ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี0%

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 132

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน: เชค มุฮ์ซิน ชะรีอัต
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 132
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 36733
ดาวน์โหลด: 5626

รายละเอียด:

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 132 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 36733 / ดาวน์โหลด: 5626
ขนาด ขนาด ขนาด
ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ศาสดามุฮัมหมัดและวงค์วานแบบฉบับแห่งมนุษย์ ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

 นั่นคือการเชิญชวนไปสู่การให้เอกภาพและความภราดรภาพแก่ศาสนาอิสลาม

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้เสียชีวิตลง แต่อัลกุรอานซึ่งเป็นที่รวม

รวบคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ผู้ทรงเดชานุภาพ ที่เปิดเผยแก่ท่านถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เพื่อใช้เป็นโคมไฟส่องทางให้แก่มนุษยชาติ ปัจจุบันนี้ นักวิชาการอิสลามและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดเชื่อว่า

“อัลกุรอานฉบับปัจจุบันที่อยู่ในความครอบครองของบรรดามุสลิมทั้งหลายนั้นเป็นกุรอานฉบับเดียวกับที่ถูกส่งมายังท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา”

วอชิงตัน เออร์วิง ( ๓ เมษายน ค.ศ. ๑๗๘๓ – ๒๘ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๘๕๙) นักประพันธ์ชาวอเมริกัน นักเขียน นักเขียนชีวประวัติ และนักประวัติศาสตร์ ในยุคต้นศตวรรษที่ ๑๙ ได้หยิบยกมาพูดว่า

“อายะห์กุรอานทั้งหมดมีความมั่นคงและมีเนื้อหาที่สมบูรณ์ ดังนั้นจะไม่มีเอกสารใดอีกแล้วในโลกนี้ที่จะสร้างความเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจได้อีก”

๘๑

นักปรัชญา นักเขียน นักกวีและนักวิชาการชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียง

เกอเธ่ (ที่ได้รับการโหวตให้เป็นชาวเยอรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ๒๐๑๑) กล่าวถึงอัลกุรอานไว้ดังนี้

 “บ่อยครั้งที่เราเข้าถึงอัลกุรอาน มันเป็นเครื่องพิสูจน์เสมอถึงความจริงที่มหัศจรรย์ว่า มันทำให้เคลิบเคลิ้มที่ละเล็กทีละน้อย ทำให้ตะลึงและในตอนสุดท้ายนำมาสู่ความศรัทธาที่มั่นคง”

ดังนั้น นักวิจัย ผ้ทู รงความรู้และศาสตร์ทั้งหมด กล่าวถึงคัมภีร์แห่ง

สวรรค์ว่า

“อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โชคดี

ที่อัลกุรอานได้ถูกแปลเป็นภาษาหลักในโลกทั้งหมดและถูกแบ่งปันในรูปแบบของหนังสือและบนอินเตอร์เน็ต”

๘๒

พระนางฟาติมะห์ เชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านศาสดามุฮัมหมัด

(ซ็อลฯ)

ท่านศาสดามีลูกสาวเพียงคนเดียว คือ พระนางฟาติมะห์ ที่ท่านรัก

และให้เกียรติอย่างยิ่งในชีวิตของท่าน

พระนางฟาติมะห์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเด็กหญิงและบรรดาสตรีคนอื่นๆ พระนางพยายามที่จะ

สลายอคติที่มีต่อผู้หญิงอย่างรุนแรงในยุคของพระนางและแสดงให้โลกเห็นว่า สตรีต้องมีศักดิ์ศรี

พระนางเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ เป็นบุตรีที่มีความกตัญญูอย่างสูงต่อ

บิดาของพระนาง ชีวิตของพระนางสั้นแต่มักจะต่อสู้ในแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าและด้วยจิตวิญญาณที่แทนที่วัตถุนิยมเสมอ พระนางพยายามอย่างยิ่งที่จะปกป้องตัวเองจากความปรารถนาทางกามารมณ์ วัตถุทั้งหลาย สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินทองและทรัพย์สินทางโลก

๘๓

 

ครั้งหนึ่ง พระนางฟาติมะห์ กล่าวเกี่ยวกับบิดาของพระนางไว้ดังนี้

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในประชาชาติของข้าพเจ้าคือ บรรดาผู้ที่ยึดมั่นในความสุขทางโลก บรรดาผู้ที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตเพียงแค่ได้กินอาหารที่ดีที่สุด สวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด และพูดแต่ไม่กระทำ”

ลักษณะของพระนางฟาติมะห์ อีกประการหนึ่งคือ พระนางปรารถนาความหิวเพื่อทำให้ผู้อื่นอิ่ม พระนางเชื่อในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเจียมเนื้อเจียมตัว แต่คงทำงานหนักและชำนาญอย่างมากในการทำงานบ้านต่างๆ รอบๆ บ้าน

 กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ขณะที่พระนางฟาติมะห์สามารถที่จะมีชีวิตที่มั่งคั่งและไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากได้ แต่พระนางกลับเลือกความเรียบง่ายด้วยความสมัครใจของพระนางเอง

แท้จริงพระนางใช้เงินและทรัพย์สินของพระนางทั้งหมดเพื่อคนยาก

คนจน แม้ว่าในคืนวันวิวาห์ของพระนาง เมื่อพระนางถูกร้องขอจากคนยากจน พระนางได้ให้ชุดแต่งงานของพระนางเป็นของขวัญแก่เขา นี่เป็นการแสดงถึงวิธีการเสียสละของพระนางอย่างเต็มใจ

๘๔

พระนางไม่ได้ เป็นเพียงผู้หญิงเพียงที่เคร่งครัด ในศาสนา และเกรง

กลัวต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรม และการพัฒนาสังคมเสมอ นั่นแสดงว่า ทำไมหลังจากสิ้นพระบิดาของพระนางไปแล้ว พระนางยังยืนหยัดป้องกันการออกนอกลู่นอกทางและการปลุกระดมให้ต่อต้านความอยุติธรรมในสังคมด้วยคำกล่าวและโอวาทอันเผ็ดร้อน ส่วนสามีของพระนาง คือ ท่านอะลีหนึ่งในผู้ที่ได้ถูกขนานนามว่า ผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านศาสดา (ซ็อลฯ)โดยการแต่งตั้งของท่านศาสดาเอง พวกเขามีบุตรสี่คนเป็น

ชายสองคนคือ ฮะซันและฮุเซน และหญิงสองคน คือ ไซหนับและ

อุมมุกุลซูม

พระบิดาของพระนางฟาติมะห์ได้เลี้ยงดูเธอในภาวะที่ยากลำบาก

และยากจน แต่ท่านได้ให้การสอนศาสนาที่ลึกซึ้งและมหัศจรรย์แก่พระนาง

บุคลิคภาพของพระนางมีความแตกต่างกับสุภาพสตรีคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง

๘๕

พระนางสมบูรณ์แบบในทุกทางและเป็นสัญลักษณ์แห่งบุตรีที่ดีของบิดา

ภรรยาที่ดีของสามี และมารดาที่ดีที่สุดต่อลูกๆ ของพระนาง พระนางฟาติมะห์ได้เสียชีวิตในวัยสาวซึ่งเกิดขึ้นสามเดือนหลังจากท่านศาสดาพระบิดาของพระนางได้จากไป

การจากไปของพระนางยังความโศกเศร้าและเสียใจ เป็นอย่างมากแก่ท่านอะลี เขารักพระนางฟาติมะห์มาก มากเท่ากับสถานะภาพในอิสลามที่สูงส่งของท่านเอง

๘๖

วิถีชีวิตที่เป็นแบบฉบับอันประเสริฐของท่านอิมามอะลี

(ร่อฎิยัลลอหุอันฮุ)

ท่านอิมามอะลี (ร่อฎิยัลลอหุอันฮุ) สัญลักษณ์แห่งความเที่ยงธรรมและความบริสุทธิ์

ท่านอิมามอะลีอะลี (อ.) เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านนบีมุฮัมหมัด

(ซ็อลฯ) และถูกเลี้ยงดูมาโดยท่าน เขาเป็นลูกศิษย์ที่ซื่อสัตย์และเป็นดังเช่น น้องชายที่ดีที่สุดของท่านศาสดา อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่เชื่อในความเป็นศาสดาของท่าน ทั้ง ๒๓ปีของการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ท่านอิมามอะลี (อ.) จะอยู่เคียงข้างกับท่านศาสดาเสมอและหลายคราที่เขาได้เสียสละในการช่วยเผยแพร่คำสอนของท่านและปกป้องชีวิตท่านต่อภัยคุกคามของศัตรูแห่งอิสลาม

ท่านอิมามอะลี (อ.) สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน แม้แต่ผู้ที่มีคารม

คมคายมากที่สุดยังพ่ายแพ้ต่อการบอกกล่าวถึงความยิ่งใหญ่และพรรณาถึงความจริงของเขาได้

๘๗

 ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถหยั่งรู้ถึงความลึกซึ้งของความรู้ที่เขามีได้ เป็นสิ่งที่เกินพอสำหรับคนที่จะค้นพบความรู้เพียงส่วนเล็กๆ ของความรู้มากมายของเขา ดังที่นักกวีได้กล่าวไว้ว่า

ها علی بشركیف بشر

“อะลีคือทุกสิ่งทุกอย่างและคุณค่าของมนุษย์ทุกประการสามารถ

พบได้ในตัวเขา”

นักเขียนคริสเตียน ชาวเลบานอน ชื่อ คอลีล ญิบรอน คอลีล ผู้ซึ่ง

หลงไหลในบุคลิกภาพของท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาได้เขียนเกี่ยวกับท่านอิมามอะลี (อ.)ว่า

“ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่าในยุคหนึ่งที่มีอัฉริยะภาพได้เกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วยความเชื่อและความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าของข้าพเจ้า

ข้าฯ ว่าท่านอะลีบุตรอะบูฏอเล็บไม่เหมาะกับยุคสมัยของท่านกล่าวคือยุคสมัยนั้นไม่เหมาะกับท่านมากกว่า (เพราะว่าความเป็นอัฉริยะชนของท่านอยู่เหนือยุคสมัยที่ท่านเกิด)

๘๘

 ท่านเป็นชาวอาหรับคนเดียวที่มีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบและเป็นชาวอาหรับคนแรกที่มีริมฝีปากที่มีเสียงเรียกอันดังก้องของเพลงแห่งจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมบุคคลซึ่งก่อนหน้านี้โง่เขลาโดยสิ้นเชิงต้องประหลาดใจเมื่อเห็นแสงที่หลั่งไหลออกจากสำนวนของ อิมาม อะลี (อ.)"

เชบลี ชาเมล หนึ่งในผู้บุกเบิกแห่งสำนักลัทธิวัตถุนิยมหนึ่ง

กล่าวว่า

“ท่านอะลี บุตรอะบูฎอเล็บเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย และไม่ว่าด้านตะวันตกหรือตะวันออกก็ไม่เคยพบใครเช่นเขา”

มิคาเอล ไนยมา นักประพันธ์ นักกวีและนักเขียนชาวคริสเตียนกล่าว

เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของท่านอะลี (อ.) ว่า

“ความคิดและการกระทำของชาวอาหรับผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ยังคงหาที่

เปรียบไม่ได้ วิธีคิดและการปฏิบัติของเขาจะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตลอดไป”

๘๙

มีนักวิชาการจำนวนมากที่สารภาพถึงความด้อยความสามารถของ

เขาในการอธิบายถึงท่านอะลี(อ.) ว่า

“เขาเป็นบุคคลที่ไม่เคยคิดร้ายโดยแรงจูงใจของโลกนี้และไม่เคย

ท้อแท้ต่อการเอาชนะและความยากลำบาก เขาเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวัตถุ ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า

 “โอ้โลกนี้! ไปให้ไกลจากข้าและจงไปหลอกลวงผู้อื่นเถิด”

และเขาได้กล่าวไว้อีกว่า

“โอ้พระผู้เป็นเจ้า แม้ข้าฯ ได้รับอาณาจักรแห่ง (ดาว) ทั้งเจ็ดดวงและทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้มือของข้า เพื่อที่จะให้ข้าไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อที่จะให้ข้าฯ ฉกชิงข้าวบาร์เลย์หนึ่งเมล็ดจากมดตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำเช่นนั้น สำหรับข้าพเจ้าแล้ว โลกนี้เบากว่าใบไม้ที่อยู่ในปากของตั๊กแตนที่กำลังเคี้ยวมัน อะลีจะทำอะไรกับอำนาจจอมปลอมที่จะมลายหายไปและความสุขที่ไม่คงทนเล่า”

๙๐

ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ความจริงได้มากกว่าเขาและความรู้อันไร้ขอบเขต

ของเขาถูกสำแดงออกมาในหนังสือของเขาที่ตั้งชื่อว่า

 “หนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์”

ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้ชาญฉลาดมากอย่างแท้จริง ซึ่งบางครั้ง

ท่านได้เคยคุยเกี่ยวกับความรู้บางประเภทที่ถูกซ่อนหรือเป็นความลับว่า

“ข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ที่ถูกซ่อนเอาไว้ หากข้าพเจ้าได้

แบ่งปันมันกับเจ้า แม้แต่เพียงบางส่วนของความลับที่น้อยที่สุดที่ข้าพเจ้าทราบ เจ้าจะสั่นดังเช่นสายเครื่องดนตรีอย่างแน่นอน”

หรือเคยพูดกับบรรดาสหายของท่านว่า

“จงถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้ที่เจ้าชอบก่อนที่ข้าฯจะจากพวก

เจ้าไป อันความรู้ของข้าฯเกี่ยวกับชั้นฟ้าและสวรรค์นั้นมีมากกว่าสิ่งที่อยู่บนโลกนี้”

๙๑

ความเคร่งครัดในศาสนาของท่านอิมามอะลี (อ.)

คนๆ หนึ่งสามารถอ้างว่า ระดับสูงสุดของผู้ที่นิยมชมชอบวัตถุนิยม

สามารถพบได้โดยมันจะแอบอยู่ในฝ่ายปกครองของผู้ปกครอง หากเมื่อใดผู้ปกครองได้ครอบครองเงินทองและอำนาจ จากนั้นเขาจะใช้อำนาจทางวัตถุนิยมของเขาแสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาเพื่อสนองความสำส่อน (หากเขารับเอาความปรารถนาทางกามารมณ์) นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้ปกครองที่เผด็จการและผู้แสวงหาทางโลกไม่มีความปรารถนาใดๆเลย นอกจากการได้เป็นผู้ปกครองเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านอะมีร อัลมุมินีน (หนึ่งในคำนำหน้าชื่อของ

ท่านอิมามอะลี (อ.) ซึ่งมีความหมายว่าหัวหน้าของบรรดาศรัทธาชน”) ได้กล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ขณะอยู่บนตำแหน่งผู้ปกครองมุสลิมว่า

๙๒

“ถ้าไม่มีการชุมนุมเรียกร้องจากฝูงชนของบรรดาผู้สนับสนุนให้

ข้าฯขึ้นเป็นผู้นำแล้วไซ้รข้าก็จะไม่ขอรับมัน และถ้าไม่ไช่พันธะสัญญาที่ข้ามอบไว้กับพระผู้เป็นเจ้า ที่จะไม่นั่งดูความตะกละของผู้กดขี่และความหิวโหยที่ถูกเผาผลาญของคนยากจนที่ถูกกดขี่อย่างนิ่งเฉยแล้วไซ้ร ข้าฯก็จะโยนเชือกแห่งผู้นำทางศาสนาที่อยู่บนบ่าของตัวเอง (ถูกปฏิเสธการยอมรับเป็นผู้นำทางศาสนา)ออก

 แต่ข้าฯจะยังคงให้การดูแลแก่พวกอ่อนแอเป็นเช่นเคย

เพราะว่าตำแหน่งและอำนาจที่พวกเจ้าหยิบยื่นให้ข้าฯนั้น ในมุมมองของข้าฯ(สำหรับข้าพเจ้า) เปรียบได้ดังภาพลวงตา

ดังนั้น สิ่งเดียวเท่านั้นที่ดึงดูดให้ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้นำทาง

ศาสนา คือ โอกาสที่ท่านจะได้ขึ้นบริหารความยุติธรรมและแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องแก่ผู้ที่ถูกกดขี่ นั่นแสดงให้เห็นว่า ทไไมท่านถึงเป็นผู้ปกครองดินแดนมุสลิมที่มีความแตกต่างกับผู้นำคนอื่นๆทั้งหมด อย่างไรก็ตามท่านยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสวมใส่เสื้อผ้าที่ชำรุดทรุดโทรม และบริโภคแต่ขนมปังที่ทำจากข้าวบาร์เลย์ตากแห้งเท่านั้น

๙๓

 ท่านอิมามอะลี(อ.)กล่าวว่า

“หากข้าพเจ้าปราถนาที่จะหาความสุขทางโลกนี้ ข้าพเจ้าสามารถ

ที่จะหาทางที่จะนำไปสู่ (ความสุขทางโลกด้วยการบริโภค) น้ำผึ้งบริสุทธิ์ ข้าวสาลีชั้นเยี่ยม และเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหม แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถยอมให้กิเลสและความโลภนำทางข้าพเจ้าได้”

ท่านยังได้กล่าวไว้ในหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์อีกว่า

“ข้าพเจ้าขอสาบานต่อพระผู้ป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพว่า ข้าพเจ้าจะยับยั้งความปรารถนาอันรุนแรงของข้าพเจ้า (กิเลสส่วนตัว) ซึ่งการยับยั้ง ความปรารถนาดังกล่าวจะนำมาซึ่งความพึงพอใจแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าพบขนมปังชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งและเกลือไว้รับประทาน”

ท่านยังได้กล่าวเกี่ยวกับรอยปะเย็บบนเสื้อผ้าของท่านว่า

“จงมองข้าพเจ้าเถิด! เสื้อผ้าของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน ซึ่ง

ข้าพเจ้ารู้สึกละอายที่จะมอบมันให้กับผู้อื่นเพื่อทำการปะชุนอีก โอ้โลกนี้!โปรดออกห่างจากข้าฯ ! เจ้ายังคงเข้ามาหาข้าฯ แต่ข้าฯไม่ต้องการเจ้า

๙๔

ข้าฯได้หย่าขาดจากเจ้าเป็นจำนวนสามครั้ง ดังนั้น เจ้าไม่เคยหลอกลวงล่อลวง หรือทรยศข้าฯได้เลย”

ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้เปรียบเทียบโลกนี้เป็นงูตัวหนึ่งที่มีผิวหนัง

นุ่มและเรียบลื่น แต่เมื่อถูกกัดจะมีพิษร้ายแรง ท่านยังกล่าวกับบรรดาสหายของท่านอีกว่า สำหรับตัวท่านเอง โลกนี้คือ

 “สิ่งที่มีค่าน้อยกว่ากระดูกของสุกรที่อยู่ในมือของผู้เป็นโรคเรื้อน”

หรือ“ใบไม้ที่ไร้ค่าใบหนึ่งในปากของตั๊กแตน” เพราะ“โลกนี้จะต้องถึงกาลอวสานและผู้คนในโลกไม่มีทางเลือก แต่จะต้องถูกอพยพออกไปในวันหนึ่ง

ดังนั้น จงพยายามทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อที่จะอยู่ชั่วนิรันดร์ (เช่น ชีวิตหลังความตายเถิด)”

๙๕

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวเกี่ยวกับการติเตียนโลกนี้ ดังนี้

“เริ่มต้นด้วยความทุกข์ยาก และจบลงด้วยความตกต่ำ การพิพากษาถูกกำหนดขึ้นสำหรับสิ่งถูกต้องที่ได้รับ และการลงโทษจะถูกชี้ขาดให้กับการทำบาป หากผู้ใดเคร่งครัดในการทำดี เขาจะรู้สึกปลอดภัย และหากเขาป่วย เขาจะโศกเศร้า หากเขาร่ำรวย เขาจะก่อความวุ่นวาย และหากเขายากจน เขาจะเสียใจ ผู้ใดก็ตามยิ่งวิ่งไล่มัน ยิ่งพลาดจากมัน และหากผู้ใดก็ตามไม่สนใจมัน เขาจะได้ครอบครองมัน ผู้ใดก็ตามที่เพ่งมองมัน มันจะทำให้เขาตาบอด”

ท่านอิมามอะลี (อ.) อธิบายว่า ท่านศาสดามีคุณลักษณะดังต่อไปนี้

“ขอความสันติจากพระผู้เป็นเจ้า จงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมหมัด

(ซ็อลฯ) ผู้ที่เสียชีวิตไปพร้อมกับท้องที่ว่างเปล่า ท่านมีความจริงใจอย่างยิ่งและพระผู้เป็นเจ้า ทรงให้พรแก่พวกเราโดยส่งท่านมาเป็นผู้นำของพวกเรา ข้าพเจ้าขอสาบานว่า มีรอยปะชุนบนเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามากมายจนรู้สึกละลายที่จะมอบให้ผู้ใดทำการปะชุนเพิ่มอีก...”

๙๖

ความยุติธรรมของท่านอิมามอะลี (อ.)

ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นเครื่องหมายแห่งความยุติธรรมอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ

 ครั้งหนึ่ง ความยุติธรรมถูกกล่าวถึงโดย จอร์จ จอร์แดค นักวิชาการ

ชาวคริสเตียนที่มีชื่อเสียง ได้เขียนหนังสือชุด ๓ เล่ม ที่ตั้งชื่อว่า

“อิมามอะลี เสียงแห่งความยุติธรรมของมนุษย์”

الامام علی صوت العدالة الانسانیة

ตลอดชีวิตของเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้เป็นผู้นำทาง

ศาสนาของชาวมุสลิม ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้รักในความยุติธรรม

เสมอและพยายามอย่างยิ่งที่จะให้การกระทำและความคิดของเขาตั้งอยู่ในความยุติธรรม นั้นแสดงให้เห็นว่า ทำไมความยุติธรรมจึงสำแดงออกมาในทุก ๆ แง่มุมของชีวิตของท่าน

๙๗

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า

“หากข้าพเจ้าใช้เวลาทั้งคืนไปถึงรุ่งเช้ายืนอยู่บนเศษหนาม และหากมือและเท้าของข้าพเจ้าถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน (ในวันหนึ่งและถูกลากไปตามท้องถนนและตลาด) ข้าพเจ้าจะรู้สึกเต็มใจที่จะให้เกิดเช่นนี้มากกว่าที่จะต้องแสดงตนต่อศาลแห่งพระผู้เป็นเจ้าและต่อท่านนบี (ซ็อลฯ) เนื่องจากข้าพเจ้ากระทำการกดขี่ต่อหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ทรงสร้าง หรือข้าพเจ้าช่วงชิงและละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น”

ท่านอิมามอะลี (อ.) ยอมรับและปฏิบัติตามกฎที่กำหนดขึ้นโดยพระ

ผู้เป็นเจ้าและครั้งหนึ่งท่านได้บอกกับผู้คนว่า

“ข้าขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่เคยขอให้พวกเจ้าทำ

สิ่งใดก่อนที่ตัวข้าพเจ้าจะทำเสียก่อน และข้าพเจ้าไม่เคยขอให้พวกเจ้าหลีกเลี่ยงสิ่งใดก่อนที่ตัวข้าพเจ้าจะหลีกเลี่ยงมันเสียก่อน”

๙๘

ดังที่เคยกล่าวมาก่อนหน้านี้ อิสลามคือศาสนาแห่งความยุติธรรม

และท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นสัญลักษณ์ของทั้งหมดดังที่ศาสนาเป็นเรื่องราวดังต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรมของท่าน

ท่านอิมามอะลี (อ.) ขณะเป็นผู้นำทางศาสนาของชาวมุสลิมนั้น

ท่านได้นำเสื้อเกราะไปไว้กับ ชายชาวยิวคนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ท่านได้ไปขอเสื้อเกราะคืนจากชายชาวยิว แต่ได้รับการปฏิเสธ จนกระทั่งเรื่องเป็นคดีความถึงผู้พิพากษา ซึ่งผู้พิพากษาเป็นตัวแทนที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้แต่งตั้งไว้ ผู้พิพากษาได้เรียก

ท่านอิมามอย่างเคารพ ท่านอิมามจึงได้กล่าวกับผู้พิพากษาว่า เจ้าจงเรียกเขาแบบเคารพอย่างเดียวกับข้าฯ เถิด

แม้ผู้พิพากษาของศาลจะเป็นตัวแทนของท่านอิมามอะลี (อ.) ก็ตาม

แต่ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้สั่งให้ผู้พิพากษาไม่ต้องสนใจในภูมิหลังของทั้งสองฝ่ายและกำหนดให้เป็นคำตัดสินของคณะลูกขุน โดยใช้วิธีเกี่ยวกับการพิจารณาของอิสลาม

๙๙

 แล้วผู้พิพากษา ได้ถามท่านอิมามว่า

“ท่านมีข้อพิสูจน์อะไรที่จะบ่งบอกว่าเสื้อเกราะตัวนี้เป็นของท่าน"

อิมามอะลี (อ.)ตอบว่า

“ไม่มี”

ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าท่านอิมามอะลี (อ.) จะไม่พูดโกหกก็ตาม จึงทำให้

ชาวยิวชนะในคดีดังกล่าวต่อ ผู้นำทางศาสนาของมุสลิม แล้วต่างก็ออกจากศาล แต่สำนึกของชายชาวยิวทำให้เขารู้สึกผิด เขาประทับใจในความยุติธรรมของศาสนาอิสลาม จากนั้น เขาได้กลับมายังศาลและสารภาพว่าเสื้อเกราะนี้เป็นของท่าน อิมามอะลี (อ.) จริง พร้อมกับยินดีที่จะคืนมันให้แก่เจ้าของที่แท้จริง

 จากนั้นชายยิวได้เปลี่ยนมาเข้ารับนับถืออิสลามในที่สุด

ท่านอิมามอะลี (อ.) จะปฏิบัติทุกสิ่งที่สอนหรือแนะนำแก่ผู้อื่นก่อน

เสมอ

๑๐๐