บทเรียนจากนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์
บทเรียนจากนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์
สัจธรรมนั้นมีหนึ่งเดียว
ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มีนีน อิมามอะลี (อ) มีวจนะไว้ว่า
“เมื่อใดก็ตามที่มีคำกล่าวอ้างที่แตกต่างกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใด แน่นอนยิ่งหนึ่งในสองคำกล่าวอ้างนั้นจะต้องเป็นโมฆะ”
คำอธิบาย :
ใน โลกนี้มีให้เห็นอย่างมากมาย กับความขัดแย้งกันระหว่างคนสองคน หรือกลุ่มสองกลุ่มในเรื่องหนึ่งๆ และทุกความขัดแย้งนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่าต่างฝ่ายต่างก็อ้างในสิ่งที่แตก ต่าง และขัดกับคำอ้างของอีกฝ่ายอยู่เสมอ และที่น่าแปลกไปกว่านั้นต่างฝ่ายต่างก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตนกล่าวอ้างนั้น ถูกต้อง และคือสัจธรรม พร้อมทั้งฟันธงในทันทีต่อคำกล่าวอ้างของอีกฝ่ายว่าผิด และเป็นสิ่งโมฆะ
แต่ ทว่าในความเป็นจริงสัจธรรม หรือความถูกต้องย่อมมีเพียงหนึ่งเดียวนิรันดร และทุกๆ สิ่งที่เป็นสัจธรรมจะไม่สามารถแยกออกเป็นสองรูปแบบได้ และทั้งสองรูปแบบจะมีความถูกต้อง และมีสัจธรรมด้วยกันทั้งสองที่เหมือนๆ กัน แน่นอนยิ่งอย่างน้อยที่สุดมนุษย์ก็ต้องยอมรับว่า หนึ่งในสองรูปแบบนั้นคือสิ่งที่เป็นโมฆะ และหลงผิด
วจนะ ของท่านอะมีรุ้ลมุอ์มีนีน อิมามอะลี (อ) ข้างต้นทำให้เราเข้าใจว่า เมื่อมีการถกเถียง หรือมีทัศนะที่แตกต่างกันระหว่างคนสองคน หรือกลุ่มสองกลุ่มในเรื่องหนึ่งเรื่องใด แน่นอนยิ่งจะต้องมีหนึ่งทัศนะ และฝ่ายเดียวเท่านั้นที่กำลังกล่าวอ้างในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะอยู่บนความถูกต้อง เนื่องจากว่าทั้งสองมีคำอ้างที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นมีฝ่ายเดียวเท่านั้นที่อ้างในสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นสัจธรรม ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ของแท้ต้องมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น”
อะ มีรุ้ลมุอ์มีนีน อิมามอะลี (อ) ได้ชี้ให้เห็นว่า คราใดก็ตามที่เราอยู่ในความขัดแย้งของคนสองคน หรือกลุ่มสองกลุ่ม ก็อย่าด่วนตัดสินใจว่าใครผิดใครถูก เนื่องจากความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียว ดังนั้นควรที่จะมีการใช้สติปัญญาไตร่ตรองในคำกล่าวอ้างของทั้งสองฝ่ายให้ ถ่องแท้ เพื่อจะได้ทราบว่าสัจธรรมนั้นอยู่กับฝ่ายไหน
เนื่องจากว่าการเลือกที่จะเชื่อ และยอมรับในสัจธรรมนั้น จะนำให้มนุษย์ออกห่างจากความหลงผิด และความอธรรมได้ ตรงกันข้ามหากเลือกและเชื่อในสิ่งที่ผิด นั่นหมายความว่ามนุษย์ได้ออกห่างจากสัจธรรม และความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าเสียแล้ว
แปลและเรียบเรียง เชคมาลีกี ภักดี
ขอขอบคุณเว็บไซต์ thaitalabeh สมาคมนักศึกษาไทยในอิหร่าน