ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม0%

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดประวัติศาสตร์
หน้าต่างๆ: 175

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน: ยูซุฟ เอ็น ลาลล์ญี
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 175
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 42013
ดาวน์โหลด: 3434

รายละเอียด:

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 175 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 42013 / ดาวน์โหลด: 3434
ขนาด ขนาด ขนาด
ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

ท่านหญิงหันหน้าไปทางเมืองนะญัฟที่ซึ่งบิดาของท่านฝังอยู่ ณ ที่นั่น นึกถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์

ในสมัยที่บิดาของท่านเป็นคอลีฟะฮ์ และสถาปนาเป็นเมืองหลวง นึกถึงความเคารพนบน้อมที่ผู้คนในเมืองนั้นได้เคยปฏิบัติต่อท่าน และในวันนี้คนพวกนี้เองที่ไม่เลยแม้แต่น้อย ที่จะช่วยยับยั้งการกระทำอันดูหมิ่นเหยียดหยามที่ทำให้ต้องอัปยศอดสู พวกเขาแข่งขันกันในการพยายามที่จะทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียเกียรติ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่สะเทือนใจมากมายเช่นนั้น ศีรษะของท่านโงนเงนและหมดสติไป เพราะความโศกเศร้าที่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ในสภาพหมดสตินั้น ท่านมองเห็นใครคนหนึ่งกำลังควบม้าตรงมายังกระโจมที่พัก สภาพของเขาราวกับว่าได้เดินทางมาจากระยะทางอันไกลแสนไกล และต้องการมาให้ถึงอย่างรวดเร็ว ท่านรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเข้ามาทำร้ายสตรีและเด็กๆ ท่านจึงร้อง

ตะโกนให้หยุด ในอาการเพ้อด้วยพิษไข้ ท่านจึงอ้อนวอนเขาอย่าได้รบกวนสตรีและเด็กๆ ที่กำลังหลับอยู่

๑๐๑

แต่ท่านรู้สึกว่าคำขอร้องของท่านไม่ได้รับการสนใจจากผู้มาเยือน ด้วยความโกรธท่านตรงไปยังเขา พร้อมกับกระชากบังเหียนม้าและร้องตะโกนว่า “โอ้ ท่านผู้อาวุโส! ฉันขอร้องให้ท่านกลับไปเสีย อย่าได้รบกวนเราในขณะนี้เลย แต่ท่านกลับไม่ฟัง ฉันคือหลานสาวของท่านศาสดาแห่งอิสลาม บุตรสาวของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ท่านจะไม่ให้เกียรติต่อท่านศาสดาและลูกหลานของท่าน โดยการที่ท่านไม่ยอมปฏิบัติตามคำขอร้องของฉัน” ท่านหญิงมองเห็นผู้ที่อยู่บนหลังม้า ได้เปิดผ้าคลุมหน้าออก ท่านจึงเห็นว่าเป็นใบหน้าของอะลี บิดาของท่าน ที่ฉายแววแห่งความโศกเศร้าอย่างที่สุด ท่านหญิงได้ยินเสียงพูดทั้งน้ำตาว่า “ซัยนับ พ่อมาเพื่อทำหน้าที่แทนลูกในการดูแลบรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ของฮูเซน และผู้คนของเขา โอ้ ซัยนับ!นี้เป็นการกระทำโดยฝีมือของกองทัพปีศาจ ที่ได้ทำการข่มเหงพวกเจ้าทั้งหมดกระนั้นหรือ?”

๑๐๒

ท่านหญิงรู้สึกว่าหัวใจของท่านได้คลายทุกข์ระทมลงบ้าง ด้วยการได้พบกับบิดาของท่าน

“โอ้ ท่านพ่อ! ทำไมท่านมาช้าเหลือเกิน ท่านอยู่ที่ไหนในขณะที่อะลี อักบัร กอเซ็ม อับบาส และคนอื่นๆ ได้เพลี่ยงพล้ำแก่ศัตรูในสนามรบ? ท่านอยู่ที่ไหนในเวลาที่ศีรษะของฮูเซนถูกตัดขาดออกจากร่าง

อย่างไร้ความปรานี โดยที่ไม่ยอมให้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียว? ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่อะลี อัสกัรถูกลูกธนูเสียบเข้าที่ต้นคอ? ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่ตุ้มหูของสะกีนะฮ์ถูกกระชากออกจากใบหูอย่างไรความปรานี?”

และเมื่อเธอร้องด้วยความเจ็บปวด เจ้าชิมร์ก็ตบเธออย่างป่าเถื่อน “ท่านอยู่ที่ไหนตอนที่ทหารของยะซีดกระชากผ้าคลุมของเรา และจุดไฟเผากระโจมที่พัก?” สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของท่าน ทำให้หัวใจของท่าน ร่างกายของท่านสั่นไหวไปทั่งตัว

เมื่อท่านรู้สึกตัว ท่านพบว่าตัวเองกำลังนอนฟุบอยู่บนพื้นทราย พร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง ขณะนั้นเป็นเวลาย่ำรุ่งพอดี

๑๐๓

ท่านย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตด้วยความปวดร้าว ว่าในเวลาเดียวกันนี้ อะลี อักบัร เคยประกาศเพื่อบอกเวลาทำนมาซ ทุกคนจะมาร่วมกันนมาซยามรุ่งอรุณ โดยมีอิมามฮูเซนผู้นำ และผู้ติดตามอันเป็นที่รัก ต่างนมาซตามหลังท่าน ท่านหญิงเช็ดน้ำตา ตะยัมมุมด้วยฝุ่นทรายบริเวณนั้น และเริ่มทำนมาซ หลังจากนมาซเสร็จท่านก้มศีรษะลงกราบและวิงวอนขอดังนี้ “โอ้ อัลลอฮ์! โปรดประทานความกล้าหาญในการแบกรับหน้าที่ และสานต่องานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผลสำเร็จ โปรดประทานกำลังใจและความอดทนอดกลั้นต่อการกระทำที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม ความอัปยศ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับข้าพระองค์ โอ้พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังและความเข้มแข็งทั้งปวง”.

๑๐๔

บทที่ ๙

ขบวนของเชลย

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏขึ้นในตอนเช้าของวันที่ ๑๑ มุฮัรรอม

 (๑๐ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐) ส่องแสงประกายเป็นสีแดงจัด พร้อมกับฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายหนาทึบอยู่ในอากาศที่ปรากฏเป็นแสงสีแดงเช่นกันราวกับว่ามันเกิดความละอายต่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และมันจะต้องเป็นพยานให้กับเหตุการณ์ในเช้าวันนั้น ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะส่องแสงไปบนภาพที่น่าเวทนาเช่นนั้น มันเป็นภาพที่ไม่ธรรมดาที่ผู้หญิงและเด็กๆ เบียดเสียดกันอยู่ในกระโจมที่ถูกไฟเผาไหม้ เด็กๆ กำลังหลับโดยปราศจากสิ่งกำบังศีรษะของพวกเขา บางคนอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น นอนเหยียดยาวและหมดแรง บรรดาผู้หญิงที่รายล้อมอยู่โดยรอบ เหมือนคอยว่าจะมีเหตุร้ายบางอย่างเกิดขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

๑๐๕

ในอีกด้านหนึ่งของกระโจม ทหารกำลังรีบตระเตรียมกองทัพเพื่อออกเดินทาง บุตรของสะอัด ได้เรียกนายทหารมาเพื่อปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป ผลจากการหารือปรากฏออกมาว่า

 ครอบครัวของฮูเซนจะต้องถูกจับเป็นเชลยและนำไปยังกูฟะฮ์และดามัสกัส เพื่อไปยังทำเนียบของยะซีด จากการปรึกษากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ บุตรของสะอัดตัดสินใจส่งม้าเร็วนำข่าวไปบอกยะซีดว่า เกิดอะไรขึ้นที่กัรบะลา และขอรางวัลตอบแทนตามที่ได้ให้สัญญาไว้ เขาคิดว่ายะซีดคงจะต้องพอใจอย่างมาก ถ้าเขาทำให้บรรดาลูกหลานของฮูเซนต้องได้รับความอัปยศอดสูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อุมัร บุตรของสะอัดจึงให้แต่ละคนแสดงความคิดเห็นว่า จะใช้วิธีใดที่จะทำให้ขบวนของฮูเซนได้รับความทุกข์ทรมานมากที่สุด บางคนแนะว่า “มันจะเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับพวกเขา โดยการให้พวกเขาเหล่านั้นเดินไปพร้อมๆ กับศีรษะของบุคคลที่พวกเขารักและเทิดทูน”

๑๐๖

 

บุตรของสะอัด ตกลงตามนั้น ชิมร์และคูลีถูกขอให้ไปกับขบวนเชลย เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะถูกควบคุมไปยังดามัสกัสอย่างรีบเร่ง

เมื่อเตรียมการเสร็จสมบูรณ์ นายทหารที่ได้รับแต่งตั้งได้ตรงเข้าไปล่ามบรรดาสตรีและเด็ก พวกเขากระทำการอย่าป่าเถื่อนที่สุด ด้วยการล่ามโซ่ที่รอบต้นคอ ข้อมือและข้อเท้า ผู้หญิงถูกนำขึ้นขี่บนหลังอูฐโดยปราศจากกูบ เชือกและโซ่ถูกผูกเข้าต่อเชื่อมกันโดยล่ามมือของผู้หญิงไว้กับต้นคอของเด็ก ขบวนเชลยถูกนำไปยังบริเวณที่ร่างของบรรดาผู้สละชีพนอนเรียงรายกันอยู่ มันเป็นความทุกข์ระทมของผู้หญิงและเด็กผู้สูญเสีย ที่ได้เห็นภาพร่างของบรรดาผู้สละชีพ พวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ หลายคนถลาลงจากหลังอูฐทั้งๆ ที่เชือกและโซ่ยังผูกมัดติดอยู่ โถมไปบนร่างที่ไร้วิญญาณของพี่ชาย ลูกชายและญาติสนิท

๑๐๗

ทหารคุ้มกันที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปกับขบวน ตรงเข้ามาใช้แส้ฟาดอย่างไม่ปรานี ไม่เว้นแม้กระทั้งเด็กเล็กๆ ที่ความผิดของเขาเพียงการที่ต้องพบเห็นภาพร่างของผู้ที่เป็นที่รัก นอนเกลื่อนโดยปราศจากเศษผ้าหรือแม้แต่ผ้ากะฟั่นสักผืน

พวกผู้หญิงและเด็ก ถูกนำขึ้นบนหลังอูฐทีละคนอีกครั้ง โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจหรือร่ำไห้กับร่างของผู้เป็นที่รัก อิมามซัยนุลอาบิดีนซึ่งถูกล่ามด้วยโซ่ที่หนักอึ้ง ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า ไปตามถนนทั้งที่มีอาการไข้อย่างหนัก ศีรษะของบรรดาผู้สละชีพถูกเสียบไว้ที่ปลายหอกนำหน้าขบวน

ตามกำหนดการ ขบวนได้เคลื่อนออกไปอย่างรีบเร่งสู่กูฟะฮ์ สภาพของเชลยนั้น ถ้าเด็กคนใดตกลงจากหลังอูฐ เชือกที่คอของเด็กที่ผูกเชื่อมติดกับข้อมือของผู้ใหญ่ก็จะตึงและดึงให้ตกลงจากหลังอูฐมา

ด้วยกัน ทหารจะเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วใช้แส้ฟาดก่อนที่จะนำขึ้นบนหลังอูฐอีกครั้ง

๑๐๘

‘กูฟะฮ์’

โดยการเดินอย่างรีบเร่งเพียงไม่กี่ชั่วโมง ขบวนเชลยก็มาถึงบริเวณชานเมืองกูฟะฮ์ ชิมร์และคูลีได้ตกลงกันว่า ขบวนควรหยุดรออยู่หน้าประตูเมืองก่อน ผู้ส่งข่าวถูกส่งเข้าไปยังเจ้าเมือง เพื่อบอกข่าวการมาถึงของขบวนเชลย

เมื่อท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูม มองเห็นกำแพงเมืองกูฟะฮ์ ทำให้ท่านย้อนนึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่ท่านทั้งสองพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึง ๔ ปี ในช่วงเวลาที่บิดาของท่านเป็นผู้ปกครองรัฐอิสลาม

 ผู้นำแห่งสัจธรรม และเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้สืบทอดของท่านศาสดา ในยามนั้นบรรดาสตรีชาวเมืองกูฟะฮ์แข่งขันกันเพื่อเข้ามาเป็นผู้ใกล้ชิดของท่านทั้งสอง เชื้อเชิญท่านไปยังบ้านเรือนของพวกนางด้วยความยินดี ขอให้ท่านได้ประสาทพรให้แก่เด็กๆ ของนางในโอกาสอันเป็นมงคล ท่านทั้งสองจะได้รับเชิญไปเป็นเกียรติด้วยความเคารพนับถือ ท่านหญิงทั้งสองรู้สึกประหลาดใจต่อการกระทำของคนในเมืองเดียวกันนี้ที่ท่านเคยได้รับเกียรติและยกย่องสรรเสริญ

๑๐๙

 พวกผู้หญิงและเด็กจะยังคงจำท่านได้หรือไม่หนอ!? พวกเขา

จะมาแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียของท่านหรือไม่? เมื่อคิดดูอีกทีท่านก็ประจักษ์ว่า ผู้คนในเมืองนี้ได้ทรยศต่อท่านมุสลิม บิน อะกีล ญาติของพวกท่าน เมื่อครั้งที่ท่านเป็นตัวแทนของอิมามฮูเซน เปล่า

ประโยชน์ที่จะคาดหวังว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ การแสดงความเสียใจและการยกย่องให้เกียรติจากประชาชนในเมืองนี้ ที่มีหัวใจกลับกลอกในทันทีที่มาถึง ม้าเร็วถูกส่งไปยังทำเนียบของ อุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด และกลับมาพร้อมกับคำสั่งของผู้ปกครองว่า การเตรียมการพร้อมแล้วซึ่งจัดให้เชลยเดินไปตามท้องถนน ผ่านไปในบริเวณย่านการค้าของเมือง ซึ่งมีคนชุมนุมกันหนาแน่น เมื่อได้รับคำสั่งมาเช่นนั้นขบวนเริ่มออกเดินทาง บรรดาเชลยได้มองเห็นฝูงชนยืนเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน ผู้หญิงและเด็กๆ ยืนอยู่บริเวณระเบียงและหน้าต่าง เพื่อเฝ้าดูขบวนเดินผ่านไป

๑๑๐

 ผู้ป่าวประกาศได้ร้องตะโกนขึ้นว่า

 “โอ้ ประชาชนชาวกูฟะฮ์! เรากำลังนำตัวซัยนับและอุมมุลซูม หลานสาวของศาสดา และบรรดาคนในครอบครัวของฮูเซนลูกของอะลี สำหรับพวกท่านที่ยังไม่รู้เรื่องราว เราขอประกาศว่า ฮูเซนผู้ซึ่งทำการต่อต้านยะซีดและปฏิเสธการยอมรับสัตยาบันในสิทธิการเป็นคอลีฟะฮ์ที่ถูกต้องของมุสลิม ต้องถูกกำจัดและถูกสังหารพร้อมกับบรรดาผู้ติดตามของเขาในทุ่งกัรบะลา

 บัดนี้สมาชิกในครอบครัวของเขาจะถูกนำไปยังทำเนียบของยะซีด เพื่อไปรับโทษที่พวกเขาได้ก่อขึ้น

ประชาชนชาวกูฟะฮ์ทั้งหลาย! นี่คือชะตากรรมที่กำลังรอทุกคนที่สงสัยในอำนาจของยะซีด และใครก็ตามที่ทำการคัดค้านคอลีฟะฮ์ จะไม่มีการไว้ชีวิต”

ผู้คนที่มาชุมนุมอยู่เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนั้นจึงพากันหลบไป เหลืออยู่เพียงจำนวนเล็กน้อยที่ยังจดจำถึงความเมตตากรุณาที่เคยได้รับจากท่านหญิง พวกเขาจำได้ว่า ในยามที่ลำบากและเดือดร้อน

พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านด้วยความเต็มใจ

๑๑๑

 พวกเขาประหลาดใจในสภาพของท่านที่เป็นอยู่

ในขณะนี้ พวกเขาสามารถคาดเดาได้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจากใบหน้าที่ซูบซีดอิดโรยจากการสูญเสีย หลายคนพากันร่ำไห้ต่อความโศกเศร้าและเจ็บปวด แต่ไม่มีใครกล้าที่จะประท้วงหรือช่วยเหลือ เพราะกลัวว่า ตนเองจะต้องได้รับชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้

เมื่อขบวนเดินมาถึงบริเวณตลาด มีฝูงชนหนาแน่นทำให้เดินผ่านไปค่อนข้างลำบาก ขบวนจึงหยุดชั่วครู มันตรงกันข้ามเหมือนดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ หรือความมืดกับความสว่าง ที่บรรดาเด็กๆ ใน

ครอบครัวของท่านศาสดา ไม่มีน้ำแม้แต่ที่จะดื่มตลอดการเดินทางจากกัรบะลาสู่กูฟะฮ์ รู้สึกหิวกระหายอย่างที่สุด แต่ไม่ได้ปริปากบ่นถึงความทุกข์ทรมานนั้น ในขณะที่ทหารของยะซีดที่ร่วมขบวนมาด้วยได้ตั้งวงกินอาหารและเครื่องดื่มที่พวกเขาจัดเตรียมมา ทั้งยังมีที่พักในร่มเงาให้คลายร้อน สะกีนะฮ์ได้ร้องขอน้ำดื่มจากท่านหญิงซัยนับ ท่านหญิงทราบดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะไปขอความเมตตาใดๆ แม้แต่น้ำสักหยดจากพวกเขา ท่านจำได้ดีถึงหัวใจที่ไร้ความปรานีของพวกเขา แม้แต่น้ำสักหยดสำหรับสมาชิกในครอบครัวท่านศาสดา หรือแม้แต่อะลี อัสกัร จวบจนวาระสุดท้ายของเขา

๑๑๒

 ท่านยังจำได้ว่า พี่ชายของท่านถูกสังหารไปพร้อมด้วยกับความหิวกระหายอยู่บนทะเลทรายแห่งกัรบะลาอ์ ระหว่างทางจากกูฟะฮ์ถึง

ซีเรียมีสถานที่ๆ หยุดพักหลายแห่ง ทุกๆ ที่พัก พวกทหารจะตั้งกระโจมให้พวกเชลยพักร่วมกัน รางวัลแห่งชัยชนะของพวกมันซึ่งก็คือ ศีรษะของบรรดาผู้สละชีพ บรรดาเชลยแทนที่จะร่ำไห้คร่ำครวญแต่กลับใช้เวลาเหล่านั้นอุทิศให้กับการนมาซซึ่งเป็นภาระหน้าที่ และวิงวอนขอสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ทรงเกรียงไกรเพื่อการตอบแทนอย่างมากมาย

ผู้คนจำนวนมากมามุงดูทหารและเชลยที่ถูกล่ามโซ่และมัดด้วยเชือก ผู้เป็นทายาทของอิมามฮูเซน ซึ่งมาพร้อมกับศีรษะที่ถูกตัดขาดของท่าน พวกเขารู้สึกตกใจและสะเทือนความรู้สึกของมนุษย์ปุถุชน

อย่างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเป็นเทพในร่างมนุษย์ที่หาได้ยากยิ่งในหน้าแผ่นดิน ที่อยู่ในภาวะที่ทุกข์ยากสูญเสียมากมายถึงขนาดนี้ แต่ยังคงอุทิศตนให้กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจที่มีศรัทธาอันแรงกล้า ด้วย

๑๑๓

ความนอบน้อมถ่อมตน

พวกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้เคร่งครัดศาสนาเหล่านี้ ได้เปิดประตูออกมาดู ต่างสอบถามกัน

ประชาชนในอีกส่วนหนึ่งที่ขบวนเชลยถูกนำไป รู้ว่านักโทษเหล่านั้นเป็นทายาทของศาสนทูตและผู้รอดชีวิตของฮูเซน ไม่ได้เป็นพวกกบฏตามที่พวกมันใส่ไคล้

การชี้นำ ท่าที บุคลิกภาพและการมอบตนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าของบรรดาผู้รอดชีวิต

ภายใต้การนำของท่านหญิงซัยนับ ประกอบกับการมีวาทะศิลป์และความกล้าหาญที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในหมู่มุสลิม เกิดการสับสนวุ่นวาย มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นครั้งใหญ่

หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนั้น ผลัดดันให้ยะซีดรู้สึกได้ว่า อิมามฮูเซน ไม่ได้เสียสละชีวิตอย่างไร้ประโยชน์

แต่ด้วยการพลีชีพที่กัรบะลาในครั้งนั้น บัดนี้ได้นำมาซึ่งพลังและความรักอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติ

๑๑๔

อิสลาม ซึ่งบัดนี้ประจักษ์ถึงการทรยศของยะซีดได้เป็นอย่างดี

สตรีชราผู้หนึ่งซึ่งมองเห็นสภาพของสะกีนะฮ์จากระเบียง ได้วิ่งมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ ฝ่าแถวทหารที่ยืนเรียงรายตรงมาหาสะกีนะฮ์พร้อมกับยื่นแก้วน้ำเย็นในมือ ด้วยความขอบคุณสะกีนะฮ์รับมา

จากเธอและต้องการดื่มมัน แต่ผู้หญิงคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นว่า “ฉันทราบดีว่าท่านกระหายน้ำอย่างมาก ดูจากสภาพของท่านปรากฏร่องรอยการเจ็บปวดทรมาน แต่ก่อนที่จะดื่มน้ำนี้ ฉันขอร้องให้ท่านได้วิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปกป้องคุ้มครองเด็กๆ ของฉันให้พ้นจากชะตากรรมที่ท่านและสมาชิกในครอบครัวกำลังประสบอยู่ด้วยเถิด ขอพระองค์โปรดอย่าให้เด็กๆ ของฉันต้องได้รับความโศกเศร้าและทุกข์ทรมานดังเช่นที่ท่านกำลังเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้เลย”

สะกีนะฮ์ทำตามคำขอร้องของหญิงชราผู้นั้น และขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ อย่างไรก็ตาม คำพูดของหญิงชราผู้นั้นทำให้เธอย้อนนึกถึงว่า ไม่นานนี้ความปรารถนาของเธอจะได้รับการตอบรับอย่าง

รวดเร็ว

๑๑๕

 ทุกๆ คำพูดของเธอนั้นจะต้องได้รับการตอบสนอง เธอไม่อาจกลั่นน้ำตาไว้ได้ในสิ่งที่เธอต้องสูญเสีย ในสิ่งที่เธอต้องทนเจ็บปวดและยังคงทุกข์ทรมานอยู่ในขณะนี้ เธอยกแก้วน้ำขึ้นแต่ไม่อาจดื่มมัน

ได้ เพราะเธอไม่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้ร่ำไห้ ท่านหญิงซัยนับเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รู้สึกประหลาดใจว่าหญิงชราผู้นี้คือใคร? เหตุใดจึงมีเมตตานำน้ำมาให้สะกีนะฮ์ดื่ม ท่านได้ยินคำของร้องของหญิงชราผู้นั้น

ทำให้ท่านนึกถึงพ่อของนาง ท่านคิดว่าท่านจำใบหน้าของหญิงชราคนนี้ได้ แม้ว่าจะล่วงเลยมายี่สิบปีแล้ว

ตั้งแต่ท่านออกจากกูฟะฮ์ ด้วยความพยายามท่านจึงนึกออกว่านั้นคือ ‘อุมมุอัยมัน’ ผู้ซึ่งมาเยี่ยมเยือนท่านบ่อยครั้งสมัยที่อยู่ที่กูฟะฮ์ และได้มอบความรัก ความภักดีอย่างเสมอมา ท่านหญิงแปลกใจมากว่า

เหตุใด อุมมุอัยมันจึงจำท่านไม่ได้ เพราะนางก็ได้ยินผู้ป่าวประกาศได้ประกาศว่า พวกท่านเป็นใคร?เป็นไปได้หรือที่อุมมุอัยมันไม่ได้ยินและไม่เกรงกลัวต่อคำขู่นั้น เพื่อขจัดข้อสงสัย ท่านหญิงได้หันไปยังอุมมุอัยมันและกล่าวขึ้นว่า “อุมมุอัยมัน! ฉันขอขอบใจในความมีน้ำใจต่อสะกีนะฮ์

๑๑๖

 ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพรให้กับเธอ ในความมีน้ำใจที่มอบให้กับครอบครัวผู้สูญเสียของท่านศาสดา”

 อุมมุอัยมัน มองดูด้วยความฉงนงงงวย สังเกตได้ว่านางไม่ได้ยินคำประกาศเกี่ยวกับขบวนเชลยว่าเป็นใคร? นางจ้องมองหน้าท่านหญิงซัยนับ แต่ดูเหมือนว่านางไม่อาจจำได้ เพราะท่านได้นำผมของท่านมาปิดใบหน้าไว้ เพราะผ้าคลุมผมของท่านถูกกระชากออกไป แม้ว่าท่านจะเปิดหน้าออก แต่ด้วยความทุกข์ระทมที่ได้รับ ทำให้ท่านดูชราภาพลงไปมาก ฝุ่นจากดินทรายได้ปกคลุมใบหน้า ความหิวโหยและเจ็บปวดทุกข์ระทมที่ได้รับทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงไป จนแม้แต่ผู้ที่เพิ่งพบท่านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็แทบจำไม่ได้ แล้วกับผู้ที่ไม่ได้พบท่านมานานถึงยี่สิบกว่าปีเช่น อุมมุอัยมัน จะจำท่านได้อย่างไร? นางพูดขึ้นว่า “โอ้ นายหญิง! ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงมาอ้างถึงครอบครัวของท่านศาสดา ฉันรู้ดีว่าครอบครัวของท่านนั้นประกอบด้วยอิมามฮูเซนของฉันและน้องสาวของท่านคือท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูม ขอพระเจ้าทรงประทานพรให้กับพวกท่านซึ่งพักอยู่ที่มะดีนะฮ์ แล้วท่านมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนายหญิงของฉัน ผู้ซึ่งฉันไปมาหาสู่คอยรับใช้และจงรักภักดี ผู้ซึ่งฉันระลึกอยู่เสมอในการวิงวอนของฉัน

๑๑๗

 และฉันเฝ้ารอคอยที่จะได้พบพวกท่านอีก”

ท่านหญิงทราบดีว่า อุมมุอัยมันจำท่านไม่ได้ ท่านจึงรวบผมที่ปิดหน้าเพื่อให้อุมมุอัยมันมองเห็นใบหน้าอย่างชัดเจน พร้อมกับกล่าวว่า “อุมมุอัยมัน ฉันคือซัยนับที่เธอพูดถึง! และนี่คืออุมมุลซูมน้องสาวของฉัน พวกเราเป็นหลานของท่านศาสดาคนเดียวกับที่ท่านเคยพบ ในสถานการณ์ขณะนี้ที่ท่านกำลังได้เห็นได้พบ ซึ่งท่านไม่สามารถบอกได้ว่าเราเป็นใคร?

 พี่ชายของฉันฮูเซนและผู้ชายคนอื่นๆหลานชายและลูกชายของฉัน ได้ถูกสังหารทั้งหมดในทุ่งกัรบะลาโดยทหารของยะซีด

 ถ้าเธอมองไปข้างหน้า เธอจะได้เห็นศีรษะของอิมามฮูเซนของเธอ ถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก”

อุมมุอัยมันได้ยินเช่นนั้น จึงหันไปทางที่ท่านหญิงชี้ไป และได้เห็นศีรษะของบรรดาผู้สละชีพถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก นางสังเกตว่าในจำนวนนั้นที่หันมาทางนาง มีใบหน้าที่รัศมีสง่างามเด่นกว่าใคร นาง

เข้าใจในทันทีว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุคคลในครอบครัวของท่านศาสดา นางหันมามองท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูมอีกครั้ง

๑๑๘

 ความจำได้ย้อนกลับมา นางได้ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านหญิงและร่ำไห้

“โอ้ นายหญิงของฉัน! โปรดยอมรับการขอโทษอย่างจริงใจจากฉันในสิ่งที่ได้พูดไป ฉันจำท่านไม่ได้จริงๆ

โอ้ พระเจ้า! ผู้คนที่ประกาศตัวว่าเป็นมุสลิมทำกับท่านได้ถึงเพียงนี้ ฉันไม่เคยคาดฝันเลยว่า พวกเขาจะกระทำทารุณโหดร้ายเพื่อลดเกียรติของพวกท่านได้ถึงเพียงนี้” อุมมุอัยมันร่ำไห้ด้วยความขมขื่น กอดขาของท่านหญิงและจุมพิตด้วยความจงรักภักดี

ทหารคุ้มกันที่มากับขบวนเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เกรงว่าการแสดงความเคารพต่อครอบครัวของท่านศาสดาเช่นนี้ จะทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นพากันเข้ามาทำตาม พวกมันจึงรีบตรงมายังอุมมุอัยมัน เฆี่ยนตี

นางและผลักจนนางกระเด็นไปข้างทาง แล้วจึงรีบนำขบวนเดินต่อไปในทันที

ขบวนเชลยได้เดินไปตามทางแคบๆ ของเมืองกูฟะฮ์ จนกระทั่งมาถึงทำเนียบของอุบัยดิลลอฮ์

๑๑๙

ผู้ปกครอง ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ภายในทำเนียบ เชลยถูกนำเข้ามาภายในห้องโถง

เมื่อท่านหญิงซัยนับถูกนำมาอยู่ต่อหน้าอุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด เขาจึงสั่งให้นำศีรษะของอิมามฮูเซนที่วางอยู่บนถาด มาวางไว้ที่ปลายเท้าของมัน และให้ชิมร์แนะนำสมาชิกในครอบครัวฮูเซนทีละ

คน เพราะมันยากที่จะเชื่อว่าใบหน้าที่เห็นเป็นใบหน้าของซัยนับและอุมมุลซูม ที่สง่างามทรงเกียรติ

ดังที่เคยได้ยินมา ทั้งยังพูดจาถากถางว่า

 “เห็นครั้งแรกนึกว่าเป็นทาสหญิงที่ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า แทนที่จะเป็นหลานสาวของศาสดา”

สุนทรพจน์ของท่านหญิงในทำเนียบของ อุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด

ท่านหญิงซัยนับ พยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งทำให้ท่านต้องสับสนด้วยกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายก่อนจากกันที่กัรบะลา

๑๒๐