวกเขายังคงฟังเสียงของอิบลีซด้วยสิ่งที่เป็นโมฆะทั้งหลาย บรรดาปวงปราชญ์ล้วนต้องอดทนกับความกลั่นแกล้งที่มีมาจากพวกเขาเขาทั้งหลายตำหนิเตียนบรรดาปวงปราชญ์ด้วยการสร้างภาระหนักมากมาย และบรรดาปวงปราชญ์ที่อยู่ในหมู่พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ทรยศ ซ่อนเร้นหลักคำสอน
ถ้าหากพวกเขาเห็นคนทำผิดกำลังหลงทาง พวกเขาจะไม่ชี้แนะคนๆ นั้นเลย หรือเห็นคนที่กำลังจะกลายเป็นซากศพ พวกเขาจะไม่ทำให้เขากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ สิ่งที่พวกเขากระทำไว้นั้น นับว่เลวร้ายยิ่งเพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ทรงกำหนดพันธสัญญากับพวกเขาไว้แล้วในคัมภีร์ว่าพวกเขาจะต้องสั่งสอนในเรื่องคุณธรรมไปตามที่พวกเขาเหล่านั้นได้ถูกกำชับมา และพวกเขาจะต้องทำการยับยั้งจากสิ่งต่างๆ ที่เขาเหล่านั้นถูกห้ามปรามไว้
พวกเขาจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลในเรื่องความดีงามและการสำรวมตน และอย่าได้สนับสนุนกันในเรื่องการทำความบาปและการสร้างศัตรู
ดังนั้นบรรดานักปราชญ์ในหมู่คนที่โง่เขลา มีความพยายามและมีความเสียสละ ถ้าหากท่านสั่งสอน พวกเขาก็จะกล่าวว่า ท่านละเมิด และถ้าหากพวกเขารู้ซึ้งถึงสัจธรรมข้อที่พวกเขาละทิ้ง
พวกเขาก็จะกล่าวว่า ท่านผิดพลาด และถ้าหากพวกเขาหลักตัวออกไปพวกเขาจะกล่าวว่า ท่านได้แตกแยกไปแล้ว และถ้าหากพวกเขากล่าวว่า จงนำหลักฐานของพวกท่านมายืนยันตามที่พวกท่าน
กล่าวไว้เถิด พวกเขาจะกล่าวว่า ท่านหลอกลวงและถ้าหากพวกท่านสั่งให้คนเหล่านั้นเชื่อฟัง คนเหล่านั้นก็จะกล่าวว่า ท่านทรยศต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)
กล่าวคือ บรรดาผู้ที่โง่เขลานั้นต้องได้รับความเสียหายในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาเชื่อมั่นต่อคัมภีร์ในยามที่ให้คำจำกัดความ แต่จะปฏิเสธต่อคัมภีร์ในกรณีที่บิดเบือน ดังนั้นเขาเหล่านั้นจงอย่าได้ปฏิเสธเขาเหล่านั้นคล้ายกับบรรดาบาทหลวง และพวกปุโรหิตที่เป็นผู้นำในความหลงผิด เป็นหัวหน้าในเรื่องที่ต่ำต้อย ส่วนอีกด้าน
หนึ่งมีบรรดาบุคคลที่นั่นอยู่ระหว่างความหลงผิดกับความถูกต้อง ฝ่ายหนึ่งจะไม่รู้จักกับอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกเขาเหล่านั้นจะกล่าวไปตามที่ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาเหล่านั้นเชื่อไปตามนั้น ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้ละทิ้งคนเหล่านั้นที่อัล-บัยฏออ์ ทั้ง
ในยามกลางคืนและกลางวัน ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นยังไม่แสดงเรื่องการอุตริให้เห็นอย่างเปิดเผย และในหมู่ชนเหล่านั้นยังมิได้เปลี่ยนแปลงหลักคำสอนแห่งซุนนุฮฺ พวกเขาเหล่านั้นยังมิได้มีความหลงผิด
ครั้นเมื่อคนทั้งหลายลับตาไปพวกเขาก็อยู่ในความผิดพลาดด้วยการมีอำนาจสองประเภท
ประเภทหนึ่งเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺ(ซ.บ.) อีกประเภทหนึ่งเรียกร้องไปสู่ไฟนรก เมื่อเป็นเช่นนี้
ชัยฏอนก็ได้โอกาส กล่าวคือ มันจะใช้เสียงของมันพูดไปตามกระแสลิ้นลมของบรรดาพรรคพวกบริวาร มันจะเข้าร่วมดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินและลูกๆ ของบุคคลที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของมัน
ดังนั้น มันจึงกระทำการอันเป็นสิ่งอุตริและทอดทิ้งคัมภีร์
และซุนนะฮฺ บรรดาผู้เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ(เอาลิยาอ์)นั้น ย่อมพูดด้วยหลักฐานและยึดถือปฏิบัติตามคัมภีร์และวิทยปัญญา ในวันนั้นบรรดาผู้ยึดถือในหลักสัจธรรมกับบรรดาผู้ยึดถือความผิดพลาด ย่อมจะต้องแตกแยกกัน....”(๒๐)
(๒๐) บิฮารุ้ลอันวารฺ เล่ม ๑๗ หน้า ๒๑๓