ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม33%

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดประวัติศาสตร์
หน้าต่างๆ: 175

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 175 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 47204 / ดาวน์โหลด: 4707
ขนาด ขนาด ขนาด
ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ซัยนับวีรสตรีแห่งอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

 การที่ท่านหญิงคอดีญะฮ์ให้ความช่วยเหลือท่านศาสดาในการเผยแผ่คุณธรรม ในทำนองเดียวกัน ท่านหญิงซัยนับก็ช่วยเหลืออิมามฮูเซน ในการพิทักษ์รักษาอิสลาม หลังจากที่มันได้เสื่อมลงไปตามแนวทางของยะซีด

และนี่คือเหตุผลที่ท่านศาสดาได้กล่าวว่า “ฮูเซนนุมมินนี วะอะนะ มินฮูเซน” (ฮูเซนมาจากฉันและฉันมาจากฮูเซน) ถ้าท่านหญิงซัยนับมีชีวิตอยู่ในช่วงที่ท่านหญิงคอดีญะฮ์ยังอยู่ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่

ท่านหญิงคอดีญะฮ์จะกล่าวว่า “ซัยนะบุมินนี วะอะนามินซัยนับ”

(ซัยนับมาจากฉันและฉันมาจากซัยนับ)

เมื่อท่านหญิงฮาญัร ภรรยาของศาสดาอิบรอฮีม มองเห็นมีดที่อยู่บนต้นคอของอิสมาอีล ลูกชายของท่าน ท่านถึงกับทรุดลงและหมดสติ

ความกล้าหาญของท่านหญิงซัยนับ มากมายเพียงใดที่ทุ่งกัรบะลา? ท่านไม่เพียงแต่เห็นภาพพี่ชายของท่าน แต่ยังเห็นลูกชายทั้งสองของท่าน ถูกเชือดคออย่างเลือดเย็นอีกด้วย.

๔๑

บทที่ ๔

การเดินทางออกจากมะดีนะฮ์

ในข้อตกลงสงบศึกระหว่างอิมามฮาซันกับมุอาวิยะฮ์ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สิทธิในการเป็นคอลีฟะฮ์จะต้องเป็นของอิมามฮูเซน เท่านั้น

อิมามไม่เคยยอมลดเกียรติลงไปยอมรับทรราชจากดามัสกัส ซึ่งแนวคิดและการปฏิบัติตนของเขา ต่อต้านหลักการอันสูงส่งและการดำเนินชีวิตอันสง่างามของครอบครัวของท่านศาสดา

ทันทีที่ยะซีดขึ้นเถลิงอำนาจ ก็เริ่มวางแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับบุคลิกภาพที่ชั่วช้าของตน ด้วยการแทรกแซงรากฐานความเคร่งครัดของศาสนา ประกอบกรรมทำความชั่วอย่างเปิดเผยโจ๋งครึ่ม

โดยไม่เกรงกลัวต่อการลงโทษ และประกาศตนเองเป็นผู้สืบทอดของท่านศาสดา เรียกร้องให้อิมามฮูเซนยอมสวามิภักดิ์โดยไม่มีข้อต่อรองใดๆ

๔๒

แสงสว่าง (ศาสนา) ที่ท่านศาสดานำมาให้กับประชาชาติ กำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกทำให้สูญสิ้นไป หน้าที่ที่จะต้องพิทักษ์ให้ดำรงอยู่ในวิถีทางที่บริสุทธิ์เหมือนเดิม ตกอยู่ที่อิมามฮูเซน ครอบครัวของท่าน และบรรดาสาวกที่ซื่อสัตย์ของท่าน ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางจากมะดีนะฮ์ไปยังนครมักกะฮ์

เมื่อท่านหญิงซัยนับ ทราบข่าวท่านจึงร่ำไห้ อับดุลลอฮ์สามีของท่านสังเกตเห็น จึงอยากทราบถึงสาเหตุว่า เกิดอะไรขึ้น พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ให้เธอต้องร่ำไห้เลย เธอมีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือ?” ท่านหญิงได้ตอบว่า “ท่านทราบดีใช่ไหมว่า ฉันรักฮูเซนมากเพียงใด ตอนนี้ท่านได้ตัดสินใจที่จะออกเดินทาง และเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากฮูเซน ฉันขอทวงสัญญาที่ท่านได้ให้ไว้เพื่อที่จะติดตามฮูเซนไป” แม้ว่าท่านทั้งสองจะไม่เคยแยกจากกัน แต่ท่านหญิงก็ทราบดีถึงภาระหน้าที่ต่ออิสลาม อับดุลลอฮ์รู้สึกเศร้าใจและได้กล่าวว่า ท่านจะไม่นำมาปะปนกันระหว่างหน้าที่ของท่านหญิงที่มีต่ออิมามฮูเซนกับความสุขส่วนตัวของท่าน แม้ว่าหัวใจของท่านจะโศกเศร้าจากการนี้ แต่ท่านก็จะไม่ขัดขวางท่านหญิงด้วยการยินยอมของอับดุลลอฮ์

๔๓

ท่านหญิงจึงตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับอิมามจากมะดีนะฮ์สู่หนทางที่ถูกกำหนดไว้ ท่านหญิงพาอูนและมุฮัมมัด บุตรชายทั้งสองของท่านไปด้วย

ตามปกติผู้หญิงจะต้องอยู่แต่ในบ้านเรือนของนาง แต่นี่เป็นข้อแตกต่าง เพราะท่านต้องกลายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในขบวนเชลย และเป็นผู้คุ้มกัน

แม้ท่านจะเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตน แต่ท่านเป็นบุตรสาวของราชสีห์แห่งพระเจ้า แม้จะตกอยู่ในภยันตรายก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนหยัดด้วยความอดทน ในการเผชิญหน้ากับความหิวกระหายซึ่งล้อมรอบไปด้วยบรรดาผู้สละชีพและผู้บาดเจ็บ ในสมรภูมิเลือดที่กัรบะลา

วันที่ ๒๘ รอญับ ฮ.ศ. ๖๐ (๗ พฤษภาคม ค.ศ.๖๘๐)

 เมื่อกองคาราวานของท่านอิมามออกเดินทางจากมะดีนะฮ์สู่นครมักกะฮ์ ลูกหลานตระกูลฮาชิม อะลี อักบัร อับบาส กอซิม อูนและมุฮัมมัด ทำหน้าที่ช่วยส่งบรรดาสตรีขึ้นบนหลังอูฐ แต่ท่านหญิงซัยนับนั้นไม่มีใครส่งท่านให้ขึ้นบนหลักอูฐ นอกจากอิมามฮูเซน เท่านั้น

๔๔

เมื่อตะวันเริ่มทอแสง ขบวนก็เริ่มออกเดินทางรอนแรมไปยังนครมักกะฮ์ ความมืดได้เข้ามาปกคลุมมะดีนะฮ์ พร้อมๆ กับการเคลื่อนตัวเข้ามาของความหม่นหมอง ความโศกเศร้า ซึ่งการจากไปของอิมามและครอบครัวของท่านในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนเกิดความอาลัยรัก ซึ่งจะประทับอยู่ในความทรงจำตลอดไป

ขบวนของท่านอิมามหยุดพักที่มักกะฮ์ประมาณ ๔ เดือน ในช่วงนี้เอง อับดุลลอฮ์ได้ตัดสินใจร่วมเดินทางไปด้วย แรงกดดันจากพวกอุมัยยะฮ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น พวกเขาบังคับให้อิมามฮูเซนยอมรับบัยอะฮ์ (สัตยาบัน) กับยะซีด แต่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็เริ่มวางแผนการว่า จะใช้วิธีใดที่จะกำจัดอิมามได้ดีที่สุด?

ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะสังหารท่าน ในบริเวณกะอ์บะฮ์

อิมามคอยติดตามข่าวอยู่ตลอดเวลา ในที่สุด ท่านก็ตัดสินใจออกเดินทางไปยังอิรัก แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลฮาชิมจะขอให้ท่านเปลี่ยนความตั้งใจ อย่างไรก็ดี ท่านได้แย้มให้ทราบถึงเรื่องราวที่ท่านเคยรับฟังมาจากท่านศาสดา

๔๕

 เมื่ออับดุลลอฮ์บุตรของอับบาส แน่ใจว่าอิมามจะไม่ยอมคล้อยตามคำแนะนำของท่าน จึงกล่าวว่า

“ด้วยเหตุอันใด ท่านจึงประสงค์ที่จะนำบรรดาสตรีและเด็กๆ ไปกับท่านในการพลีครั้งนี้ด้วยเล่า!?”

เมื่อท่านหญิงซัยนับได้ยินเช่นนั้น จึงรู้สึกไม่พอใจ พร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านอับดุลลอฮ์ ท่านต้องการที่จะให้อิมามของพวกเราเดินทาง

ไปโดยลำพัง และทิ้งพวกเราไว้ข้างหลังกระนั้นหรือ?

 ฉันขอสาบานด้วยนามของพระเจ้าว่า มันเป็นไปไม่ได้! เราจะไม่ยอมปล่อยให้ท่านไปโดยลำพัง เราจะมีชีวิตอยู่พร้อมกับท่าน และจะตายพร้อมกับท่าน

เพราะท่านเป็นพี่ชายคนเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเรา”

๔๖

ขณะนั้นท่านหญิงซัยนับ รู้สึกกังวลใจกับการรอคอยคำสั่งจากพี่ชายของท่าน ในการเตรียมพร้อมที่จะไปยังกูฟะฮ์ อิมามฮูเซนทราบข่าวว่า มีแผนการที่จะลอบสังหารท่านในขณะกำลังประกอบพิธีฮัจญ์ เพื่อเป็นการป้องกันการหลั่งเลือดลงบนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางออกจากมักกะฮ์ไปยังกูฟะฮ์เพียงหนึ่งวันก่อนพิธีการทำฮัจญ์ เมื่อถูกถามถึงเหตุผลในการออกจากมักกะฮ์ก่อนวันประกอบพิธีซึ่งจะมีในวันรุ่งขึ้น ท่านกล่าวตอบว่า

 “ท่านจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ทุ่งกัรบะลาอ์”

จึงมีคำสั่งให้ออกเดินทาง ขบวนจึงมุ่งหน้าไปยังกูฟะฮ์

การเดินทางได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน

และเมื่อขบวนเดินทางมาถึงคูวัยริยะฮ์ อิมามจึงตัดสินใจหยุดพักค้างคืนพร้อมกับบรรดาเด็กๆ

วันรุ่งขึ้นท่านหญิงบอกกับพี่ชายของท่านว่า ท่านได้ยินเสียงหนึ่งบอกกับท่านว่า “อิมามฮูเซนจะถูกสังหาร”

 อิมามตอบว่า “สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว”

๔๗

เมื่อขบวนมาถึงตาฮิม อับดุลลอฮ์ บุตรของญะอ์ฟัร (ซึ่งเดินทางจากมะดีนะฮ์มาสมทบกับอิมามที่มักกะฮ์) เดินทางมาถึงแล้ว ได้แสดงความคาราวะและปรึกษาหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง พร้อมกับย้ำเตือนบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออูนและมุฮัมมัด ให้พลีชีพเพื่ออิมามผู้เป็นลุงของเขาทั้งสอง หลังจากนั้น

เขาได้เดินทางกลับไปยังมักกะฮ์ ขบวนของอิมามจึงมุ่งหน้าไปยังอิรัก.

๔๘

บทที่ ๕

กัรบะลา

หลังจากรอนแรมมากลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง กองคาราวานก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือ ‘กัรบะลา’ ดินแดนซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ณ ที่นี่เอง การเดินทางของอิมามฮูเซน และมิตรสหายของท่านในโลกนี้จบสิ้นลง แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นสำหรับการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงอย่างนิรันดร์

วันนั้นตรงกับวันที่ ๒ เดือนมุฮัรรอม ฮ.ศ. ๖๑ (๑ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐)

ท่านหญิงซัยนับมีความเศร้าสลดใจอย่างที่สุด อิมามออกคำสั่งให้ตั้งกระโจมค่ายพัก ท่านได้อ่านบางโองการจากคัมภีร์อัล กุรอาน ซึ่ง

เป็นเหตุให้ท่านหญิงทราบในทันทีว่า นี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การพลีชีพกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

๔๙

ท่านหญิงจึงร่ำไห้อย่างมากและกล่าวกับพี่ชายของท่านว่า

 “โอ้ ผู้เป็นแสงสว่างแห่งดวงตาของฉัน! น้องไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่จนได้พบกับวันนี้เลย ท่านคือผู้ช่วยเหลือ และเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลือยู่ในจำนวนผู้บริสุทธิ์ทั้งห้า

(ปันญ์จตาน) โอ้ พี่ชายที่รัก! ท่านกำลังจะบอกให้เราทราบถึงข่าวการพลีชีพของท่านใช่ไหม?”

ด้วยคำถามนี้ อิมามตอบว่า “โอ้ น้องสาวที่รักของพี่! จงอดทนต่อความเจ็บปวด นี่เป็นการทดสอบจากพระผู้เป็นเจ้า จงจำไว้เสมอว่า ทุกชีวิตต้องลิ้มรสแห่งความตาย และต้องคืนกลับไปยังพระผู้สร้าง เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการงานของพวกเขา โอ้ น้องรัก! ท่านศาสนทูตของพระเจ้าและบิดาของเราอยู่ที่ไหนกันเล่า? มันช่างดูไกลแสนไกลสำหรับพี่ การดำเนินรอยตามแบบฉบับของท่านนั้นเป็นหน้าที่

ของมุสลิมที่มีความเกรงกลัวในพระเจ้าทุกคน” เมื่อท่านหญิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของท่านก็เอ่อนองไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าสลด

๕๐

ท่านอิมาม ได้บอกถึงข่าวการพลีชีพที่ยิ่งใหญ่ และย้ำว่า หลังจากที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านหญิงจะต้องพยายามควบคุมตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในค่ำวันที่ ๙ เดือนมุฮัรรอม (๘ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐) ศัตรูเริ่มบุกเข้าโจมตียังค่ายพักของอิมามฮูเซน

ในขณะนั้นท่านกำลังอยู่ในที่พักของท่าน ท่านหญิงได้มาบอกว่า การโจมตีได้เริ่มขึ้นแล้ว ขณะนั้นอิมามกำลังอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านเล่าให้ท่านหญิงฟังว่า ท่านได้เห็นท่านตา คือ ท่านศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า บิดาของท่านอิมามอะลี ผู้นำแห่งผ้ศรัทธา มารดาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ และอิมามฮาซัน พี่ชายของท่าน ซึ่งท่านเหล่านั้นได้เชิญชวนให้อิมามไปอยู่กับพวกท่าน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านหญิงซัยนับรู้สึกเศร้าสลดและสั่นสะท้าน อิมามจึงขอร้องให้ท่านหญิงพยายามควบคุมตนเอง ให้มีความอดทน

มิเช่นนั้นจะทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างเสียกำลังใจ และทำให้ศัตรูเกิดความยินดีปรีดา

๕๑

ด้วยการยินยอมของอิมามฮูเซน ท่านอับบาสผู้เป็นน้องชายได้ขอร้องพวกศัตรูให้เริ่มโจมตีในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อว่าอิมามจะได้มีเวลานมาซและขอพรในค่ำคืนสุดท้ายนี้อย่างเต็มที่

ในวัน ‘อาชูรอ’ ภารกิจที่ท่านหญิงได้รับและต้องปฏิบัตินั้น ไม่มีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนใดจะสามารถปฏิบัติได้เลย

ภาระทั้งหมดตกอยู่ในความรับผิดชอบของท่าน ที่จะต้องดูแลครอบครัวของบรรดาผู้สละชีพในวันนั้น ทีละคนๆ

อิมามฮูเซนมีความเชื่อมั่นในตัวน้องสาวของท่าน ว่าจะสามารถดูแลรับผิดชอบทุกๆ คน

หลังจากท่านจากไปแล้ว และจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในสถานการณ์เช่นนั้น โดยจะไม่ยอมให้ความเศร้าโศกเสียใจมาทำให้หน้าที่ของท่านต้องบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

๕๒

อิมามฮูเซน เป็นท่านสุดท้ายที่พลีชีพในวันนั้น ท่านได้ตรงไปยังร่างของบรรดาผู้ช่วยเหลือของท่านที่สละชีวิตไปแล้วทีละคน ทุกๆ ร่างจะถูกนำกลับมายังค่ายพัก ซึ่งจะมีท่านหญิงคอยปลอบโยนสมาชิกในครอบครัวของบรรดาผู้สละชีวิตเหล่านั้น

ท่านหญิงพยายมปลอบขวัญให้พวกเขาเกิดความกล้าหาญ และย้ำว่าการเสียสละชีวิตเป็นความจำเป็นในการพิทักษ์รักษาอิสลามตามแนวทางของท่านศาสดามุฮัมมัดไว้

ท่านหญิงยอมพลีชีวิตบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออูนและมุฮัมมัด เพื่อช่วยเหลือพี่ชาย ด้วย

หัวใจที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ โดยท่านพยายามกระตุ้นให้อิมามอนุญาตให้บุตรทั้งสองของท่านทำตามความปรารถนา

ท่านรู้สึกสะเทือนใจราวกับหัวใจได้แตกสลายลงไป บรรดาผู้สละชีพแต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็นลูกชายทั้งสองของท่านหรือ

ลูกชายของอิมามฮูเซน อิมามฮาซันหรือแม้แต่ท่านอับบาส ก็ได้สละชีพไปจนหมด

๕๓

 เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ทำให้ท่านเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจจนไม่อาจบรรยายได้

การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้เริ่มต้นขึ้น เมื่ออิมามฮูเซน ได้พลีชีพครั้งยิ่งใหญ่ที่โลกทั้งโลกได้ประจักษ์.

บทที่ ๖

การพลีของท่านอูนและมุฮัมมัด

ท่านหญิงซัยนับ มีบุตรชายสองคนที่ได้พลีชีพ คืออูนและมุฮัมมัด ทั้งสองคนเกิดจากอับดุลลอฮ์

บุตรของญะอ์ฟัร ฏอยยัร

ท่านหญิงเป็นสตรีที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บุตรชายทั้งสองของท่านก็เช่นเดียวกัน ท่านญะอ์ฟัร ฏอยยัร เป็นพี่ชายของอิมามอะลี เป็นผู้ถือธงรบแห่งอิสลามในหลายๆ สมรภูมิร่วมกับท่านศาสดา

มุฮัมมัด ท่านเป็นผู้ถือธงรบในสงครามมูตะฮ์ ในการรบครั้งนั้นแขนทั้งสองของท่านถูกตัดขาด ร่างกายถูกฟันจนมีบาดแผลไปทั้งตัวและเสียชีวิตในที่สุด

๕๔

อิมามอะลี ก็เป็นผู้ถือธงรบของท่านศาสดาในสงครามหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ อูนและมุฮัมมัด จึงขอร้องให้มารดาของท่านช่วยข้อร้องให้อิมามฮูเซนยินยอมให้เขาทั้งสองได้เป็นผู้ถือธงของอิสลามในสมรภูมิกัรบะลา แต่ ท่านหญิงทราบดีว่า ผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ถือธงรบในครั้งนี้คือท่านอับบาส

ท่านหญิงเห็นว่าไม่เป็นการสมควรที่จะขอในสิ่งนั้น แม้จะทำให้บุตรทั้งสองของท่านพอใจก็ตาม

ท่านจึงอธิบายเหตุผลให้ทั้งอูนและมุฮัมมัดฟัง ซึ่งทั้งสองก็เข้าใจและเชื่อฟัง โดยไม่ปรารถนาจะขอเป็นผู้ถือธงรบอีก

เช้าของวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม (๙ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐)

หลังจากที่ญาติสนิทมิตรสหายของอิมามมุ่งหน้าออกไปยังสนามรบเพื่อปกป้องอิสลาม คนแล้วคนเล่า! ทุกคนก็ได้เป็นผู้พลีชีพเพื่ออิสลาม อูนและมุฮัมมัด จึงตัดสินใจออกไปยัง สนามรบ ทั้งสองขอร้องอิมามเพื่อออกไปสู้รบ และตรงไปยังมารดาเพื่อขออนุญาต

๕๕

ท่านหญิงทราบดีว่า นั่นเป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาทุกคนที่จะต้องช่วยปกป้องท่านอิมาม ในยามที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ ท่านจึงอนุญาต บุตรทั้งสองด้วยความดีใจที่จะได้ออกไปต่อสู้และเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอิสลาม

อิมามฮูเซน ได้โอบกอดหลานทั้งสอง หลังจากนั้นกล่าวคำอำลาด้วยความสะเทือนใจแล้ว อูนและมุฮัมมัดได้ควบม้าทะยานสู่สนามรบด้วยความปลื้มปีติ ถาโถมเข้าสู่สมรภูมิ กวัดแกว่งดาบฆ่าฟัน

ศัตรูลงได้อย่างมากมาย

ด้วยร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความอ่อนเพลียจากการกระหายน้ำ ทั้งสองถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูที่เข้ามาโรมรัน ในที่สุด ก็ตกลงจากหลังม้า ทันใดนั้น! ศัตรูก็โถมเข้ามาอีกระลอก ทั้งสองร้องเรียกท่าน

ลุงผู้เป็นที่รักเพื่อขอความช่วยเหลือ อิมามฮูเซนขับไล่ศัตรูแตกกระเจิงออกไป แต่โอ้พระผู้เป็นเจ้า! มันสายเกินไปสำหรับอูนและมุฮัมมัด ซึ่งทั่วร่างกายมีบาดแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด อิมามได้นำร่างของทั้งสองไปยังสถานที่ซึ่งบรรดาผู้ที่สละชีพไปก่อนหน้านี้รวมกันอยู่

๕๖

และวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า

 “โอ้ อัลลอฮ์!โปรดรับการพลีของข้าพระองค์ด้วยเถิด…นี่คือหลานชายของญะอ์ฟัร ฏอยยัร ผู้ถือธงรบแห่งอิสลาม ที่ได้พลีชีพเพื่อศาสนาในวันอาชูรอที่ได้ถูกกำหนดไว้ ตามแบบฉบับของบรรดาบรรพบุรุษของท่าน”.

บทที่ ๗

การอำลาของท่านอิมามฮูเซน

การลาจากกันเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างพี่ชายกับน้องสาว เต็มไปด้วยความเศร้าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง อิมามก้าวออกจากค่ายพักของท่านด้วยความยากลำบาก เพื่อที่จะมากล่าวอำลาน้องสาว

บุตรสาวสุดที่รัก และบรรดาสตรีในครอบครัวอันเป็นที่รักของท่าน ท่านได้กล่าวกับพวกเธอว่า

 “โอ้ ซัยนับน้องรัก! อุมมุกุลซูม อุมมุลัยลา อุมมุรุบาบ และลูกรักกุบรอ

๕๗

รุกอยยะฮ์และสะกีนะฮ์ และพิฏซะฮ์ คนรับใช้ที่จงรักภักดีต่อฉัน เข้ามาใกล้ๆ และจงฟังฉันกล่าวคำอำลาและสั่งเสียครั้งสุดท้ายแด่พวกท่าน”

ด้วยคำพูดดังกล่าว ทำให้บรรดาสตรีในครอบครัวของท่านรีบพากันเข้ามาห้อมล้อมท่าน

ท่านหญิงซัยนับ น้องสาวสุดที่รักของท่าน ได้โอบแขนไว้รอบต้นคอของอิมาม และเพ่งมองลึกลงไปในดวงตาทั้งสองของท่านพร้อมกับกล่าวว่า

 “พี่ชายที่รัก! มันเป็นความจริงใช่ไหม ที่ท่านกำลังจะจากไปแล้ว และจะไม่มีชีวิตกลับมาอีก? โอ้ พี่ชายของฉัน! เวลานั้นมาถึงแล้วใช่ไหม? เวลาที่น้องกำลังจะหมดสิ้นทุกอย่างด้วยการจากไปของท่าน ท่านกำลังทิ้งพวกเราไว้ในสภาพที่หัวใจแตกสลาย”

๕๘

อิมามก้มศีรษะลงพร้อมกับพึมพำว่า

 “ใช่แล้ว ซัยนับน้องรัก! เวลานั้นได้มาถึงแล้ว เวลาที่ท่านแม่ของเราได้เตรียมเธอไว้ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ เรื่องราวที่บิดาของเราบอกเธอในขณะที่ท่านกำลังจะสิ้นใจ สำหรับตัวพี่นั้น การจากไปครั้งนี้เป็นความสะเทือนใจอย่างที่สุด เพราะพี่ทราบดีว่า การทดสอบ

อย่างแท้จริงของเธอยังไม่สิ้นสุด แต่มันกำลังจะเริ่มต้นในวันนี้”

“โอ้ พี่ชายของฉัน! ฉันได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพลีชีพของอูนและมุฮัมมัดบุตรทั้งสองของน้อง น้องอับบาส กอซิมและอะลี อักบัร แล้วชีวิตของท่านจะปลอดภัย ไม่มีท่านแล้วจะมีอะไรเหลือสำหรับฉัน ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้

โอ้พี่ชาย! เมื่อท่านไปยังสวนสวรรค์ โปรดวอนขอต่อท่านตาของเรา ได้เรียกฉันกลับไปยังสวนสวรรค์โดยเร็วเถิด เพื่อช่วยให้ฉันรอดพ้นจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และต้องพบกับความอัปยศที่กำลังรอคอยฉันอยู่”

๕๙

อิมาม ไม่อาจตอบคำวอนขอของท่านหญิงได้ เพราะท่านทราบดีว่า สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ท่านพยายามควบคุมอารมณ์อย่างที่สุด แล้วจึงกล่าวว่า

“ซัยนับ ถ้าเธอต้องการจะจากโลกนี้ไปโดยเร็ว แล้วใครเล่า! จะเป็นผู้แบกรับภาระหน้าที่? ใครเล่า! จะเป็นผู้สานต่อการงานของพี่ที่ยังไม่สำเร็จลุล่วง พี่กำลังจะมอบหมายให้เธอดูแลลูกๆ ที่กำพร้าและภรรยาหม้ายของพี่ ลูกๆ กำพร้าและภรรยาหม้ายของบรรดาผู้กล้าหาญของพี่ และญาติพี่น้องของเรา มันถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเป็นผู้ชี้นำ ดูแลและปลอบโยนพวกเขา พี่จะจากไปอย่างสงบถ้าเธอจะให้สัญญากับพี่ว่า จะทำหน้าที่แทนบรรดาผู้ที่ได้จากไปในวันนี้”

ท่านหยุดนิ่งชั่วครู่และกล่าวต่อว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซัยนับ! เธอจะต้องดูแล ‘อะลี ซัยนุลอาบิดีน’ ซึ่งกำลังป่วยหนัก

๖๐

สะกีนะฮ์บุตรสาวสุดที่รักของพี่ ซึ่งไม่เคยห่างจากพี่เลยแม้แต่วันเดียว หลังจากที่พี่จากไปแล้ว สะกีนะฮ์จะถามเธอว่า ‘พี่ไปไหน?’ ช่วยปลอบเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่ยังคงจำภาพที่เธอวอนขอน้ำจากอับบาส ได้อย่างแม่นยำ แต่หลังจากอับบาสต้องถูกสังหารไป สะกีนะฮ์ไม่เคยเอ่ยปากพูดอีกเลย หากเธอได้น้ำมาหลังจากที่พี่จากไปแล้ว โปรดมอบให้สะกีนะฮ์เป็นคนแรกที่ได้ดื่มน้ำนั้นเถิด”

ด้วยคำพูดนี้ ดูเหมือนว่าลำคอของท่านจะตีบตันจนไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก ท่านพยายามข่มอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และกล่าวว่า “พวกศัตรูรู้ดีว่า สะกีนะฮ์รักพี่มากเพียงใด? และพี่รักสะกีนะฮ์มากแค่ไหน? ฉะนั้นเพื่อตอบสนองความแค้นของมันที่มีต่อพี่

พวกมันอาจจะทุบตีสะกีนะฮ์ เพื่อให้ดวงวิญญาณของพี่ต้องทุกข์ทรมาน บางทีมันอาจจะปฏิบัติกับสะกีนะฮ์เยี่ยงนักโทษ แล้วพาเธอไปดูสถานที่ที่ร่างของพี่ถูกเท้าม้าเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี

๖๑

ซัยนับ! โปรดทำทุกอย่างที่สามารถจะช่วยให้สะกีนะฮ์

ได้คลายความทุกข์ทรมาน และพ้นจากภาวะวิกฤตินั้นด้วย”

ขณะที่อิมามกำลังพูดอยู่นั้น คำพูดทุกคำได้กรีดลึกลงไปบนหัวใจที่ปวดร้าวของท่านหญิง ร่างอันสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นไห้ สิ่งเดียวที่ท่านสามารถทำได้ในการตอบรับคำขอร้องสุดท้ายของพี่ชาย ก็คือ

เพียงการผงกศีรษะรับคำ

หลังจากนั้นชั่วครู่ อิมามได้กล่าวต่อว่า

 “ซัยนับ! พี่อยากจะกล่าวอะไรอีกมากมายกับเธอ ก่อนจะลาจากกันเป็นครั้งสุดท้าย แต่เวลาเหลือน้อยเต็มที น้องรัก!

พวกศัตรูจะปฏิบัติกับพวกเธอเยี่ยงนักโทษ

บางทีมันอาจจะบังคับให้พวกเธอเดินไปตามท้องถนนในกูฟะฮ์และดามัสกัส มันอาจจะกระชากผ้าคลุมผมของพวกเธอออก และพาเดินไปยังที่ชุมนุมของผู้คนมากมาย เพื่อให้พวกเธอรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

๖๒

พวกมันอาจจะล่ามโซ่ที่ข้อมือและข้อเท้า แม้กระทั่งอาจจะใช้แส้เฆี่ยนตีหรือหอกคอยทิ่มแทงอย่างไร

ความปรานี เพื่อเป็นการทรมานผู้หญิงและเด็กๆ ในครอบครัวของท่านศาสดาที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ จงอย่าหมดความอดทนเมื่อความทุกข์ทรมานเหล่านั้นมาถึง จงทำให้บรรดาผู้หญิงและเด็กๆ เกิดความกล้าหาญ และให้พวกเขาขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้มีกำลังใจ และมีความอดทนที่จะเผชิญกับความอัปยศอดสู การถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ระทมและความเจ็บปวด

ซัยนับ! จงจำไว้เสมอว่า พวกเราครอบครัวแห่งศาสดา จะต้องมีความเด็ดเดี่ยว ยืนหยัด พร้อมที่จะเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการทดสอบ โดยไม่ย่อท้อต่อความทุกข์ยาก”

เมื่ออิมามเงียบไป ท่านหญิงจ้องมองไปยังท่านด้วยดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตา พร้อมกับตอบ

ด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “ฮูเซน! ฉันให้สัญญากับท่านว่า ฉันจะทำทุกอย่างตามความประสงค์ของพี่

๖๓

พี่ชายที่รัก! โปรดขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานกำลังใจให้ฉันมีความกล้าหาญและอดทนต่อช่วงเวลาแห่งการทดสอบ ฮูเซน ที่รัก! ฉันสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ จะรับภาระ

และรับผิดชอบในสิ่งที่พี่สั่งเสียและมอบหมาย ฉันจะแสดงให้โลกได้รับรู้ว่า ฉันคือน้องสาวของพี่ ลูกสาวของอะลีและฟาฏิมะฮ์ หลานของศาสนทูตแห่งอิสลาม”

คำตอบอันกล้าหาญของท่านหญิง ช่วยปลอบโยนหัวใจที่ปวดร้าวของอิมามฮูเซน ท่านได้กล่าวอวยพรและกล่าวตอบว่า

 “เธอจะต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน พวกเราทุกคนจะต้องถูกจองจำและได้รับความยากลำบากอย่างมากมาย

เมื่อเธอกลับไปยังมะดีนะฮ์หลังจากได้ถูกปล่อยตัวแล้ว

โปรดนำคำอำนวยพรของพี่ไปยังเพื่อนพ้องของพี่ทุกคน ที่จะมาแสดงความเสียใจกับเธอต่อการจากไปของพี่ โปรดบอกกับพวกเขาว่า คำกล่าวสุดท้ายของพี่ที่มีแก่พวกเขาคือ ‘พี่และบรรดาผู้ใกล้ชิดอันเป็นที่รัก ได้จากโลกนี้ไปโดยไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียวเพื่อดับความกระหาย’

๖๔

 จงบอกกับพวกเขาว่า ยามใดที่พวกเขานึกถึงพี่ บรรดาผู้ใกล้ชิด และสมาชิกในครอบครัวของพี่ จงอย่าลืมความหิวกระหายที่พวกเราได้รับ”

บรรดาสตรีในครอบครัวที่กำลังฟังคำสั่งเสียของอิมาม เต็มไปด้วยความโศกเศร้าสะเทือนใจ ทุกคนร่ำไห้ด้วยความขมขื่น บางคนที่กำลังวังชาของเขาได้หมดไปเพราะความหิวกระหาย ประกอบด้วยกับความทุกข์ระทมที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในวันนี้ ถึงกับเป็นลมล้มลงหมดสติ

อิมามยังกล่าวต่อว่า

“พี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกเธอว่า เมื่อเธอกลับถึงมะดีนะฮ์ โปรดบอกกับฟาฏิมะฮ์ ซุกรอ ลูกสาวสุดที่รักของพี่ว่า แม้พี่จะทิ้งเธอไว้ที่มะดีนะฮ์เพราะเธอกำลังป่วย พี่ก็ไม่เคยลืมเธอแม้แต่น้อย และระลึกถึงเธอเสมอตราบจนกระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิต โปรดนำความรักของพี่ไปมอบให้เธอและบอกกับเธอว่า มันได้ถูกกำหนดมาว่า การจากกันที่มะดีนะฮ์คราวนั้น เป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ เมื่อเธอทราบข่าวจากน้องว่า บรรดาลุง พี่ชายและญาติสนิทที่เดินทางออกจากมะดีนะฮ์มาคราวนั้นแล้ว จะไม่ได้มีชีวิตกลับไปอีก

๖๕

 ฟาฏิมะฮ์จะรู้สึกสะเทือนใจมาก จงช่วยปลอมโยนเธอ”

ด้วยคำพูดนี้ อิมามได้จบคำสั่งเสียของท่าน พี่ชายและน้องสาวสวมกอดซึ่งกันและกันเป็นครั้งสุดท้ายของพี่ชายและน้องสาว ที่มีความผูกพัน รักใคร่ และใกล้ชิดสนิทสนมกันมากที่สุด นับเป็นการกอดลาของพี่ชายและน้องสาวที่ทั้งสองต่างทราบดีว่า จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกจนชั่วชีวิต ท่านหญิงกอดอิมามไว้แนบแน่น เหมือนกับว่าไม่ต้องการให้ท่านจากไป เพราะทราบดีว่าท่านจะไม่ได้กลับมาอีกชั่วนิรันดร์

หัวใจทั้งสองกำลังร่ำไห้ สำหรับน้องสาวนั้น ด้วยกับความคิดที่ว่า การพลีชีพของพี่ชายกำลังใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ส่วนพี่ชายก็กำลังคิดถึงภาพที่ท่านต้องทิ้งเธอและสมาชิกในครอบครัว และบุตรชายที่

กำลังป่วยหนักไป

ท่านหญิงออกมาส่งอิมามและสังเกตเห็นสีหน้าท่าน ซึ่งท่านหญิงทราบทันทีว่าท่านกำลังรู้สึกอย่างไร

๖๖

ท่านหญิงจึงรีบรุดไปยังท่านและกล่าวว่า

 “ฮูเซน! ถ้าวันนี้ไม่มีใครเหลืออยู่ ที่จะช่วยส่งให้ท่านขึ้นบนหลังม้า โอ้ พี่ชายของฉัน! ฉันจะทำหน้าที่นี้ให้กับท่านเอง ขอให้ฉันได้ช่วยจับโกลนม้าให้ท่านเถิด”

ก่อนที่ท่านอิมามจะกล่าวอะไร ท่านหญิงได้ตรงเข้าไปช่วยจับโกลนม้าไว้ ท่านได้ขอบคุณ และก้าวขึ้นบนหลังม้า

 ท่านอิมามขอร้องท่านหญิงให้กลับเข้าไปในค่ายพัก เพื่อช่วยเหลือปลอบโยนบรรดาสตรีและเด็กๆ ผู้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป

ท่านหญิงทำตามคำขอร้องโดยกลับมายังที่พัก เพื่อเริ่มต้นภาระหน้าที่ ซึ่งจากวินาทีนั้นเป็นต้นมาจะต้องตกอยู่ในความรับผิดชอบของท่านแต่ผู้เดียว

ก่อนที่อิมามจะออกจากค่ายไป ท่านหญิงได้เดินตามมาและขออนุญาตจุมพิตที่ต้นคอของท่าน

ซึ่งท่านศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าเคยกระทำเช่นนี้เป็นประจำ ท่านหญิงทราบดีว่าบริเวณนี้เองที่ ชิมร์จอมโหด จะบั่นศีรษะของท่านออกจากร่าง

๖๗

ในทำนองเดียวกัน ท่านอิมามก็ได้ขออนุญาตจุมพิตที่ข้อมือของ

ท่านหญิง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า หลังจากท่านจากไป ท่านหญิงจะถูกจับเป็นเชลยและถูกมัดข้อมือทั้งสองข้างของท่าน มันเป็นการพรากจากกันที่แสนปวดร้าว ซึ่งไม่เคยมีครั้งใดในโลกที่จะเสมอเหมือน

ทันทีที่ท่านหญิงกลับเข้าไปในค่ายพัก อิมามฮูเซนกระตุกสายบังเหียนให้ ‘ซุลญะนา’ ออกวิ่งแต่ม้าซุลญะนาไม่ยอมขยับตัวและยังคงยืนอยู่กับที่เหมือนมีอะไรมาตรึงมันไว้ น่าประหลาดใจในอาการของซุลญะนาเป็นอย่างอย่างยิ่ง ท่านอิมามเข้าใจว่ามันได้รับบาดเจ็บขณะที่ออกไปในสนามรบ ทุกครั้งที่บรรดาผู้ชายของท่านต้องเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซุลญะนาไม่ได้กินอาหารและน้ำมาเป็นเวลาสามวันแล้ว เหมือนกับบรรดาสมาชิกในครอบครัวของท่านเช่นกัน

ซุลญะนายังคงอยู่ในท่าทางที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้จะพูดไม่ได้ แต่มันก็แสดงให้เข้าใจด้วย

๖๘

การก้มหัวลงกับพื้น ด้วยอาการเช่นนี้ทำให้ท่านอิมามมองเห็นสะกีนะฮ์บุตรสาวของท่าน กำลังกอดขาซุลญะนาไว้แน่นพร้อมกับร่ำไห้ครวญคราง ด้วยกับการขาดอาหารและน้ำ ทำให้เธอหมดแรงและอ่อนเพลีย จนท่านอิมามแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย

ท่านอิมามกระโดดลงมาจากหลังม้าทันที แล้วอุ้มสะกีนะฮ์ไว้ในอ้อมกอดและนั่งลงกับพื้น ราวกับว่าจะไม่มีอะไรมาแยกท่านจากกันได้อีก ทั้งสองต่างตกอยู่ในความรู้สึกที่สะเทือนใจอย่างยิ่ง

สะกีนะฮ์จ้องมองที่ดวงตาของบิดา พร้อมกับกล่าวว่า

“โอ้พ่อจ๋า! โปรดบอกกับลูกหน่อยเถิดว่า ท่านมิได้กำลังจะ

จากไปเป็นครั้งสุดท้ายและจะไม่กลับมาอีก ท่านไม่ได้กำลังจะจากสะกีนะฮ์ของท่านไปชั่วนิรันดร์ใช่ไหมคะ?

โอ้พ่อจ๋า! ลูกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

ท่านอิมามสะท้านด้วยกับคำวิงวอนอันไร้เดียงสาของบุตรสาวที่ท่านรักมากกว่าอะไรทั้งหมด

๖๙

ท่านทราบดีว่า อะไรคือชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเธอ ด้วยความพยายามควบคุมอารมณ์อย่างที่สุด ท่านจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับกล่าวว่า

“โอ้ สะกีนะฮ์ลูกรักของพ่อ! พ่อจะอธิบายกับลูกอย่างไรดี ว่าพ่อจำเป็นต้องออกไปพบกับความตายเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในครอบครัวของเราได้กระทำกันไปแล้ว ลูกยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่า รางวัลตอบแทนของมันเป็นอย่างไร?

 ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ทุกชีวิตที่ดำรงอยู่นี้ก็ต้องดับสูญไปในไม่ช้าก็เร็ว พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร ได้ลิขิตไว้แล้วว่า

มนุษย์ เราจะต้องเจ็บปวดกับการดำรงไว้ซึ่งสัจธรรม เด็กน้อยของพ่อ! อย่าฉุดรั้งพ่อไว้เลย ด้วยกับรอยยิ้มจากริมฝีปากอันไร้เดียงสาของลูก จงกล่าวอำลาต่อพ่อเถิด! เพื่อว่าในไม่ช้าลูกจะได้ติดตามพ่อไปยังสวนสวรรค์ ซึ่งที่นั่นคือ บ้านอันนิรันดร์ของเรา”

คำกล่าวของท่านอิมาม ประดุจดังสิ่งที่ปลุกความหวังให้เกิดขึ้นในหัวใจ เธอจึงกล่าวว่า “พ่อจ๋า!

๗๐

ท่านพูดว่าลูกจะได้ไปอยู่รวมกับท่านในสวนสวรรค์ในวันหนึ่งข้างหน้านี้ สัญญากับลูกนะคะว่า ท่านจะวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดทำให้การพรากจากกันของเราสิ้นสุดลงโดยเร็ว และให้ลูกได้ไปอยู่ร่วมกับพ่อในสวนสวรรค์ โดยไม่ต้องพรากจากกันอีกตลอดไป” ด้วยคำกล่าวนี้ สะกีนะฮ์จึงโอบกอดบิดาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เป็นความจริงว่า เวลาใกล้เข้ามา จนได้ยินเสียงร้องตะโกนจากกองทัพของศัตรู ด้วยความพยายามที่จะควบคุมตนเองอย่างที่สุด ท่านอิมามได้กล่าวกับสะกีนะฮ์ว่า

 “สะกีนะฮ์ลูกสาวสุดที่รักของพ่อ! พ่อสัญญาว่าจะทำตามที่ลูกขอร้อง โอ้ลูกรัก! ลูกก็ต้องให้สัญญากับพ่อว่า ลูกจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดทุกข์ยากด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว จงจำไว้ว่า ถ้าลูกร้องไห้คร่ำครวญถึงพ่อมากเท่าไร อาซัยนับของลูก ซึ่งขณะนี้ได้รับความบอบช้ำและปวดร้าวอย่างมาก และต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบทุกอย่างหลังจากพ่อจากไป จะต้องหัวใจแตกสลายกับการเสียใจและการร่ำไห้คร่ำครวญของลูก”สะกีนะฮ์พึมพำอย่างแผ่วเบาว่า

๗๑

 “พ่อจ๋า! ลูกให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างตามที่พ่อต้องการ”

เธอ

ได้ซุกศีรษะกับอกของผู้เป็นบิดา ร่ำไห้อย่างแผ่วเบาชั่วครู่ เธอค่อยๆ ลุกขึ้น จูบลาและถอยมายืนอยู่ข้างๆซุลญะนา

 เธอมองดูซุลญะนาควบออกไป ท่านอิมามเหลียวหลังกลับมามองเธอ เป็นการแสดงความรักอย่างสุดซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้ยกมือน้อยๆ ของเธอขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย

ท่านหญิงซัยนับ ได้ยินเสียงพี่ชายของท่านควบม้าออกไปจากค่าย ท่านไม่สามารถอดใจไว้ได้ จึงยกม่านที่ปิดบังประตูที่พักไว้ เฝ้ามองตามไปอย่างไม่ละสายตา

ท่านหญิงเฝ้ามองดูการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพี่ชาย พร้อมกับนึกสรรเสริญในความกล้าหาญและความสามารถในการรบของท่านอิมาม ที่ทำให้กองทัพของศัตรูต้องแตกกระเจิง

๗๒

 ท่านอิมามได้ควบม้าพุ่งทะยานไปอย่างเร็ว ในที่ซึ่งท่านหญิงไม่อาจมองเห็นท่านได้ ท่านหญิงในชุดคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงวิ่งออกมาจากค่ายพักไปยังเนินทรายเล็กๆ ใกล้กับค่ายพักนั่นเอง เพื่อว่าจะได้มองเห็นภาพในสนามรบอย่างชัดเจน เนินทรายนี้ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม‘เนินทรายของซัยนับ ’ ณ ที่นี้ท่านได้มองเห็นพี่ชายของท่านนอนหมดสติแน่นิ่งบนพื้นทราย ที่แผดเผาด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ ซุลญะนายืนคุ้มกัน ท่านอิมามด้วยการก้มหัวลงมายังท่าน ท่านหญิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น

 ท่านหญิงเฝ้าดูเหตุการณ์โดยตลอด มองเห็น อุมัร บุตรของสะอัด และชิมร์ เหยียบไปบนหลังของท่านอิมามพร้อมกับดาบในมือของมัน ด้วยความพยายามที่จะรักษาชีวิตของท่านอิมาม ท่านจึงตรงไปยังที่ซึ่งท่านอิมามนอนอยู่นั้น และได้เผชิญหน้ากับอัมร์ และกล่าวว่า “โอ้ อุมัร บุตรของสะอัด!

ฉันขอร้องเจ้าในฐานะหลานของศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า

ให้เจ้าจงไว้ชีวิตพี่ชายของฉัน”

๗๓

อุมัรกลับเมินหน้าหนีไปจากท่าน แต่ท่านหญิงก็ตามไปและกล่าวอีกว่า “โอ้ ลูกของสะอัด บุตร อบีวักก็อซ

อุมัร! เจ้าจะยืนอยู่ตรงนี้และมองดูพี่ชายของฉันถูกสังหาร โดยไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดเดียวกระนั้นหรือ?

ด้วยนามของพระผู้เป็นเจ้า ฉันขอร้องให้เจ้าไว้ชีวิตพี่ชายของฉัน” มันยังคงยืนนิ่งเงียบราวกับว่ามันไม่ได้ยินคำขอร้องของท่านเลย

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของท่านอิมามโดยตลอด มากเท่ากับความเจ็บปวดที่ได้รับ ท่านไม่สามารถมองเห็นน้องสาวของท่านกำลังถูกลดเกียรติ โดยคำขู่ตะคอกของ อิบนิ สะอัด

ท่านตระหนักดีว่า น้องสาวของท่านจะไม่สามารถทนเห็นภาพที่ศีรษะของท่านกำลังจะถูกตัดออกจากร่างไปต่อหน้าต่อตา ได้รวบรวมกำลังทั้งหมดที่ยังเหลือยู่ ท่านพยายามเปล่งเสียงอันดังว่า “น้องสาวของพี่! พี่ขอร้องให้เจ้ากลับไปยังที่พักโดยเร็ว เพื่อเห็นแก่ความรักที่เธอมีต่อพี่ จงรีบกลับไปยังค่ายพัก มันจะทำให้พี่ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ถ้าเธอจะยังคงอยู่ตรงนี้ต่อไป”

๗๔

ท่านหญิงซัยนับจึงรีบกลับไปยังที่พัก ร่ำไห้คร่ำครวญอย่างไม่อาจทนได้ เมื่อมาถึงที่พักท่านตรงไปยังกระโจมของหลานชาย ซึ่งนอนป่วยหนักอยู่บนเตียง ปลุกให้ตื่นและเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาท่านช่วยพยุงและพามาที่หน้ากระโจม

ทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความสงบนิ่งโดยไม่มีคำพูดใดๆ ในขณะนั้น ท่านรู้สึกราวกับว่า แม้แต่สรรพสิ่งในธรรมชาติ ก็กำลังร่วมทุกข์ระทมกับพวกท่าน ได้เกิดมีลมกรรโชกอย่างหนัก พัดเอาฝุ่นทรายที่

ถูกแผดเผาด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ ปลิวคลุ้งไปทั่วบริเวณ มันได้พัดน้ำในแม่น้ำยูเฟรติส เป็นระลอกคลื่นที่เชี่ยวกราก พร้อมกับมีเสียงฟ้าคำรามตามมาอย่างน่าสะพึงกลัว ภาพไกลออกไปในฝุ่นทรายที่ปลิวว่อนฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ท่านทั้งสองได้มองเห็นศีรษะของอิมามฮูเซน เสียบอยู่ที่ปลายหอก ได้ยินเสียงกลองในกองทัพของยะซีดได้ตีประโคมประกาศยุติการต่อสู้

๗๕

ท่านหญิงหวีดร้องครวญคราง “ยาฮูเซน ยาฮูเซน! ใน

ที่สุดพวกมันก็ได้สังหารท่าน พวกมันบั่นศีรษะของท่านโดยที่ท่านไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่เพียงหยดเดียว”

เมื่อจบคำพูด ท่านก็แน่นิ่งหมดสติลงในอ้อมแขนของหลานชาย

อิมามซัยนุลอาบิดีน ค่อยๆ วางท่านหญิงลง พร้อมกับก้มศีรษะกราบลงบนพื้นและกล่าวว่า “โอ้ อัลลอฮ์! ข้าพระองค์ขอมอบหมายตามที่

พระองค์ทรงประสงค์ เรามาจากพระองค์ และ ณ พระองค์เท่านั้นคือที่คืนกลับ” (อัล กุรอานบทที่ ๒โองการที่ ๑๕๖)

หลังจากสังหารท่านอิมามแล้ว ชิมร์ได้รุดไปยังค่ายพัก เพื่อที่จะสังหารอิมามซัยนุลอาบิดีน บุตรและทายาทผู้สืบทอดของอิมามฮูเซน ด้วยความกล้าหาญของท่านหญิงซัยนับ ที่ได้ช่วยปกป้องชีวิตของหลานชายไว้ ด้วยการยืนกั้นระหว่างอิมามซัยนุลอาบิดีนและฆาตกร

ในขณะที่ศีรษะของอิมามฮูเซน ถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก บรรดาปีศาจได้หยุดแกว่งไกวดาบของพวกมัน โดยหันไปสาละวนอยู่กับการกระทำที่หยาบช้าน่ารังเกียจ ม้าถูกควบขี่กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง

๗๖

ทหารม้าได้รับคำสั่งให้ควบม้าเหยี่ยบย่ำไปบนร่างของบรรดาผู้สละชีพ และบดขยี้ร่างที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นดินนั้น

ก้าวต่อไปของพวกมัน คือพุ่งจุดสนใจไปยังค่ายพักของอิมามฮูเซน ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงสตรีที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ที่กำลังร่ำไห้กันอยู่ เด็กๆ ส่งเสียงร้องเรียกตะโกนหาด้วยความตกใจ

และอิมามซัยนุลอาบิดีนกำลังป่วยหนัก นอนหมดสติด้วยพิษไข้ พวกมันได้เข้ามาปล้นสะดมและจุดไฟเผาค่ายพัก

บรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์และเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา พากันวิ่งไปวิ่งมาระหว่างกระโจมที่กำลังถูกไฟโหมไหม้ พวกเด็กๆ บางคนสูญหายไปในกองเพลิง พวกมนุษย์ใจสัตว์ได้จับเอาผู้หญิงและเด็กๆ เป็นเชลย อิมามซัยนุลอาบิดีนที่กำลังอ่อนเพลียด้วยอาการไข้ ถูกล่ามโซ่ตรวนที่หนักอึ้ง

๗๗

หลังจากสมใจกับการสังหารแล้ว พวกมันก็ละทิ้งร่างของอิมามฮูเซนและบรรดาผู้สละชีพไป โดยมิได้ฝังศพของพวกเขา กองกำลังปีศาจได้ละออกจากท้องทุ่ง ‘กัรบะลา’ มุ่งหน้าไปยัง ‘กูฟะฮ์’ และต่อไปยัง ‘ดามัสกัส’ พร้อมกับกองคาราวานของบรรดาเชลย ซึ่งเป็นครอบครัวของท่านศาสดา.

บทที่ ๘

ค่ำคืนวิปโยค

ฝุ่นทรายหนาทึบที่ยังคงปกคลุมอยู่เหนือท้องทะเลทรายแห่งกัรบะลาอ์ ในขณะที่ ดวงอาทิตย์ กำลังจะลับขอบฟ้า เหตุการณ์ในวันนั้น การสังหารหมู่ของ ‘วิญญาณอันบริสุทธิ์’ ได้โปรยปรายความ

โศกเศร้าไปทุกหย่อมหญ้าของท้องทะเลทรายนั้น

๗๘

ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยเงียบสงบอย่างน่าสะพึงกลัว ปีแล้วปีเล่า! ได้ถูกทำลายลงด้วยเสียงประโคมของกลองที่เฉลิมฉลองชัยชนะ ในความสำเร็จ เพราะกองทัพที่มีเสบียงพร้อมมูล ทหารที่ถูกจัดเตรียมมาอย่างดี เพื่อต่อสู้กับนักรบชั้นเยี่ยมผู้กล้าหาญซึ่งมีจำนวนเพียง

หยิบมือ ซ้ำยังไม่ได้มีอาหารและน้ำตกถึงท้องมาสามวันแล้ว

แต่ละท่านได้ต่อสู้ไปบนทุกตารางนิ้วของพื้นทราย ด้วยการแสดงออกถึงความองอาจเยี่ยงวีรบุรุษ ซึ่งจะยังคงจารึกไว้โดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนได้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

เมื่อเสียงกลองสงบลง พายุทรายได้พัดพาเอาเสียงร้องครวญครางจากกระโจมที่ล้มคว่ำลงมา

กองกับพื้น บ้างก็ถูกปล้นสะดม ถูกเผา เก็บริมของมีค่าไปจนหมดสิ้น กระโจมที่ว่านี้คือค่ายพักของอิมาม

ฮูเซน เสียงร้องครวญครางที่มาจากกระโจมนั้น เป็นเสียงของบรรดาสตรีและเด็กๆ ในครอบครัวของท่านศาสดา ผู้ซึ่งได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส สุดจะบรรยาย ถูกลดเกียรติด้วยน้ำมือของบ่าวรับใช้ที่มีแต่ความโลภของยะซีด

๗๙

ไม่นานนักหลังจากการถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดของอิมามฮูเซน ทหารของยะซีดพากันบุกเข้าไปในค่ายพัก ที่ซึ่งบรรดาสตรีและเด็กไม่สามารถปกป้องตนเองได้ของอิมามฮูเซนและผู้ใกล้ชิดของท่าน

พำนักอยู่ ทหารที่มีแต่ความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อน ได้แย่งชิงแม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ไม่มีอะไรมีค่ามากมายอย่างที่ พวกมันคิด ลูกชายของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ไม่นิยมใช้ของฟุ่มเฟือย ดังนั้นสิ่งที่มันได้พบในกระโจมจึงทำให้พวกมันผิดหวังอย่างมาก เสื้อที่ทำจากฝ้ายเนื้อหยาบๆ ที่พวกมันฉกฉวยไปนั้น ไม่มีราคาค่างวดอะไรสำหรับพวกมัน แต่มันมีค่ามากมายต่อจิตใจของบรรดาสตรีและเด็กๆ ที่ถูกแย่งชิงไป เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่นั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ จะถักทอด้วยมือของท่านเอง เปลไม้เล็กๆ ที่พวกมันฉกชิงไปนั้น

มีค่าต่อจิตใจของมารดาของอะลี อัสกัร อย่างยิ่ง เพราะมันจะเป็นเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงทารกน้อยที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร ในอ้อมแขนของบิดา โดยที่ต้นคอของเขาถูกปักด้วยลูกธนูจาก ฮัรมะละฮ์

๘๐

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175