ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม33%

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดประวัติศาสตร์
หน้าต่างๆ: 175

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 175 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 47192 / ดาวน์โหลด: 4705
ขนาด ขนาด ขนาด
ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

และแสดงความเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้กดขี่ข่มเหงหรือถูกกดขี่ข่มเหง ดีหรือเลว ด้อยกว่าหรือสูงส่งกว่า แล้วความเห็นอกเห็นใจจะถูกเปลี่ยนเป็นเพียงความสวยงามบนผลประโยชน์ของผู้ทำชั่วและความสูญเสียของผู้ทำดี บนพื้นฐานเดียวกัน

 ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)เชื่อว่า แนวคิดทั้งหมดเหล่านั้นอาจจะถูกต่อต้าน เว้นแต่ผู้คนทั้งหลายจะเข้าร่วมและยึดหลักการของ “เตาฮีด” หรือการให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) คือการกล่าวว่า“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) เพียงองค์เดียว”

ดังนั้น การเชิญชวนไปสู่อิสลามครั้งแรกและครั้งสำคัญที่สุดของ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) คือ เตาฮีด โดยการกล่าวว่า

“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) เพียงองค์เดียว”

เนื่องจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอาหรับนั้นเคารพบูชารูป

ปั้นและคุ้นเคยกับการเชื่อโชคลางเป็นระยะเวลานาน อย่างไม่ต้องคาดหวังใดๆ เลย

๒๑

การเชิญชวนไปสู่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ไม่เป็นที่ยอมรับของพวก

เขาอย่างแน่นอน ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ทราบว่า อุดมการณ์และความคิดที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกทั้งหลาย ดังนั้น อันดับแรกจะต้องไม่มีการเชิญชวนไปสู่ศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผยไปยังพวกเขา และเป็นระยะเวลาสามปีที่ท่านทำการเชิญชวนอย่างลับๆ และได้แอบเชิญชวนบุคคลเพียงไม่กี่คนไปสู่ศาสนาอิสลาม

หลังจากสามปีต่อมา ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้รับคำสั่งให้เชิญ

ชวนผู้คนไปสู่ศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผย และท่านได้เรียกผู้ที่ใกล้ชิดในครอบครัวมาเป็นแขกที่บ้านของท่านและเชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนาอิสลาม จากนั้นวันหนึ่งในตอนเช้า ท่านได้ไปยังภูเขาศ่อฟา ในเมืองเมกกะและได้เชิญชวนให้ผู้คนมารายล้อมท่าน และท่านได้กล่าวกับพวกเขาว่า

“ถ้าข้าพเจ้าบอกว่า มีศัตรูกำลังเข้ามาต่อสู้กับพวกท่านในเช้านี้หรือในเย็นนี้ พวกท่านจะเชื่อข้าพเจ้าไหม”

ทุกคนตอบว่า

“เชื่อ เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินความเท็จจากท่าน"

๒๒

จากนั้น ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้กล่าวต่อไปว่า

“ข้าพเจ้าเป็นเช่นผู้เฝ้ายามที่พบเห็นศัตรูจากระยะไกล และได้รีบ

เข้ามาเตือนผู้คน ข้าพเจ้าเตือนพวกท่านให้ต่อสู้กับความเลวและสิ่งชั่วร้ายพร้อมกับเชื้อเชิญท่านไปสู่ความดี”

วัตถุประสงค์หลักเบื้องหลังการเชิญชวนไปสู่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)

ของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

จุดประสงค์หลักเบื้องหลังการเชิญชวนไปสู่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ที่แพร่ขยายออกไปโดย ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ที่รวบรวมมามีดังนี้:

๑. “ข้าพเจ้าเป็นศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ พระองค์ทรงแต่งตั้งข้าพเจ้ามาเพื่อนำท่านไปสู่พระองค์ และประณามการบูชารูปปั้นต่างๆ”

๒. “ในภารกิจหลักของข้าพเจ้าคือการแสดงความเห็นอกเห็นใจไป

ยังครอบครัว (บิดาและมารดา) เป็นสำคัญยิ่ง”

๒๓

๓. “ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งให้เป็นมนุษย์ที่ปราศจากการทำผิด ความชั่วและการกระทำที่ไม่ดี”

๔. “ในศาสนาของข้าพเจ้า การฆ่าทารกเนื่องจากกลัวความยากจน

ถือเป็นที่ต้องห้ามและถือเป็นความต่ำช้าอย่างสูงสุด”

๕. “ในศาสนาของข้าพเจ้า การสังหารภายใต้ความเท็จและ

ความอยุติธรรมถือเป็นที่ต้องห้ามอย่างแน่นอน”

๖. “ศาสนาของข้าพเจ้ายึดถือความยุติธรรมเป็นพื้นฐาน”

๗. “ภาษาและคำพูดที่ออกมาจากมนุษย์สะท้อนถึงจิตวิญญาณ

และศีลธรรมของเขา ดังนั้น เขาจะต้องใช้มันในแนวทางที่ถูกต้องและพวกเขาต้องแสดงความจริงออกมา แม้ว่าจะนำความสูญเสียมาสู่ผู้พูดก็ตาม”

๘. “มนุษย์เป็นอมตะ เมื่อเขาเสียชีวิต เขาเพียงแค่ถูกถ่ายโอนไป

ยังอีกโลกหนึ่ง ดังนั้น จงทำความดีเพื่อให้แน่ใจว่า ท่านจะมีความเจริญรุ่งเรืองนิรันดร์”

๒๔

ผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของดำรัสในคัมภีร์อัลกุรอานและตรรกะที่

แข็งแกร่งเบื้องหลังท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสำคัญ สามประการ ได้แก่

ก. “เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) เลิกบูชากราบไหว้รูปปั้น (เตาฮีด)”

ข. “สนับสนุนจุดประสงค์หลักของเนื้อหาที่สื่อสารออกไปของการให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)”

ค. “การพ้นจากบาปและความเจริญรุ่งเรืองอันเป็นนิรันดร์ของมนุษย์ หมายความว่า ร่างกายของมนุษย์จะสลายไปแต่จิตวิญญาณของเขาจะคงอยู่เพื่อความดี (การฟื้นคืนชีพ)”

มุมมองดังกล่าวดึงดูดผู้คนไปสู่มิติทางสังคมในการเชิญชวนแห่งพระผู้เป็นเจ้า แต่ ณ จุดเริ่มต้นมีเพียงไม่กี่คนที่ดำเนินตามท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ) บางคนเริ่มใคร่ครวญถึงการเชิญชวนของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

แต่บางคนในหมู่ชนชั้นขุนนางยืนกรานต่อต้านท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

๒๕

พวกที่ต่อต้านท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) อุทิศตนเพื่อคุณค่าแห่งโลกีย์และยินดีตามสิ่งที่ตนพึงใจ พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่เหนือคนอื่นๆ และชนชั้นต่ำของสังคมนั้นไร้ค่า ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มต่อต้านท่านนบีมุฮัหมัด (ซ็อลฯ) ผู้ที่เปล่งเสียงออกมาเพื่อความยุติธรรมในการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนและเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้ยึดถือความยุติธรรม โดยกระจายความมั่งคั่งไปในหมู่ชนที่เชื่อในอภินิหารต่าง ๆ ทรมานและราวีสหายของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)จนเสียชีวิต โดยไม่สนใจถึงระบบของสังคม

โดยหลังจากนั้นบางครั้งได้มีการทำสนธิสัญญาฉบับหนึ่งร่วมกัน

ระหว่างบรรดาศัตรูของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กับเผ่าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมกกะ พวกเขาได้ขับไล่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)และสหายของท่านออกไปยังหุบเขาที่มีความแห้งแล้ง ซึ่งรู้จักกันในนามของหุบเขาอะบูฏอเล็บเป็นระยะเวลาสามปี โดยสั่งห้ามทำการค้าขายใดๆ ห้ามคบหาสมาคมและแต่งงานกับพวกท่าน โดยสามารถอธิบายสภาวะที่ท่านและสหายของท่านถูกบีบบังคับ

๒๖

 โดยยกเอาคำพูดของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ที่กล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามีหินถ่วงอยู่ที่ท้องเสมอเพื่อปัดเป่าความเจ็บปวดจากความหิว และบางครั้งพวกเราได้แบ่งอินทผลัมเพียงหนึ่งผลให้กันกิน”จึงเหมาะสมแล้วที่จะกล่าวว่า ภายใต้ภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย ไม่มีอนาคตและไม่มีจุดจบในความทุกข์ทรมานของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และสหายของท่าน ซึ่งไม่สามารถจินตนาการได้และปราศจากซึ่งแสงแห่งความหวังใดๆ ดังนั้น สามปีแห่งการต่อต้านและต่อสู้กับศัตรูของอิสลาม ภายใต้ความหิวและสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายถือเป็นความยุติธรรม สำหรับความเชื่อในความศรัทธาของพวกท่านและความเชื่อในความถูกต้องของแนวทางที่พวกท่านรับมาเท่านั้น เมื่อศัตรูพบว่าการทรมานร่างกายและจิตใจไม่ส่งผลกระทบต่อความตั้งใจอันแรงกล้าของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ) พวกเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมท่าน พวกเขาบอกกับลุงของท่าน

คือ อะบูฏอเล็บ ให้พูดกับท่าน (ซ็อลฯ) ว่า

“ถ้าท่านนบีละทิ้งการเชิญชวนไปสู่ศาสนาอิสลาม พวกเขาจะให้เงินตำแหน่งที่สูงส่ง และทองคำจำนวนมากตามที่ท่านต้องการ”

๒๗

แต่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ตอบว่า

“หากพวกเขานำดวงอาทิตย์ มาวางไว้ในมือขวาของฉัน และเอาดวงจันทร์ มาวางไว้ในมือซ้าย เพื่อที่จะให้ฉันทิ้งหน้าที่ในการประกาศศาสนา ฉันก็จะไม่ละทิ้งอย่างเด็ดขาด จนกว่าพระองค์อัลลอฮฺ จะทำให้บรรลุผล หรือไม่ก็จนกว่าชีวิตของฉันจะหาไม่”

แต่บรรดาศัตรูก็ยังคงยืนยันการกระทำของพวกบูชาเจว็ด

และอีกประการหนึ่งคือ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้เน้นย้ำเสมอว่า

“ต้นกำเนิดของการสร้างโลกที่กว้างใหญ่และสวยงาม รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งไม่จำกัดแค่เพียงก้อนหิน ไม้หรือวัตถุทางกายภาพที่มีขีดจำกัดอื่นๆ และพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) เป็นผู้สร้างทุกสรรสิ่ง และเราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ เพราะพระองค์ไม่ใช่วัตถุแต่พวกท่านสามารถที่จะเห็นพระองค์ด้วยจิตใต้สำนึก ด้วยปัญญาและด้วยส่วนลึกหัวใจของพวกท่านที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างท่านกับพระองค์”

๒๘

ไม่มีการบังคับในศาสนาอิสลาม

ถึงแม้ว่าท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) จะแน่วแน่ในการเชิญชวนแห่ง

พระผู้เป็นเจ้าของท่าน แต่ท่านไม่เคยบังคับใครให้ยอมรับในศาสนาอิสลามในช่วงชีวิตของท่านเลย ท่านมักจะยืนยันว่า เนื่องจากพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงเน้นย้ำว่า

لااكراه فی الدین

"ไม่มีการบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม”

ท่านเพียงถูกแต่งตั้งจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพให้

เชิญชวนผู้คนไปสู่ศาสนาอิสลาม ซึ่งแน่ใจได้ว่า ผู้นั้นจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองอันเป็นนิรันดร์ และไม่มีการบังคับเพื่อจุดประสงค์นี้ ในคัมภีร์อัลกุรอาน พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพได้ตรัสว่า :

إِنَّا هَدَيْنَاهُ السَّبِيلَ إِمَّا شَاكِرًا وَإِمَّا كَفُورًا) (الانسان/ ๓)

“เราได้แสดงให้เขาเห็นหนทางนำ แต่เขาอาจเป็นผู้กตัญญูหรือ ผู้เนรคุณ”

๒๙

ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ในมุมมองของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)เชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยกล่าว

ว่า พระองค์อัลลอฮ ์(ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพให้พรแก่มนุษย์ให้มีความเฉลียวฉลาด ความมุ่งมั่น และมีความเป็นผู้นำ และกล่าวโดยสังเขปว่า ทุกสิ่งในโลกถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์ และในอัลกุรอาน พระองค์ได้ทรงตรัสว่า

“ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์และมุฮัมหมัดเป็นผู้แทนของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเดชานุภาพบนแผ่นดิน”

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)ได้กล่าวเกี่ยวกับการเคารพไว้เช่นเดียวกัน

ว่า

“และการเคารพไม่ได้ให้แก่บุคคลแค่บางกลุ่มเท่านั้น แต่ทุกคนจะได้รับเกียรตินั้นจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ เท่าเทียมกันซึ่งรวมถึงทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ทุกสีผิว และความมั่งคั่งไม่ทำให้คนหนึ่งสูงกว่าคนอื่น"

๓๐

และพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ทรงตรัสไว้อีกว่า บุคคลที่เคร่งครัดใน

อิสลามเท่านั้นที่จะได้ใกล้ชิดกับพระองค์

يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن ذَكَرٍ وَأُنثَى وَجَعَلْنَاكُمْ

شُعُوبًا وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا إِنَّ أَكْرَمَكُمْ عِندَ الله أَتْقَاكُمْ

(الحجرات : ๓๑ )

“เราสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากชายและหญิงคู่หนึ่ง และทำให้พวกเจ้าแพร์พันธ์ออกไปเป็น หมู่ เป็น เผ่า ซึ่ง พวกเจ้าอาจรู้จักกับอีกหมู่ชนหนึ่ง อย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ ผู้ที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในบรรดาพวกเจ้าในสายตาของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) คือผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาอิสลามมากที่สุด”

ดังนั้น จึงไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ เหนือจากผู้อื่น เช่น พลัง ความมั่งคั่ง

และตำแหน่งหน้าที่ที่สูงส่งกว่า

๓๑

บรรดาสตรีในมุมมองของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เน้นย้ำเสมอว่า เพศชายไม่ได้อยู่เหนือกว่าเพศหญิง สิ่งนี้เกิดขึ้นในระบบสังคมของคาบสมุทอาหรับในขณะนั้น

บรรดาสตรีไม่มีที่ยืนในสังคม และผู้ชายทุกคนที่มีลูกเป็นทารกเพศหญิงจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีมาก ดังนั้น จึงพยายามฆ่าลูกตนเองทั้งเป็น แม้ในบางลัทธิก็มองว่า ผู้หญิงทุกคนถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นลางร้ายและชั่วร้าย และแม้ในชาวคริสเตียนบางคนยังเชื่อว่า เพศหญิงเป็นตัวนำพวกเขาไปยังการทำความชั่ว โดยยึดตามจำนวนหลักฐานอ้างอิงเช่นเดียวกันกับบรรดาลัทธิเหล่านั้นซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่า บรรดาสตรีก็เป็นมนุษย์ ดังนั้น เพื่อต่อสู้กับความโง่เขลานั้น

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) จึงพยายามประกาศคำอวยพรที่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ทรงให้แก่บรรดาสตรี และได้นำมาถ่ายทอดดังนี้

เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

๓๒

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้รับการแจ้งเกี่ยวกับซูเราะห์ในนามของสตรี (ซูเราะห์อันนิซาอ์) ด้วยจุดประสงค์ในการ

เน้นย้ำถึงคุณค่าที่แท้จริงของสตรี รวมถึงสิทธิของพวกเธอในสังคม

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ยังได้กล่าวถึงเหตุที่ได้มีซูเราะห์นี้ขึ้นมา

ดังนี้

* พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพได้แสดงถึงความเมตตาที่มีต่อสตรีมากกว่าบุรุษ

* ข้าพเจ้าชอบสามสิ่งในโลกนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด คือ บรรดาสตรีเครื่องหอมและการนมาซ

* บรรดาบุรุษที่ดีที่สุด คือ ผู้ที่เป็นสามีที่ดีที่สุด สำหรับภรรยาของเขา และ ข้าพเจ้าเป็นสามีที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาภรรยาของข้าพเจ้า

* เป็น สิ่งที่ดีสำหรับผู้ช ายทุกคนที่จะซื้อของขวัญให้แก่ภรรยาและลูกๆ ของเขา และจะดีกว่าหากเขาให้ของขวัญกับบรรดาลูกสาวของเขาก่อน

* ผู้หญิงทุกคนเปรียบได้ดั่งดอกไม้

๓๓

* เมื่อใดที่เจ้าให้ความสุขต่อ (ครอบครัว) ลูกสาวของตน เท่ากับเจ้าทำการปล่อยทาสให้เป็นไท

* สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของบรรดาสตรี

ตามข้อเท็จจริงแล้ว อิสลามแสดงบทบาทเป็นผู้ปฏิวัติทางสังคมการเมืองและสติปัญญา เพื่อปรับปรุงขนบธรรมเนียมประเพณีและ

บรรทัดฐานทางสังคมทั้งหลายเกี่ยวกับสตรีในพื้นที่เหล่านั้น

ศาสนาอิสลามได้พิจารณากฎหมายเกี่ยวกับผู้หญิง โดยยึดตาม

ความสามารถทางกายภาพและทางสังคมของพวกเธอ และเพื่อเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิ์ของผู้หญิงซึ่งถูกมองข้ามโดยสิ้นเชิงในช่วงยุคแห่งความโง่เขลา ได้มีการออกระเบียบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการแต่งงาน ตามระเบียบเหล่านี้ ในทุกๆ บ้าน ผู้หญิงเป็นผู้รับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียวและต้องตอบสนองความต้องการทางเพศให้แก่สามีของเธอ

๓๔

และผู้ชายไม่ได้รับความเห็นชอบให้บังคับให้ภรรยาของตนทำงานในบ้านและตระเตรียมอาหาร โดยการทำงานในบ้านไม่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเธอ และหากสมมุติว่า ผู้หญิงทำงานในบ้าน มันจะต้องเกิดขึ้นโดยความเห็นชอบและความพึงพอใจของเธอเอง เช่นเดียวกัน หากสตรีให้นมลูกๆ ของเธอ เธอมีสิทธิ์ในการเรียกร้องสิ่งตอบแทนในรูปของเงิน หรือสิ่งอื่นๆ และในทางตรงกันข้าม สามีต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการตอบสนองความต้องการของภรรยาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และอาหาร อีกทั้งเขาต้องให้ความเคารพภรรยาของเขาว่า ภรรยาของเขาเป็นมนุษย์ที่มีอิสระ และหากภรรยาของเขาชื่นชอบในรายได้อิสระ

เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เงินของเธอ

ท่านนบีมุฮัหมัด (ซ็อลฯ) ได้ให้ผู้หญิงมีลักษณะที่มีคุณค่าซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการได้รับความเคารพและรักในสิทธิมนุษยชนทุกประการ มีความเท่าเทียมกับผู้ชาย และให้ข้อเท็จจริงที่ว่า

 เธอเป็นสัญลักษณ์ทางการศึกษาอันสูงส่ง และเธอเป็นผู้รับผิดชอบในการฟูมฟักบรรดาลูกๆ หลานๆ ของมนุษย์ ตามขอบเขตทั้งหมดของสังคม

๓๕

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้เลี้ยงดูลูกสาวของท่าน คือ

พระนางฟาติมะห์ อย่างดีและเป็นตัวอย่างที่มีคุณค่าในการให้ความนับถือต่อประชากรสตรี คราใดที่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) พบกับลูกสาวของท่าน ท่านจะลุกขึ้นยืนให้เกียรติและท่านจะก้มลงจูบมือของเธอ และกล่าวว่า “พ่อของเธอพร้อมที่จะตายเพื่อเธอ”

 เมื่อใดก็ตามที่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)กลับจากการเดินทาง สิ่งแรกที่ท่านจะทำ ก็คือ รีบไปหาลูกสาวของท่าน คือ

พระนางฟาติมะห์ ท่านเน้นย้ำเสมอว่า “

ผู้ใดที่โปรดปรานฟาติมะห์ แท้จริงเขาได้โปรดปรานข้าพเจ้าด้วย และผู้ใดที่ไม่โปรดปรานเธอ แท้จริงเขาก็ไม่โปรดปรานข้าพเจ้าเช่นกัน”

แต่ในโลกของเราทุกวันนี้ ภายใต้ข้ออ้างของการฟื้นฟูสิทธิ ลักษณะ

ของสตรีและคุณค่าของมนุษย์ รวมถึงลักษณะที่ถูกเมินเฉยในรูปแบบพวกนิยมความรุนแรง ปัจจุบันนี้อุปนิสัยของผู้หญิงซึ่งรวมถึง พรสวรรค์ ความสามารถ รวมถึงความต้องการทางกายภาพและทางจิต ทำให้ผู้หญิงแตกต่างจากผู้ชายซึ่งถูกปฏิเสธภายใต้ความคล้ายคลึง

๓๖

และมุมมองของผู้หญิง และเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน ความคล้ายคลึงซึ่งนำประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงถูกจำกัดคุณค่าทั้งทางโลกและทางกายภาพ การเหยียดหยามพวกเธอให้เป็นเช่นเครื่องมือในการสร้างรายได้ การขายและการเป็นตัวตอบสนองความต้องการของผู้ชาย โดยการแพร่กระจายของวัฒนธรรมในการเปลือยกายและการส่ำส่อนทางวัฒนธรรมถูกนำมาใช้ในนามของของสิ่งที่เรียกว่า “ผู้หญิงมีความเป็นอิสระจากผู้ชาย”

 เช่นเดียวกันในบางสังคม ผู้หญิงถูกบังคับให้ทำงานที่ใช้ความ

อุสาหะอย่างสูงและงานหนัก (งานของผู้ชาย) และแม้ว่าพวกเธอจะถูกบังคับให้ขายตัวและค้าประเวณีเพื่อหารายได้เพิ่มเติมก็ตาม

คำสอนอันประเสริฐของศาสนาอิสลามซึ่งท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)ได้เตือนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผู้หญิง การลวนลามทางเพศและภาพโป๊เปลือย โดยถือว่ามันเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของผู้หญิง ซึ่งจะนำพวกเขาไปสู่จิตใจที่ผิดปกติและใฝ่ต่ำ และแนะให้พวกเขาดำเนินบทบาทสำคัญของพวกเขาในครอบครัวในการดูแลเอาใจใส่และเลี้ยงดูคนรุ่นใหม่ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง

๓๗

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้กระตุ้นเตือนว่า

 “ผู้หญิงเปรียบเสมือนดอกไม้ และพวกเธอไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทำงานหนักและต้องใช้ความอุสาหะอย่างสูง”

 ซึ่งแน่นอนว่าศาสนาอิสลามไม่ได้ใช้ให้ผู้หญิงและผู้ชายยึดในความสันโดษและชีวิตแบบนักบวช และไม่ปฏิเสธความยินดีในความสุขทางโลก การกล่าวอ้างที่สำคัญของท่านนบีมุฮัมหมัด

(ซ็อลฯ) คือการกระตุ้นเตือนว่า “ศาสนาอิสลามไม่มีนักบวช”

ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)จึงได้แต่งงานและส่งเสริมให้ผู้คน

แต่งงาน คำพูดที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่รวบรวม มา มีดังนี้

“การแต่งงานเป็นซุนนะห์ของข้าพเจ้า ผู้ที่ปฏิเสธซุนนะห์ของข้าพเจ้า ก็ไม่ใช่พวกของข้าพเจ้า”

 ท่านไม่ถือว่าการแต่งงานนั้น (เพื่อการตอบสนองความต้องการ

ทางเพศ) เป็นอุปสรรค์ขัดขวางการส่งเสริมความเชื่อทางจิตวิญญาณและความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณของจิตใจมนุษย์

๓๘

ท่านเชื่อว่า ผู้ที่ไม่แต่งงานก็สามารถประสบความสำเร็จในการเข้าถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณและโลกแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้จากน้อยไปมาก มุสลิมทุกคนต้องดำรงและรักษาความสมดุลในทุกแง่มุมของชีวิตของเขา จากคำสอนหลักของท่านต่อบรรดาสหายของท่าน คือ

“มุสลิมทุกคนจะต้องรักษาความสมดุลในการงานทุกอย่างในชีวิตของเขา”

 เรียกว่าต้องไม่ “อิฟรอต (เกินเลย)” หรือ “ตัฟรีต” (ขาด) ท่านถือว่าการละเว้น (การควบคลุม) เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างจิตวิญญาณให้มีความเข้มแข็งในความโปรดปรานการทำความดีและละเว้นการกระทำชั่ว ดังคำพูดที่หยิบยกขึ้นมาคือ

“ผู้ใดออกห่างจากการทำชั่วเป็นเวลาสี่สิบวัน เขาจะได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงภูมิและทรงรอบรู้”

ศาสนาอิสลามส่งเสริมให้ประพฤติตนเรียบง่าย สุภาพ ยึดมั่นในความยุติธรรม และกระท􀃎ำตนให้มีความสมดุลในหนทางที่ถูกต้อง

๓๙

 จูงใจให้มนุษย์ทุกคนทำตามความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตน เกี่ยวกับเรื่องนี้ในอัลกุรอานได้ระบุไว้ว่า :

وَتَعَاوَنُواْ عَلَى الْبرِّ وَالتَّقْوَى

) وَلاَ تَعَاوَنُواْ عَلَى الإِثْمِ وَالْعُدْوَانِ (مائده/ ๒

“ให้ร่วมมือกันในการทำความดีและยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮ์ และห้ามร่วมมือกันในการทำบาปและไม่ยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮ์”

และหากสิ่งที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอานคือ การเชื่อฟังและการทำความดี ซึ่งมันอยู่ในหัวใจและทำให้คนๆ หนึ่งรอดพ้นจากความชั่วและความเสื่อมโทรม อิสลามได้สอนให้มนุษย์กระทำความดีและมีทัศนคติที่ดีเสมอ

อัลกุรอานได้ยกย่องท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) มาก ต่อคุณลักษณะและมารยาทอันสูงส่ง เนื่องจากท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นศูนย์รวมแห่งมารยาทที่เป็นแบบฉบับอันดีงามซึ่งมีกล่าวในอัลกุรอานว่า :

( وَإِنَّكَ لَعَلى خُلُقٍ عَظِيمٍ (قلم / ๔

“และเจ้านั้นอยู่บนมาตรฐานอันสูงส่งของบุคลิก (มารยาท)”

๔๐

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

ท่านหญิงหันหน้าไปทางเมืองนะญัฟที่ซึ่งบิดาของท่านฝังอยู่ ณ ที่นั่น นึกถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์

ในสมัยที่บิดาของท่านเป็นคอลีฟะฮ์ และสถาปนาเป็นเมืองหลวง นึกถึงความเคารพนบน้อมที่ผู้คนในเมืองนั้นได้เคยปฏิบัติต่อท่าน และในวันนี้คนพวกนี้เองที่ไม่เลยแม้แต่น้อย ที่จะช่วยยับยั้งการกระทำอันดูหมิ่นเหยียดหยามที่ทำให้ต้องอัปยศอดสู พวกเขาแข่งขันกันในการพยายามที่จะทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียเกียรติ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่สะเทือนใจมากมายเช่นนั้น ศีรษะของท่านโงนเงนและหมดสติไป เพราะความโศกเศร้าที่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ในสภาพหมดสตินั้น ท่านมองเห็นใครคนหนึ่งกำลังควบม้าตรงมายังกระโจมที่พัก สภาพของเขาราวกับว่าได้เดินทางมาจากระยะทางอันไกลแสนไกล และต้องการมาให้ถึงอย่างรวดเร็ว ท่านรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเข้ามาทำร้ายสตรีและเด็กๆ ท่านจึงร้อง

ตะโกนให้หยุด ในอาการเพ้อด้วยพิษไข้ ท่านจึงอ้อนวอนเขาอย่าได้รบกวนสตรีและเด็กๆ ที่กำลังหลับอยู่

๑๐๑

แต่ท่านรู้สึกว่าคำขอร้องของท่านไม่ได้รับการสนใจจากผู้มาเยือน ด้วยความโกรธท่านตรงไปยังเขา พร้อมกับกระชากบังเหียนม้าและร้องตะโกนว่า “โอ้ ท่านผู้อาวุโส! ฉันขอร้องให้ท่านกลับไปเสีย อย่าได้รบกวนเราในขณะนี้เลย แต่ท่านกลับไม่ฟัง ฉันคือหลานสาวของท่านศาสดาแห่งอิสลาม บุตรสาวของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ท่านจะไม่ให้เกียรติต่อท่านศาสดาและลูกหลานของท่าน โดยการที่ท่านไม่ยอมปฏิบัติตามคำขอร้องของฉัน” ท่านหญิงมองเห็นผู้ที่อยู่บนหลังม้า ได้เปิดผ้าคลุมหน้าออก ท่านจึงเห็นว่าเป็นใบหน้าของอะลี บิดาของท่าน ที่ฉายแววแห่งความโศกเศร้าอย่างที่สุด ท่านหญิงได้ยินเสียงพูดทั้งน้ำตาว่า “ซัยนับ พ่อมาเพื่อทำหน้าที่แทนลูกในการดูแลบรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ของฮูเซน และผู้คนของเขา โอ้ ซัยนับ!นี้เป็นการกระทำโดยฝีมือของกองทัพปีศาจ ที่ได้ทำการข่มเหงพวกเจ้าทั้งหมดกระนั้นหรือ?”

๑๐๒

ท่านหญิงรู้สึกว่าหัวใจของท่านได้คลายทุกข์ระทมลงบ้าง ด้วยการได้พบกับบิดาของท่าน

“โอ้ ท่านพ่อ! ทำไมท่านมาช้าเหลือเกิน ท่านอยู่ที่ไหนในขณะที่อะลี อักบัร กอเซ็ม อับบาส และคนอื่นๆ ได้เพลี่ยงพล้ำแก่ศัตรูในสนามรบ? ท่านอยู่ที่ไหนในเวลาที่ศีรษะของฮูเซนถูกตัดขาดออกจากร่าง

อย่างไร้ความปรานี โดยที่ไม่ยอมให้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียว? ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่อะลี อัสกัรถูกลูกธนูเสียบเข้าที่ต้นคอ? ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่ตุ้มหูของสะกีนะฮ์ถูกกระชากออกจากใบหูอย่างไรความปรานี?”

และเมื่อเธอร้องด้วยความเจ็บปวด เจ้าชิมร์ก็ตบเธออย่างป่าเถื่อน “ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่ทหารของยะซีดกระชากผ้าคลุมของเรา และจุดไฟเผากระโจมที่พัก?” สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของท่าน ทำให้หัวใจของท่าน ร่างกายของท่านสั่นไหวไปทั่งตัว

เมื่อท่านรู้สึกตัว ท่านพบว่าตัวเองกำลังนอนฟุบอยู่บนพื้นทราย พร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง ขณะนั้นเป็นเวลาย่ำรุ่งพอดี

๑๐๓

ท่านย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตด้วยความปวดร้าว ว่าในเวลาเดียวกันนี้ อะลี อักบัร เคยประกาศเพื่อบอกเวลาทำนมาซ ทุกคนจะมาร่วมกันนมาซยามรุ่งอรุณ โดยมีอิมามฮูเซนผู้นำ และผู้ติดตามอันเป็นที่รัก ต่างนมาซตามหลังท่าน ท่านหญิงเช็ดน้ำตา ตะยัมมุมด้วยฝุ่นทรายบริเวณนั้น และเริ่มทำนมาซ หลังจากนมาซเสร็จท่านก้มศีรษะลงกราบและวิงวอนขอดังนี้ “โอ้ อัลลอฮ์! โปรดประทานความกล้าหาญในการแบกรับหน้าที่ และสานต่องานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผลสำเร็จ โปรดประทานกำลังใจและความอดทนอดกลั้นต่อการกระทำที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม ความอัปยศ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ โอ้พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังและความเข้มแข็งทั้งปวง”.

๑๐๔

บทที่ ๙

ขบวนของเชลย

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏขึ้นในตอนเช้าของวันที่ ๑๑ มุฮัรรอม

 (๑๐ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐) ส่องแสงประกายเป็นสีแดงจัด พร้อมกับฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายหนาทึบอยู่ในอากาศที่ปรากฏเป็นแสงสีแดงเช่นกันราวกับว่ามันเกิดความละอายต่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และมันจะต้องเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ในเช้าวันนั้น ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะส่องแสงไปบนภาพที่น่าเวทนาเช่นนั้น มันเป็นภาพที่ไม่ธรรมดาที่ผู้หญิงและเด็กๆ เบียดเสียดกันอยู่ในกระโจมที่ถูกไฟเผาไหม้ เด็กๆ กำลังหลับโดยปราศจากสิ่งกำบังศีรษะของพวกเขา บางคนอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น นอนเหยียดยาวและหมดแรง บรรดาผู้หญิงที่รายล้อมอยู่โดยรอบ เหมือนคอยว่าจะมีเหตุร้ายบางอย่างเกิดขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

๑๐๕

ในอีกด้านหนึ่งของกระโจม ทหารกำลังรีบตระเตรียมกองทัพเพื่อออกเดินทาง บุตรของสะอัด ได้เรียกนายทหารมาเพื่อปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป ผลจากการหารือปรากฏออกมาว่า

 ครอบครัวของฮูเซนจะต้องถูกจับเป็นเชลยและนำไปยังกูฟะฮ์และดามัสกัส เพื่อไปยังทำเนียบของยะซีด จากการปรึกษากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ บุตรของสะอัดตัดสินใจส่งม้าเร็วนำข่าวไปบอกยะซีดว่า เกิดอะไรขึ้นที่กัรบะลา และขอรางวัลตอบแทนตามที่ได้ให้สัญญาไว้ เขาคิดว่ายะซีดคงจะต้องพอใจอย่างมาก ถ้าเขาทำให้บรรดาลูกหลานของฮูเซนต้องได้รับความอัปยศอดสูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อุมัร บุตรของสะอัดจึงให้แต่ละคนแสดงความคิดเห็นว่า จะใช้วิธีใดที่จะทำให้ขบวนของฮูเซนได้รับความทุกข์ทรมานมากที่สุด บางคนแนะว่า “มันจะเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับพวกเขา โดยการให้พวกเขาเหล่านั้นเดินไปพร้อมๆ กับศีรษะของบุคคลที่พวกเขารักและเทิดทูน”

๑๐๖

 

บุตรของสะอัด ตกลงตามนั้น ชิมร์และคูลีถูกขอให้ไปกับขบวนเชลย เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะถูกควบคุมไปยังดามัสกัสอย่างรีบเร่ง

เมื่อเตรียมการเสร็จสมบูรณ์ นายทหารที่ได้รับแต่งตั้งได้ตรงเข้าไปล่ามบรรดาสตรีและเด็ก พวกเขากระทำการอย่าป่าเถื่อนที่สุด ด้วยการล่ามโซ่ที่รอบต้นคอ ข้อมือและข้อเท้า ผู้หญิงถูกนำขึ้นขี่บนหลังอูฐโดยปราศจากกูบ เชือกและโซ่ถูกผูกเข้าต่อเชื่อมกันโดยล่ามมือของผู้หญิงไว้กับต้นคอของเด็ก ขบวนเชลยถูกนำไปยังบริเวณที่ร่างของบรรดาผู้สละชีพนอนเรียงรายกันอยู่ มันเป็นความทุกข์ระทมของผู้หญิงและเด็กผู้สูญเสีย ที่ได้เห็นภาพร่างของบรรดาผู้สละชีพ พวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ หลายคนถลาลงจากหลังอูฐทั้งๆ ที่เชือกและโซ่ยังผูกมัดติดอยู่ โถมไปบนร่างที่ไร้วิญญาณของพี่ชาย ลูกชายและญาติสนิท

๑๐๗

ทหารคุ้มกันที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปกับขบวน ตรงเข้ามาใช้แส้ฟาดอย่างไม่ปรานี ไม่เว้นแม้กระทั้งเด็กเล็กๆ ที่ความผิดของเขาเพียงการที่ต้องพบเห็นภาพร่างของผู้ที่เป็นที่รัก นอนเกลื่อนโดยปราศจากเศษผ้าหรือแม้แต่ผ้ากะฟั่นสักผืน

พวกผู้หญิงและเด็ก ถูกนำขึ้นบนหลังอูฐทีละคนอีกครั้ง โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจหรือร่ำไห้กับร่างของผู้เป็นที่รัก อิมามซัยนุลอาบิดีนซึ่งถูกล่ามด้วยโซ่ที่หนักอึ้ง ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า ไปตามถนนทั้งที่มีอาการไข้อย่างหนัก ศีรษะของบรรดาผู้สละชีพถูกเสียบไว้ที่ปลายหอกนำหน้าขบวน

ตามกำหนดการ ขบวนได้เคลื่อนออกไปอย่างรีบเร่งสู่กูฟะฮ์ สภาพของเชลยนั้น ถ้าเด็กคนใดตกลงจากหลังอูฐ เชือกที่คอของเด็กที่ผูกเชื่อมติดกับข้อมือของผู้ใหญ่ก็จะตึงและดึงให้ตกลงจากหลังอูฐมา

ด้วยกัน ทหารจะเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วใช้แส้ฟาดก่อนที่จะนำขึ้นบนหลังอูฐอีกครั้ง

๑๐๘

‘กูฟะฮ์’

โดยการเดินอย่างรีบเร่งเพียงไม่กี่ชั่วโมง ขบวนเชลยก็มาถึงบริเวณชานเมืองกูฟะฮ์ ชิมร์และคูลีได้ตกลงกันว่า ขบวนควรหยุดรออยู่หน้าประตูเมืองก่อน ผู้ส่งข่าวถูกส่งเข้าไปยังเจ้าเมือง เพื่อบอกข่าวการมาถึงของขบวนเชลย

เมื่อท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูม มองเห็นกำแพงเมืองกูฟะฮ์ ทำให้ท่านย้อนนึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่ท่านทั้งสองพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึง ๔ ปี ในช่วงเวลาที่บิดาของท่านเป็นผู้ปกครองรัฐอิสลาม

 ผู้นำแห่งสัจธรรม และเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้สืบทอดของท่านศาสดา ในยามนั้นบรรดาสตรีชาวเมืองกูฟะฮ์แข่งขันกันเพื่อเข้ามาเป็นผู้ใกล้ชิดของท่านทั้งสอง เชื้อเชิญท่านไปยังบ้านเรือนของพวกนางด้วยความยินดี ขอให้ท่านได้ประสาทพรให้แก่เด็กๆ ของนางในโอกาสอันเป็นมงคล ท่านทั้งสองจะได้รับเชิญไปเป็นเกียรติด้วยความเคารพนับถือ ท่านหญิงทั้งสองรู้สึกประหลาดใจต่อการกระทำของคนในเมืองเดียวกันนี้ที่ท่านเคยได้รับเกียรติและยกย่องสรรเสริญ

๑๐๙

 พวกผู้หญิงและเด็กจะยังคงจำท่านได้หรือไม่หนอ!? พวกเขา

จะมาแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียของท่านหรือไม่? เมื่อคิดดูอีกทีท่านก็ประจักษ์ว่า ผู้คนในเมืองนี้ได้ทรยศต่อท่านมุสลิม บิน อะกีล ญาติของพวกท่าน เมื่อครั้งที่ท่านเป็นตัวแทนของอิมามฮูเซน เปล่า

ประโยชน์ที่จะคาดหวังว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ การแสดงความเสียใจและการยกย่องให้เกียรติจากประชาชนในเมืองนี้ ที่มีหัวใจกลับกลอกในทันทีที่มาถึง ม้าเร็วถูกส่งไปยังทำเนียบของ อุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด และกลับมาพร้อมกับคำสั่งของผู้ปกครองว่า การเตรียมการพร้อมแล้วซึ่งจัดให้เชลยเดินไปตามท้องถนน ผ่านไปในบริเวณย่านการค้าของเมือง ซึ่งมีคนชุมนุมกันหนาแน่น เมื่อได้รับคำสั่งมาเช่นนั้นขบวนเริ่มออกเดินทาง บรรดาเชลยได้มองเห็นฝูงชนยืนเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน ผู้หญิงและเด็กๆ ยืนอยู่บริเวณระเบียงและหน้าต่าง เพื่อเฝ้าดูขบวนเดินผ่านไป

๑๑๐

 ผู้ป่าวประกาศได้ร้องตะโกนขึ้นว่า

 “โอ้ ประชาชนชาวกูฟะฮ์! เรากำลังนำตัวซัยนับและอุมมุลซูม หลานสาวของศาสดา และบรรดาคนในครอบครัวของฮูเซนลูกของอะลี สำหรับพวกท่านที่ยังไม่รู้เรื่องราว เราขอประกาศว่า ฮูเซนผู้ซึ่งทำการต่อต้านยะซีดและปฏิเสธการยอมรับสัตยาบันในสิทธิการเป็นคอลีฟะฮ์ที่ถูกต้องของมุสลิม ต้องถูกกำจัดและถูกสังหารพร้อมกับบรรดาผู้ติดตามของเขาในทุ่งกัรบะลา

 บัดนี้สมาชิกในครอบครัวของเขาจะถูกนำไปยังทำเนียบของยะซีด เพื่อไปรับโทษที่พวกเขาได้ก่อขึ้น

ประชาชนชาวกูฟะฮ์ทั้งหลาย! นี่คือชะตากรรมที่กำลังรอทุกคนที่สงสัยในอำนาจของยะซีด และใครก็ตามที่ทำการคัดค้านคอลีฟะฮ์ จะไม่มีการไว้ชีวิต”

ผู้คนที่มาชุมนุมอยู่เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนั้นจึงพากันหลบไป เหลืออยู่เพียงจำนวนเล็กน้อยที่ยังจดจำถึงความเมตตากรุณาที่เคยได้รับจากท่านหญิง พวกเขาจำได้ว่า ในยามที่ลำบากและเดือดร้อน

พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านด้วยความเต็มใจ

๑๑๑

 พวกเขาประหลาดใจในสภาพของท่านที่เป็นอยู่

ในขณะนี้ พวกเขาสามารถคาดเดาได้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจากใบหน้าที่ซูบซีดอิดโรยจากการสูญเสีย หลายคนพากันร่ำไห้ต่อความโศกเศร้าและเจ็บปวด แต่ไม่มีใครกล้าที่จะประท้วงหรือช่วยเหลือ เพราะกลัวว่า ตนเองจะต้องได้รับชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้

เมื่อขบวนเดินมาถึงบริเวณตลาด มีฝูงชนหนาแน่นทำให้เดินผ่านไปค่อนข้างลำบาก ขบวนจึงหยุดชั่วครู มันตรงกันข้ามเหมือนดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ หรือความมืดกับความสว่าง ที่บรรดาเด็กๆ ใน

ครอบครัวของท่านศาสดา ไม่มีน้ำแม้แต่ที่จะดื่มตลอดการเดินทางจากกัรบะลาสู่กูฟะฮ์ รู้สึกหิวกระหายอย่างที่สุด แต่ไม่ได้ปริปากบ่นถึงความทุกข์ทรมานนั้น ในขณะที่ทหารของยะซีดที่ร่วมขบวนมาด้วยได้ตั้งวงกินอาหารและเครื่องดื่มที่พวกเขาจัดเตรียมมา ทั้งยังมีที่พักในร่มเงาให้คลายร้อน สะกีนะฮ์ได้ร้องขอน้ำดื่มจากท่านหญิงซัยนับ ท่านหญิงทราบดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะไปขอความเมตตาใดๆ แม้แต่น้ำสักหยดจากพวกเขา ท่านจำได้ดีถึงหัวใจที่ไร้ความปรานีของพวกเขา แม้แต่น้ำสักหยดสำหรับสมาชิกในครอบครัวท่านศาสดา หรือแม้แต่อะลี อัสกัร จวบจนวาระสุดท้ายของเขา

๑๑๒

 ท่านยังจำได้ว่า พี่ชายของท่านถูกสังหารไปพร้อมด้วยกับความหิวกระหายอยู่บนทะเลทรายแห่งกัรบะลาอ์ ระหว่างทางจากกูฟะฮ์ถึง

ซีเรียมีสถานที่ๆ หยุดพักหลายแห่ง ทุกๆ ที่พัก พวกทหารจะตั้งกระโจมให้พวกเชลยพักร่วมกัน รางวัลแห่งชัยชนะของพวกมันซึ่งก็คือ ศีรษะของบรรดาผู้สละชีพ บรรดาเชลยแทนที่จะร่ำไห้คร่ำครวญแต่กลับใช้เวลาเหล่านั้นอุทิศให้กับการนมาซซึ่งเป็นภาระหน้าที่ และวิงวอนขอสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ทรงเกรียงไกรเพื่อการตอบแทนอย่างมากมาย

ผู้คนจำนวนมากมามุงดูทหารและเชลยที่ถูกล่ามโซ่และมัดด้วยเชือก ผู้เป็นทายาทของอิมามฮูเซน ซึ่งมาพร้อมกับศีรษะที่ถูกตัดขาดของท่าน พวกเขารู้สึกตกใจและสะเทือนความรู้สึกของมนุษย์ปุถุชน

อย่างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเป็นเทพในร่างมนุษย์ที่หาได้ยากยิ่งในหน้าแผ่นดิน ที่อยู่ในภาวะที่ทุกข์ยากสูญเสียมากมายถึงขนาดนี้ แต่ยังคงอุทิศตนให้กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจที่มีศรัทธาอันแรงกล้า ด้วย

๑๑๓

ความนอบน้อมถ่อมตน

พวกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้เคร่งครัดศาสนาเหล่านี้ ได้เปิดประตูออกมาดู ต่างสอบถามกัน

ประชาชนในอีกส่วนหนึ่งที่ขบวนเชลยถูกนำไป รู้ว่านักโทษเหล่านั้นเป็นทายาทของศาสนทูตและผู้รอดชีวิตของฮูเซน ไม่ได้เป็นพวกกบฏตามที่พวกมันใส่ไคล้

การชี้นำ ท่าที บุคลิกภาพและการมอบตนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าของบรรดาผู้รอดชีวิต

ภายใต้การนำของท่านหญิงซัยนับ ประกอบกับการมีวาทะศิลป์และความกล้าหาญที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในหมู่มุสลิม เกิดการสับสนวุ่นวาย มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นครั้งใหญ่

หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนั้น ผลัดดันให้ยะซีดรู้สึกได้ว่า อิมามฮูเซน ไม่ได้เสียสละชีวิตอย่างไร้ประโยชน์

แต่ด้วยการพลีชีพที่กัรบะลาในครั้งนั้น บัดนี้ได้นำมาซึ่งพลังและความรักอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติ

๑๑๔

อิสลาม ซึ่งบัดนี้ประจักษ์ถึงการทรยศของยะซีดได้เป็นอย่างดี

สตรีชราผู้หนึ่งซึ่งมองเห็นสภาพของสะกีนะฮ์จากระเบียง ได้วิ่งมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ ฝ่าแถวทหารที่ยืนเรียงรายตรงมาหาสะกีนะฮ์พร้อมกับยื่นแก้วน้ำเย็นในมือ ด้วยความขอบคุณสะกีนะฮ์รับมา

จากเธอและต้องการดื่มมัน แต่ผู้หญิงคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นว่า “ฉันทราบดีว่าท่านกระหายน้ำอย่างมาก ดูจากสภาพของท่านปรากฏร่องรอยการเจ็บปวดทรมาน แต่ก่อนที่จะดื่มน้ำนี้ ฉันขอร้องให้ท่านได้วิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปกป้องคุ้มครองเด็กๆ ของฉันให้พ้นจากชะตากรรมที่ท่านและสมาชิกในครอบครัวกำลังประสบอยู่ด้วยเถิด ขอพระองค์โปรดอย่าให้เด็กๆ ของฉันต้องได้รับความโศกเศร้าและทุกข์ทรมานดังเช่นที่ท่านกำลังเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้เลย”

สะกีนะฮ์ทำตามคำขอร้องของหญิงชราผู้นั้น และขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ อย่างไรก็ตาม คำพูดของหญิงชราผู้นั้นทำให้เธอย้อนนึกถึงว่า ไม่นานนี้ความปรารถนาของเธอจะได้รับการตอบรับอย่าง

รวดเร็ว

๑๑๕

 ทุกๆ คำพูดของเธอนั้นจะต้องได้รับการตอบสนอง เธอไม่อาจกลั่นน้ำตาไว้ได้ในสิ่งที่เธอต้องสูญเสีย ในสิ่งที่เธอต้องทนเจ็บปวดและยังคงทุกข์ทรมานอยู่ในขณะนี้ เธอยกแก้วน้ำขึ้นแต่ไม่อาจดื่มมัน

ได้ เพราะเธอไม่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้ร่ำไห้ ท่านหญิงซัยนับเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รู้สึกประหลาดใจว่าหญิงชราผู้นี้คือใคร? เหตุใดจึงมีเมตตานำน้ำมาให้สะกีนะฮ์ดื่ม ท่านได้ยินคำของร้องของหญิงชราผู้นั้น

ทำให้ท่านนึกถึงพ่อของนาง ท่านคิดว่าท่านจำใบหน้าของหญิงชราคนนี้ได้ แม้ว่าจะล่วงเลยมายี่สิบปีแล้ว

ตั้งแต่ท่านออกจากกูฟะฮ์ ด้วยความพยายามท่านจึงนึกออกว่านั้นคือ ‘อุมมุอัยมัน’ ผู้ซึ่งมาเยี่ยมเยือนท่านบ่อยครั้งสมัยที่อยู่ที่กูฟะฮ์ และได้มอบความรัก ความภักดีอย่างเสมอมา ท่านหญิงแปลกใจมากว่า

เหตุใด อุมมุอัยมันจึงจำท่านไม่ได้ เพราะนางก็ได้ยินผู้ป่าวประกาศได้ประกาศว่า พวกท่านเป็นใคร?เป็นไปได้หรือที่อุมมุอัยมันไม่ได้ยินและไม่เกรงกลัวต่อคำขู่นั้น เพื่อขจัดข้อสงสัย ท่านหญิงได้หันไปยังอุมมุอัยมันและกล่าวขึ้นว่า “อุมมุอัยมัน! ฉันขอขอบใจในความมีน้ำใจต่อสะกีนะฮ์

๑๑๖

 ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพรให้กับเธอ ในความมีน้ำใจที่มอบให้กับครอบครัวผู้สูญเสียของท่านศาสดา”

 อุมมุอัยมัน มองดูด้วยความฉงนงงงวย สังเกตได้ว่านางไม่ได้ยินคำประกาศเกี่ยวกับขบวนเชลยว่าเป็นใคร? นางจ้องมองหน้าท่านหญิงซัยนับ แต่ดูเหมือนว่านางไม่อาจจำได้ เพราะท่านได้นำผมของท่านมาปิดใบหน้าไว้ เพราะผ้าคลุมผมของท่านถูกกระชากออกไป แม้ว่าท่านจะเปิดหน้าออก แต่ด้วยความทุกข์ระทมที่ได้รับ ทำให้ท่านดูชราภาพลงไปมาก ฝุ่นจากดินทรายได้ปกคลุมใบหน้า ความหิวโหยและเจ็บปวดทุกข์ระทมที่ได้รับทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงไป จนแม้แต่ผู้ที่เพิ่งพบท่านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็แทบจำไม่ได้ แล้วกับผู้ที่ไม่ได้พบท่านมานานถึงยี่สิบกว่าปีเช่น อุมมุอัยมัน จะจำท่านได้อย่างไร? นางพูดขึ้นว่า “โอ้ นายหญิง! ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงมาอ้างถึงครอบครัวของท่านศาสดา ฉันรู้ดีว่าครอบครัวของท่านนั้นประกอบด้วยอิมามฮูเซนของฉันและน้องสาวของท่านคือท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูม ขอพระเจ้าทรงประทานพรให้กับพวกท่านซึ่งพักอยู่ที่มะดีนะฮ์ แล้วท่านมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนายหญิงของฉัน ผู้ซึ่งฉันไปมาหาสู่คอยรับใช้และจงรักภักดี ผู้ซึ่งฉันระลึกอยู่เสมอในการวิงวอนของฉัน

๑๑๗

 และฉันเฝ้ารอคอยที่จะได้พบพวกท่านอีก”

ท่านหญิงทราบดีว่า อุมมุอัยมันจำท่านไม่ได้ ท่านจึงรวบผมที่ปิดหน้าเพื่อให้อุมมุอัยมันมองเห็นใบหน้าอย่างชัดเจน พร้อมกับกล่าวว่า “อุมมุอัยมัน ฉันคือซัยนับที่เธอพูดถึง! และนี่คืออุมมุลซูมน้องสาวของฉัน พวกเราเป็นหลานของท่านศาสดาคนเดียวกับที่ท่านเคยพบ ในสถานการณ์ขณะนี้ที่ท่านกำลังได้เห็นได้พบ ซึ่งท่านไม่สามารถบอกได้ว่าเราเป็นใคร?

 พี่ชายของฉันฮูเซนและผู้ชายคนอื่นๆหลานชายและลูกชายของฉัน ได้ถูกสังหารทั้งหมดในทุ่งกัรบะลาโดยทหารของยะซีด

 ถ้าเธอมองไปข้างหน้า เธอจะได้เห็นศีรษะของอิมามฮูเซนของเธอ ถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก”

อุมมุอัยมันได้ยินเช่นนั้น จึงหันไปทางที่ท่านหญิงชี้ไป และได้เห็นศีรษะของบรรดาผู้สละชีพถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก นางสังเกตว่าในจำนวนนั้นที่หันมาทางนาง มีใบหน้าที่รัศมีสง่างามเด่นกว่าใคร นาง

เข้าใจในทันทีว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุคคลในครอบครัวของท่านศาสดา นางหันมามองท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูมอีกครั้ง

๑๑๘

 ความจำได้ย้อนกลับมา นางได้ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านหญิงและร่ำไห้

“โอ้ นายหญิงของฉัน! โปรดยอมรับการขอโทษอย่างจริงใจจากฉันในสิ่งที่ได้พูดไป ฉันจำท่านไม่ได้จริงๆ

โอ้ พระเจ้า! ผู้คนที่ประกาศตัวว่าเป็นมุสลิมทำกับท่านได้ถึงเพียงนี้ ฉันไม่เคยคาดฝันเลยว่า พวกเขาจะกระทำทารุณโหดร้ายเพื่อลดเกียรติของพวกท่านได้ถึงเพียงนี้” อุมมุอัยมันร่ำไห้ด้วยความขมขื่น กอดขาของท่านหญิงและจุมพิตด้วยความจงรักภักดี

ทหารคุ้มกันที่มากับขบวนเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เกรงว่าการแสดงความเคารพต่อครอบครัวของท่านศาสดาเช่นนี้ จะทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นพากันเข้ามาทำตาม พวกมันจึงรีบตรงมายังอุมมุอัยมัน เฆี่ยนตี

นางและผลักจนนางกระเด็นไปข้างทาง แล้วจึงรีบนำขบวนเดินต่อไปในทันที

ขบวนเชลยได้เดินไปตามทางแคบๆ ของเมืองกูฟะฮ์ จนกระทั่งมาถึงทำเนียบของอุบัยดิลลอฮ์

๑๑๙

ผู้ปกครอง ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ภายในทำเนียบ เชลยถูกนำเข้ามาภายในห้องโถง

เมื่อท่านหญิงซัยนับถูกนำมาอยู่ต่อหน้าอุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด เขาจึงสั่งให้นำศีรษะของอิมามฮูเซนที่วางอยู่บนถาด มาวางไว้ที่ปลายเท้าของมัน และให้ชิมร์แนะนำสมาชิกในครอบครัวฮูเซนทีละ

คน เพราะมันยากที่จะเชื่อว่าใบหน้าที่เห็นเป็นใบหน้าของซัยนับและอุมมุลซูม ที่สง่างามทรงเกียรติ

ดังที่เคยได้ยินมา ทั้งยังพูดจาถากถางว่า

 “เห็นครั้งแรกนึกว่าเป็นทาสหญิงที่ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า แทนที่จะเป็นหลานสาวของศาสดา”

สุนทรพจน์ของท่านหญิงในทำเนียบของ อุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด

ท่านหญิงซัยนับ พยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งทำให้ท่านต้องสับสนด้วยกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายก่อนจากกันที่กัรบะลา

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175