ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี42%

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 132

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 132 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 40930 / ดาวน์โหลด: 7858
ขนาด ขนาด ขนาด
ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์

           ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน : เชค มุฮ์ซิน ชะรีอัต

แปลและเรียบเรียงโดย : เชคกุลามอะลี อบอซัร

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้เมตตาเสมอ

บทนำ

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ศาสดาแห่งความเมตตา

ความสำเร็จทางวัฒนธรรมและอารยธรรมของมวลมนุษย์ทั้งหลายรวมถึงองค์ประกอบในเชิงบวกในชีวิตทางสังคมของมนุษย์ แต่ที่เหนือไปกว่าทุกสิ่ง เราได้เป็นหนี้บุญคุณในความเสียสละและการอุทิศตนของบรรดาผู้ทรงเกียรติซึ่งมีจิตอันประเสริฐในการนำมวลมนุษย์ไปสู่การสร้างให้เกิดความยุติธรรม ความถูกต้อง อิสรภาพ ความเจริญก้าวหน้า จิตวิญญาณอันเป็นอมตะและความเป็นจริงที่นอกเหนือจากโลกที่มีตัวตนอย่างแท้จริงเพื่อทดแทนเหตุอันไม่พึงปรารถนาของชีวิตมนุษย์ด้วยอุดมการณ์ใหม่ พวกท่านได้อุทิศชีวิตของท่านและทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านครอบครอง บรรดาผู้มีเกียรติผู้ซึ่งการประพฤติตนและวิถีชีวิตของพวกท่านได้รับการพิสูจน์แล้วถึง

ความชอบธรรม ท่านเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังของการพัฒนาทางสังคมที่มีความลึกซึ้งและยั่งยืน

 

การสร้างความถูกต้องและวัฒนธรรมที่แท้จริงที่ยังผลให้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตทางสังคมก้าวไปสู่ระดับที่ดีเยี่ยม อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์

มนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นจากความอุตสาหะและการอุทิศตนอันทรงคุณค่าของบุคคลผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเหล่านี้ และหากปราศจากการงานของท่านทั้งหลายแล้ว ชีวิตมนุษย์ก็จะกลายเป็นหนองน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็น ซึ่งเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงและความเห็นแก่ตัวของผู้ที่ชอบกดขี่และเห็นแก่ตัว

หนึ่งในลักษณะของผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์อย่างมากและผู้ที่

สร้างคำจำกัดความใหม่ของชีวิตคือ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ผู้ที่ถือกำเนิดมาประมาณ ๑,๔๐๐ ปีที่แล้ว อาวุธของท่านนบีมุฮัมหมัดคือความชาญฉลาด และอำนาจของท่านคือความรัก ซึ่งทำให้ท่านสามารถมีอิทธิผลต่อสังคมมนุษย์ทั้งหมดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งขยายขอบเขตออกไปจนปัจจุบันนี้

ประชาชนมากกว่าหนึ่งพันล้านหรือครึ่งหนึ่งเป็นสาวกที่เลื่อมใสในทัศนคติ จรรยามารยาท และเจตนารมณ์ของท่าน

แม้ว่าในทุกๆ ช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตของบุคคลผู้ทรงเกียรติทั้งหลายถือเป็นการเรียนรู้ที่ทรงคุณค่า แต่บางครั้งบุคลิกและคุณลักษณะของบุคคลนั้นก็มีความสง่างามและน่านับถือมาก ซึ่งเราต้องการกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านแม้แต่ในช่วงวัยเด็ก โดยมักไม่มีการกล่าวถึงชีวิตของบุคคลผู้เป็นอัจฉริยะทั้งหลาย ผู้นำทางสังคมหรือบรรพ-บุรุษของแต่ละอารยธรรม ซึ่งเราอาจได้พบกับความน่าสนใจและความประหลาดใจของข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมาก ชีวิตของพวกท่านตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งเสียชีวิตเต็มไปด้วยความลับมากมาย

ในหนังสือเล่มนี้ เราต้องการกล่าวโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะทัศนคติและวิถีการดำรงชีวิต รวมถึงคำสอนอันประเสริฐยิ่งของศาสดามุฮัมหมัด บุตรของ อับดุลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสลาม และผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก ท่านศาสดามุฮัมหมัด บุตรของ อับดุลลอฮ์(ซ็อลฯ) คือ อิมาม อะลี บุตร อบูตอลิบ (ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) และท้ายที่สุด

เราจะกล่าวถึงลักษณะและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวสำหรับวันอาชูรออ์ของอิมามฮุเซน (ขอความสันติจงประสบแด่ท่าน) หวังว่าผลงานชิ้นนี้จะถูนำไปใช้สำหรับนักวิชาการและนักวิจัยทุกท่าน จากทุกศาสนา เพื่อให้เกิด ความคุ้นเคยกับุคลิกภาพและคุณลักษณะของบุคคลผู้ทมุฮัมมัดเกียรติเหล่านี้มากขึ้น

ศาสดาแห่งศาสนาอิสลาม

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นที่รู้จักกันในนามผู้ก่อตั้งศาสนา

อิสลามและเป็นศาสดาของชาวมุสลิมทั่วทั้งโลก

ซึ่งถือกำเนิดในปีคริสตศักราช ๕๗๐ ที่เมืองเมกกะ (มักกะฮ์) ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอาหรับทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย โดยคาบสมุทรนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๓ ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งหนึ่งในสามของดินแดนเป็นพื้นที่ที่มีความแห้งแล้ง มี

พื้นพันธุ์ขึ้นอยู่น้อยหรือไม่มีเลย

เมกกะตั้งอยู่ใกล้กับทะเลแดง ซึ่งถือว่าเป็นเมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากของโลกและเป็นสถานที่หนึ่งที่สำคัญที่สุดในการประกอบพิธีกรรมของชนชาวมุสลิมทั้งหลายที่เรียกกว่า

พิธีกรรม การบำเพ็ญ “ฮัจญ์” สำหรับการประกอบพิธี “ฮัจญ์” ในทุก ๆ ปีจะมีชาวมุสลิมประมาณสามล้านคนเดินทางไปประกอบพิธีดังกล่าวที่เมืองนี้

เราสามารถอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีขึ้นพร้อมกับ

การเกิดของมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมาย อาทิ ไฟในวัดของลัทธิโซโรแอสเตรียนดับ เทวรูปในวิหารกะอ์บะห์ (ก่อนอิสลาม) ทรุดตัวก้มลง สิ่งก่อสร้างภายใน Kasra Arch (Taqe Kasra,Eyvane Madaen) ถูกทำลายเมื่อท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้ถือกำเนิดขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดแสงไฟปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและแผ่นดิน ทั้งทางทิศตะวันออก และตะวันตก เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร

ขณะนั้น บิดาของท่าน (อับดุลลอฮ์) ได้เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น อำนาจในการเลี้ยงดูท่านจึงเป็นของปู่ของท่านคือ อับดุลมุฏฏอเล็บ เมื่อท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ) มีอายุได้หกปี

มารดาของท่าน (อามีนะฮ์) ได้เสียชีวิตลง และเมื่ออายุได้แปดปี ท่านนบี มุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ก็ได้สูญเสียผู้เป็นปู่ ผู้เป็นผู้ปกครองของท่าน จากนั้นท่านได้ถูกเลี้ยงดูโดยลุงของท่าน (อะบูฏอเล็บ)บิดาของท่านอิมามอะลี (อ.)

เรื่องราวทางวัฒนธรรม และ สังคมของเมืองเมกกะ

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้ถือกำเนิดมาในช่วงที่ชาวเมกกะยังไร้ซึ่งอารยธรรมและโครงสร้างทางสังคม การกระทำอันไร้เหตุผลและโง่เขลาของประชาชนทำให้เกิดการสังหารหมู่

การใช้เวลาไปกับการทำสงคราม เล่นการพนัน ค้าประเวณี เสพสิ่งมึนเมาและดื่มสุรา หากจะกล่าวถึงบรรดาลักษณะเด่นทางวัฒนธรรมอื่นๆ ของประชาชนเหล่านั้น สิ่งที่เราสามารถกล่าวถึง

ได้คือ การโอ้อวดที่ไร้ค่า ปริมาณของวัฒนธรรมที่เป็นศูนย์กลาง การเชื่อในโชคลางอันเป็นผลมาจากการบิดเบือนศาสนา ยึดถือตำนานเก่าแก่และเรื่องราวของตำนาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้แสดงถึงความโง่เขลาของพวกเขาและความเลวร้ายของสังคม พวกเขาเชื่อว่าเด็กผู้หญิงเป็นแหล่งของความอัปยศ และแม้กระทั่งพวกเขาจะฝังลูกสาวของเขาทั้งเป็น พฤติกรรมและการกระทำอันโหดร้ายดังกล่าวนี้ได้ถูกสันนิษฐานว่าเป็นยุคแห่งความโง่เขลา ซึ่งนำมนุษย์ไปสู่การทำลายล้างทั้งหลาย ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆในคาบสมุทรอาหรับที่ยังคงปลอดภัยจากการเผชิญหน้ากันของบรรดาผู้พิชิตในยุคเก่า

 และปัจจุบันนี้ คุณไม่สามารถพบอนุสาวรีย์หรือสิ่งก่อสร้างโบราณจากอารยธรรมของอาณาจักรโรมันในตอนเหนือ หรืออารยธรรมของอาณาจักรเปอร์เซียในตอนใต้ของคาบสมุทรอาหรับ เนื่องจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรดังกล่าว รวมถึงดินแดนที่แห้งแล้งซึ่งไม่เป็นที่สนใจของอาณาจักรโบราณใดๆ เลย

ท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่ม

เนื่องจากอะบูฏอเล็บ (ลุงของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)) มีรายได้ไม่เพียงพอ ท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)จึงต้องช่วยทำงานเป็นคนรับจ้างเลี้ยงแกะ และเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นในบางครั้ง ท่านอะบูฏอเล็บจึงได้เสนอให้ท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ไปทำงานค้าขายให้หญิงหม้ายชื่อ คอดีญะห์ ซึ่งท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)เป็นที่รู้จักดีในนามของผู้ที่มีความซื่อสัตย์ ท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ยอมรับข้อเสนอของนาง และหลายคราที่ท่านต้องเดินทางไปทำการค้าขายกับกองคาราวานสินค้าของคอดีญะห์ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อทราบว่า สถานที่หนึ่งในที่ท่านต้องเดินทางไปค้าขาย  คือ

ประเทศซีเรีย

ซึ่งมีพระชาวคริสเตียนคนหนึ่งชื่อบะฮีรอ ได้เห็นท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)และจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้งพร้อมกับกล่าวว่า

“ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างมากและเขาจะได้เป็น

ศาสดาเช่นที่กล่าวไว้ในคัมภีร์แห่งพระเจ้า เขาคือผู้นำสารของพระผู้เป็นเจ้า และเขาจะเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ไปยังทั่วทั้งโลกนี้ ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นได้ในตัวมุฮัมหมัดชายหนุ่มคนนี้ สัญญาณเหล่านี้ได้ถูกระบุไว้ในคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าของเราและด้วยความเคารพต่อศาสดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ให้คำสัญญาไว้”

ถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนซึ่งในช่วงวัยรุ่นอาจจะมีการเบี่ยง

เบนทางกายภาพและศีลธรรม แต่ในคาบสมุทรอาหรับ พวกผู้ใหญ่มักมั่วสุมเกี่ยวข้องกับการกระทำชั่วและการกระทำอื่นๆ ที่เป็นสิ่งผิดศีลธรรมกันอย่างน่าละอาย

 แต่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ยังคงรักษาศีลธรรมและจรรยา

มารยาทของเขา รวมถึงความซื่อสัตย์ของเขาทำให้เขาได้รับฉายานามว่า

“อัลอามีน” คือผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์ในเมืองเมกกะ

๑๐

 เมื่อท่านอายุได้ ๒๐ ปี ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้เข้าร่วมในสนธิสัญญาอัลฟุฎูล ซึ่งช่วยเหลือผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหงที่ได้ลี้ภัยอยู่ในเมกกะ เนื่องจากการความอคติได้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้พวกเขาถูกทารุณกรรมและคุกคามโดยชาวเมืองเมกกะ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้ถือว่าการเข้าร่วมในสนธิสัญญาดังกล่าวของเขาถือว่าเป็นเกียรติให้กับตนเอง

ท่านหลีกเลี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการยั่วยวนและความสุขทางโลก และใบหน้าของท่านแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นนักคิดที่ลึกซึ้ง เพื่อให้อยู่ห่างจากการทุจริตและการทำชั่วที่แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง ท่านได้หลบไปอยู่ที่ภูเขาและในถ้ำเสมอ เมื่อท่านอยู่คนเดียว ท่านจะทำการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสองเรื่อง

ดังนี้

๑. การสร้างแผ่นดินและท้องฟ้า และต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและ

การดำรงอยู่ของมัน จากนั้น ท่านก็ได้รับความรู้จากอำนาจและสิ่งที่ลี้ลับจากพระผู้เป็นเจ้า

๑๑

๒. ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในการแก้ไขความเชื่อและการกระทำของผู้คนที่อยู่ในสังคมอันตกต่ำ เลวร้ายและลุ่มหลงในโลกีย์ ท่านพบว่า ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขสังคม แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ยากมากและต้องใช้ความพยายามอย่างสูงสุด

การรู้เห็นถึงการแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางของความลุ่มหลงในโลกีย์ การกระทำอันทุจริต การกดขี่ข่มเหง ความหยิ่งยโส

 การเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และกราบไหว้รูปปั้น ท่านได้กล่าวกับตนเองว่า

“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งและมีค่ามากที่สุดบนแผ่นดิน และสิ่งที่ท่านรังสรรค์ขึ้นมานั้นจะถูกนำมาแทนที่ตามจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และท่านต้องการที่จะก้าวไปสู่วิวัฒนาการของพระผู้เป็นเจ้าผ่านทางเส้นทางของพระองค์ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เราได้เห็นในปัจจุบันนี้”

แต่เราจะคาดหวังอย่างไรกับสังคมที่เต็มไปด้วยการลุ่มหลงในโลกีย์

การผิดประเวณี กระหายความร่ำรวย และการกดขี่ห่มเหง ให้สามารถก้าวไปยังเส้นทางของพระผู้เป็นเจ้าได้

๑๒

การสื่อสารกับเทวทูต (มะลาอิกะฮ์)และภารกิจของพระผู้เป็นเจ้า

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ไม่ได้อยู่ในหมู่ปัญญาชนหรือผู้ที่ได้รับ

การศึกษา และไม่เคยผ่านหลักสูตรการศึกษาใด ๆ ดังนั้น ท่านจึงถูก

เรียกว่า “อุมมี” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ไม่มีการศึกษา แต่ภายใภูเขาเป็นที่ๆ ท่านได้รับการฝึกฝนภูมิปัญญา บุคลิกภาพและคุณลักษณะอันสูงสุดของมนุษย์เมื่อตอนอายุสี่สิบปี ด้วยความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ พระองค์ได้ทรงส่งเทวทูตมาปรากฏต่อหน้าท่าน เทวทูต (มะลาอิกะฮ์) นั้นมีชื่อว่า เกเบรียล (ญิบรีล)

และได้นำภารกิจแห่งพระผู้เป็นเจ้ามา โดยเฉพาะ บุคคลอย่าง

ท่านนบีผู้ซึ่งสามารถให้ได้อย่างแท้จริงเท่านั้น และ ทำให้จิวิญญาณของเขาแข็งแกร่งสามารถที่พบกับเทวทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ผู้ทรงเดชานุภาพได้ ซึ่งท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ได้รับความพร้อมนั้นแล้ว โดยการพิจารณาอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับจักรวาล และโดยความบริสุทธิ์แห่งจิตวิญญาณของเขาต่อหลุมพรางแห่งโลกีย์

๑๓

 ต่อมาพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพได้แต่งตั้งให้เขา เป็นผู้นำสารของพระองค์ และหลังจากที่ทูตเกเบรียล (ญิบรีล) ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เทวทูตได้กล่าวว่า

“จงอ่าน”

จากนั้น มุฮัมหมัดผู้ซึ่งไม่มีการศึกษาตอบว่า

 “ข้าพเจ้าอ่านไม่ได้”

เทวทูตได้เข้ามากอดรัดมุฮัมหมัดและกล่าวกับท่านอีกครั้งว่า

“จงอ่าน”

ต่อมาท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ก็สามารถอ่านได้ เกเบรียลได้เข้า

มากอดรัดท่านอีกครั้ง และบอกให้มุฮัมหมัดอ่านตามเขา และเขากล่าวว่า

“อ่านด้วยพระนามของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง! พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระองค์ทรงใจบุญยิ่ง พระองค์ได้ทรงสอนการใช้ปากกา ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้”

๑๔

การมองมาที่เกเบรียล (ญิบรีล) และสารของพระผู้เป็นเจ้าของเขา

กำหนดให้ “ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เจ้าเป็นผู้นำสารของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ และข้าคือเทวทูตของพระองค์”

 จากนั้นท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ได้ออกมาจากถ้ำ ฮิรออ์ ด้วยความปิติอย่างสูงสุด พร้อมกับมองขึ้นไปทั่วทุกมุมบนท้องฟ้าที่ปรากฏแสงของพระผู้เป็นเจ้า

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) พิจารณาและค้นหาแหล่งกำเนิดของการ

ดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งในพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงสมบูรณ์แบบและไร้มลทิน เมื่อท่านอยู่ลำพังเขาจะพูดกับพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) เช่นเดียวกับที่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงแต่งตั้งโมเสสแห่งยูดายและศาสดาอื่น ๆ อีกหลายพันคนเป็นผู้นำสารของพระองค์ เพื่อที่จะแก้ไขการกระทำต่างๆ ของประชาชาติเพื่อนำพวกเขาไปสู่พระเจ้าที่แท้จริงการให้เอกภาพและความสูงส่งเหนือสิ่งใดๆ ทั้งปวงแก่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)

๑๕

การสื่อสารเพื่อเปิดเผยความจริงระหว่างท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

กับพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ กินเวลานานถึง ๒๓ ปี จวบจนกระทั่งท่านนบี มุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้เสียชีวิตเมื่ออายุได้ ๖๓ ปี โองการศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมอยู่ในคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า “อัลกุรอาน” คัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นแนวทาง เพื่อนำมนุษยชาติทั้งหลายไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอันแท้จริง คัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่รวบรวมดำรัสของพระองค์

ผู้ทรงเดชานุภาพ ที่ได้แจ้งแก่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)

 ผู้นำสารของพระองค์ เพื่อที่จะถ่ายทอดให้แก่มนุษยชาติต่อไป

๑๖

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)กับการเชิญชวนไปสู่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ครั้งแรก

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)ได้รับมอบหมายภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์โดย

พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ มาตามลำดับ เช่นเดียวกับศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้าท่านอื่นๆ ในยุคก่อนหน้านี้ ในการถ่ายทอดสารของพระผู้เป็นเจ้าไปยังมนุษยชาติและเชิญชวนพวกเขาไปสู่เอกานุภาพ ซึ่งเรียกว่า“เตาฮีด” แต่ความแตกต่างระหว่างท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กับศาสนทูตก่อนนี้ ตามข้อเท็จจริงคือท่าน ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูตท่านสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ บนโลกนี้และไม่มีศาสนทูตอื่นต่อจากท่าน แนวทางในการเชิญชวนประชาชนได้มีโองการมายังท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ว่า:

ادْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ

) وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ( نحل ๑๒๕

“จงเชิญชวนไปสู่หนทางแห่งพระเจ้าของเจ้าด้วยสติปัญญาและคำสอนที่ดีและโต้แย้งกับพวกเขาด้วยวิธีที่ดีที่สุด"(บทอันนะฮ์ล์ โองการที่ ๑๒๕)

๑๗

จากนั้น คำแรกสำหรับการเชิญชวนมนุษยชาติไปสู่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพของเขา คือ :

(أيها الناس، قولوا لا إله إلا الله تفلحوا)

“พวกเจ้าจงกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ต้องเคารพภักดีนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ เพียงองค์เดียวเท่านั้น จึงจะถือว่าสำเร็จ”

ดังคำกล่าวที่ทรงคุณค่าว่า

"ศาสนาทุกศาสนามีหลักของตนเพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป เช่น

สำหรับลัทธิโซโรแอสเตรียน การพ้นจากบาปของมนุษย์จะต้องยึดมั่นอยู่ในหลักของ “การคิดดี พูดดีและทำดี”

ในนิกายหรือศาสนาอื่นๆ เชื่อว่า “สันติสุข” ถูกกำหนดให้เป็นการพ้นจากบาปของมนุษย์ หมายถึง การพ้นจากบาปของมนุษย์จะผ่านทางสันติสุข”

๑๘

 ส่วน “สันติสุข” คือการตระหนักว่าเราเข้าใจในสาเหตุแห่ง

“ความทุกข์” และการเข้าใจสาเหตุแห่ง “ความทุกข์” เราต้องได้รับความสามารถในการจำแนกแหล่งที่มาของความทุกข์ความสามารถนั้นเรียกว่า

“ปัญญา” และปัญญานั้นคือความรู้ที่ว่า ความทุกข์ทั้งหลายนั้นเกิดจากการเชื่อมโยงกัน และการเชื่อมโยงกันของตัวมันเองเกิดจากความกระหายและความปรารถนาในสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น รากฐานของศาสนาและลัทธิต่างๆเหล่านั้นคือ มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลา เขาต้องการคู่ครองและทายาท ต้องการทรัพย์สิน ความมั่งคั่งและอำนาจซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาเขาได้ค้นพบหลักนี้คือการเชื่อมโยงกันตามมาด้วยการแยกจากกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการแยกจากกันมีรูปแบบเดียวกับความทุกข์ ดังนั้น เพื่อให้มนุษย์สามารถกำจัดความทุกข์ออกไปได้ เขาต้องรู้จักจำแนกสาเหตุของ

มัน และพื้นฐานของนิกายดังกล่าวคือ มนุษย์จะปราศจากความต้องการในทุกสิ่งเพื่อให้บรรลุถึงสันติสุขชั่วนิรันดร์ และความหลุดพ้นนั้นเช่นเดียวกับเสรีภาพทางจิตวิญญาณ

๑๙

หรือตัวอย่างในศาสนาคริสต์ที่ได้ถูกเผยแพร่ในปัจจุบันนี้ ปัจจัยหลักในการพ้นจากบาปของมนุษย์ที่ตกอยู่ในกิเลส ความรักและเสน่หาโดยนำมาจากนิกายนี้ คุณต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เมตตาต่อท่านหรือผู้ที่ทำไม่ดีกับท่าน จากนั้นโลกจะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและทุกคนก็จะปลอดภัย

หลักของนิกายทั้งหมดที่ได้กล่าวมาสามารถนำไปประยุกต์ใช้โดย

มีเงื่อนไขว่า เขาจะต้องยึดถือหลักการให้เอกภาพ หากปราศจากการให้เอกภาพ “เตาฮีด” ความเห็นอกเห็นใจอาจจะเปลี่ยนเป็นความเสื่อมเสียและความอัปยศ และหากเราแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้กดขี่ข่มเหงและคนที่เป็นทาส มันก็จะกลายเป็นปรัชญาและความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือเป็นไปได้ว่าความเห็นอกเห็นใจและความเมตตากรุณาจะเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่เข้าใจได้ยากระหว่างผู้คนบนพื้นฐานของความปรารถนา โดยไม่คำนึงถึงความสามารถและบุญกุศล ถ้าเราทุกคนรักซึ่งกันและกัน

๒๐

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

สะกีนะฮ์บุตรสาวสุดที่รักของพี่ ซึ่งไม่เคยห่างจากพี่เลยแม้แต่วันเดียว หลังจากที่พี่จากไปแล้ว สะกีนะฮ์จะถามเธอว่า ‘พี่ไปไหน?’ ช่วยปลอบเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่ยังคงจำภาพที่เธอวอนขอน้ำจากอับบาส ได้อย่างแม่นยำ แต่หลังจากอับบาสต้องถูกสังหารไป สะกีนะฮ์ไม่เคยเอ่ยปากพูดอีกเลย หากเธอได้น้ำมาหลังจากที่พี่จากไปแล้ว โปรดมอบให้สะกีนะฮ์เป็นคนแรกที่ได้ดื่มน้ำนั้นเถิด”

ด้วยคำพูดนี้ ดูเหมือนว่าลำคอของท่านจะตีบตันจนไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก ท่านพยายามข่มอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และกล่าวว่า “พวกศัตรูรู้ดีว่า สะกีนะฮ์รักพี่มากเพียงใด? และพี่รักสะกีนะฮ์มากแค่ไหน? ฉะนั้นเพื่อตอบสนองความแค้นของมันที่มีต่อพี่

พวกมันอาจจะทุบตีสะกีนะฮ์ เพื่อให้ดวงวิญญาณของพี่ต้องทุกข์ทรมาน บางทีมันอาจจะปฏิบัติกับสะกีนะฮ์เยี่ยงนักโทษ แล้วพาเธอไปดูสถานที่ที่ร่างของพี่ถูกเท้าม้าเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี

๖๑

ซัยนับ! โปรดทำทุกอย่างที่สามารถจะช่วยให้สะกีนะฮ์

ได้คลายความทุกข์ทรมาน และพ้นจากภาวะวิกฤตินั้นด้วย”

ขณะที่อิมามกำลังพูดอยู่นั้น คำพูดทุกคำได้กรีดลึกลงไปบนหัวใจที่ปวดร้าวของท่านหญิง ร่างอันสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นไห้ สิ่งเดียวที่ท่านสามารถทำได้ในการตอบรับคำขอร้องสุดท้ายของพี่ชาย ก็คือ

เพียงการผงกศีรษะรับคำ

หลังจากนั้นชั่วครู่ อิมามได้กล่าวต่อว่า

 “ซัยนับ! พี่อยากจะกล่าวอะไรอีกมากมายกับเธอ ก่อนจะลาจากกันเป็นครั้งสุดท้าย แต่เวลาเหลือน้อยเต็มที น้องรัก!

พวกศัตรูจะปฏิบัติกับพวกเธอเยี่ยงนักโทษ

บางทีมันอาจจะบังคับให้พวกเธอเดินไปตามท้องถนนในกูฟะฮ์และดามัสกัส มันอาจจะกระชากผ้าคลุมผมของพวกเธอออก และพาเดินไปยังที่ชุมนุมของผู้คนมากมาย เพื่อให้พวกเธอรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

๖๒

พวกมันอาจจะล่ามโซ่ที่ข้อมือและข้อเท้า แม้กระทั่งอาจจะใช้แส้เฆี่ยนตีหรือหอกคอยทิ่มแทงอย่างไร

ความปรานี เพื่อเป็นการทรมานผู้หญิงและเด็กๆ ในครอบครัวของท่านศาสดาที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ จงอย่าหมดความอดทนเมื่อความทุกข์ทรมานเหล่านั้นมาถึง จงทำให้บรรดาผู้หญิงและเด็กๆ เกิดความกล้าหาญ และให้พวกเขาขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้มีกำลังใจ และมีความอดทนที่จะเผชิญกับความอัปยศอดสู การถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ระทมและความเจ็บปวด

ซัยนับ! จงจำไว้เสมอว่า พวกเราครอบครัวแห่งศาสดา จะต้องมีความเด็ดเดี่ยว ยืนหยัด พร้อมที่จะเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการทดสอบ โดยไม่ย่อท้อต่อความทุกข์ยาก”

เมื่ออิมามเงียบไป ท่านหญิงจ้องมองไปยังท่านด้วยดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตา พร้อมกับตอบ

ด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “ฮูเซน! ฉันให้สัญญากับท่านว่า ฉันจะทำทุกอย่างตามความประสงค์ของพี่

๖๓

พี่ชายที่รัก! โปรดขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานกำลังใจให้ฉันมีความกล้าหาญและอดทนต่อช่วงเวลาแห่งการทดสอบ ฮูเซน ที่รัก! ฉันสัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ จะรับภาระ

และรับผิดชอบในสิ่งที่พี่สั่งเสียและมอบหมาย ฉันจะแสดงให้โลกได้รับรู้ว่า ฉันคือน้องสาวของพี่ ลูกสาวของอะลีและฟาฏิมะฮ์ หลานของศาสนทูตแห่งอิสลาม”

คำตอบอันกล้าหาญของท่านหญิง ช่วยปลอบโยนหัวใจที่ปวดร้าวของอิมามฮูเซน ท่านได้กล่าวอวยพรและกล่าวตอบว่า

 “เธอจะต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน พวกเราทุกคนจะต้องถูกจองจำและได้รับความยากลำบากอย่างมากมาย

เมื่อเธอกลับไปยังมะดีนะฮ์หลังจากได้ถูกปล่อยตัวแล้ว

โปรดนำคำอำนวยพรของพี่ไปยังเพื่อนพ้องของพี่ทุกคน ที่จะมาแสดงความเสียใจกับเธอต่อการจากไปของพี่ โปรดบอกกับพวกเขาว่า คำกล่าวสุดท้ายของพี่ที่มีแก่พวกเขาคือ ‘พี่และบรรดาผู้ใกล้ชิดอันเป็นที่รัก ได้จากโลกนี้ไปโดยไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียวเพื่อดับความกระหาย’

๖๔

 จงบอกกับพวกเขาว่า ยามใดที่พวกเขานึกถึงพี่ บรรดาผู้ใกล้ชิด และสมาชิกในครอบครัวของพี่ จงอย่าลืมความหิวกระหายที่พวกเราได้รับ”

บรรดาสตรีในครอบครัวที่กำลังฟังคำสั่งเสียของอิมาม เต็มไปด้วยความโศกเศร้าสะเทือนใจ ทุกคนร่ำไห้ด้วยความขมขื่น บางคนที่กำลังวังชาของเขาได้หมดไปเพราะความหิวกระหาย ประกอบด้วยกับความทุกข์ระทมที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในวันนี้ ถึงกับเป็นลมล้มลงหมดสติ

อิมามยังกล่าวต่อว่า

“พี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกเธอว่า เมื่อเธอกลับถึงมะดีนะฮ์ โปรดบอกกับฟาฏิมะฮ์ ซุกรอ ลูกสาวสุดที่รักของพี่ว่า แม้พี่จะทิ้งเธอไว้ที่มะดีนะฮ์เพราะเธอกำลังป่วย พี่ก็ไม่เคยลืมเธอแม้แต่น้อย และระลึกถึงเธอเสมอตราบจนกระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิต โปรดนำความรักของพี่ไปมอบให้เธอและบอกกับเธอว่า มันได้ถูกกำหนดมาว่า การจากกันที่มะดีนะฮ์คราวนั้น เป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ เมื่อเธอทราบข่าวจากน้องว่า บรรดาลุง พี่ชายและญาติสนิทที่เดินทางออกจากมะดีนะฮ์มาคราวนั้นแล้ว จะไม่ได้มีชีวิตกลับไปอีก

๖๕

 ฟาฏิมะฮ์จะรู้สึกสะเทือนใจมาก จงช่วยปลอมโยนเธอ”

ด้วยคำพูดนี้ อิมามได้จบคำสั่งเสียของท่าน พี่ชายและน้องสาวสวมกอดซึ่งกันและกันเป็นครั้งสุดท้ายของพี่ชายและน้องสาว ที่มีความผูกพัน รักใคร่ และใกล้ชิดสนิทสนมกันมากที่สุด นับเป็นการกอดลาของพี่ชายและน้องสาวที่ทั้งสองต่างทราบดีว่า จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกจนชั่วชีวิต ท่านหญิงกอดอิมามไว้แนบแน่น เหมือนกับว่าไม่ต้องการให้ท่านจากไป เพราะทราบดีว่าท่านจะไม่ได้กลับมาอีกชั่วนิรันดร์

หัวใจทั้งสองกำลังร่ำไห้ สำหรับน้องสาวนั้น ด้วยกับความคิดที่ว่า การพลีชีพของพี่ชายกำลังใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ส่วนพี่ชายก็กำลังคิดถึงภาพที่ท่านต้องทิ้งเธอและสมาชิกในครอบครัว และบุตรชายที่

กำลังป่วยหนักไป

ท่านหญิงออกมาส่งอิมามและสังเกตเห็นสีหน้าท่าน ซึ่งท่านหญิงทราบทันทีว่าท่านกำลังรู้สึกอย่างไร

๖๖

ท่านหญิงจึงรีบรุดไปยังท่านและกล่าวว่า

 “ฮูเซน! ถ้าวันนี้ไม่มีใครเหลืออยู่ ที่จะช่วยส่งให้ท่านขึ้นบนหลังม้า โอ้ พี่ชายของฉัน! ฉันจะทำหน้าที่นี้ให้กับท่านเอง ขอให้ฉันได้ช่วยจับโกลนม้าให้ท่านเถิด”

ก่อนที่ท่านอิมามจะกล่าวอะไร ท่านหญิงได้ตรงเข้าไปช่วยจับโกลนม้าไว้ ท่านได้ขอบคุณ และก้าวขึ้นบนหลังม้า

 ท่านอิมามขอร้องท่านหญิงให้กลับเข้าไปในค่ายพัก เพื่อช่วยเหลือปลอบโยนบรรดาสตรีและเด็กๆ ผู้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป

ท่านหญิงทำตามคำขอร้องโดยกลับมายังที่พัก เพื่อเริ่มต้นภาระหน้าที่ ซึ่งจากวินาทีนั้นเป็นต้นมาจะต้องตกอยู่ในความรับผิดชอบของท่านแต่ผู้เดียว

ก่อนที่อิมามจะออกจากค่ายไป ท่านหญิงได้เดินตามมาและขออนุญาตจุมพิตที่ต้นคอของท่าน

ซึ่งท่านศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าเคยกระทำเช่นนี้เป็นประจำ ท่านหญิงทราบดีว่าบริเวณนี้เองที่ ชิมร์จอมโหด จะบั่นศีรษะของท่านออกจากร่าง

๖๗

ในทำนองเดียวกัน ท่านอิมามก็ได้ขออนุญาตจุมพิตที่ข้อมือของ

ท่านหญิง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า หลังจากท่านจากไป ท่านหญิงจะถูกจับเป็นเชลยและถูกมัดข้อมือทั้งสองข้างของท่าน มันเป็นการพรากจากกันที่แสนปวดร้าว ซึ่งไม่เคยมีครั้งใดในโลกที่จะเสมอเหมือน

ทันทีที่ท่านหญิงกลับเข้าไปในค่ายพัก อิมามฮูเซนกระตุกสายบังเหียนให้ ‘ซุลญะนา’ ออกวิ่งแต่ม้าซุลญะนาไม่ยอมขยับตัวและยังคงยืนอยู่กับที่เหมือนมีอะไรมาตรึงมันไว้ น่าประหลาดใจในอาการของซุลญะนาเป็นอย่างอย่างยิ่ง ท่านอิมามเข้าใจว่ามันได้รับบาดเจ็บขณะที่ออกไปในสนามรบ ทุกครั้งที่บรรดาผู้ชายของท่านต้องเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซุลญะนาไม่ได้กินอาหารและน้ำมาเป็นเวลาสามวันแล้ว เหมือนกับบรรดาสมาชิกในครอบครัวของท่านเช่นกัน

ซุลญะนายังคงอยู่ในท่าทางที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้จะพูดไม่ได้ แต่มันก็แสดงให้เข้าใจด้วย

๖๘

การก้มหัวลงกับพื้น ด้วยอาการเช่นนี้ทำให้ท่านอิมามมองเห็นสะกีนะฮ์บุตรสาวของท่าน กำลังกอดขาซุลญะนาไว้แน่นพร้อมกับร่ำไห้ครวญคราง ด้วยกับการขาดอาหารและน้ำ ทำให้เธอหมดแรงและอ่อนเพลีย จนท่านอิมามแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย

ท่านอิมามกระโดดลงมาจากหลังม้าทันที แล้วอุ้มสะกีนะฮ์ไว้ในอ้อมกอดและนั่งลงกับพื้น ราวกับว่าจะไม่มีอะไรมาแยกท่านจากกันได้อีก ทั้งสองต่างตกอยู่ในความรู้สึกที่สะเทือนใจอย่างยิ่ง

สะกีนะฮ์จ้องมองที่ดวงตาของบิดา พร้อมกับกล่าวว่า

“โอ้พ่อจ๋า! โปรดบอกกับลูกหน่อยเถิดว่า ท่านมิได้กำลังจะ

จากไปเป็นครั้งสุดท้ายและจะไม่กลับมาอีก ท่านไม่ได้กำลังจะจากสะกีนะฮ์ของท่านไปชั่วนิรันดร์ใช่ไหมคะ?

โอ้พ่อจ๋า! ลูกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

ท่านอิมามสะท้านด้วยกับคำวิงวอนอันไร้เดียงสาของบุตรสาวที่ท่านรักมากกว่าอะไรทั้งหมด

๖๙

ท่านทราบดีว่า อะไรคือชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเธอ ด้วยความพยายามควบคุมอารมณ์อย่างที่สุด ท่านจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับกล่าวว่า

“โอ้ สะกีนะฮ์ลูกรักของพ่อ! พ่อจะอธิบายกับลูกอย่างไรดี ว่าพ่อจำเป็นต้องออกไปพบกับความตายเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในครอบครัวของเราได้กระทำกันไปแล้ว ลูกยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่า รางวัลตอบแทนของมันเป็นอย่างไร?

 ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ทุกชีวิตที่ดำรงอยู่นี้ก็ต้องดับสูญไปในไม่ช้าก็เร็ว พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร ได้ลิขิตไว้แล้วว่า

มนุษย์ เราจะต้องเจ็บปวดกับการดำรงไว้ซึ่งสัจธรรม เด็กน้อยของพ่อ! อย่าฉุดรั้งพ่อไว้เลย ด้วยกับรอยยิ้มจากริมฝีปากอันไร้เดียงสาของลูก จงกล่าวอำลาต่อพ่อเถิด! เพื่อว่าในไม่ช้าลูกจะได้ติดตามพ่อไปยังสวนสวรรค์ ซึ่งที่นั่นคือ บ้านอันนิรันดร์ของเรา”

คำกล่าวของท่านอิมาม ประดุจดังสิ่งที่ปลุกความหวังให้เกิดขึ้นในหัวใจ เธอจึงกล่าวว่า “พ่อจ๋า!

๗๐

ท่านพูดว่าลูกจะได้ไปอยู่รวมกับท่านในสวนสวรรค์ในวันหนึ่งข้างหน้านี้ สัญญากับลูกนะคะว่า ท่านจะวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดทำให้การพรากจากกันของเราสิ้นสุดลงโดยเร็ว และให้ลูกได้ไปอยู่ร่วมกับพ่อในสวนสวรรค์ โดยไม่ต้องพรากจากกันอีกตลอดไป” ด้วยคำกล่าวนี้ สะกีนะฮ์จึงโอบกอดบิดาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เป็นความจริงว่า เวลาใกล้เข้ามา จนได้ยินเสียงร้องตะโกนจากกองทัพของศัตรู ด้วยความพยายามที่จะควบคุมตนเองอย่างที่สุด ท่านอิมามได้กล่าวกับสะกีนะฮ์ว่า

 “สะกีนะฮ์ลูกสาวสุดที่รักของพ่อ! พ่อสัญญาว่าจะทำตามที่ลูกขอร้อง โอ้ลูกรัก! ลูกก็ต้องให้สัญญากับพ่อว่า ลูกจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดทุกข์ยากด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว จงจำไว้ว่า ถ้าลูกร้องไห้คร่ำครวญถึงพ่อมากเท่าไร อาซัยนับของลูก ซึ่งขณะนี้ได้รับความบอบช้ำและปวดร้าวอย่างมาก และต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบทุกอย่างหลังจากพ่อจากไป จะต้องหัวใจแตกสลายกับการเสียใจและการร่ำไห้คร่ำครวญของลูก”สะกีนะฮ์พึมพำอย่างแผ่วเบาว่า

๗๑

 “พ่อจ๋า! ลูกให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างตามที่พ่อต้องการ”

เธอ

ได้ซุกศีรษะกับอกของผู้เป็นบิดา ร่ำไห้อย่างแผ่วเบาชั่วครู่ เธอค่อยๆ ลุกขึ้น จูบลาและถอยมายืนอยู่ข้างๆซุลญะนา

 เธอมองดูซุลญะนาควบออกไป ท่านอิมามเหลียวหลังกลับมามองเธอ เป็นการแสดงความรักอย่างสุดซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้ยกมือน้อยๆ ของเธอขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย

ท่านหญิงซัยนับ ได้ยินเสียงพี่ชายของท่านควบม้าออกไปจากค่าย ท่านไม่สามารถอดใจไว้ได้ จึงยกม่านที่ปิดบังประตูที่พักไว้ เฝ้ามองตามไปอย่างไม่ละสายตา

ท่านหญิงเฝ้ามองดูการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพี่ชาย พร้อมกับนึกสรรเสริญในความกล้าหาญและความสามารถในการรบของท่านอิมาม ที่ทำให้กองทัพของศัตรูต้องแตกกระเจิง

๗๒

 ท่านอิมามได้ควบม้าพุ่งทะยานไปอย่างเร็ว ในที่ซึ่งท่านหญิงไม่อาจมองเห็นท่านได้ ท่านหญิงในชุดคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงวิ่งออกมาจากค่ายพักไปยังเนินทรายเล็กๆ ใกล้กับค่ายพักนั่นเอง เพื่อว่าจะได้มองเห็นภาพในสนามรบอย่างชัดเจน เนินทรายนี้ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม‘เนินทรายของซัยนับ ’ ณ ที่นี้ท่านได้มองเห็นพี่ชายของท่านนอนหมดสติแน่นิ่งบนพื้นทราย ที่แผดเผาด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ ซุลญะนายืนคุ้มกัน ท่านอิมามด้วยการก้มหัวลงมายังท่าน ท่านหญิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น

 ท่านหญิงเฝ้าดูเหตุการณ์โดยตลอด มองเห็น อุมัร บุตรของสะอัด และชิมร์ เหยียบไปบนหลังของท่านอิมามพร้อมกับดาบในมือของมัน ด้วยความพยายามที่จะรักษาชีวิตของท่านอิมาม ท่านจึงตรงไปยังที่ซึ่งท่านอิมามนอนอยู่นั้น และได้เผชิญหน้ากับอัมร์ และกล่าวว่า “โอ้ อุมัร บุตรของสะอัด!

ฉันขอร้องเจ้าในฐานะหลานของศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า

ให้เจ้าจงไว้ชีวิตพี่ชายของฉัน”

๗๓

อุมัรกลับเมินหน้าหนีไปจากท่าน แต่ท่านหญิงก็ตามไปและกล่าวอีกว่า “โอ้ ลูกของสะอัด บุตร อบีวักก็อซ

อุมัร! เจ้าจะยืนอยู่ตรงนี้และมองดูพี่ชายของฉันถูกสังหาร โดยไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดเดียวกระนั้นหรือ?

ด้วยนามของพระผู้เป็นเจ้า ฉันขอร้องให้เจ้าไว้ชีวิตพี่ชายของฉัน” มันยังคงยืนนิ่งเงียบราวกับว่ามันไม่ได้ยินคำขอร้องของท่านเลย

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของท่านอิมามโดยตลอด มากเท่ากับความเจ็บปวดที่ได้รับ ท่านไม่สามารถมองเห็นน้องสาวของท่านกำลังถูกลดเกียรติ โดยคำขู่ตะคอกของ อิบนิ สะอัด

ท่านตระหนักดีว่า น้องสาวของท่านจะไม่สามารถทนเห็นภาพที่ศีรษะของท่านกำลังจะถูกตัดออกจากร่างไปต่อหน้าต่อตา ได้รวบรวมกำลังทั้งหมดที่ยังเหลือยู่ ท่านพยายามเปล่งเสียงอันดังว่า “น้องสาวของพี่! พี่ขอร้องให้เจ้ากลับไปยังที่พักโดยเร็ว เพื่อเห็นแก่ความรักที่เธอมีต่อพี่ จงรีบกลับไปยังค่ายพัก มันจะทำให้พี่ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ถ้าเธอจะยังคงอยู่ตรงนี้ต่อไป”

๗๔

ท่านหญิงซัยนับจึงรีบกลับไปยังที่พัก ร่ำไห้คร่ำครวญอย่างไม่อาจทนได้ เมื่อมาถึงที่พักท่านตรงไปยังกระโจมของหลานชาย ซึ่งนอนป่วยหนักอยู่บนเตียง ปลุกให้ตื่นและเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาท่านช่วยพยุงและพามาที่หน้ากระโจม

ทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความสงบนิ่งโดยไม่มีคำพูดใดๆ ในขณะนั้น ท่านรู้สึกราวกับว่า แม้แต่สรรพสิ่งในธรรมชาติ ก็กำลังร่วมทุกข์ระทมกับพวกท่าน ได้เกิดมีลมกรรโชกอย่างหนัก พัดเอาฝุ่นทรายที่

ถูกแผดเผาด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ ปลิวคลุ้งไปทั่วบริเวณ มันได้พัดน้ำในแม่น้ำยูเฟรติส เป็นระลอกคลื่นที่เชี่ยวกราก พร้อมกับมีเสียงฟ้าคำรามตามมาอย่างน่าสะพึงกลัว ภาพไกลออกไปในฝุ่นทรายที่ปลิวว่อนฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ท่านทั้งสองได้มองเห็นศีรษะของอิมามฮูเซน เสียบอยู่ที่ปลายหอก ได้ยินเสียงกลองในกองทัพของยะซีดได้ตีประโคมประกาศยุติการต่อสู้

๗๕

ท่านหญิงหวีดร้องครวญคราง “ยาฮูเซน ยาฮูเซน! ใน

ที่สุดพวกมันก็ได้สังหารท่าน พวกมันบั่นศีรษะของท่านโดยที่ท่านไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่เพียงหยดเดียว”

เมื่อจบคำพูด ท่านก็แน่นิ่งหมดสติลงในอ้อมแขนของหลานชาย

อิมามซัยนุลอาบิดีน ค่อยๆ วางท่านหญิงลง พร้อมกับก้มศีรษะกราบลงบนพื้นและกล่าวว่า “โอ้ อัลลอฮ์! ข้าพระองค์ขอมอบหมายตามที่

พระองค์ทรงประสงค์ เรามาจากพระองค์ และ ณ พระองค์เท่านั้นคือที่คืนกลับ” (อัล กุรอานบทที่ ๒โองการที่ ๑๕๖)

หลังจากสังหารท่านอิมามแล้ว ชิมร์ได้รุดไปยังค่ายพัก เพื่อที่จะสังหารอิมามซัยนุลอาบิดีน บุตรและทายาทผู้สืบทอดของอิมามฮูเซน ด้วยความกล้าหาญของท่านหญิงซัยนับ ที่ได้ช่วยปกป้องชีวิตของหลานชายไว้ ด้วยการยืนกั้นระหว่างอิมามซัยนุลอาบิดีนและฆาตกร

ในขณะที่ศีรษะของอิมามฮูเซน ถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก บรรดาปีศาจได้หยุดแกว่งไกวดาบของพวกมัน โดยหันไปสาละวนอยู่กับการกระทำที่หยาบช้าน่ารังเกียจ ม้าถูกควบขี่กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง

๗๖

ทหารม้าได้รับคำสั่งให้ควบม้าเหยี่ยบย่ำไปบนร่างของบรรดาผู้สละชีพ และบดขยี้ร่างที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นดินนั้น

ก้าวต่อไปของพวกมัน คือพุ่งจุดสนใจไปยังค่ายพักของอิมามฮูเซน ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงสตรีที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ที่กำลังร่ำไห้กันอยู่ เด็กๆ ส่งเสียงร้องเรียกตะโกนหาด้วยความตกใจ

และอิมามซัยนุลอาบิดีนกำลังป่วยหนัก นอนหมดสติด้วยพิษไข้ พวกมันได้เข้ามาปล้นสะดมและจุดไฟเผาค่ายพัก

บรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์และเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา พากันวิ่งไปวิ่งมาระหว่างกระโจมที่กำลังถูกไฟโหมไหม้ พวกเด็กๆ บางคนสูญหายไปในกองเพลิง พวกมนุษย์ใจสัตว์ได้จับเอาผู้หญิงและเด็กๆ เป็นเชลย อิมามซัยนุลอาบิดีนที่กำลังอ่อนเพลียด้วยอาการไข้ ถูกล่ามโซ่ตรวนที่หนักอึ้ง

๗๗

หลังจากสมใจกับการสังหารแล้ว พวกมันก็ละทิ้งร่างของอิมามฮูเซนและบรรดาผู้สละชีพไป โดยมิได้ฝังศพของพวกเขา กองกำลังปีศาจได้ละออกจากท้องทุ่ง ‘กัรบะลา’ มุ่งหน้าไปยัง ‘กูฟะฮ์’ และต่อไปยัง ‘ดามัสกัส’ พร้อมกับกองคาราวานของบรรดาเชลย ซึ่งเป็นครอบครัวของท่านศาสดา.

บทที่ ๘

ค่ำคืนวิปโยค

ฝุ่นทรายหนาทึบที่ยังคงปกคลุมอยู่เหนือท้องทะเลทรายแห่งกัรบะลาอ์ ในขณะที่ ดวงอาทิตย์ กำลังจะลับขอบฟ้า เหตุการณ์ในวันนั้น การสังหารหมู่ของ ‘วิญญาณอันบริสุทธิ์’ ได้โปรยปรายความ

โศกเศร้าไปทุกหย่อมหญ้าของท้องทะเลทรายนั้น

๗๘

ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยเงียบสงบอย่างน่าสะพึงกลัว ปีแล้วปีเล่า! ได้ถูกทำลายลงด้วยเสียงประโคมของกลองที่เฉลิมฉลองชัยชนะ ในความสำเร็จ เพราะกองทัพที่มีเสบียงพร้อมมูล ทหารที่ถูกจัดเตรียมมาอย่างดี เพื่อต่อสู้กับนักรบชั้นเยี่ยมผู้กล้าหาญซึ่งมีจำนวนเพียง

หยิบมือ ซ้ำยังไม่ได้มีอาหารและน้ำตกถึงท้องมาสามวันแล้ว

แต่ละท่านได้ต่อสู้ไปบนทุกตารางนิ้วของพื้นทราย ด้วยการแสดงออกถึงความองอาจเยี่ยงวีรบุรุษ ซึ่งจะยังคงจารึกไว้โดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนได้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

เมื่อเสียงกลองสงบลง พายุทรายได้พัดพาเอาเสียงร้องครวญครางจากกระโจมที่ล้มคว่ำลงมา

กองกับพื้น บ้างก็ถูกปล้นสะดม ถูกเผา เก็บริมของมีค่าไปจนหมดสิ้น กระโจมที่ว่านี้คือค่ายพักของอิมาม

ฮูเซน เสียงร้องครวญครางที่มาจากกระโจมนั้น เป็นเสียงของบรรดาสตรีและเด็กๆ ในครอบครัวของท่านศาสดา ผู้ซึ่งได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส สุดจะบรรยาย ถูกลดเกียรติด้วยน้ำมือของบ่าวรับใช้ที่มีแต่ความโลภของยะซีด

๗๙

ไม่นานนักหลังจากการถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดของอิมามฮูเซน ทหารของยะซีดพากันบุกเข้าไปในค่ายพัก ที่ซึ่งบรรดาสตรีและเด็กไม่สามารถปกป้องตนเองได้ของอิมามฮูเซนและผู้ใกล้ชิดของท่าน

พำนักอยู่ ทหารที่มีแต่ความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อน ได้แย่งชิงแม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ไม่มีอะไรมีค่ามากมายอย่างที่ พวกมันคิด ลูกชายของอะลีและฟาฏิมะฮ์ ไม่นิยมใช้ของฟุ่มเฟือย ดังนั้นสิ่งที่มันได้พบในกระโจมจึงทำให้พวกมันผิดหวังอย่างมาก เสื้อที่ทำจากฝ้ายเนื้อหยาบๆ ที่พวกมันฉกฉวยไปนั้น ไม่มีราคาค่างวดอะไรสำหรับพวกมัน แต่มันมีค่ามากมายต่อจิตใจของบรรดาสตรีและเด็กๆ ที่ถูกแย่งชิงไป เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่นั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ จะถักทอด้วยมือของท่านเอง เปลไม้เล็กๆ ที่พวกมันฉกชิงไปนั้น

มีค่าต่อจิตใจของมารดาของอะลี อัสกัร อย่างยิ่ง เพราะมันจะเป็นเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงทารกน้อยที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร ในอ้อมแขนของบิดา โดยที่ต้นคอของเขาถูกปักด้วยลูกธนูจาก ฮัรมะละฮ์

๘๐

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132