วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน

วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน0%

วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดฮะดีษ
หน้าต่างๆ: 156

วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน

ผู้เขียน: สถาบันอัล – บะลาฆ
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 156
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 44840
ดาวน์โหลด: 3571

รายละเอียด:

วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 156 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 44840 / ดาวน์โหลด: 3571
ขนาด ขนาด ขนาด
วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน

วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

นี่คือ ข้อกำชับที่มีแก่มุสลิมเป็นรายงานบุคคลว่าให้เชื่อถือคนที่นำเรื่องราวจากท่านศาสนทูตมาบอกเล่า ถึงแม้จะเป็นคนคนเดียวก็ตาม

 ตราบใดที่เขามิใช่คนฟาสิก ตามที่อัล-กุรฺอานอธิบายไว้ ขณะเดียวกัน

ยังมีการหยิบยกเอาการกระทำของท่านศาสนทูต(ศ) มาอ้างเป็นหลักฐาน

เกี่ยวกับการบอกเล่าเรื่องราวโดยคนคนเดียวจากวิถีการดำเนินชีวิตของท่านศาสนทูต กล่าวคือ ท่านเคยส่งธรรมทูตและนักเผยแพร่ศาสนาไปเป็นรายบุคคล แล้วท่านสอนให้ประชาชนเชื่อถือคนเหล่านั้น และให้ปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ ที่คนเหล่านั้นได้นำไปจากท่าน

นอกเหนือจากนี้ ในแง่ของวิถีการดำเนินชีวิตของผู้เคร่งครัดในศาสนาจากบรรดาสาวกของท่านและบรรดาอิมามทั้งหลาย ซึ่งท่านเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามคำบอกเล่าของคนคนเดียวที่เชื่อถือได้เสมอ ในยามที่ท่านได้รับฟังเรื่องราวใดๆ จากพวกเขา ซึ่งท่านศาสนทูตและบรรดาอิมามก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด แน่นอนการที่ท่านไม่ปฏิเสธอย่างนี้ ก็เท่ากับเป็นการรับรองว่า อันนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องนั่นเอง

ควรจะชี้แจงไว้ด้วยว่า พวกที่ปฏิเสธไม่ยอมรับคำบอกเล่าจากรายงานประเภทอัล-อาฮาด

มิได้ปฏิเสธเพราะเหตุผลอื่นใด นอกจากเพื่อให้การพิทักษ์รักษาซุนนะฮฺให้รอดพ้นจากความเสียหายอย่างเข้มงวด เพื่อจะได้ไม่มีการกล่าวเท็จและปลอมแปลงเรื่องใดๆเข้ามา

๑๒๑

อย่างไรก็ดีวิธีการนี้ เป็นเหตุให้รายงานฮะดีษในเรื่องต่างๆ และบทบัญญัติต่างๆ ทางศาสนาต้องสูญหายไปอย่างมากมายมหาศาล และได้ปล่อยให้มีช่องว่างจากการทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบ ทั้งในภาคอิบาดะฮฺ และระเบียบทางสังคม โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ จากบทบัญญัติทางศาสนา

มีข้อโต้แย้งว่า การกระทำใดๆ อันเกิดจากรายงานประเภทอัล-อาฮาดในฐานะที่เป็นหลักฐานประเภทรอง(ซานีย์) ที่ต้องสงสัยว่า มีแหล่งที่มาจากท่านนบี(ศ) หรือมาจากผู้ที่รับรายงานต่อมาจากบรรดาอิมาม(อ) จริงหรือไม่ ฉะนั้น จะถือว่าบทบัญญัติทางศาสนาและหลักความคิดแห่งอิสลามตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งกฎเกณฑ์ที่ยังน่าสงสัยอยู่ได้อย่างไร?

ในเมื่ออัล-กุรฺอานเองก็ได้ห้ามเราว่าอย่าได้ปฏิบัติตามหลักการที่ยังน่าสงสัย ดังมีโองการหนึ่ง ความว่า

“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงหลีกเลี่ยงจากสิ่งต่างๆ มากมายที่ยังสงสัย แท้จริงความสงสัยบางอย่าง ย่อมเป็นบาป”

“แท้จริงความสงสัยนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นความจริงแต่อย่างใด

ปัญหานี้ สามารถให้คำตอบได้ว่า การปฏิบัติตามคำบอกเล่าของคนคนเดียวซึ่งเป็นหลักฐานที่ยังสงสัยว่ามีที่มาจากท่านศาสนทูต หรือจากผู้ที่รายงานมาจากบรรดาอิมามนั้น หมายถึงว่า ได้เชื่อถือต่อหลักฐานขั้นเด็ดขาดแล้ว ด้วยเหตุนี้เองการแสวงหาหลักฐานและบทบัญญัติทางศาสนา จึงมีทั้งเรื่องที่ได้มาด้วยความสะดวกและอุปสรรค

๑๒๒

ฮะดีษที่มีนักรายงานคนเดียว (อัล-อาฮาด)

บทรายงานฮะดีษที่มาจากนักรายงานคนเดียวนั้น มีทั้งฮะดีษที่เชื่อถือได้และขาดประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการรายงานของฮะดีษนั้นๆ ด้วยเหตุนี้บทรายงานฮะดีษที่มาจากนักรายงานคนเดียว

 จึงถูกแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท

นักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญในงานวิเคราะห์ฮะดีษกล่าวไว้ว่า

 บุคคลแรกในสำนักวิชาการสายซุนนีย์ที่ได้แบ่งประเภทฮะดีษออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ ท่านติรมิซีย์

ส่วนในสำนักวิชาการชีอะฮฺ ยังไม่รู้จักการแบ่งประเภทอย่างนี้ จนมาถึงศตวรรษที่ ๗ ของปีฮิจเราะฮฺ ได้มีการจัดแบ่งประเภทขึ้น โดยผลงานของ ซัยยิด อิบนุ ฏอวูส (เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ ๖๓๗)

และสานุศิษย์ของท่านคนหนึ่ง คือ อัลลามะฮฺ อัลฮิลลีย์ แต่ผลงานครั้งนี้ได้รับการต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งของสำนักนี้

ทำไมจึงต้องจัดแบ่งประเภทฮะดีษ?

ส่วนที่เป็นประโยชน์ทางวิชาการ และการยอมรับอย่างถูกต้องในการจัดแบ่งประเภทของฮะดีษมีดังนี้ คือ

๑- เพื่อทำการยกเลิกสารการรายงานที่ไร้ประสิทธิภาพ อันเป็นเหตุให้การปฏิบัติตามฮะดีษเหล่านั้น เป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง

๑๒๓

๒- ในกรณีที่บทรายงานประเภทที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าขัดแย้งกับบทรายงานที่มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า ก็ให้ยึดถือหลักการจากบทรายงานที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าเป็นเกณฑ์เสมอ (๙๑)

๓- การที่บทรายงานประเภทอัล-อาฮาดถูกจัดแบ่งระดับก็เป็นไปตามลักษณะคุณสมบัติของนักรายงานฮะดีษบทนั้นๆ ว่า เป็นคนเที่ยงธรรม น่ายกย่องมีความน่าเชื่อถือ หรือขาดประสิทธิภาพ ดังนี้

๑- ฮะดีษที่ถูกต้อง (ศ่อฮีฮฺ)

๒- ฮะดีษที่ดี (ฮะซัน)

๓- ฮะดีษที่เชื่อถือได้ (มุวัษษัก)

๔- ฮะดีษที่ไร้ประสิทธิภาพ (เฎาะอีฟ)

นักปราชญ์จะให้ความเชื่อถือฮะดีษทั้ง ๓ ประเภทแรกทั้งหมด และยอมรับในการนำมาใช้เป็นหลักปฏิบัติ

ส่วนฮะดีษประเภทไร้ประสิทธิภาพได้มีการแบ่งออกไปอีกหลายระดับที่สำคัญที่สุดได้แก่

ประเภทมุรซัล, (ขาดรายชื่อคนรายงาน) ประเภทเมาฎูอฺ (ถูกกุขึ้นมา) ประเภทมุดลัซ (ถูกสอดแทรกด้วยประโยคที่ปลอมขึ้นมา)

เราจะทำการวิเคราะห์ฮะดีษทั้ง ๓ ประเภทนี้ เพื่อความกระจ่างมากยิ่งขึ้น

จากการศึกษาเกี่ยวกับระบบการทำงานของนักรายงานฮะดีษ ตำราเกี่ยวกับประวัติบุคคลที่เป็นนักรายงาน และทฤษฏีต่างๆ ของนักรายงานจากบรรดานักปราชญ์ของอิสลาม ทำให้เราพบว่านักรายงานฮะดีษแต่ละท่านจะมีแนวทางเป็นของตนเองโดยเฉพาะในการบันทึกฮะดีษที่ถูกรายงาน

๑๒๔

มาว่ามีที่มาจากท่านศาสนทูต(ศ)กล่าวคือ สำหรับบุคคลต่อไปนี้

เช่น ท่านบุคอรี, มุสลิม, ติรมิซีย์, อะหฺมัด บิน ฮัมบัล, ชาฟิอีย์, อะบูหะนีฟะฮฺ, อัล-กุลัยนีย์, ท่านศ็อดดูก, ท่านฏูซีย์, ต่างก็มีนักรายงานและบทรายงานที่เป็น

ของตนเองทั้งนี้ รวมไปถึงนักปราชญ์ นักการศาสนาและนักฮะดีษท่านอื่น ในสายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺเอง

ต่างก็มีนักรายงานและบทรายงานที่เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นที่เชื่อถือเป็นที่ยอมรับของพวกเขา หลังจากได้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

พร้อมกันนี้ บรรดานักปราชญ์เหล่านั้นทั้งหมดต่างก็ให้การยอมรับนักรายงานกลุ่มหนึ่งที่ตนเองให้ความเชื่อถืออยู่ ซึ่งอาจแตกต่างกับนักรายงานกลุ่มอื่นที่ได้รับความเชื่อถือจากนักปราชญ์คนอื่นก็ได้

เพราะฉะนั้นเราจะพบว่า ท่านมุสลิมจะปฏิเสธนักรายงานบางคนที่

ท่านบุคอรีให้ความเชื่อถือ ท่านบุคอรีเองก็จะปฏิเสธนักรายงานบางคนที่อะหมัด บิน ฮัมบัลให้ความเชื่อถือ

ขณะเดียวกัน เราจะพบว่า ท่านบุคอรี มีเงื่อนไขในการรับรายงานฮะดีษที่ผิดแผกไปจากเงื่อนไขของท่านอะหฺมัด บิน ฮัมบัล และนักปราชญ์ท่านอื่นๆ ในบรรดานักรายงานและนักฮะดีษ นักการศาสนาในสายชีอะฮฺก็เป็นอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน

๑๒๕

บนพื้นฐานดังกล่าวนี้เราจะพบว่า ท่านชัยคุลอิสลามได้พูดถึง มุสนัดของอิมามมาลิกว่า

“ตำราของมาลิกนั้นถูกต้องสำหรับท่านเอง และสำหรับคนที่ตักลีดตามคำตัดสินของท่านจากทัศนะของท่านเสมอ เช่นการยึดถือฮะดีษ มุรซัล และฮะดีษมุนกอเฏาะอฺ* และประเภทอื่นๆ เป็นหลักฐานซึ่งมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ท่านได้อธิบายไว้ในตอนแรกๆ”(๙๓)

มีรายงานที่บันทึกไว้อีกเช่นกันว่า นักรายงานที่บุคอรีรับฮะดีษมาบันทึกแต่ผู้เดียว โดยที่มุสลิมมิได้ยอมรับด้วยนั้นมีจำนวนถึง ๔๓๐ คนทั้งหมดนี้ ถูกระบุด้วยข้อหาว่าเป็นคนไร้ประสิทธิภาพ (เฏาะอีฟ) ถึง ๘๐ คน

ส่วนนักรายงานที่ท่านมุสลิมรับฮะดีษมาบันทึกแต่ผู้เดียว

 โดยที่บุคอรีมิได้ยอมรับด้วยนั้นมีถึง ๖๒๐ คน เป็นคนที่ถูกระบุด้วยข้อหาว่าไร้ประสิทธิภาพมากถึง ๑๖๐ คน

ณ ที่นี้ เราสามารถทำความเข้าใจได้ว่าบรรดานักปราชญ์นั้น จะมีมุมมองในด้านคุณสมบัติของนักรายงานและประเภทของฮะดีษแตกต่างกัน นั่นคือทุกท่านจะมีทัศนะเป็นของตนเองมีคำนิยามของตนเอง มีเงื่อนไขที่เป็นของตนเองโดยเฉพาะในการพิจารณาคุณสมบัติของนักรายงานและการยอมรับรายงานฮะดีษ

*ฮะดีษมุนกอเฏาะอฺ หมายถึง บทรายงานที่ถ่ายทอดมาจากคนในรุ่น

ตาบิอีน

๑๒๖

ฮะดีษกับสารบบการรายงาน

จากการศึกษาและการจัดแบ่งประเภทริวายะฮฺที่ถ่ายทอดมาถึงอนุชนรุ่นหลังบรรดานักปราชญ์ได้ดำเนินการจัดแบ่งประเภทของบทรายงานเหล่านั้นไปตามระบบการรายงานที่ ถ่ายทอดบทรายงานนั้นๆมาซึ่งมีอยู่สองประเภทด้วยกัน ดังนี้

๑- ฮะดีษที่อยู่ในสารบบการรายงาน (มุซนัด)

หมายความว่า เป็นฮะดีษที่มีการรายงานถ่ายทอดกันมาอย่างเป็นระบบไม่มีช่วงใดขาดตอน ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใด ลำดับชั้นใดก็ตาม

 กล่าวคือ เป็นฮะดีษที่กล่าวถึงรายชื่อของนักรายงานทั้งระบบ โดยนับเริ่มตั้งแต่นักรายงานคนแรกที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่านศาสนทูต (ศ)

หรือจากอิมาม หรืออาจเป็นคนที่รู้เห็นการกระทำของท่านหรือท่าทีการแสดงออกของท่าน แล้วรายงานถ่ายทอดต่อๆกัน มาจนกระทั่งถึงคนสุดท้าย

๒- ฮะดีษที่ไม่อยู่ในสารบบการรายงาน (มุรซัล)

หมายความว่า เป็นฮะดีษที่มีการลบรายชื่อของนักรายงานตามระบบออกไปโดยมิได้กล่าวถึงรายชื่อของนักรายงาน

หรืออาจกล่าวถึง แต่เป็นเพียงบางรายชื่อ โดยจะตัดรายชื่อออกไปประมาณ ๑ หรือมากกว่านั้น

๑๒๗

หรือจะมีการระบุถึงบางคนในลักษณะรวมๆ กันไป เช่นจะกล่าวว่า “ส่วนหนึ่งจากคนเหล่านั้น...หรือส่วนหนึ่งจากมิตรสหายของพวกเรา...ฯลฯซึ่งจะใช้คำพูดรวมๆ โดยไม่แจ้งรายชื่อของนักรายงานให้ชัดเจนออกมาทำนองเดียวกัน ฮะดีษที่นักรายงานบางคนไม่เป็นที่รู้จัก หรือเป็นคนที่นักปราชญ์สาขาประวัติบุคคลที่เป็นนักรายงานมองข้าม มิได้กล่าวถึงเขาเอาไว้แม้ว่าชื่อของเขาจะถูกกล่าวไว้ในสารบบการรายงานฮะดีษ ก็ถูกจัดให้เป็นฮะดีษประเภทมุรซัลด้วยเช่นกัน

ดังนั้น บทรายงานริวายะฮฺหรือฮะดีษเหล่านี้ จะได้รับการขนานนามว่า “ริวายะฮฺ ที่ถูกถ่ายทอดมาโดยไม่อยู่ในสารบบการรายงาน” (มุรซัล)

คำว่า ฮะดีษ หรือริวายะฮฺมุรซัล หมายถึง ฮะดีษหรือริวายะฮฺที่ไร้ประสิทธิภาพ (เฎาะอีฟ)ประเภทหนึ่งนั่นเอง

ท่านชะฮีดษานีย์ ซัยนุดดีน อัลอามิลีย์ ได้ให้คำจำกัดความสำหรับฮะดีษมุรซัลว่า

“เป็นเรื่องราวที่รายงานมาจากมะศูม แต่มิได้กล่าวถึงนักรายงานคนใดหรือจะมีการหลงลืม

นักรายงานบางช่วง หรือละเว้นเสีย หรือกล่าวถึง ในลักษณะรวมๆ เช่น การกล่าวหา “ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ) ได้กล่าวอย่างนั้นกล่าวอย่างนี้” เป็นต้น หรือจะมีการระบุว่า “รายงานมาจากนักรายงานคนหนึ่ง” หรือจะกล่าวว่า “รายงานมาจากสหายบางคนของเรา”

๑๒๘

 อย่างนี้เรียกว่าฮะดีษมุรซัล ฮะดีษมุรซัลจึงไม่อยู่ฐานะที่จะเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ เพราะเหตุที่ไม่อาจล่วงรู้ว่าวรรคตอนที่ถูกลบเลือนไปนั้น จริงๆ แล้วมันคืออะไร”(๙๕)

ดังกล่าวมานี้ เราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ฮะดีษที่ไม่อยู่ในสารบบการรายงาน(มุรซัล)

เป็นฮะดีษที่ไร้ประสิทธิภาพ(เฎาะอีฟ) ประเภทหนึ่งที่นักปราชญ์ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ถึงแม้ว่าผู้รายงานคนนั้นๆ จะเป็นที่เชื่อถือได้ก็ตาม

แต่ที่ต้องตกเป็นฮะดีษเฎาะอีฟไป ก็เพราะเพียงการมิได้แนะนำให้รู้จักนักรายงานที่นำฮะดีษบทนั้นมาถ่ายทอดเท่านั้นเอง

นักปราชญ์ส่วนใหญ่ ยังให้การยอมรับฮะดีษประเภทที่ไม่อยู่ในสารบบการรายงาน (มุรซัล) ถ้าหากปรากฏชื่อนักรายงานบางคนที่มีความน่าเชื่อถือ มีชื่อเสียง ดีเด่น เป็นที่ยอมรับในความเคร่งครัดสำรวมตน โดยจะยึดฮะดีษนั้นเป็นหลักฐานอ้างอิงไปเลย และจะยกประโยชน์ให้กับผลงานเช่นนี้

เพราะว่านักรายงานกลุ่มนี้จะไม่ยอมรับฮะดีษใดๆ จากใครง่ายๆ เว้นแต่เขาจะมีความเชื่อถือ มีความมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องเป็นฮะดีษที่มาจากท่านศาสนทูตหรือจากอิมามอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนักรายงานที่เชื่อถือได้รายนี้กล่าวว่า “ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺกล่าวว่า หรืออิมามกล่าวว่า” เพราะการพูดออกมาอย่างนี้ย่อมหมายถึงความมั่นใจที่นักรายงานผู้นั้นมีต่อแหล่งที่มาของฮะดีษ หาไม่แล้วถือว่าการรายงานฮะดีษโดยใช้ประโยคอย่างนี้ เท่ากับเป็นการทำลายความเที่ยงธรรมและความน่าเชื่อถือของตนเอง

๑๒๙

ในทางตรงกันข้ามกับทัศนะของนักปราชญ์กลุ่มนี้ เรายังพบว่า มีนักปราชญ์อีกกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวคัดค้าน ไม่ยอมรับหลักการอันนี้มาถือปฏิบัติ

ดังตัวอย่างในบางเรื่อง เมื่อนักปราชญ์ส่วนหนึ่งถือปฏิบัติตามฮะดีษประเภทที่ไม่อยู่ในสารบบการรายงาน ก็ได้มีนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งออกมาคัดค้านไม่ยอมรับการปฏิบัติเช่นนั้น ดังมี

ข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ “อัร-เราฎอตุล บะฮียะฮฺ ฟี ชะเราะฮฺ อัล-ลุมอะติล-ดะมัช-ชะกียะฮฺ”หมวดว่าด้วย “หนี้สิน”

“จากกรณี นักการศาสนา (ฟุเกาะฮาอ์) กลุ่มหนึ่งวางกฎออกมาว่า “หนี้สินของผู้ตายย่อมถูกเพิกถอนได้โดยเหตุการณ์ตาย ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินที่ผู้ตายอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของคนอื่น หรือจะเป็นหนี้สินที่ผู้ตายอยู่ในฐานะลูกหนี้ของคนอื่น และให้ถือเป็นวาญิบจะต้องดำเนินการให้สมบูรณ์

ภายหลังจากการตาย ทั้งนี้โดยยึดหลักการจากฮะดีษประเภทมุรซัลบทหนึ่ง ท่านชะฮีดเอาวัลและท่านชะฮีดษานีย์ (ขอให้อัลลอฮฺประทานความเมตตา) ได้ออกมาคัดค้านการวินิจฉัยความกรณีให้ถ่ายโอนหนี้สินที่ผู้ตายมีฐานะเป็นเจ้าหนี้โดยได้คัดค้านบทรายงานนี้ ตรงที่เป็นมุรซัลนั่นเอง

ท่านชะฮีดเอาวัล ได้กล่าวว่า “หากผู้ตายเป็นคนมีหนี้สิน ถือว่าให้เพิกถอนสภาพหนิ้สินนั้นได้ แต่จะไม่เพิกถอนเช่นนั้นสำหรับผู้ตายที่เป็นเจ้าหนี้”

๑๓๐

ท่านชะฮีดษานีย์ นักวิจัยชั้นเอกได้กล่าวในหมายเหตุไว้ว่า “มีการกล่าวกันว่าการเพิกถอนหนี้สินเป็นไปตามหลักการจากรายงานประเภทมุรซัล และเป็นไปโดยหลักการเปรียบเทียบ (กิยาส) กับกรณีการตายของลูกหนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการวินิจฉัยที่โมฆะ”บทรายงานประเภทมุรซัลที่ว่าก็คือ “รายงานโดย มุฮัมมัด บิน ยะกูบ อัล-กุลัยนีย์ รับมาจาก

อะบี อาลี อัล-อัชอะรีย์รับมาจากมุฮัมมัด บิน อับดุล ญับบารฺ ซึ่งได้รับมาจากคนบางคนในหมู่มิตรสหายของท่าน ซึ่งรับมาจาก คอลัฟ บิน ฮัมมาด ซึ่งรับมาจาก อิสมาอีล บิน อะบี กุรฺเราะฮฺ ซึ่งได้รับมาจากอะบีบะศีรฺ ได้กล่าวว่า “ท่านอะบูอับอุลลอฮฺ (อิมามญะฟัร (อ)) ได้กล่าวว่า

“หากชายคนใดตายลงทรัพย์สินของเขาทั้งในฐานะเป็นเจ้าหนี้ และที่เป็นลูกหนี้ ย่อมสามารถเพิกถอนได้”(๙๖)

สาเหตุที่ถือว่ารายงานบทนี้เป็นรายงานประเภทมุรซัลก็คือ ตอนที่ไม่ได้ระบุชื่อของนักรายงานคนหนึ่งที่มุฮัมมัด บิน อับดุลญับบารฺ รับการถ่ายทอดมา ซึ่งในสารบบการรายงานระบุว่า

มุฮัมมัด บิน อับดุล-ญับบารฺ รับรายงานมาจากคนบางคนในหมู่มิตรสหายของท่าน คำว่า “บางคน”ตรงนี้เอง ที่ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นใคร;

จึงด้วยเหตุนี้เอง รายงานบทนี้จึงมีฐานะเป็น “มุรซัล” ซึ่งเป็นฮะดีษประเภทที่นักการศาสนาบางกลุ่มไม่ยอมรับมาเป็นหลักปฏิบัติ

ซึ่ง ท่านชะฮีดเอาวัลและษานีย์ ก็มีความเห็นอย่างนี้

ดังที่ท่านได้ยืนยันอย่างชัดเจนไปแล้ว

๑๓๑

ฮะดีษมุรซัลประเภทต่างๆ

หลังจากที่บรรดานักปราชญ์ได้วิเคราะห์ฮะดีษประเภทมุรซัลแล้ว พวกเขาก็พบว่ายังมีฮะดีษประเภทนี้บางบทที่ถูกรายงานถ่ายทอดมาโดยนักรายงานที่มีความน่าเชื่อถือ

ส่วนบางรายงานเท่านั้นที่ถูกรายงานถ่ายทอดมาจากนักรายงานที่ขาดความน่าเชื่อ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงแบ่งประเภทของฮะดีษมุรซัลออกไปได้อีกสองประเภท นั่นคือ

๑-ฮะดีษมุรซัลที่เชื่อถือได้

หมายความว่า รายงานฮะดีษบทใดที่ถูกอ้างว่ามีที่มาจากมะศูม โดยนักรายงานคนใดที่บรรดานักปราชญ์สาขาประวัติบุคคลผู้เป็นนักรายงานให้ความเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่รับบทรายงาน

ใดๆ มาจากใคร เว้นแต่จะต้องเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ และนี่คือข้ออ้างอย่างหนึ่งในทัศนะของบรรดานักปราชญ์สาขาอุศูลุลฟิกฮฺเป็นจำนวนมาก ตามที่เราได้กล่าวไปแล้ว(๙๗)

๒-ฮะดีษมุรซัลประเภทที่ขาดความน่าเชื่อถือ

หมายถึง รายงานบทใดก็ตามที่อ้างว่า มีที่มาจากมะศูมโดยถูกรายงานถ่ายทอดมาจากบุคคลซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในวิธีการทำงานด้านการถ่ายทอดบทรายงานของเขา(๙๘)

๑๓๒

นักปราชญ์สาขาอุศูลุลฟิกฮฺกลุ่มหนึ่งให้ความเห็นว่า ฮะดีษประเภทมุรซัลเหล่านี้ สามารถนำมาอ้างอิงเป็นหลักฐานได้ ในกรณีถ้าหากตรงกับหลักปฏิบัติของบรรดานักการศาสนา (ฟุเกาะฮาอ์) ที่มีชื่อเสียงในอดีต โดยถือโอกาสกล่าวเสริมการให้ทัศนะว่า นักการศาสนาผู้มีชื่อเสียงย่อมจะไม่ปฏิบัติตามหลักการจากบทรายงานเหล่านี้อย่างแน่นอน ถ้าหากพวกเขาไม่มีองค์ประกอบเพียงพอในการยืนยันว่าบทรายงานเหล่านี้มีความถูกต้อง

อย่างไรก็ดี นักปราชญ์อีกส่วนหนึ่งให้ความเห็นคัดค้านในการที่จะนำเอาหลักปฏิบัติของผู้มีชื่อเสียงมาเสริมประสิทธิภาพให้แก่ฮะดีษประเภทเฎาะอีฟจึงไม่เห็นด้วยที่จะยึดเอาเหตุผลเหล่านี้เป็นหลักฐานอ้างอิง

หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจอย่างชัดเจน ถึงจุดยืนของบรรดานักปราชญ์ที่มีต่อบทรายงานประเภทมุรซัลซึ่งทำหน้าที่รายงานกฏเกณฑ์ทางศาสนามาถึงพวกเรา (ริวายะฮฺ ต่างๆเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ทางศาสนา) แล้ว จะถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทีเดียว ถ้าเรามาทำความเข้าใจกันถึงคุณค่าทางวิชาการของบทรายงานต่างๆ ประเภทมุรซัลที่ถูกรายงานมา ทั้งจากนักรายงานที่มีจุดบกพร่อง และนักรายงานที่มีความเที่ยงธรรมควรจะกล่าวไว้ด้วยว่า การชี้ประเด็นความบกพร่องและยืนยันในความเที่ยงธรรมนั้น

เป็นเพียงคำยืนยันของผู้ชี้ประเด็นและผู้ยืนยันเท่านั้นโดยที่ความรู้ในสาขาประวัติบุคคลผู้เป็นนักรายงาน เป็นวิชาการที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ

เกี่ยวกับการวิเคราะห์คุณสมบัติและคำนิยามในตัวของนักรายงาน

ผู้ที่รู้ในของนักรายงานคนหนึ่ง

๑๓๓

 อาจแนะนำให้รู้จักนักรายงานคนหนึ่งๆ โดยคำจำกัดความตามความรู้สึก และโดยการยืนยันของคนร่วมสมัยที่อยู่ด้วยกันและที่รู้จักมักคุ้นกันเมื่อเป็นเช่นนี้ คำยืนยันของเขาจะเป็นที่ยอมรับได้ก็ต่อเมื่อเขาเป็นผู้มีความน่าเชื่อถือ

อีกนัยหนึ่ง นักปราชญ์สาขาประวัติบุคคลจะแนะนำให้รู้จักกับนักรายงานบางคนที่ไม่มีใครเคยอยู่ร่วมสมัยเดียวกันเลย หากแต่การยึดถือบทรายงานต่างๆ คือการเสริมคุณสมบัติให้แก่นักรายงานเหล่านั้น

เพราะฉะนั้นบทรายงานเหล่านี้ได้ถูกนำมาศึกษา และสารบบการรายงานเหล่านี้ได้ถูกนำมาเสริมคุณค่า ครั้นถ้าหากแนวทางของเขาสืบไปถึงคนในยุคสมัยของนักรายงานผู้นั้นว่า มีความน่าเชื่อถือบทรายงานนั้นๆ ก็จะเป็นที่ยอมรับความน่าเชื่อถือเหล่านั้นจะเป็นที่ยอมรับ ไม่ผิดอะไรกับบทรายงานเรื่องราวต่างๆ จากกฎเกณฑ์ทางศาสนา

แต่ในกรณีที่นักปราชญ์สาขาประวัติศาสตร์บุคคลที่เป็นนักรายงาน ให้คำจำกัดความคุณสมบัติของนักรายงานที่ไม่ปรากฏว่ามีนักรายงานในสมัยเดียวกัน อีกทั้งมิได้กล่าวถึงสารบบการรายงานที่ติดต่อเชื่อมโยงกับคำจำกัดความนี้ ให้ถือว่าคำจำกัดความเช่นนี้ เป็นคำจำกัดความประเภทมุรซัลด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งจะประสบปัญหาในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถืออย่างนี้

ยังมีทฤษฎีทางวิชาการอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ นั่นคือการนำเรื่องราวต่างๆย้อนกลับไปให้ผู้เชี่ยวชาญระดับอะฮฺลุล-คิบเราะฮฺ

 (ผู้รู้ระดับที่สามารถออกคำวินิจฉัยความได้เอง)

โดยให้ถือเอาคำตัดสินของอะฮฺลุล-คิบเราะฮฺ เป็นหลักฐานอ้างอิง

๑๓๔

ด้วยเหตุนี้นักการศาสนาจึงยึดถือต่อนักรายงานที่ได้รับการสนับสนุนและได้รับความเชื่อถือ โดยถือว่า นั่นคือหลักฐานอ้างอิงแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กล่าวถึงแนวทางที่เขายึดเป็นหลักอยู่ในการให้คำจำกัดความแก่นักรายงานคนนั้นก็ตาม

ความขัดแย้งกับวิธีการแก้

อิสลาม เป็นศาสนาที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) นำมาเผยแพร่เพื่อแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ โดยทั่วไป กล่าวคือในคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าประกอบไปด้วยหลักการต่างๆ อย่างครบครัน เช่น หลักศรัทธา การอบรมจิตใจ จริยธรรม ระเบียบสังคม และกฏเกณฑ์กฎหมายต่างๆ ที่วางเพื่อจัดระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อพระผู้สร้าง ต่อตนเอง สังคม รวมไปถึงโลกที่มีธรรมชาติและสัตว์ต่างๆ เป็นสิ่งแวดล้อม

ซุนนะฮฺอันบริสุทธิ์ คือแหล่งที่มาอันดับสองของบทบัญญัติทางศาสนาถัดจากอัล-กุรฺอานซึ่งทำหน้าที่อธิบายขยายความในกฏเกณฑ์ทางศาสนา กฎหมายต่างๆ ที่มีในคัมภีร์อย่างละเอียด ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

 หรืออีกนัยหนึ่งมันคือสิ่งที่ท่านศาสนทูตได้รับมาจากสภาวะการดลใจให้รู้ และการสนับสนุนของพระผู้เป็นเจ้าดังที่พระองค์ทรงตรัส ความว่า

“และเขามิได้พูดจากอารมณ์ มันมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นสภาวะแห่งวะหฺยูที่ถูกดลบันดาลลงมา ผู้ทรงไว้ซึ่งพลังอันเข้มแข็งได้สอนให้เขารู้”

๑๓๕

ด้วยเหตุนี้กฎเกณฑ์ทางศาสนา และกฎหมายต่างๆ ตลอดทั้งหลักศรัทธาวิชาการในการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติ การจัดระเบียบสังคม ลักษณะการเป็นเอกภาพทั้งในด้านความคิดและบทบัญญัติที่มีความเหมาะสมครบถ้วน ไม่มีข้อขัดแย้งต่อกันและไม่มีอะไรคัดค้านต่อกัน

อย่างไรก็ตาม เราได้พบว่าบทรายงานต่างๆ ที่สืบทอดมาถึงเรา เท่าที่ถูกอ้างว่ามาจาก ท่านศาสนทูต(ศ) และบรรดาอิมาม(อ) นั้น มีความขัดแย้งและคัดค้านซึ่งกันและกัน ทั้งในแง่ของความหมายที่มีอยู่ระหว่างบทรายงานด้วยกันเอง และที่ขัดแย้งกับความหมายในโองการต่างๆ ก็ยังมีอีกด้วยในบางโองการ ดังจะเห็นได้ว่า บางบทรายงานจะอนุโลมผ่อนผันในเรื่องหนึ่ง แต่บทรายงานอื่นจะห้ามเรื่องนั้นๆหรือไม่จะมีบางบทรายงานทิ่อธิบายความหมายจนได้แง่คิดอย่างหนึ่งขึ้นมาชัดเจน แต่เราจะพบว่า อีกบทรายงานหนึ่งได้ให้ความหมายและเหตุผลที่แตกต่างกัน

ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์อุศูลุลฟิกฮฺ จึงได้ศึกษาวิเคราะห์ในประเด็นของข้อขัดแย้งในหลักฐานจากซุนนะฮฺโดยการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ และพวกเขาได้อธิบายถึงสาเหตุเหล่านั้น อีกทั้งยังได้เสนอวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นวิชาการเอาไว้

คำว่า “ขัดแย้งในภาษาอาหรับจะได้แก่คำว่า“อัต-ตะอารุฏ” หมายถึง “การคัดค้าน” เช่น

“ชายคนหนึ่งพูดจาคัดค้านชายอีกคนหนึ่ง”(๑๐๐)

๑๓๖

จะยังไม่ถือว่า บทรายงานสองบท มีความหมายที่ขัดแย้งกันอย่างแท้จริงเว้นแต่ทั้งสองบท รายงานต่างก็ได้แสดงถึงข้ออ้างอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเนื้อความ และสารบบ

การรายงาน(ซะนัด) ถึงแม้จะมิได้ขัดแย้งกันในแง่ของหลักปฎิบัติ แต่มันก็ยังมีความขัดแย้งอยู่กับ อีกบทรายงานหนึ่งจนถึงขนาดว่าไม่สามารถจะนำเอาบทรายงานไหนมาเป็นมาตรการตัดสินหรือยึดมาเป็นหลักได้(๑๐๑)

ควรจะกล่าวไว้ด้วยว่าความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นนอกจากระหว่างหลักฐานประเภทรองด้วยกันเอง กล่าวคือความขัดแย้งจะไม่มีระหว่างหลักฐานขั้นเด็ดขาดด้วยกัน อีกทั้งจะไม่ถือว่ามีความขัดแย้งระหว่างหลักฐานขั้นเด็ดขาดกับหลักฐานประเภทรอง และไม่ถือว่ามีความขัดแย้งระหว่างหลักฐานขั้นเด็ดขาดกับหลักปฏิบัติขั้นพื้นฐาน เช่น การเป็นเพื่อน อย่างนี้เป็นต้น

การวิเคราะห์ของบรรดานักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญในวิชาฮะดีษ และวิชาว่าด้วยประวัติบุคคลผู้เป็นนักรายงาน ทำให้เรารู้ว่าการปลอมแปลงและการใส่ความเท็จในคำพูดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) บรรดาอิมาม(อ) และบรรดาสาวกนั้น คือสาเหตุที่สำคัญยิ่งในการก่อให้เกิดความขัดแย้งประเภทนี้ขึ้นมาและความขัดแย้งที่แท้จริงอันนี้ คือ ลักษณะที่ขัดแย้งที่มีอยู่อย่างกว้างขวางระหว่างบทรายงานต่างๆอย่างไรเสีย

 เรายังได้พบความขัดแย้งในอีกลักษณะหนึ่ง นั่นคือ ความขัดแย้งเพียง

ความหมายภายนอกตามที่เรียกกันว่าความขัดแย้งโดยเหตุปัจจัยภายนอก ทั้งนี้ก็เพราะมิใช่เป็นความขัดแย้งอย่างแท้จริง

๑๓๗

เช่น ความขัดแย้งระหว่างความหมายในลักษณะที่เป็นสากลกับความหมายในลักษณะชี้เฉพาะ ระหว่างความประเภทมีความเป็นอิสระกับความหมายประเภทที่มีข้อจำกัดวางไว้เป็นเงื่อนไข

ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งที่ปรากฏในบทรายงานจึงถูกแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑-ความขัดแย้งอันคงที่ หมายถึง ความขัดแย้งที่แท้จริงระหว่างสองบทรายงานโดยแต่ละบทรายงานจะปฏิเสธต่อกันว่าเท็จมีความแตกต่างหักล้างกัน ทั้งความหมายและเหตุผลข้ออ้างในลักษณะที่กล่าวได้ว่าไม่อาจมีทางแก้ไขใดๆ สำหรับความขัดแย้งเช่นนี้ได้

ดังนั้นบรรดานักปราชญ์กลุ่มหนึ่งจึงให้ความเห็นว่า ควรจะยกเลิกเสียทั้งสองบทรายงานพร้อมกันไปเลย แล้วให้ยึดหลักปฏิบัติตามหลักการขั้นพื้นฐานเช่น หลักการที่เรียกว่า “อัล-บะรออะฮฺ”

ขณะเดียวกับที่อีกกลุ่มหนี่งเล็งเห็นว่า ควรจะใช้ดุลยพินิจเพื่อเลือกดูว่าในความหมายของ ทั้งสองบทรายงานนี้ควรจะได้ยึดเอาอันไหนเป็นหลักปฏิบัติมากกว่า เพราะมีคำสอนอยู่ว่าเกี่ยวกับ

ปัญหาเฉพาะหน้าของคนเรานั้น เราสามารถจะเลือกได้เองว่าจะปฏิบัติทางใดแน่จึงจะดีกว่ากันจนกว่าจะมีข้อพิสูจน์มาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอย่างไหนถูกต้องหรือก้ำกึ่งกัน หรือถูกต้องทั้งสองประการ

๑๓๘

๒-ความขัดแย้งอันไม่คงที่ หมายถึง ความขัดแย้งเพียงลักษณะภายนอกยังมีโอกาสแก้ไขได้ด้วยการนำความหมายของบทรายงานเหล่านั้นที่ขัดแย้งกันมาผนวกใจความให้เข้าหากัน เช่น ความหมายในลักษณะเป็นสากล

จากรายงานบทหนึ่งขัดแย้งกับความหมายในลักษณะชี้เฉพาะของรายงานอีกบทหนึ่ง

หรือความหมายในลักษณะเป็นอิสระ (มุฏลัก) จากรายงานบทหนึ่งขัดแย้งกับความหมาย ในลักษณะมีข้อจำกัด (มุก็อยยัด) จากรายงานอีกบทหนึ่ง

วิธีการแก้ ก็คือ ให้ถือบทรายงานที่มีความหมายชี้เฉพาะเป็นหลักการนำหน้าบทรายงานที่มีความหมายในลักษณะเป็นสากลในการปฏิบัติ

ทั้งนี้ ก็เพราะบทรายงานที่มีความหมายชี้เฉพาะมาเพื่อกำกับความหมายที่เป็นสากล

ทำนองเดียวกับให้ถือบทรายงานที่มีความหมายในเชิงวางข้อจำกัดเป็นหลักการนำหน้าบทรายงานที่มีความหมายในเชิงอิสระในการนำมาปฏิบัติ

ทั้งนี้ ก็เพราะบทรายงานที่มีความหมายในเชิงวางข้อจำกัดมาเพื่อกำกับบทรายงานที่มีความหมายในเชิงอิสระมิใช่มาเพื่อขัดแย้งต่อกัน

หรือบางครั้งจะมีรายงานฮะดีษที่สั่งห้ามสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยจะขัดแย้งกับอีกบทรายงานหนึ่งที่อนุโลมผ่อนผันให้กระทำในเรื่องนั้นๆ ได้ ก็สามารถจะนำมาหาผลสรุปได้โดยการรวมสองบทรายงานมาผนวกเข้าหากัน

๑๓๙

กล่าวคือ จะเห็นได้ว่า ที่ห้ามในรายงานหนึ่งนั้น เป็นข้อห้ามประเภท

มักรูฮฺ หมายความว่า อนุญาตให้กระทำในสิ่งนั้นได้นั่นเอง แต่ให้ถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ อันนี้ ไม่ถือเป็นความขัดแย้งอย่างแท้จริงถึงขนาดว่า บทรายงานหนึ่งอนุญาตให้ทำได้ แต่อีกบทรายงานหนึ่งห้ามมิให้กระทำความทัดเทียมกับความเหลื่อมล้ำ

จากการศึกษารายงานฮะดีษต่างๆ ที่มีความหมายขัดแย้งกัน อีกทั้งโดยที่ได้วิเคราะห์ถึงสารบบการรายงานและเนื้อความของฮะดีษ สภาพแวดล้อมประกอบกับปัจจัยภายนอก จะพบว่าบางรายงานฮะดีษ จะมีมาตรฐานที่เหลื่อมล้ำกันทั้งในด้านเนื้อความและสารบบการรายงาน แต่บางบทรายงานจะมีมาตรฐานที่ทัดเทียมกันในแง่ต่างๆ

ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์ฮะดีษจึงได้ให้ชื่อเรียกว่าความมีมาตรฐานทัดเทียมกันและเหลื่อมล้ำกัน โดยที่ได้แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

๑- บทรายงานที่มีมาตรฐานทัดเทียมกัน

ได้แก่ รายงานฮะดีษต่างๆ ที่มีความหมายขัดแย้งกัน และต่างก็มีมาตรฐานทัดเทียมกันในแง่ต่างๆ

เช่น ในแง่ของสารบบการรายงานและเนื้อความฮะดีษ

กล่าวคือ เมื่อไม่มีฮะดีษบทใดดีเด่นเป็นพิเศษในด้านใด มากกว่าฮะดีษอีกบทหนึ่ง คือ เมื่อไม่มีความได้เปรียบเป็นของฮะดีษบทใดเช่นนี้ ก็เป็นไปตามที่เราได้อธิบายไว้แล้ว คือนักปราชญ์ได้ให้แนวทางทางไว้ว่าในเมื่อแต่ละบทรายงานต่างก็มีมาตรฐานทัดเทียมกัน ไม่อาจนำเอาทั้งสองบท

๑๔๐