ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี42%

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 132

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 132 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 40932 / ดาวน์โหลด: 7858
ขนาด ขนาด ขนาด
ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ตอนนี้เราขอกล่าวถึงตัวอย่างลักษณะอันทรงคุณค่าของท่านนบี

มุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ดังนี้

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และการรณรงค์เกี่ยวกับผู้ที่ต่อต้านการไม่รู้หนังสือของท่าน

หนึ่งในเป้าหมายหลักของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) คือการส่งเสริมให้ผู้คนรู้หนังสือ ท่านตระหนักดีต่อการแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวางของการไม่รู้หนังสือในหมู่ชนของท่าน ซึ่งถือว่าการไม่รู้หนังสือเป็นเหตุผลหลักของเบื้องหลังการทุจริตต่างๆ การออกนอกลู่นอกทางและความอยุติธรรม

ท่านได้หยิบยกคำพูดที่ว่า :

طلب العلم فریضة علی كل مسلم ومسلمة

“การแสวงหาความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมุสลิมชายและหญิงทุกคน”

๔๑

ท่านส่งเสริมแม้กระทั่งให้มุสลิมหาความรู้และศาสตร์จากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมในประเทศอื่นๆ

اطلبوا العلم ولو بالصین

“จงแสวงหาความรู้แม้กระทั่งอยู่ในประเทศจีน”

หรือท่านส่งเสริมให้ชาวมุสลิมแสวงหาความรู้แม้กระทั่งจากคนนอกศาสนาและคนที่ไม่ใช่มุสลิม เพื่อที่จะส่งเสริมให้ผู้ที่มีความรู้เผยแพร่ความรู้ให้หมู่ชนของตนต่อไป

ดังที่ท่านเรียกว่า การสอนหนังสือเป็นการให้ทานแก่ผู้อื่น :

العلم صدقة ان یعلم المرء علما ثم یعلمه اخاه

“ความรู้จะถือเป็นทานได้โดยที่ คนหนึ่งได้รับวิชาความรู้มา และ

นำไปสอนให้แก่พี่น้องมุสลิมของเขา”

ความรู้คือสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ดังนั้น

ท่านจึงสั่งให้สหายของท่านปล่อยตัวเชลยสงครามที่สอนมุสลิมให้อ่านออกและเขียนได้

๔๒

จริยธรรมและการกระทำของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ)ในการเข้าสังคม

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) จะร่าเริงและยิ้มแย้มเสมอเมื่อท่านอยู่

กับผู้อื่น แต่เมื่อท่านอยู่เพียงลำพัง ท่านจะตกอยู่ในด้านที่เศร้าหมองและครุ่นคิด ท่านจะลดสายตาลงต่ำเสมอและไม่จ้องหน้ากับบุคคลอื่น ท่านกล่าวทักทายกับผู้อื่นก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ ท่านไม่เคยเหยียดขาของท่านออกไปเมื่อท่านนั่งอยู่กับผู้อื่น

ท่านมักจะสมาคมกับคนยากคนจนและคนขัดสนและแบ่งปันอาหารของท่านให้แก่พวกเขา ขณะรับประทานอาหาร ท่านไม่เคยพิงหรือนั่งบนที่สูงหรือสิ่งอื่นใด ท่านรังเกลียดผู้ที่ยืนขึ้นเพื่อเคารพท่าน เมื่อท่านมาถึงที่ใดที่หนึ่ง ท่านจะนั่งลงตรงที่ที่มีที่ว่างก่อน ท่านจะไม่ขัดเมื่อผู้ใดกำลังพูดอยู่ อีกทั้งท่านจะพูดน้อยแต่มีสาระ ท่านจะพูดอย่างแคล่วคล่องและใจเย็น และท่านไม่เคยดูถูกคน ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) มักไปเยี่ยมเยียนคนป่วยเสมอ ท่านเป็นผู้ที่มีร่างกายและเสื้อผ้าที่สะอาดที่สุด

๔๓

 และท่านทำความสะอาดผมของท่านด้วยสมุนไพร ใบพุทรา และชโลมน้ำมันลงบนผมซึ่งปกมาถึงใบหูของท่าน

ท่านใช้ชะมดและน้ำมันสกัดจากปลาวาฬเพื่อทำให้ร่างกายของท่านมีกลิ่นหอม ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ท่านก็จะมีกลิ่นกายที่หอมตลอดเวลา ท่านส่งเสริมให้ผู้คนจ่ายเงินเพื่อซื้อน้ำหอมมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ซึ่งการจ่ายเงินเพื่อซื้อน้ำหอมเป็นจำนวนมากๆ ไม่ถือว่าเป็นการฟุ่มเฟือย(อิสรอฟ)

เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ในการใช้เงินของท่านเพื่อซื้อเครื่องหอมและใส่มันมากกว่าเงินที่ท่านใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารของท่าน การแปรงฟันถือเป็นสิ่งหนึ่งในการดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ท่าน

นบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพช่องปากและการแปรงฟัน ดังกล่าวนั้น ฟันของท่านจึงขาวและสะอาดอยู่เสมอ และท่านส่งเสริมให้ผู้คนทำเช่นเดียวกับที่กล่าวว่า

“ทำให้ปากของท่านมีกลิ่นหอมโดยการแปรงฟังของท่านเถิด”

ท่านให้ความสำคัญต่อการสร้างจิตวิญญาณให้มั่นคงและถูกต้อง

มากเท่ากับที่ท่านให้ความสำคัญกับสุขภาพที่ดีและร่างกายที่สะอาด

๔๔

 และท่านยังได้กล่าวว่า

“ความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นสัญลักษณ์ของคนดี”

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ชื่นชอบดอกไม้ต่างๆ มาก

อิมามอะลีได้อ้างถึงโดยการกล่าวว่า

“วันหนึ่งศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ขณะที่ท่านถือดอกกุหลาบไว้ในมือของท่าน ท่านได้มาหาข้าพเจ้าและให้ดอกกุหลาบทั้งหมดแก่ข้าพเจ้า พร้อมกับกล่าวว่า กุหลาบเป็นดอกไม้ที่ดีที่สุดในสวรรค์”

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ยังได้ดำรัสว่า

“เมื่อไรก็ตามที่ท่านได้รับดอกไม้เป็นของขวัญ ให้ดมกลิ่นของมันและวางมันไว้ในสายตาของท่าน”

การให้ของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับท่าน และท่านได้กล่าวเสมอว่า เมื่อเจ้าออกเดินทางและเมื่อเจ้าเดินทางกลับ เจ้าต้องนำของขวัญมาฝากครอบครัวของเจ้า ถึงแม้ว่าของขวัญนั้นจะเป็นเพียงก้อนหิน ตัวท่านเองก็ยอมรับของขวัญชิ้นนั้นเสมอแม้มันจะเป็นนมเพียงแค่หนึ่งจิบ

๔๕

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นผู้มีเมตตาธรรมอย่างยิ่งและให้อภัยต่อผู้ที่กระทำชั่วและเคยแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อท่าน ท่านเลือกที่จะให้อภัยมากกว่าที่จะแก้แค้น และท่านได้เชิญชวนให้ผู้คนให้อภัยต่อผู้ที่ทำผิด ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นสัญลักษณ์แห่งการให้อภัย วันหนึ่งหลังจากปีที่ท่านและสหายของท่านจำนวนหนึ่งหมื่นสองพัน

คนพิชิตเมกกะและกลับมายังเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อเป็นการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของหนึ่งในสหายของท่าน เพื่อทำการแก้แค้นชาวเมกกะในสิ่งที่พวกเขาทำผิด ท่านได้กล่าวว่า

“วันนี้เป็นวันแห่งการให้อภัยและให้พร”

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)กล่าวกับบรรดาผู้ที่ประพฤติชั่วและทรมานท่านและสหายของท่าน รวมถึงผู้ที่สังหารสหายของท่าน ซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าท่าน ในขณะที่เป็นผู้ถูกพิชิตพร้อมกับกล่าวว่า

“เจ้าทรมานข้าพเจ้าและสหายของข้าพเจ้าในเมืองนี้และเจ้าได้

ทำการล้อมกรอบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงกับพวกเราในหุบเขาชาบีอะบีฏอเล็บ และการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าพเจ้าและสหาย ไม่มีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะกระทำกับเจ้าหรือ”

๔๖

คำตอบของชาวเมกกะ คือ การขอความเมตตาจากท่าน จากนั้น

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :

انتم الطلقاء الي الله

“พวกเจ้าทั้งหมดเป็นอิสระ จงผินหน้าของพวกเจ้าไปยังพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงเดชานุภาพเถิด”

และท่านอภัยโทษให้กับพวกเขาทั้งหมด เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้น

เสมอในช่วงสงคราม ฝ่ายชนะจะถือไฟเพื่อต้อนฝ่ายที่แพ้ให้รวมเป็นกลุ่มก้อน แต่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตาและ

การให้อภัยต่อศัตรูผู้พ่ายแพ้และถูกพิชิต ท่านได้แสดงถึงพลังแห่งความเป็นผู้นำที่คงอยู่ในการรับใช้มวลชนในสังคมสำหรับความโปรดปรานการพัฒนาของพวกเขา และความเป็นผู้นำจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อแห่งความเป็นกลางทางการเมืองของตนและความเห็นแก่ตัว สำหรับบุคลิกและลักษณะที่ดีเลิศของท่านนบีมุฮัมหมัด

(ซ็อลฯ)

๔๗

เลโอ ตอลส์ตอย นักเขียน และนักปราชญ์ชาวรัสเซีย ที่มีชื่อเสียง กล่าวว่า

“ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นศาสดาที่ดีที่สุดของศาสนาอิสลามที่ควรค่าแก่การเคารพและให้เกียรติ ศาสนาของท่านจะแผ่กระจายไปทั่วโลก ขอบคุณต่อพันธะสัญญาที่พร้อมด้วยความปราดเปรื่องและชาญฉลาด”

ศาสตราจารย์ วิลล์ ดูแรนต์ นักเขียนและนักประวัติศาสตร์

ชาวอเมริกา ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

“ถ้าเราประเมินผลผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผู้คน เราขอกล่าวว่า

ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ท่านพยายามที่จะยกระดับความรู้และจริยธรรมของคนที่ป่าเถื่อน (ในภูมิภาคที่มีอุณหภูมิสูงและความแห้งแล้งของทะเลทราย)ท่านได้บรรลุความสำเร็จดังกล่าวนี้ที่เป็นมากกว่าความสำเร็จใดๆ ในการปฏิรูปสังคมโลก เราแทบจะพบผู้ซึ่งได้เติมเต็มมูลเหตุแห่งศาสนาอย่างท่านได้น้อยมาก ท่านประสบความสำเร็จตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูต

๔๘

 ท่านได้รวบรวมเผ่าที่ไม่เลื่อมใสในศาสนาเพื่อจัดตั้งเป็นอุมมะห์

(ประชาชาติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) ท่านได้แจ้งถึงหลักการพื้นฐานที่ชัดแจ้งและแข็งแกร่ง และความเชื่อทางศาสนาที่ยึดถือความกล้าหาญและการเห็นคุณค่าในตนเองซึ่งทรงคุณค่ามากกว่าศาสนายิว ศาสนาคริสต์และบรรดาศาสนาเก่าๆของดินแดน

อาระเบียกลุ่มชนรุ่นต่อไปของอุมมะห์

 ประชาชาติอิสลามผู้ครอบครองชัยชนะเหนือศัตรูในการสู้รบ

๑๐๐ ครั้ง ได้สร้างจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงหนึ่งศตวรรษและในยุคร่วมสมัยเป็นอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด"

๔๙

การดูแลบรรดาเด็กๆและเด็กกำพร้า

ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นผู้ที่มีความเมตตาอย่างยิ่งต่อบรรดา

เด็กๆ และท่านกล่าวเสมอว่า

“จงให้ความเมตตาและความรักต่อบรรดาเด็กๆและเยาวชนของเจ้า”

วันหนึ่งเด็กกลุ่มหนึ่งเห็นศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และเด็กๆ ได้เข้ามารายล้อมอยู่รอบตัวท่านและพูดกับท่านว่า

“โอ้ ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ท่านไม่เคยให้สิทธิ์แก่พวกเรา”

ท่านตอบว่า

“สิทธิ์อะไรที่พวกเธอพูดถึง”

พวกเขากล่าวว่า

“ท่านแสดงความเมตตาต่อหลานชายของท่านคือฮะซันและฮุเซนและท่านแบกพวกเขาไว้บนบ่าของท่านและท่านไม่เคยแบกพวกเราไว้บนบ่าเลย”

๕๐

ถึงแม้ว่าศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) จะเป็นศาสดาแห่งอิสลามและ

เป็นผู้นำชุมชนมุสลิมทั้งหมด แต่ท่านบอกให้เด็กๆ ปีนขึ้นไปบนบ่าของท่านทีละคนและพาพวกเขาเดินไปตามถนน ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่เด็กกำพร้าในสังคมที่ซึ่งพวกเขาถูกดูถูกดูแคลน ท่านสอนให้ผู้คนดูแลเด็กกำพร้าและรับเป็นผู้ปกครองของพวกเขา นอกเหนือจากที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน

ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“ผู้ที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้าในสรวงสวรรค์ดังเช่นนิ้วมือทั้งสอง”

ความเคร่งครัดในศาสนาและความน่าเลื่อมใส

ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้จำกัดตนเองออกจากสิ่งที่ไม่จำเป็น

ในการดำรงชีวิต ท่านนั่งบนเสื่อฟางและมีหมอนที่บรรจุด้วยเส้นใยจากต้นอินทผลัม อาหารของท่านส่วนใหญ่เป็นเพียงขนมปังและผลอินทผลัมเท่านั้น

๕๑

 ท่านไม่เคยมีอาหารเพียงพอ สำหรับบริโภค สามวันติดต่อกัน และได้รับการกล่าวจากภรรยาของท่านว่า บางครั้งไม่มีอาหารหลงเหลือเพื่อจะนำมาปรุงเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ท่านได้ขี่ม้าหรือสัตว์อื่นที่ใช้สำหรับขี่โดยปราศจากอาน และตัวของท่านมักซ่อมแซมเสื้อผ้าและรองเท้าของท่านและรีดนมแพะด้วยตัวของท่านเสมอ ท่านเชื่อว่า โลก เป็นที่แห่งความยากลำบากและความอุตสาหะอย่างแสนสาหัส เนื่องจากท่านได้รับการบอกกล่าวจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ ว่า

ولقد خلقنا الانسان فی کبد

(البلد/ ๔)

 “แน่นอน เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้อยู่ในความยากลำบาก”

 หรือในดำรัสอีกประการหนึ่งที่บอกว่า:

( فَإِنَّ مَعَ الْعُسْرِ يُسْرًا (الشرح/ ๕

“แท้จริงพร้อมกับความยากลำบากนั้นก็มีความง่าย”

กล่าวคือ มนุษย์สามารถได้รับการบรรเทาในการกลับมามีชีวิตครั้ง

ต่อไป สิ่งนี้ได้มีการกล่าวถึงสองครั้งในคัมภีร์อัลกุรอาน

๕๒

ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำคัญที่กำหนดโดยพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพว่า โลกเป็นที่สำหรับสร้างความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณเพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับโลกหน้า

ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กล่าวกับอัครสาวกของท่านเสมอว่า

ความยากลำบากจะนำไปสู่จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของมนุษย์

ท่านได้เพิ่มเติมว่า :

الفقر فخري

ความยากจนเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้าเสมอ

ท่านสอนให้สหายของท่านช่วยเหลือคนยากจนและผู้ขัดสน

ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ให้คุณค่าแก่ความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันและความเมตตาในหมู่ชนและท่านส่งเสริมให้ผู้คนไปมาหาสู่และเยี่ยมเยียนญาติเพื่อนบ้านของเขา รวมทั้งผู้ป่วยและช่วยเหลือคนยากจนและขัดสน ท่านได้ไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยที่ไม่ใช่มุสลิมเสมอ กุรอานคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าซึ่งแจ้งแก่ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งถือเป็นแหล่งที่ศักดิ์สิทธิ์แหล่งหนึ่งเพื่อส่งเสริมมิตรภาพและความเป็นพี่น้องกันระหว่างหมู่ชน คำสอนทางด้านจริยธรรมทั้งหมดของศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)นำมาจากที่เดียวกัน ณ ที่นี้

๕๓

 

เราอ้างถึงจำนวนบทและคำสอนใน อัลกุรอาน ที่กล่าวไว้เช่นเดียวกัน ดังนี้

๑. การนินทาว่าร้าย

وَ يَغْتَب بَّعْضُكُم بَعْضًا أَيُحِبُّ أَحَدُكُمْ أَن يَأْكُلَ

) لَحْمَ أَخِيهِ مَيْتًا فَكَرِهْتُمُوهُ (حجرات / ๒๑

“และบางคนในหมู่พวกเจ้าอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในหมู่

พวกเจ้าชอบที่จะกินเนื้อของพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ”

๒. ความริษยา การประณามการอิจฉาริษยากันในหมู่ชน พระองค์

อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ ตรัสว่า

 จงแสวงหาที่พักพิงแห่งพระผู้เป็นเจ้า (พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) โดยการระมัดระวังจากความริษยากัน”

๓. ความเห็นแก่ตัว ในมุมมองของอัลกุรอาน ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งร้ายกาจและเป็นลักษณะที่ชั่วร้ายที่นำมาซึ่งสิ่งเลวร้ายอื่นๆ มากมาย

๕๔

 

ซึ่งมีอยู่หลายบทที่อัลกุรอานได้กล่างถึงเรื่องนี้ ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นเนื่องจากแรงจูงใจต่างๆ อันรวมถึงอำนาจ ความมั่งคั่งและความงามที่ถูกประณามและอัลกุรอานยังบอกว่า ลักษณะที่ชั่วร้ายนี้จะนำมาซึ่งความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและความเกลียดชังกันเสมอ

ในหลายๆ บทของอัลกุรอานมีการกล่าวถึงระดับของการกล่าวหาที่

เป็นเท็จ การโกหก การนินทาและการเย้ยหยันที่เป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากสิ่งดังกล่าวมานี้นำมาซึ่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในหมู่มนุษย์ และการกระทำทั้งหลายที่ส่งเสริมความเมตตาและความมีน้ำใจในหมู่ชน (ดังเช่น ความซื่อสัตย์ การให้อภัย การผ่อนปรนและการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองหรือระหว่างสองเชื้อชาติ) ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่าการบอกกล่าวความเท็จจะเป็นที่ถูกประณามในศาสนาอิสลาม แต่หากเป็นการปรับปรุงเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนก็ถือเป็นที่อนุมัติ

๕๕

ครั้งหนึ่ง ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กล่าวกับกลุ่มชนของท่านว่า

“คนใดในหมู่พวกเจ้าที่ทำสิ่งดังต่อไปนี้ จะเป็นผู้มีเกียรติและมีสถานะที่สูงส่ง ณ พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ

ก. ให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำไม่ดีต่อเจ้า

ข. สร้างสัมพันธ์ใหม่กับผู้ที่เคยตัดสัมพันธ์กับเจ้า

ค. แสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้ที่กระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับเจ้า

เนื่องจากความประมาทและความโง่เขลาของเขา

๔. สั่งห้ามการดื่มไวน์ (เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์) ซึ่งได้มีคำสั่งห้ามจากอายะห์ต่างๆ ในอัลกุรอาน ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ถือว่าการ

ดื่มไวน์ (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์) เป็นเหตุแห่งการสูญเสียจิตใจ สติ และได้กระตุ้นให้หมู่ชนของท่านหลีกเลี่ยงการดื่ม (ไวน์) ท่านกล่าวว่า “พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงขังความชั่วร้ายไว้และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถือเป็น กุญแจ สำหรับไขล็อคออก”

๕๖

การอพยพ (ฮิจเราะห์)

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้พยายามที่จะพัฒนาชาวเมืองเมกกะ

โดยการเชิญชวนพวกเขาไปสู่การพัฒนาจากภายนอกและภายใน (ไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ) โดยหลีกเลี่ยงการนองเลือด ประณามและความเสื่อมเสียใดๆอันที่จะเกิดขึ้นได้

หลังจาก ๑๓ ปีของการเผยแพร่ศาสนาอิสลามได้ผ่านไป ผู้นำของ

ชาวกุเรชต้องผิดหวังในการขัดขวางท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ในการเชิญชวนเรียกร้องไปสู่ศาสนาอิสลาม พวกเขาตัดสินใจที่จะสังหารศาสดาแห่งอิสลามในเวลากลางคืน คนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้แก่ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และสหายของท่านเป็นเวลา๑๓ ปี แต่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพทรงทำให้ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) สามารถล่วงรู้อุบายของศัตรูผ่านทางเทวทูต (มะลาอิกะห์) และสั่งให้ท่านอพยพออกจากนครเมกกะในเวลากลางคืน

๕๗

ดังนั้น ท่านนบีมุฮมั หมัด (ซ็อลฯ)จึงเรียกท่านอะลี บุตรอบูตอลิบ สาวกผู้ภักดีของท่านและเป็นคนแรกที่แสดงความภักดีต่อศาสดา พร้อมทั้งได้บอกแผนการลับให้ท่านอะลีทราบและกล่าวกับเขาว่า

“เจ้าพร้อมที่จะนอนบนเตียงของข้าฯแทนข้าฯ ไหม”

ท่านอะลีถามว่า

“และจากนั้น ท่านจะปลอดภัยและได้รับการปกป้องใช่ไหม?”

และท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ตอบว่า

“ใช่ ข้าฯอยู่ในอุ้งพระหัตถ์อันปลอดภัยแห่งพระผู้เป็นเจ้า”

จากนั้นท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) จึงอพยพออกจากเมืองเมกกะไป

ยังเมืองยัสริบตั้งอยู่ในระยะทาง ๔๐๐ กิโลเมตรจากนครเมกกะ โดยศัตรูได้รีบรุดไปยังบ้านของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และกวาดดาบในมือของพวกเขามายังเตียงนอนของท่าน แต่ต้องประหลาดใจเมื่อพบท่านอะลีนอนอยู่บนเตียงของท่านแทน

พวกเขาถามท่านอะลีว่า

“มุฮัมหมัดอยู่ที่ไหน?”

๕๘

ท่านอะลี ตอบว่า

“พวกท่านมอบหมายให้ข้าพเจ้าเฝ้าดูท่านนบีมุฮัมหมัดหรือ?”

ทันใดนั้นพวกเขาได้ไล่ตามท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ไป แต่ท่านได้เข้าไปหลบภัยอยู่ในถ้ำใกล้กับเมืองเมกกะ

ด้วยพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ

ทำให้ทางเข้าถ้ำถูกขวางกั้นด้วยใยแมงมุมและมีนกพิราบป่าวางไข่ไว้บริเวณปากถ้ำ ศัตรูที่ตามล่าท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ตามรอยเท้าของศาสดาแห่งอิสลามมายังปากถ้ำและเมื่อพวกเขาเห็นใยแมงมุมและนกพิราบ เขาจึงกล่าวกับพวกของตนว่า

“แมงมุมและนกพิราบจะไม่ทำรังของพวกมันหากมีคนอยู่ในถ้ำอีกทั้ง ถ้าใยแมงมุมมีอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว จะต้องถูกทำลายหากมีผู้ใดเข้าไปในถ้ำ

ดังนั้น แสดงว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ไม่มีผู้ใดเข้าไปในถ้ำนี้เลย จากนั้นพวกเขาได้เดินทางออกไปและทำให้ท่านนบีมุฮัมหมัด

 (ซ็อลฯ) ปลอดภัย

๕๙

สองถึงสามวัน หลังจากนั้น ท่านได้ออกจากถ้ำไปยังเมืองยัสริบ เนื่องจาก

ว่า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้ส่งผู้แทนของท่านนามว่า

มัสอับ บุตรอุมัยร์( مصعب بن عمير)ไปยังเมืองยัสริบเป็นเวลาสองปีมาแล้ว จึงทำให้ประชาชนในเมืองนั้นค่อนข้างเตรียมพร้อมที่จะเข้ารับศาสนาอิสลาม เมื่อท่านเดินทางเข้าไป แต่ละเผ่าที่ท่านเดินทางผ่าน ปรารถนาที่จะให้เกียรติในการมาของท่านและพยายามให้เครื่องเทียมกับอูฐของท่านและให้ท่านพักอยู่กับพวก-เขา หลังจากนั้นไม่นาน บรรดาสหายของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ็อลฯ) ได้อพยพไปยังเมืองยัสริบและชื่อของเมืองนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็น

เมืองมะดีนะตุ้ลนะบี (มะดีนะห์) มีความหมายว่า “เมืองของศาสดาแห่งศาสนาอิสลาม” เพื่อให้ชาวมุสลิมมารวมตัวกันและทำการนมาซของพวกเขา

๖๐

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132