ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม33%

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดประวัติศาสตร์
หน้าต่างๆ: 175

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 175 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 47210 / ดาวน์โหลด: 4707
ขนาด ขนาด ขนาด
ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

แต่ในที่สุดท่านก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์สงบได้ จึงกล่าวออกไปว่า “โอ้ เจ้าลูกซิยาด! เราคือน้องสาวของฮูเซนหลานของศาสดา ซึ่งเจ้ายอมรับว่าเป็นศาสดาของเจ้า เจ้าและบรรดาผู้รับใช้ยะซีด ผู้ซึ่งเห็นแก่เพียงผลประโยชน์อามิสสินจ้างเหยียดหยามหลักการของอิสลาม มีความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นร่างของบรรดาผู้สละชีพ แม้ว่าจะเป็นข้อห้ามอย่างเคร่ง ครัดของศาสนา การกระทำกับพวกเราอย่างไร้ความเมตตา แม้ว่าศาสดาจะกำชับให้ผู้ศรัทธาทุกคนพึงปฏิบัติต่อเชลยศึกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงและเด็ก ด้วยความเห็นอกเห็นใจ

วันนี้พวกเจ้ากำลังหยามน้ำใจและยินดีปรีดากับความสำเร็จของพวกเจ้า และวันนี้พวกเจ้ากำลังคิดว่า

พวกเจ้าได้ดูหมิ่นเหยียดหยาม ลดเกียรติของพวกเราลงไปได้ตามอำเภอใจ ไม่มีใครคอยปกป้องในนามของพวกเรา และเจ้าเห็นว่าเราอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครกล้าโต้แย้งในการกระทำของเจ้าที่ได้ทำกับเรา โอ้ เจ้าทรราช ฉันขอเตือนเจ้าว่า ชัยชนะของเจ้ามิได้จีรังยังยืน

๑๒๑

ในไม่ช้านี้ความกริ้วโกรธของพระผู้เป็นเจ้าจะประสบกับพวกเจ้าและผู้สนับสนุนเจ้า ในไม่ช้ากรรมจะตามสนองเจ้าและผู้ที่สังหารพี่ชายของฉันและบุคคลในครอบครัวของเราอย่างป่าเถื่อน โดยปราศจากเหตุผลและมโนธรรม เพียงเพราะพวกเขามีศรัทธาอย่างมั่นคงแน่วแน่ ที่จะไม่ยอมจำนนต่อหลักการและอุดมการณ์ของพวกเจ้า เพราะพวกเขาไม่ยอมรับอำนาจของยะซีดให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเขาเป็นคนเสเพล และดูถูกเหยียดหยามหลักการของอิสลาม หลักจริยธรรมและศีลธรรม กดขี่

เพื่อนมนุษย์ให้อยู่ในสภาพที่ต่ำต้อย”

อุบัยดุลลอฮ์ สั่นสะท้านเมื่อได้ยินสุนทรพจน์ที่เด็ดเดี่ยวของท่านหญิง เพราะไม่คาดคิดว่าท่านจะพูดได้อย่างอาจหาญ ในภาวะที่หมดหนทางต่อสู้เช่นนี้ และคิดว่าท่านหญิงจะต้องหวาดหวั่นเมื่ออยู่ใน

บรรยากาศที่น่าสะพึงกลัวในจวนของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมานต่อการสูญเสีย การถูกทุบตีอย่างโหดร้าย และความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ไม่เพียงแต่อุบัยดุลลอฮ์คนเดียว

๑๒๒

แต่บรรดาพวกประจบสอพลอที่อยู่ในจวนขณะนั้น อยู่ในอาการเงียบงันและฟังอย่างใจจดใจจ่อต่อสุนทรพจน์ของท่าน เขามองไปรอบๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของผู้ที่อยู่ในที่นั่น และสังเกตว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังและได้ยินทุกคำพูดที่ท่านหญิงประกาศก้องออกไป ด้วยความสนใจจากการสังเกตใบหน้าของผู้คนเหล่านั้น มองดูแล้วมีความพึงพอใจในความกล้าหาญอันน่าประหลาดในการพูดความจริง ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันคิดว่าหลายคนคงจะคิดเปรียบเทียบคำพูดของท่านที่ตรงไปตรงมา ชัดเจนและเฉียบขาด กับสุนทรพจน์อันเลื่องลือของท่านอิมามอะลี บิดาของท่าน ที่กล่าวกับผู้ที่มาชุมนุมกันอย่างเนื่องแน่น บนแท่นเทศนาธรรมในมัสยิดที่กูฟะฮ์ ขณะนั้นเองอุบัยดุลลอฮ์รู้สึกวิตกว่า ถ้าเปิดโอกาสให้ท่าน

หญิงพูดมากไปกว่านี้ อาจจะทำให้มวลชนไขว้เขวได้ เขาจึงพยายามที่จะหยุดท่านไว้ โดยการขู่จะลงโทษท่านหญิงและคนอื่นๆ ถ้าท่านไม่ยอมหยุดปราศรัย

ถ้าอุบัยดิลลาฮ์ บุตรของซิยาด หวังว่าจะทำให้ท่านหญิงเงียบด้วยวิธีนี้ เขาคิดผิดถนัด! เพราะท่านมิได้ประหวั่นพรั่นพรึงต่อการขู่เช่นนี้ พร้อมกับกล่าวต่อด้วยคำพูดที่เผ็ดร้อน

๑๒๓

โดยสรุปความว่า พี่ชายของท่านและสมาชิกในครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมือง และอุทิศตนเองให้กับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยากจนและถูกกดขี่ เป็นมิตรกับบรรดาแม่หม้ายและเด็กกำพร้า ท่านได้เปรียบเทียบการดำเนินชีวิตของพวกท่านกับกิจวัตรความเป็นอยู่ของยะซีดและพลพรรคของเขาว่า ฝ่ายหลังได้ละทิ้งสำนึกแห่งคุณธรรมความดี มั่วสุมในความชั่ว นับเป็นความอัปยศอย่างที่สุดในความเป็นมนุษย์

ยะซีดนั้นไม่ได้เคารพในคุณธรรมความดี มิหนำซ้ำยังจะขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งสัจธรรม ทำให้คำสั่งสอนและกฎเกณฑ์ของอิสลามต้องมัวหมอง ทำให้ผู้ยอมรับเขาเป็นผู้นำต้องมีศีลธรรมที่เสื่อมทราม

 ท่านหญิงประกาศด้วยคารมที่เผ็ดร้อน ถึงการกระทำความชั่วช้าที่โหดร้ายไร้ความปรานีของกองทัพของยะซีด

ที่ทุ่งกัรบะลา ละทิ้งหลักการแห่งมนุษยธรรมและจริยธรรมอันดีงามอย่างสิ้นเชิง

คำกล่าวของท่านซึมซาบเข้าไปในจิตใจของผู้คนที่อยู่ในที่ประชุมนั้น แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะได้ขายจิตวิญญาณของเขาให้กับมารร้ายไปแล้ว

๑๒๔

 แต่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ทุกคำพูดที่ท่านหญิงกล่าว

เป็นความจริงและมีเหตุผล หลายคนได้หลั่งน้ำตา สาวกคนหนึ่งของท่านศาสดาซึ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่ดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท ได้กล่าวทักท้วงบุตรของซิยาด ถึงการกระทำที่ดูหมิ่นเหยียดหยามครอบครัวท่านศาสดาเช่นนั้น

ไม่นานเกินรอ บุตรของซิยาด ประเมินสถานการณ์ด้วยความเจ้าเล่ห์ และตระหนักดีว่า ถ้าไม่รีบจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกับพวกเชลยศึก อาจจะมีคนลุกขึ้นประท้วงต่อต้านได้ เขาจึงรีบให้นำเชลยออกไปจากท้องพระโรงอย่างรีบด่วน โดยสั่งให้ชิมร์และคูลีนำเชลยเดินทางไปยังดามัสกัส ก่อนที่จะมีโอกาสได้ปลุกระดมผู้คนในกูฟะฮ์ต่อไป ทั้งสองรีบสนองคำสั่ง เพราะรู้ดีถึงอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า

ถ้าท่านหญิงซัยนับมีโอกาสที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับรู้ หลังจากการปรึกษากันอย่างรีบด่วนแล้ว พวกเขาจึงรีบนำขบวนเชลยเดินไป โดยใช้เส้นทางมุ่งสู่ดามัสกัสที่ไม่ค่อยมีผู้คนใช้ เพื่อว่าจะได้ไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนพบเห็นและล่วงรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้พวกเขาเห็นอกเห็นใจและพากัน

เปิดฉากโจมตีเพื่อแก้แค้นให้กับบรรดาผู้ที่ถูกสังหาร ณ กัรบะลา

๑๒๕

มุ่งหน้าสู่ดามัสกัส

ขบวนเชลยได้รอนแรมผ่านทะเลทรายเมโสโปเตเมีย ผู้คุมได้รับการแนะนำให้ผ่อนปรนกับผู้หญิงและเด็ก และอิมามซัยนุลอาบิดีนที่กำลังป่วยหนัก ซึ่งเดินตามขบวนมาด้วยเท้าเปล่า และด้วยความอ่อนเพลีย ท่านจึงล้มลุกคุกคลานมาตลอดทาง เนื่องจากโซ่อันหนักอึ้งที่ล่ามอยู่รอบต้นคอ และข้อเท้าของท่าน ทำให้แต่ละย่างก้าวแสนลำบาก เมื่อท่านพลาดหกล้ม พวกใจบาปก็กระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้ามาเฆี่ยนตีด้วยแส้

ระหว่างทางท่านหญิงสะกีนะฮ์ พลัดตกลงจากหลังอูฐ ท่านหญิงซัยนับเห็นเช่นนั้นจึงพยายามให้สัญญาณ แต่ทหารไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านหญิงไม่ทราบจะทำอย่างไรดี เพราะท่านทราบดีว่า

ถ้าสะกีนะฮ์ซึ่งเป็นลมตกลงมาจากหลังอูฐถูกทิ้งไว้กลางทะเลทราย เธอจะต้องเสียชีวิตเพราะขาดน้ำและอาหาร

๑๒๖

ในสภาพสิ้นหวังท่านหันไปเบื้องหน้า ที่ซึ่งศีรษะของอิมามฮูเซนเสียบอยู่ที่ปลายหอก พร้อมกับร่ำไห้ “โอ้ ท่านพี่! ท่านขอให้น้องดูแลสะกีนะฮ์อันเป็นที่รักของพี่ แต่โปรดดูเถิดในสภาพที่ไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ สะกีนะฮ์ได้ตกจากหลังอูฐแต่น้องไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย” ท่านได้วิงวอนขอจากพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเหลือสะกีนะฮ์หลานรักของท่าน ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาต่อพระองค์อย่างแรงกล้า ท่านเชื่อว่าคำวิงวอนของท่านจะต้องถูกรับฟัง และสะกีนะฮ์จะต้องได้รับความปลอดภัย

ขบวนเคลื่อนต่อไปสองสามก้าว หอกที่คูลีถืออยู่ในมือ ซึ่งเสียบศีรษะของท่านอิมามไว้ ได้ตกลงมาเสียบอยู่ที่พื้นทราย มันกระโดดลงมาพยายามดึงหอกขึ้นจากพื้น แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ มันปักแน่นอยู่กับพื้นทรายราวกับถูกตรึงไว้ คูลีหมดปัญญาที่จะดึงออกได้ และคิดว่าถ้าผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ได้เห็นปาฏิหารย์นี้

พวกเขาจะต้องหวาดกลัวและละทิ้งหน้าที่แล้วหนีไป เขาได้เดินไปหาชิมร์ กระซิบบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยจิตใจที่วิปริต ชิมร์ได้แก้ปัญหาให้คูลีด้วยการตรงไปยังอิมามซัยนุลอาบิดีนพร้อมกับแส้ในมือ มันต้องการรู้ว่า ทำไมหอกจึงปักลงแน่น จนคูลีซึ่งมีพลังร่างกายแข็งแรงอย่างหาใครเทียบยาก

๑๒๗

 จึงไม่สามารถดึงหอกออกจากพื้นทรายได้ ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีนมองไปยังศีรษะของบิดา ซึ่งท่านมองเห็นน้ำตาไหลเป็นทางลง

มาตามแก้มจนถึงปลายหอก ท่านมองไปยังท่านหญิงซัยนับ ซึ่งท่านหญิงกำลังจ้องมองมาที่ท่านพร้อมกับร้องบอกท่านว่า สะกีนะฮ์ได้หกคะเมนตกลงมาจากหลังอูฐ ซึ่งท่านได้บอกทหารให้ช่วยเหลือเธอแต่พวกมันไม่สนใจ ชิมร์รีบวิ่งไปอุ้มสะกีนะฮ์ซึ่งนอนนิ่งอยู่กับพื้นทรายเนื่องจากตกลงมาอย่างแรงและได้รับบาดเจ็บ ทันทีที่สะกีนะฮ์ถูกอุ้มจากพื้นทรายส่งมาให้อยู่ในอ้อมแขนของท่านหญิงซัยนับ คูลีก็สามารถดึงหอกขึ้นจากพื้นได้ ขบวนเดินทางต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รอนแรมผ่านทะเลทรายซีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยพงหนามโรยเกลื่อนอยู่ที่พื้นทราย

เป็นอุปสรรคที่โหดร้ายทารุณสำหรับอิมามซัยนุลอาบิดีน ที่ต้องเดินตามขบวนด้วยเท้าเปล่า ตอนกลางคืนได้หยุดพัก ๒-๓ ชั่วโมง

เมื่อผู้คุมผ่อนผันให้หยุดเลี้ยงฉลองและรื่นเริง พวกมันได้แบ่งอาหารและน้ำที่เหลือ ซึ่งเกือบไม่พอจะประทังความหิวกระหายให้กับเชลย

๑๒๘

เหตุการณ์ในอาศรมนักพรต

ในค่ำคืนหนึ่ง ขบวนได้พักแรมที่อาศรมอันโดดเดี่ยวบนยอดเขาของนักพรต ผู้ซึ่งอุทิศตนเองอยู่กับการบำเพ็ญภาวนา ชิมร์ได้มอบศีรษะของบรรดาผู้สละชีพให้นักพรตช่วยเก็บรักษาไว้ เมื่อเหลือบเห็น

ศีรษะของอิมามครั้งแรก นักพรตรู้สึกทันทีว่าต้องเป็นศีรษะของนักบุญผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจึงนำมาเก็บไว้ใกล้กับเตียงนอนของเขาและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ในคืนนั้นเองเขาฝันว่า บรรดาศาสดา เทวทูตและชาวฟ้า ได้ลงจากสวรรค์มาเฝ้ารุมล้อมรอบๆ ศีรษะนี้ เขาตกใจตื่น และกังวลใจอย่างไรไม่อาจรู้ได้

ว่าจะทำอย่างไรต่อไป จึงตัดสินใจถามหัวหน้าผู้คุ้มกันเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ที่ถูกตัดศีรษะ และครอบครัวของใครที่ถูกจับเป็นเชลย?

 ชิมร์ตอบว่า “เป็นศีรษะของฮูเซนหลานของศาสดาแห่งอิสลาม ซึ่งพวกเขาถูกสังหารที่กัรบะลา โดยกองทัพของยะซีด เพราะพวกเขาไม่ยอมรับยะซีดเป็นผู้นำ และศีรษะอื่นๆ ก็เป็นพวกที่ถูกสังหารพร้อมกับฮูเซน”

๑๒๙

 นักพรตผู้นั้นตกตะลึงกับคำตอบที่ได้รับ เขากล่าวว่า

 “เจ้าถูกสาปแช่ง!เจ้ารู้ไหมว่า เจ้าได้ทำผิดอย่างมหันต์ ในการตัดศีรษะหลานของศาสดาของพวกเจ้า ผู้ซึ่งเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่

น่าละอายเหลือเกินไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว ซึ่งยังไม่หนำใจว่าเจ้าได้ทำอะไรลงไป เจ้าได้ปฏิบัติกับผู้หญิงและเด็กของเขาอย่างป่าเถื่อน และกระทำการอันโหดร้ายทารุณกับพวกเขา”

คำพูดดังกล่าวทำให้ชิมร์โมโหจนขาดสติ ทั้งยังถูกปลุกขึ้นมาในยามดึกดื่น จึงตรงเข้ามาตัดศีรษะนักพรตผู้นั้น เจ้าสัตว์ป่าตนนี้แทบจะไม่มีความเคารพในคำเตือนและคำสั่งของศาสดา ที่อนุญาตให้

ความคุ้มครองอย่างเต็มที่ต่อผู้ที่ละทิ้งเรื่องทางโลก และอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อบำเพ็ญภาวนาและบำเพ็ญทุกข์กิริยา ในเมื่อชีวิตของหลานศาสดาก็ยังไม่ปลอดภัยจากมัน แล้วจะคาดหวังอะไรว่ามันจะเคารพในคำสั่งของท่านศาสดา

๑๓๐

ดามัสกัส

ขบวนเชลยมาถึงดามัสกัสอย่างรีบเร่ง ม้าเร็วได้ไปบอกยะซีดว่าขบวนมาถึงแล้ว และขอรางวัลตอบแทนที่นำเชลยมามอบให้ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม ที่บรรดาผู้หญิงและเด็กต้องถูกให้คอยอยู่ที่หน้า

ประตู กลางแสงแดดที่แผดจ้า ฝูงชนต่างพากันมุงดู หลายคนไม่รู้ว่าเชลยเป็นใคร พวกเขาคิดว่าเป็นพวกเจ้าชายที่ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจของยะซีด และพ่ายแพ้จากการต่อสู้กับกองกำลังของยะซีด เขาก็ได้รับการบอกเล่าเช่นนั้นจริงๆ เพราะยะซีดไม่ต้องการให้ผู้คนรับรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของเชลย เนื่องจากยะซีดรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจวนของอุบัยดุลลอฮ์ เขาจึงไม่ยอมเปิดเผยฐานะของเชลยและสั่งการให้ประกาศว่า เชลยคือพวกกบฏที่ต่อต้านอำนาจและพ่ายแพ้จึงถูกจับตัวมา ดังนั้น จึงทำให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นที่คิดจะต่อต้าน

เขาสั่งให้นำศีรษะของบรรดาผู้สละชีพพร้อมกับครอบครัวของพวกเขามาที่พระราชวัง และประกาศให้วันนั้นเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะ

๑๓๑

ให้ภายในพระราชวัง ท้องถนน ตลาด ที่ชุมชนและทุกๆ มุมเมือง ตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามเป็นโอกาสพิเศษ

ในขณะที่เมืองทั้งเมือง กำลังได้รับการประดับประดาอย่างวิจิตรพิศดารด้วยดอกไม้และเครื่องประดับ จนกลายเป็นงานเทศกาลที่สำคัญยิ่ง บรรดาเชลยที่น่าสงสาร กำลังได้รับความเจ็บปวด

ทุกข์ทรมานอยู่กลางแดดที่แผดจ้า ไม่มีน้ำดื่มและอาหารรับประทาน เด็กๆ ร้องไห้ด้วยความหิวกระหาย

ผู้หญิงชาวเมืองบางคนที่ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ในขบวนเป็นใคร ได้ขว้างเมล็ดอินทผลัมแห้งมาให้เพื่อเป็นทาน โดยคิดว่าเพื่อเด็กๆ ของพวกเขาจะได้สุขสบาย แต่ท่านหญิงซัยนับและอุมมุลซูมได้ขอร้องให้ทิ้งไปเสีย โดยบอกกับเด็กๆ ว่า ท่านศาสดาห้ามคนในครอบครัวของท่านรับประทานของที่เป็นพลีทาน เพราะ พวกท่านคือ บุคคลจากครอบครัวของศาสดา หลายคนพากันงงงัน เมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงมองมายังใบหน้าของท่านหญิงทั้งสอง ซึ่งถูกปกปิดด้วยปอยผมแทนผ้าคลุมศีรษะที่ถูกกระชากไป เนื้อตัวก็เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นทราย

๑๓๒

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในเวลานี้ยะซีดเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจล้นเหลือ อาณาจักรของเขาก็แผ่

ขยายออกไปกว้างไกล พวกรัฐเล็กๆ มากมายยอมจ่ายบรรณาการให้ พระราชวังของเขาเต็มไปด้วยพวกประจบสอพลอ

ในที่สุดขบวนก็มาถึงท้องพระโรง ในพระราชวังของยะซีด

ยะซีดพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้เรื่องราวของอิมามฮูเซนและครอบครัวของท่านถูกลบเลื่อนไป แต่เป็นเพราะ ท่านหญิงซัยนับโดยแท้ ซึ่งอยู่ในฐานะเชลย ที่ทำให้อิมามฮูเซนและเรื่องราวการพลีชีพอย่างกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษของท่าน กลายเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันอย่างต่อเนื่องสืบมา อย่างไม่มีวันที่จะลบเลือนไปจากหน้าแผ่นดินอย่างน้อยยะซีดเคยคาดฝันว่า จะไม่มีใครกล้ามาต่อต้านคัดค้านเขา แต่ด้วยวาทะศิลป์อันเฉียบคมที่ได้รับทอดมาจากบิดาของท่าน ทำให้ท่านหญิงได้กล่าวตำหนิถึงการกระทำที่ชั่วช้าของยะซีด และขู่ให้เตรียมตัวรับการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้าที่จะต้องมาถึง ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ว่า จะทรงตัดสินมนุษย์จากการกระทำของพวกเขา

๑๓๓

พร้อมกันนี้ท่านได้กล่าวด้วยเสียงอันดัง ถึงการเรียกร้องสิทธิอัน

ชอบธรรมของอิมามฮูเซน และประกาศถึงการแย่งชิงอำนาจในการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านศาสดา

ท่านหญิงปฏิบัติหน้าที่นี้ ในช่วงเวลาและขณะที่ไม่มีใครสักคน ที่จะกล้าต่อกรกับคำสั่งของยะซีดและผู้ปกครองของเขา ท่านกล้าที่จะกล่าวถึงคำบัญชาของพระเจ้าด้วยเสียงอันดังกังวาล

ในบรรยากาศแห่งความน่าสะพึงกลัวของการใช้อำนาจเผด็จการเด็ดขาด ท่านอยู่ในภาวะที่อันตรายมาก

อาจจะถูกสังหารด้วยคมดาบของยะซีดเข้าเมื่อใดก็ได้ แต่ท่านมิได้หวาดหวั่นหรือล้มเลิกความตั้งใจในการปฏิบัติภาระหน้าที่ในการประกาศ ท่านมีคุณสมบัติเหมือนปุถุชนธรรมดา เป็นผู้ที่มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว ไม่เคยท้อแท้ ถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว ในสิ่งที่เป็นภาระหน้าที่หลังจากได้ทำการตรึกตรองอย่างถ้วนถี่แล้ว

๑๓๔

ภายในท้องพระโรง ในพระราชวังของยะซีด

เมื่อเชลยจากครอบครัวของศาสดาถูกนำมายังพระราชวัง ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าถามว่า เชลยเป็นใคร? อิมามซัยนุลอาบิดีนถูกนำมาพบยะซีดในสภาพของเชลยที่ถูกล่ามโซ่ตรวน พร้อมกับถาดที่วาง

ศีรษะของอิมามฮูเซน หลังจากที่นำออกจากปลายหอก ซึ่งถูกเสียบมาตั้งแต่กัรบะลา

 ยะซีดขณะนั้น กำลังเล่นการพนันและชนะทุกครั้งที่แทง และดื่มไวน์ฉลองชัยชนะทุกครั้ง

อิมามซัยนุลอาบิดีนจึงถามยะซีดว่า

“โอ้ ยะซีด! ถ้าท่านศาสดามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในขณะนี้ และเฝ้ามองดูสภาพและความประพฤติ

ของเจ้าอยู่ เจ้าจะพูดกับท่านว่าอย่างไร?” ด้วยคำพูดนี้ ยะซีดจึงสั่งให้แก้มัดบรรดาเชลยศึกทั้งหมด เมื่อท่านหญิงซัยนับมองเห็นยะซีดกำลังใช้ไม้เขี่ยที่ริมฝีปากของอิมาม ท่านไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป

๑๓๕

 พร้อมกับตำหนิมันว่า “โอ้ ฮูเซน มิตรของศาสดา ลูกของฟาฏิมะฮ์ ผู้นำสตรีแห่งสวนสวรรค์ ลูกของศาสดา ลูกชายสุดที่รักของอิมามอะลี”

ด้วยคำพูดนี้ท่านหญิงต้องการให้ผู้ที่มาชุมนุมอยู่ ณ ที่นั่นทราบว่า

ศีรษะนั้นเป็นของใคร?

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ทำให้หลายคนทราบถึงสถานการณ์ที่เป็นจริงอย่างถูกต้อง ความเห็นอกเห็นใจปรากฏขึ้นในหัวใจ ซึ่งยะซีดไม่อาจทนได้ เกิดความตรึงเครียดอย่างมากในท้องพระโรงขณะนั้น

เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทหารรับใช้ที่สอพลอผู้หนึ่งของยะซีดได้ลุกขึ้น โค้งคำนับต่อหน้าบัลลังก์ของยะซีด และตัดบทขึ้นว่า

 “โอ้ ท่านผู้นำของศรัทธาชน ! ได้โปรดมอบสะกีนะฮ์บุตรีสุดที่รักของฮูเซนให้เป็นทาสรับใช้ข้าเถิด เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนความชอบของข้าที่ช่วยเหลือท่าน”

 ท่านหญิงซัยนับซึ่งยังคงยืนก้มหน้านิ่งเงียบโดยมีสะกีนะฮ์อยู่เคียงข้าง เกิดความรู้สึกเดือดดาลอย่างไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

๑๓๖

 กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังกังวาลว่า “โอ้ เจ้าทาสคนชั่วที่สิ้นคิดของยะซีด! เจ้าได้หมดสิ้นสำนึกแห่งความละอายใจ ที่จะนำเอาหลานของศาสดาไปเป็นทาสรับใช้ ไม่มีใครในหมู่เจ้าเลยหรือที่จะคัดค้านความคิดของเจ้าสุนัขข้างถนนี้” ด้วยความคล้ายคลึงกับบิดาของท่าน ท่านเคยอดทนและกล้าหาญ แต่ในวินาทีนี้ท่านได้พูดด้วยคำพูดที่เกลี้ยวกราดกับผู้ไม่มีความละอาย ที่กล้าประกาศความต้องการของมันเช่นนั้น ท่านเหมือนกับบิดาของท่านที่เมื่อครั้งที่ท่านถูกแย่งชิงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ไป ท่านยับยั้งและอดทน เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด แต่เมื่อศัตรูพยายามที่จะขุดศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ท่านได้ประกาศเตือนพวกมันว่า “ถ้าแม้แต่ดินสักก้อนเดียวบนหลุมศพของฟาฏิมะฮ์ถูกรบกวน ฉันจะไม่อดทนอีกต่อไป และสาบานว่าจะต้องมีการหลั่งเลือดอย่างแน่นอน!” ด้วยรู้ดีถึงพละกำลังของท่านเป็นอย่างดี พวกศัตรูจึงไม่มีใครกล้ามาแตะต้องหลุมศพของท่านหญิงอีก

เจ้าคนชั่วไม่ยอมเลิกล้มความต้องการของมัน ที่จะนำสะกีนะฮ์ไปเป็นทาสรับใช้ คราวนี้ท่านหญิงอุมมุลซูมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ร้องขึ้นว่า “หุบปากของเจ้า! ขอพระผู้เป็นเจ้าปิดปากของเจ้าและทำให้เจ้าตาบอด มือของเจ้าแห้งกรอบ ขอให้พระองค์ทรงโยนเจ้าไปในไฟนรก ทายาทของศาสดาจะไม่ตกเป็นทาสของใคร!”

๑๓๗

สุนทรพจน์ของท่านหญิงซัยนับที่กล่าวในท้องพระโรงของยะซีดที่ดามัสกัสครั้งนี้ จะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไป ซึ่งนับเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมยอดที่ท่านได้ปฏิบัติ มันเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงความกล้าหาญที่ท่านได้กระทำ ไม่เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจเลย เพราะว่าท่านคือบุตรสาวของราชสีห์แห่งพระเจ้า (อิมามอะลี) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ ในอีกด้านหนึ่งท่านก็คือเลือดของศาสดาและความเป็นอิมาม

สุนทรพจน์ของท่านในพระราชวังของยะซีด

ท่านหญิงได้กล่าวสุนทรพจน์นี้ในพระราชวังของยะซีด ในขณะที่เห็นเขาใช้ไม้เขี่ยที่ริมฝีปากของอิมามฮูเซน

“การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้ค้ำจุนและพิทักษ์สากลโลก โปรดประทานพรให้กับท่านตา

ของฉันศาสนทูตของพระองค์ โองการจากอัล กุรอานมีว่า

‘จุบจบของความชั่วช้าเป็นสิ่งที่น่าสะพึงกลัว และผู้ที่คัดค้านสัญญาณของพระองค์และเย้ยหยัน

๑๓๘

โองการของพระองค์ ก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน’

โอ้ ยะซีด! เจ้าคิดว่าเจ้าทำให้ชีวิตของพวกเราต้องทุกข์ทรมานและไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าทำกับพวกเราเยี่ยงนักโทษ เจ้ามีความยินดีที่พวกเราถูกนำตัวมาที่นี่ เจ้าคิดว่าพวกเราจะได้รับการดูหมิ่นและไม่ได้รับเกียรติจากพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่เจ้าจะได้รับเกียรติและเป็นที่ชื่นชมยินดีของพระองค์กระนั้นหรือ?

 เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ชัยชนะของเจ้านั้นเนื่องมาจากอำนาจอันล้นเหลือของเจ้า ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เจ้าลำพองและพอใจในความสูญเสียของพวกเรา เจ้ารู้สึกราวกับว่าเจ้าได้ครอบครองโลกทั้งโลกไว้

และเจ้าสามารถควบคุมอำนาจนั้นไว้ได้ เวลาเท่านั้นที่จะสอนบทเรียนที่ขมขื่นให้กับเจ้า โองการอัล กุรอานต่อไปนี้ได้บอกไว้ว่า คนอย่างเจ้าจะต้องถูกลงโทษด้วยไฟนรก

“แท้จริง บรรดาผู้ที่ซื้อการทรยศ (กุฟร์) ด้วยความศรัทธา (อีหม่าน) นั้นพวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์ได้ แต่อย่างใดเลย แต่สำหรับพวกเขานั้น คือการลงโทษอันยิ่งใหญ่

(อัล กุรอานบทที่ ๓ โองการที่ ๑๗๗)

๑๓๙

โอ้ เจ้าลูกทาสที่ได้รับการปลดปล่อย! เป็นการยุติธรรมแล้วหรือที่ผู้หญิงในครอบครัวของเจ้ายังคงมีผ้าคลุมศีรษะ ในขณะที่เราครอบครัวของท่านศาสดาต้องถูกนำมาในสภาพเช่นนี้ เจ้าดูหมิ่นเกียรติของพวกเรา ใบหน้าของเราไม่มีผ้าคลุม โดยทหารที่ชั่วช้าเจ้าพาเราเดินไปในที่สาธารณะและตลอดทางผู้คนเฝ้ามองดูพวกเรา โดยที่เราไม่มีผู้ชายของเราคอยปกป้องคุ้มครอง

โอ้ ยะซีด! การกระทำที่ชั่วช้าของเจ้า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการทรยศต่อพระผู้เป็นเจ้าและคำสั่งสอนของศาสดาที่นำมาให้แก่ประชาชาติ และมันก็พิสูจน์อย่างชัดเจนไร้ข้อสงสัยว่า เจ้าไม่ได้ให้

เกียรติต่อศาสดาที่ถูกส่งลงมาโดยพระเจ้าการกระทำของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ เพราะบรรพบุรุษของเจ้าได้เคยเคี้ยวตับของท่านฮัมซะฮ์อิบนิ อับดุลมุฏฏอลิบ ลุงของท่านศาสดามาแล้ว ฮินด์เมียของอบูซุฟยาน ได้ผ่าท้องของท่านฮัมซะฮ์และควักตับออกมาเคี้ยวกินเพื่อดับความกระหายแห่งความแค้นในสงครามอุฮุด เจ้าเป็นคนในตระกูลนี้ที่ซึ่งจะเป็นปฏิปักษ์กับศาสดาตลอดเวลา ลูกหลานของสัตว์พวกนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้าและศาสดาของพระองค์ ลักษณะธรรมชาติของพวกเจ้าก็คือ ความไม่มีเมตตาธรรม ร้ายกาจ ชอบความรุนแรง

๑๔๐

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175