ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี0%

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 132

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน: เชค มุฮ์ซิน ชะรีอัต
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 132
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 36724
ดาวน์โหลด: 5618

รายละเอียด:

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 132 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 36724 / ดาวน์โหลด: 5618
ขนาด ขนาด ขนาด
ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

 

สารที่วิจิตรการอันงดงามของอิมามอะลี (อ.)ที่ส่งไปยังผู้ปกครอง

อียิปต์ มาลิค อัลอัชตัร ยังถือเป็นกฎบัตรแห่งความยุติธรรม รวมถึงสิทธิสำหรับทุกย่างก้าวในชีวิตในส่วนของการปกครอง

ดังที่จอร์ด จอร์แดค ได้กล่าวไว้ว่า

“อีพิสเทิลได้ถูกเขียนขึ้นมามากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยปีมาแล้ว โดย

ปราศจากการปรึกษาหารือกันของคณะลูกขุนหรือนักกฏหมายของ

มหาวิทยาลัยทางกฎหมายต่างๆ ซึ่งบางประการดีเลิศกว่ากฎบัตรด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเสียอีก”

ท่านอิมามอะลี (อ.) ยังคงแน่วแน่และมั่นคงในการบริหารความ

ยุติธรรมอย่างเด็จขาด ซึ่งในไม่ช้าท่านก็ได้เป็นผู้นำทางศาสนา ท่านเริ่มการปฏิรูปโครงสร้างทางสังคมและทำให้ความยุติธรรมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งและจำเป็นในสังคม

๑๐๑

ท่านอิมามได้ประกาศอย่างเซ็งแซ่ไปยังประชาชนผู้ซึ่งรวมตัวกันอยู่

เพื่ออ้อนวอนให้เขาเป็นผู้นำทางศาสนาว่า

“ข้าพเจ้าจะเรียกคืนสิ่งที่เจ้าอาจจะได้มาจากกองคลังสาธารณะโดยผิดกฎหมาย หรือสิ่งที่เจ้าครอบครองอย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งมันอาจจะถูกรวมในบรรดาสินสอดทองหมั้นของภรรยาของเจ้า”

ในทุกข้อความและตัวอักษรที่ท่านอิมามได้เขียนถึงผู้ใต้บังคับบัญชา

ของท่าน ท่านได้เชิญชวนพวกเขาเหล่านั้นให้เคร่งครัดในปฏิบัติตามหลักจริยธรรม และปฏิบัติตามคำสั่งและพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าเขาเคร่งครัดในเรื่องดังกล่าวมาก โดยเขาจะตำหนิผู้ปกครองที่ท่านแต่งตั้งซึ่งมีชื่อว่าอุษมาน บิน ฮานีฟอย่างรุนแรง เนื่องจากเขาปฏิเสธที่จะร่วมรับประทานอาหารกับคนยากจน

ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นเพียงบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์ที่มี

ลักษณะที่มีความหลากหลายและขัดแย้งรวมกันอยู่ในคนๆ เดียว กล่าวคือ

ท่าน เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่เป็นวีรบุรุษและผู้นำ

๑๐๒

 และในเวลาเดียวกันก็เป็นกรรมกรที่ทำงานอย่างหนักที่ขุดหลุมและท่อระบายน้ำด้วยมือเปล่าภายใต้อากาศที่ร้อนจัด จากนั้นก็บริจาคเงินที่ท่านได้รับให้แก่ผู้ขาดแคลนยากจน นอกจากนี้ ท่านยังเป็นนักปราชญ์ที่มีความคิดที่สุขุมรอบคอบและมีการกระทำที่กล้าหาญ เป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งนำสังคมไปสู่ความมั่งคั่ง เป็นแบบอย่างที่แท้จริงของศีลธรรมที่ได้มอบให้แก่ประชาชนของท่าน เป็นบิดาที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ ของท่าน เป็นสหายที่จงรักภักดี และเป็นสามีหาที่เปรียบไม่ได้สำหรับภรรยาของท่าน นั่นแสดงให้

เห็นว่าทำไมผู้คนจึงต้องการกล่าวถึงหนังสือที่ยอดเยี่ยมของท่าน “หนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์” ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมคำสั่งสอน สาร ตัฟซีร และเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของท่าน และยังได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

อย่างไรก็ตาม ชายที่พร้อมด้วยบุคลิกภาพที่ยอดเยี่ยมเพียงคนเดียว

ในสังคมของท่าน และความยุติธรรมที่เที่ยงตรงของท่านไม่ถูกยอมรับ เป็นผลให้ท่านอิมามอะลี บุตรอะบูตอลิบถูกสังหารในยามรุ่งอรุณด้วยดาบอาบยาพิษ กล่าวคือ ขณะที่ดาบถูกฟันลงมาที่ศีรษะของท่านอิมาม อะลี (อ.)นั้น ท่านได้ตะโกนขึ้นมาว่า

“โดยพระผู้เป็นเจ้าแห่งกะอ์บะห์ ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงชัยชนะแล้ว”

๑๐๓

จอร์จ จอร์แดค กล่าวว่า

“ท่านอะลี (อ.) ถูกสังหารเนื่องจากความยุติธรรมอย่างแท้จริงของ

ท่าน”

ใช่! ท่านอิมามได้ถูกสังหารเมื่ออายุ ๖๓ ปี

ในฮิจเราะห์ศักราชที่สิบสี่ จากบรรดาผู้ที่ได้รับผลเสียจากความยุติธรรมของท่าน

๑๐๔

พระนางฟาติมะห์

เชื้อไขเพียงคนเดียว

ของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ศล)

ท่านศาสดามีลูกสาวเพียงคนเดียว คือ พระนางฟาติมะห์ ที่ท่านรัก

และให้เกียรติอย่างยิ่งในชีวิตของท่าน

พระนางฟาติมะห์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเด็กหญิงและบรรดาสตรีคนอื่นๆ พระนางพยายามที่จะ

สลายอคติที่มีต่อผู้หญิงอย่างรุนแรงในยุคของพระนางและแสดงให้โลกเห็นว่า สตรีต้องมีศักดิ์ศรี

พระนางเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ เป็นบุตรีที่มีความกตัญญูอย่างสูงต่อ

พระบิดาของพระนาง ชีวิตของพระนางสั้นแต่มักจะต่อสู้ในแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าและด้วยจิตวิญญาณที่แทนที่วัตถุนิยมเสมอ พระนางพยายามอย่างยิ่งที่จะปกป้องตัวเองจากความปรารถนาทางกามารมณ์ วัตถุทั้งหลาย

๑๐๕

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินทองและทรัพย์สินทางโลก ครั้งหนึ่งพระนางฟาติมะห์กล่าวเกี่ยวกับพระบิดาของพระนางไว้ดังนี้

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในประชาชาติของข้าพเจ้า คือ บรรดาผู้ที่ยึดมั่น

ในความสุขทางโลก บรรดาผู้ที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตเพียงแค่ได้กินอาหารที่ดีที่สุด สวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดและพูดแต่ไม่กระทำ”

ลักษณะของพระนางฟาติมะห์ อีกประการหนึ่ง คือ

พระนางปรารถนาความหิวเพื่อทำให้ผู้อื่นอิ่ม พระนางเชื่อในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเจียมเนื้อเจียมตัว แต่คงทำงานหนักและชำนาญอย่างมากในการทำงานบ้านต่างๆ รอบๆ บ้าน

กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ขณะที่พระนางฟาติมะห์สามารถที่จะมีชีวิตที่มั่งคั่งและไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากได้ แต่พระนางกลับเลือกความเรียบง่ายด้วยความสมัครใจของพระนางเอง แท้จริงพระนางใช้เงินและทรัพย์สินของพระนางทั้งหมดเพื่อคนยากคนจน แม้ว่าในคืนวันวิวาห์ของพระนาง เมื่อพระนางถูกร้องขอจากคนยากจน เธอได้ให้ชุดแต่งงานของเธอเป็นของขวัญแก่เขา นี้เป็นการแสดงถึงวิธีการเสียสละของพระนางอย่างเต็มใจ

๑๐๖

 พระนางไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงเพียงที่เคร่งครัดในศาสนาและเกรงกลัวต่อพระเจ้าเท่านั้น

 แต่ เป็น ผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและการพัฒนาสังคมเสมอ นั่นแสดงว่า ทำไมหลังจากสิ้นพระบิดาของพระนางไปแล้ว พระนางยังยืนหยัดป้องกันการออกนอกลู่นอกทางและการปลุกระดมให้ต่อต้านความอยุติธรรมในสังคมด้วยคำกล่าวและโอวาทอันเผ็ดร้อน ส่วนสามีของพระนางคือ ท่านอะลี หนึ่งในผู้ที่ได้ถูกขนานนามว่า ผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านศาสดา(ศล)โดยการแต่งตั้งของท่านศาสดาเอง พวกเขามีบุตรสี่คน เป็นชายสองคนคือ ฮะซัน และฮุเซน และหญิงสองคนคือไซหนับและอุมมุกุลซูม

พระบิดาของพระนางฟาติมะห์ได้เลี้ยงดูเธอในภาวะที่ยากลำบาก

และยากจน แต่ท่านได้ให้การสอนศาสนาที่ลึกซึ้งและมหัศจรรย์แก่พระนางบุคลิกภาพของพระนางมีความแตกต่างกับสุภาพสตรีคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง

พระนางสมบูรณ์แบบในทุกทางและเป็นสัญลักษณ์แห่งบุตรีที่ดีของบิดา ภรรยาที่ดีของสามี และมารดาที่ดีที่สุดต่อลูกๆของพระนาง

๑๐๗

 

พระนางฟาติมะห์ได้เสียชีวิตในวัยสาว ซึ่งเกิดขึ้นสามเดือนหลังจากท่านศาสดา

พระบิดาของพระนางได้จากไป การจากไปของพระนางยังความโศกเศร้าและเสียใจเป็นอย่างมากแก่ท่านอะลี เขารักพระนาง

ฟาติมะห์มาก มากเท่ากับสถานภาพในอิสลามที่สูงส่งของท่านเอง

๑๐๘

แบบฉบับแห่งวิถีชีวิต

อันประเสริฐ

ของท่านอิมามฮะซัน (อ.)

บุตรอิมามอะลี (อ.)

ท่านเป็นบุคคลที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์และเอื้ออาทรต่อผู้อื่นเสมอ

ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในสังคม ท่านเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายส่วนใหญ่ท่านจะอยู่ร่วมกับเหล่าปวงชนผู้อ่อนแอ ยากจนและขัดสน ท่านให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาอย่างมากมาย จนในที่สุด ท่านก็ได้ไปนั่งอยู่ในจิตใจของพวกเขา กล่าวคือ ท่านไม่เคยทำให้ผู้อ่อนแอ ผู้ขัดสนลำเค็ญต้องได้รับความผิดหวังกลับออกไปจากบ้านของท่านเลย และยิ่งไปกว่านั้นท่านได้ออกไปหาผู้ยากจนด้วยตัวของท่านเอง เพื่อมอบอาภรณ์และอาหารรวมทั้งปัจจัยต่างๆแก่พวกเขา

อิมามฮะซัน(อ.)เลือกที่จะปฏิบัติแต่คุณธรรมความดีในทุกสิ่งที่

พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ทรงรักเท่านั้น แม้กระทั่งได้บริจาคทรัพย์สินต่างๆมากมายของท่านในแนวทางของพระองค์

๑๐๙

ซึ่งการกระทำนี้ได้ถูกบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์และนักค้นคว้าว่าถือเป็นเกียรติอย่างภาคภูมิใจยิ่ง

ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์. หลายครั้งที่ท่านอิมามได้ใช้จ่ายทรัพย์สินของท่านทั้งหมดเพื่อปกป้องคุณธรรม หรือแม้กระทั่งได้เคยแบ่งทรัพย์สินของท่านออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเป็นของท่านและอีกครึ่งหนึ่งแบ่งให้คนยากจน มีรายงานว่า

“วันนั้น ท่านอิมาม(อ.)กำลังเดินทางอยู่ ได้ผ่านกลุ่มขอทานกำลัง

ร่วมวงกินอาหารจากเศษขนมปังแข็งๆแล้ว พวกเขาก็ได้เชิญท่านอิมามเข้าร่วมวงกินอาหาร ดังนั้นท่านจึงลงจากหลังม้ามาร่วมรับประทานเศษขนมปังแข็งๆ กับพวกเขา โดยกล่าวว่าพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ไม่ทรงรักผู้หยิ่งยโส ขณะที่ท่านอิมามรับประทานอยู่กับพวกเขา กลุ่มขอทานได้จ้องมองท่านอิมามด้วยความปลาบปลื้ม ท่านอิมามจึงได้เอ่ยเชิญชวนพวกเขาไปที่บ้านของท่านแล้วได้บริจาคอาหารและเสื้อผ้าอย่างดีแก่พวกเขา”

๑๑๐

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้อย่างมากมายถึง บุคลิกภาพ ของการเอื้อ

เฟื้อยเผื่อแผ่ อย่างไร้ที่สิ้นสุด ของท่านอิมามว่า

“มีชายคนหนึ่งมาพบท่านแล้ว ขอความช่วยเหลือ ท่านอิมามจึงสั่งให้คนรับใช้ไปตรวจดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไร ก็จงมอบให้เขาทั้งหมด ปรากฏว่ามีเงินเหลือประมาณเกือบหนึ่งหมื่นดิรฮัม ชายผู้ขัดสนจึงได้รับเงินช่วยเหลือทั้งหมด และด้วยจากคุณธรรมความดี การเสียสละอย่างมากมายของท่าน จึงได้ถูกขนานนามว่า  

“ผู้มีจิตเผื่อแผ่”

สุภาษิตของอิมามฮะซัน (อ.)

๑. จงปฏิบัติตนเพื่อชีวิตบนโลกนี้ของเจ้าเปรียบดั่งเจ้าจะมีชีวิตตลอดกาล และจงปฏิบัติตน เพื่อชีวิตบนโลกหน้าของเจ้า เปรียบดั่งเจ้าจะสิ้นชีวิตวันพรุ่งนี้

๒. ไม่มีทรัพย์ใดจะยิ่งใหญ่เท่าปัญญา ไม่มีความยากจนใดเหมือน

ความโง่เขลา ไม่มีความเลวร้ายใดเหมือนการหลงตนเอง ไม่มีชีวิตที่ภิรมภ์ใดเหมือนการมีกิริยางาม

๑๑๑

๓. การเริ่มที่จะให้อภัยและการให้ ก่อนการร้องขอนั้นย่อมเป็น

เกียรติที่ยิ่งใหญ่

๔. มีรายงานว่า

“ท่านอิมามฮะซัน(อ.)ได้ถูกถามว่า “ความเคร่งครัดคืออะไร?”

ท่านอิมามตอบว่า

“ความปราถนาสู่การระมัดระวังตนจากการทำบาปและจากการ

หลงไหลแสงสีแห่งโลกนี้”

ท่านได้ถูกถามอีกว่า

“ขันติคืออะไร?

ท่านอิมามตอบว่า

“ความยับยั้งชั่งใจตนเองและการคลุมจิตใจ”

ท่านได้ถูกถามอีกว่า

๑๑๒

“การขัดเกลาคืออะไร?”

ท่านตอบว่า

“การปกป้องความชั่วร้ายด้วยคุณธรรม”

๕. แท้จริงขันติ คือ เครื่องประดับของมนุษย์ชน

ความซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญา คือ สัญลักษณ์ของสุภาพชน

การรีบร้อน(ในการงานโดยไร้สติ)คือ ความโง่เขลา

๑๑๓

แบบฉบับแห่งวิถีชีวิตอันประเสริฐ

ของท่านอิมามฮุเซน (อ.)

บุตรอิมามอะลี (อ.)

ความแวววาวและระยิบระยับของพระราชวังต่างๆ ไม่ได้มีความ

หมายใดๆ ต่อพวกเขาเลย บรรดาผู้ที่เกลียดการถูกข่มขู่โดยผู้ปกครองที่ชอบกดขี่และการชักธงแห่งเสรีภาพที่ทำให้ความจริงของพวกเขายังคงอยู่ คนเหล่านั้นที่ได้ค้นหาในทุกซอกทุกมุมเพื่อที่จะตัดมือของพวกทรราช พวกที่โค่นล้มพระราชวัง

ของกษัตริย์ฟาโรห์ และลดจำนวนพวกที่กดขี่

ดังนั้น พวกเขาจึงลุกขึ้นอย่างกล้าหาญและไม่ว่าอะไรที่จะทำให้เกิดความเสียหาย พวกเขาจะต่อสู้อย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่า นั่นจะหมายถึงความเสียสละ ทุกสิ่งที่พวกเขามีก็ตาม

ท่านอิมามฮุเซน บุตรอิมามอะลี (อ.) เป็นคนที่ดีที่สุดในบรรดาผู้ที่ต่อต้านการเผด็จการในยุคของท่าน

๑๑๔

ท่านอิมามฮุเซน บุตรอิมามอะลี (อ.) เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากใน

ประวัติศาสตรของมนุษยชาติ

 ท่าน เป็นหลานชายแท้ของท่านศาสดาแหง่ศาสนาอิสลาม

ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในความกล้าหาญและความเสียสละ รวม

ถึงการต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหง ท่านเป็นผู้ที่สร้างเรื่องราวของวันอาชูรออ์

ในวันที่ ๑๐ ของเดือนมุฮัรรอม ในเมือง ที่เรียกว่า กัรบาลาอ์ ในประเทศอิรัก เนื่องจาก ท่านอิมามและสหายผู้จงรักภักดีทั้ง ๗๒ คนของท่านได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไร้ความปรานีและไร้ซึ่งความยุติธรรมที่นั่น

ในปัจจุบันนี้และหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ผู้คนนับล้านทั่วโลกจะร่วมกันไว้อาลัยและทุบตีตัวเองที่หน้าอกและศีรษะของพวกเขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง ความโศกเศร้าของพวกเขา อาชูรออ์อาจดูเหมือนเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นในเวลาและสถานที่ที่ถูกกำหนดไว้

๑๑๕

 ที่ซึ่งคนกลุ่มเล็กๆ ต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากที่ติดอาวุธทั้งไล่ฟันและคล่าชีวิตของพวกเขา แต่อาชูรออ์ก็เป็นอมตะ แท้จริงแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ด้านที่น่าอัศจรรย์ของการจลาจลนี้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเราศัตรูผู้สังหารท่านอิมามฮุเซน (อ.) อ้างถึงชัยชนะของพวกเขา แต่ พวกเขา เป็นที่รู้จักกันในนามของผู้แพ้อย่างยับเยินในหน้าประวัติศาสตร์

เพราะ พวกเขาถูกสาปแช่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะพวกเขาไม่สามารถหยุดมูลเหตุอันสูงส่งของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งท่านได้เริ่มลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้กับทรราชย์ ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

มหากาพย์แห่งอาชูรออ์ (จากประวัติศาสตร์ตั้งแต่ต้นจนจบ) กำเนิด

ขึ้นมาจากวิธีการคิดซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งมนุษยชาติ ดังนั้น มันจึงถูกทำให้เป็นอมตะ เพราะมันดำเนินไปเกินกว่าจะเป็นเพียงความขัดแย้งของพรรคพวกและชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยและกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของมนุษย์กับการกดขี่ข่มเหง

๑๑๖

เป้าหมายเบื้องหลังการยืนหยัดต่อต้าน

ของท่านอิมามฮุเซน (อ.)

เป้าหมายที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.)พยายามที่จะให้บรรลุได้เกิดขึ้นใน

วันอาชูรออ์อย่างชัดเจน

ในยุคของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ความเชื่อผิดๆในโชคลางและ

ไสยศาสตร์เป็นที่แพร่หลายในสังคม ซึ่งท่านมีเจตนารมณ์ที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้เสีย สิทธิและคุณค่าของมนุษย์ถูกละเลยโดยผู้ปกครองของเขา

ในช่วงเวลานั้นสิทธิและคุณค่าดังเช่นในยุคสมัยของท่านศาสดามุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ที่เคยมีและการเสียสละอย่างเหลือคณานับแทบจะหมดไปในสังคม

 อย่างไรก็ตาม ท่านอิมามฮุเซน (อ.) จดจ่ออยู่กับการปฏิรูปสังคม

ใหม่ทั้งหมด

๑๑๗

ผู้ปกครองอณาจักรอิสลามได้สืบเชื้อสายมาทางราชวงค์และอยู่

ในกำมือของพวกขุนนาง ความสัมพันธ์ทางครอบครัวและเชื้อชาติเข้ามาแทนที่คุณธรรมและความสามารถในการกระจายความมั่งคั่งไปยังประชาชน ในทางการเมืองผู้นำทางศาสนาไม่ได้ดูแลสิทธิส่วนบุคคลหรือส่วนรวมแก่ประชาชน และการประจบประแจงเข้ามาแพร่หลายและเข้ามามีอำนาจในศาลแทน

ดังนั้น ท่านอิมามฮุเซน (อ.)จึงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปฏิรูปสังคม และช่วย

ชาวมุสลิมให้ได้รับคุณค่าและอุดมการณ์ที่ท่านศาสดาได้พยายามอย่างหนักในการผดุงรักษามันไว้กลับคืนมา

การลุกขึ้นต่อต้านต่อผู้ปกครองที่เป็นทรราชย์นั้นพวกอิมามไม่ใช่

“พวกนอกกฎหมาย”  แท้ที่จริง อิมามได้ถูกฆ่าโดยบรรดาฆาตกรที่ได้รับคำสั่งมาจากผู้ปกครองที่กดขี่ให้ทำเช่นนั้น การจลาจลที่ติดอาวุธได้เริ่มขึ้นโดยการฉ้อโกงและอาชญากร แต่ท่านอิมามฮุเซน (อ.)แตกต่างไปจากนั้น ท่านเป็นตัวแทนของความมีน้ำใจต่อผู้อื่นและเป้าหมายของท่าน

๑๑๘

เพียงแค่ปกป้องพวกเขาจากความโง่เขลาและความมืดมนซึ่งปกคลุมพวกเขาอยู่ นั่นคือ

เหตุผลว่า ทำไมในตอนเช้าของวันอาชูรออ์ และเมื่อทหารจำนวนสามแสนนายพร้อมที่จะต่อสู้กับเขา เขาบอกกับบรรดาสหายว่า

“เราาจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มการต่อสู้ก่อน แต่เพียงแค่ป้องกันตนเองและ

อุดมการณ์ของพวกเราเท่านั้น”

จากนั้น เขาได้เริ่มต้นแสดงธรรมแก่ศัตรู แต่ทันใดนั้นศัตรูได้เขวี้ยง

เขาด้วยก้อนหิน ทำให้หน้าผากของเขาได้รับบาดเจ็บ จากนั้นการต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้น

ท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นสมาชิกในครอบครัวที่ประเสริฐที่สุดที่เหลืออยู่ของท่านศาสดาแห่งอิสลาม แต่ผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามนำโดยผู้ที่มีชื่อว่ายะซีดไม่เชื่อตามท่านอิมาม และหวังว่า ท่านอิมามฮุเซน (อ.)จะยินยอมในการทุจริต ความโง่เขลา และการกดขี่ข่มเหงของพวกเขาทั้งหมด

๑๑๙

แต่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ไม่สวามิภักดิ์กับยะซีดและยืนหยัดในความเชื่อและอดุมการณ์ของตนเพื่อพิทักษ์ศาสนาอิสลามในวันอาชูรอหนึ่งในคติประจำตัวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือ

« هیهات من الذ لة »

"เราจงออกห่างจากความอัปยศอดสู”

เขายังตะโกนขึ้นมาอีกว่า

“หากศาสนาของท่านตาของข้าฯ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) จะได้ดำเนินไปต่อ เว้นแต่ข้าฯจะถูกสังหาร ข้าฯก็จะยอมให้เป็นเช่นนั้น”

ท่านลุกขึ้นต่อสู้ครั้งนี้เพื่อจุดประสงค์ที่จะต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหง

ท่านไม่มีความเกรงกลัว แม้นจะมีจำนวนคนน้อยกว่าศัตรูก็ตามถึงจะถูกสังหารท่านก็พร้อมสละชีพเพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุด คือ ท่าน อิมามฮุเซน (อ.)ต้องการที่จะฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม ท่านอิมามฮุเซน(อ.)ได้ต่อสู้อย่างองอาจ แต่บรรดาศัตรูที่มีมากกว่าได้วาดดาบลงบนตัวของท่านและสังหารท่านอย่างไร้ความปรานี

๑๒๐