บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม17%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339871 / ดาวน์โหลด: 4958
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

เรื่องการรู้จักพระเจ้า

เขียนโดย ดร.มุฮัมมัด ซะอีดีย์เมฮ์ร์

คำนำ

     ส่วนมากของผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาทั้งหลายและเช่นเดียวกันกับผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาอิสลาม หมายถึง ชาวมุสลิมทั้งหลายก็มีความเชื่อเช่นกันว่า พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่ได้ประทานศาสนาลงมาเพื่อชี้นำมวลมนุษยชาติ อีกทั้งยังได้นำคำสั่งสอนต่างๆของพระองค์ผ่านยังวะฮ์ยู

 (คำวิวรณ์) จากพระองค์โดยผ่านบรรดาศาสดาทั้งหลาย ซึ่งพวกเขาคือ

 ผู้เผยเเพร่สารของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อทำการสั่งสอนให้กับมนุษย์ในการปฏิบัติต่อหลักการปฏิบัติศาสนกิจ เพราะฉะนั้นคำสั่งสอนของศาสนาอิสลามจึงถูกแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ด้วยกัน ดังต่อไปนี้

 ๑.คำสั่งสอนทางด้านหลักศรัทธา (อะกีดะฮ์)

  ๒.คำสั่งสอนทางด้านหลักศีลธรรม และจริยธรรม (อัคลาก)

  ๓.คำสั่งสอนทางด้านหลักปฏิบัติ (อะฮฺกามหรือ ชะรีอะฮฺ)

     ในอีกมุมมองหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความสมบูรณ์ของศาสนาขึ้นอยู่กับการรู้จักศาสนา และความเคร่งครัดต่อศาสนานั้น ก็ขึ้นอยู่กับการรู้จักในศาสนาด้วยเช่นเดียวกัน และการไม่เข้าใจในคำสอนของศาสนาก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องออกห่างจากศาสนา ดังนั้น การรู้จักอย่างถูกต้องในคำสั่งสอนของศาสนาทั้งในด้านทฤษฎีและด้านปฏิบัติ คือ บ่อเกิดแห่งการรู้จักต่อศาสนา อีกทั้งยังเป็นการเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง

    ด้วยเหตุนี้ หน้าที่อันสำคัญอันหนึ่งของมนุษย์ หลังจากที่เขามีความเชื่อในการเป็นศาสนทูตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และเชื่อว่าคำสั่งสอนของท่านนั้นมีความถูกต้อง คือ การรู้จักและเข้าใจอย่างละเอียดในคำสั่งสอนของศาสนา และในเป้าหมายของศาสนา และการรู้จักอย่างถูกต้องในศาสนานั้น ทำให้เขาไปสู่ความสมบูรณ์ และความผาสุกในการดำเนินชีวิตของเขา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า  บรรดามุสลิมทั้งหลายนั้นได้ให้ความสำคัญต่อการรู้จักในคำสั่งสอนของศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวิชาการและศาสตร์ต่างๆได้เกิดขึ้นมากมายในโลกแห่งอิสลาม และศาสตร์เหล่านั้นได้แยกออกเป็นสาขาต่างๆมากมาย ด้วยเช่นกัน ดังนั้น บรรดานักปราชญ์และนักวิชาการในสาขาวิชาการต่างๆเหล่านั้น ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับศาสนาไปตามความรู้และทัศนะความคิดที่ได้ศึกษามาจากศาสตร์เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุให้ศาสตร์วิชาการแขนงหนึ่งในศาสนาอิสลามได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น

 นั่นก็คือ วิชาอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) ที่มาและแหล่งกำเนิดของวิชาการแขนงนี้ เริ่มต้นมาจาก การถือกำเนิดมาพร้อมกับและการมาของศาสนาอิสลาม เนื่องด้วยกับการเกิดปัญหาและคำถามมากมายที่เกี่ยวกับหลักศรัทธา เพราะฉะนั้น  วิชาอิลมุลกะลาม

(วิชาเทววิทยาอิสลาม) จึงมีหน้าที่ในการตอบปัญหาและคำถามและข้อสงสัยที่เกี่ยวกับหลักศรัทธา

     คำนิยามของอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม)

     การให้คำนิยามของอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) มีหลายคำนิยามด้วยกัน และคำนิยามที่เป็นที่รู้จักในเทววิทยาอิสลาม ก็คือ

  อิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) คือ

 “วิชาที่ว่าด้วย การวิเคราะห์, การอรรถาธิบาย,   การเรียบเรียง,

  การพิสูจน์ด้วยเหตุและผลในหลักศรัทธาของอิสลาม อีกทั้งยังมีหน้าที่ในการตอบปัญหาและข้อสงสัยที่เกี่ยวกับหลักศรัทธา”

    คำอธิบาย

    และจากการให้คำนิยามข้างต้นนี้ บ่งบอกถึง หน้าที่ต่างๆอันสำคัญยิ่งของอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) ซึ่งมีดังนี้

  ๑.การวิเคราะห์ หมายถึง การนำเอาพระมหาคัมภีร์อัล กุรอาน และฮะดีษ (วจนะของท่านศาสดามุฮัมมัดและบรรดาอะฮฺลุลบัยต์ ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย) ถือว่า เป็นสองหลักการที่สำคัญได้นำมาใช้ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับหลักศรัทธา และยังถือว่าเป็น หน้าที่อันดับแรกของนักมุตะกัลลิม

 (หมายถึง นักเทววิทยา) ส่วนภารกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของนักเทววิทยา คือ การนำเอาคำสั่งสอนของศาสนามาวิเคราะห์ด้วยกับเหตุและผล ดังนั้น หน้าที่ของนักมุตะกัลลิม จึงมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของหลักศรัทธาในภาคทฤษฎี  หรือที่เรียกกันว่า อุศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา) ซึ่งตรงกันข้ามกับ หลักปฏิบัติศาสนกิจ(อะฮ์กาม)

  ๒.การอรรถาธิบาย หมายถึง หน้าที่ลำดับต่อไปของอิลมุลกะลาม

 (เทววิทยาอิสลาม) หลังจากที่ได้วิเคราะห์ในหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  นักมุตะกัลลิม ยังมีอีกหน้าที่หนึ่ง นั่นก็คือ

 การอรรถาธิบายหลักศรัทธาของศาสนา โดยต้องใช้คำอธิบายที่ชัดเจน และเข้าใจง่าย เพื่อขจัดความคลุมเคลือและการโต้แย้งต่างๆ ที่จะเกิดจากการวิเคราะห์ในหลักศรัทธา โดยการนำเอาหลักฐานอันชัดแจ้งจากอัลกุรอาน ,ฮะดีษ(วจนะ),ศัพท์ทางวิชาการ และหลักการต่างๆในศาสตร์อื่นๆ มาใช้ประกอบในการอรรถาธิบายด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนวิธีการที่นักมุตะกัลลิมนำมาใช้ในการอรรถาธิบายนั้น  เป็นวิธีการที่เฉพาะเจาะจงกับวิชาเทววิทยาเท่านั้น

  ๓.การเรียบเรียง หมายถึง หลังจากที่ได้อรรถาธิบายหลักศรัทธาเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หน้าที่อันดับต่อไปของนักมุตะกัลลิม ก็คือ การเรียบเรียงหลักศรัทธาให้มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน โดยในความเป็นจริง

 อัลกุรอาน ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญมิได้เรียบเรียงหลักศรัทธาไว้

 ด้วยเหตุนี้เอง นักมุตะกัลลิมจึงเพ่งเล็งเห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเรียบเรียงหลักศรัทธาขึ้นมาให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการเข้าใจ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ได้ว่า เป้าหมายหลักของ เทววิทยาอิสลาม คือ

การทำให้หลักศรัทธานั้น ถูกจัดให้เป็นระบบระเบียบ เพราะว่า จะทำให้ความสามารถแยกแยะในประเด็นต่างๆที่สำคัญออกจากกันได้

อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นต่างๆเหล่านั้นได้อีกด้วย

  ๔.การพิสูจน์ด้วยเหตุและผล หมายถึง หลังจากที่นักเทววิทยา ได้อรรถาธิบายและเรียบเรียงในหลักศรัทธาแล้ว อีกหน้าที่ๆสำคัญเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ การตรวจสอบในประพจน์หรือประโยคต่างๆที่ใช้ในการพิสูจน์หลักศรัทธา และการเข้าใจในประโยคเหล่านั้น จำเป็นที่จะต้องใช้เหตุและผลมาพิสูจน์ยืนยัน โดยนักเทววิทยานั้นจะต้องใช้เหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ในการพิสูจน์หลักศรัทธาเท่านั้น

  ๕.การตอบปัญหาและข้อสงสัย หมายถึง หน้าที่อันดับสุดท้ายของ

นักเทววิทยา ก็คือ การใช้วิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดในการตอบปัญหาและข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับหลักศรัทธาของอิสลาม

     วิธีการศึกษาในอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม)

    ในปัจจุบันนี้ มีหลายวิธีการที่ใช้ในศึกษา และค้นคว้าในศาสตร์และวิชาการแขนงต่างๆ  เพราะฉะนั้น  วิธีการที่ใช้ในการศึกษา และค้นคว้าในวิชาการ ที่เป็นที่รู้จักกัน มีด้วยกัน ๓ วิธีการ ดังนี้

  ๑.วิธีการใช้เหตุผลทางสติปัญญา และทัศนะ(อักลีย์)

  ๒.วิธีการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และการทดลอง (ตัจรุบีย์)

  ๓.วิธีการอ้างอิงจากตำรา และการจดบันทึก (นักลีย์) เช่น

การบันทึกทางประวัติศาสตร์ และจากหนังสืออ้างอิง

  ดังนั้น วิธีการที่สามารถใช้ศึกษาค้นคว้าในอิลมุลกะลาม

 (วิชาเทววิทยาอิสลาม)  จึงมีด้วยกัน  ๒ วิธีการ ดังนี้

  ๑.วิธีการใช้เหตุผลทางสติปัญญา (อักลีย์)

  ๒.วิธีการอ้างอิงจากตำราและการจดบันทึก (นักลีย์)

  วิธีการอักลีย์ หมายถึง การค้นคว้าโดยอาศัยหลักที่ว่าด้วยเหตุและผลจากการใช้กฏต่างๆของตรรกศาสตร์และปรัชญา

 ส่วนประเภทของเหตุและผลที่รู้จักกันทั่วไป กล่าวคือ

 การให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเปรียบเทียบในการพิสูจน์

  ส่วนวิธีการนักลีย์ หมายถึง การใช้หลักการที่อ้างอิงจากตำราและการบันทึก ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานของการพิสูจน์ โดยการใช้พระมหาคัมภีร์อัล กุรอานเป็นบรรทัดฐานในการพิสูจน์ และถือว่า เป็นหลักฐานที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในอิสลาม และบรรดานักเทววิทยาได้ใช้สองวิธีการนี้ในการศึกษาและค้นคว้าในอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม)  และใช้ในการค้นคว้าในประเด็นต่างๆของ เทววิทยา ได้อีกด้วย

ประเด็นต่างๆในกะลาม(เทววิทยา) ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ประเด็นหลัก ด้วยกัน ดังนี้

  ๑. บางประเด็นสามารถใช้ทั้งสองวิธีการนี้ได้ คือ ทั้งวิธีการอักลีย์ และนักลีย์ พร้อมกัน เช่น ประเด็นที่เกี่ยวกับการอธิบายคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า นอกเหนือจากประเด็นที่เกี่ยวกับคุณลักษณะการมีความซื่อสัตย์ของพระองค์

  ๒.บางประเด็นสามารถใช้เพียงวิธีการเดียว นั่นคือ วิธีการอักลีย์ เท่านั้น เช่น ประเด็นที่เกี่ยวกับการพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า และประเด็นที่ใช้ในการพิสูจน์ความเป็นศาสนทูตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ)

  ๓.บางประเด็นที่ใช้วิธีการนักลีย์ได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะไม่สามารถใช้วิธีการอักลีย์ได้เลย นั่นก็คือ ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับสภาพของมนุษย์หลังความตาย และประเด็นที่เกี่ยวกับโลกหน้า เพราะสติปัญญาของมนุษย์นั้นมิสามารถพิสูจน์ในประเด็นเหล่านี้ได้ จึงต้องใช้เพียงคำสอนจาก

พระมหาคัมภีร์อัล กุรอาน และวจนะ เท่านั้น

     สาเหตุที่เรียกวิชาเทววิทยาอิสลามว่า อิลมุลกะลาม

     มีคำถามได้ถามขึ้นว่า ด้วยสาเหตุใดจึงเรียกวิชาเทววิทยาอิสลามว่า

อิลมุลกะลาม?

   ในความเป็นจริงก็คือ คำตอบของคำถามนี้ ไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เหตุผลหนึ่งของการเรียกชื่อนี้ ก็คือ  ประเด็นหนึ่งที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างสำนักคิดทั้งหลายของอิสลามเกี่ยวกับคุณลักษณะประการหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า นั่นก็คือ กะลาม (คำพูด)  ของพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่มีมาดั้งเดิมหรือว่าเพิ่งเกิดขึ้นใหม่  จึงนำเอาประเด็นนี้เป็นสาเหตุในการเรียกชื่อวิชาการนี้ว่า อิลมุลกะลาม  และอีกเหตุผลหนึ่งที่เรียกวิชาการนี้ว่า อิลมุลกะลาม ก็คือ

บรรดานักเทววิทยาอิสลาม มีความสามารถในการพูด  และการอธิบายในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับหลักศรัทธา จึงเรียก วิชาการนี้ว่า อิลมุลกะลาม ซึ่งหมายถึง คำพูด และยังมีเหตุผลอื่นอีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถกล่าวได้ว่าเหตุผลต่างเหล่านั้น ถูกต้องทั้งหมดทั้งสิ้น

     ขอบเขตของเทววิทยาอิสลาม

     จากที่ได้ให้คำนิยามของเทววิทยาอิสลามผ่านไปแล้ว จะเห็นได้ว่า วิชาการนี้มีความกว้างเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่สามารถที่จะกำหนดขอบเขตของวิชาการนี้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น บางทีสามารถแบ่งประเด็นที่สำคัญของเทววิทยาอิสลามได้ ๓ ประเด็น ด้วยกัน ดังนี้

   ๑.การรู้จักพระเจ้า (เตาฮีด)

   ๒.การรู้จักผู้ชี้นำมนุษยชาติ (สภาวะเป็นศาสดาและสภาวะการเป็นผู้นำของบรรดาวงศ์วานของศาสดามุฮัมมัด) (นะบูวะฮ์และอิมามะฮ์)

   ๓.การรู้จักในวันแห่งการตัดสิน (มะอาด)

     ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ศาสนาอิสลามได้อธิบายประเด็นที่เกี่ยวกับมนุษย์กับโลกไว้อย่างมากมาย และวิธีการโดยทั่วไปของนักเทววิทยาอิสลามในการอธิบายนั้น มิได้นำเอาประเด็นที่เกี่ยวกับการรู้จักมนุษย์มาป็นประเด็นหลักเพราะว่า ประเด็นหลักของเทววิทยาอิสลามได้รวมประเด็นที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์และโลกไว้แล้ว เช่นในประเด็นเรื่อง ฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) ,   เรื่องเตาฮีด อัฟอาลี (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าในกริยา การกระทำ) ,  ความต้องการของมนุษย์ไปยังศาสนา และศาสนทูต  และวิธีการเกิดขึ้นของมะอาด (วันแห่งการย้อนกลับของมนุษย์ยังพระผู้เป็นเจ้า) และประเด็นอื่นๆ ซึ่งถือว่า เป็นประเด็นที่สำคัญในเทววิทยาทั้งสิ้น  ดังนั้น การทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบในอิลมุลกะลาม(เทววิทยาอิสลาม)

๑๐

 นอกเหนือจากการเข้าใจในประเด็นหลักที่สำคัญแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาในประวัติการถือกำเนิดของอิลมุลกะลาม (เทววิทยาอิสลาม),การศึกษาและค้นคว้าในทัศนะต่างๆของสำนักคิดทั้งหลายของอิสลาม การวิเคราะห์และวิจัยความสัมพันธ์ของอิลมุลกะลาม (เทววิทยาอิสลาม) กับวิชาการอื่นๆ เช่น วิชาการอรรถาธิบายอัลกุรอาน

วิชาปรัชญา วิชาอิรฟาน (รหัสยวิทยา) และวิชาการอื่นๆ  ซึ่งจะขอเริ่มต้นการอธิบาย ในประเด็นที่เกี่ยวกับ การรู้จักพระเจ้า เป็นอันดับแรกก่อน

๑๑

 

ภาคที่หนึ่ง

การรู้จักพระเจ้า

 

๑๒

 บทที่ ๑ การรู้จักพระเจ้า

   เนื้อหาทั่วไป

   ในช่วงต้นได้กล่าวแล้วถึงประเด็นหลักที่สำคัญในสาขาวิชาเทววิทยาอิสลาม ซึ่งมีด้วยกัน ๓ ประเด็น ดังนี้

 ๑.ความเชื่อในเรื่องของหลักเตาฮีดหรือความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า

 ๒.ความเชื่อในเรื่องของนบูวัตหรือความเป็นศาสดา

 ๓.ความเชื่อในเรื่องของมะอาดหรือวันแห่งการตัดสิน

    ประเด็นแรกที่จะกล่าวถึง คือ ความเชื่อในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้  

๑๓

      

   ความสำคัญของการรู้จักพระเจ้า

  เรื่องความเชื่อในพระเจ้า มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ และจะพบได้ว่าในหน้าประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนถึง ความเชื่อของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้ามาอย่างยาวนาน  และถือว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ซึ่งส่งผลอย่างมากในการดำเนินชีวิตของเขา และด้วยเหตุนี้ หน้าที่หลักของมนุษย์ คือ การรู้จักพระเจ้า และมีความเชื่อต่อพระองค์ ดังนั้น จะเห็นถึงความแตกต่างระหว่าง มนุษย์ที่มีความเชื่อในพระเจ้า กับมนุษย์ที่ไม่มีความเชื่อในพระองค์ และระหว่างมนุษย์สองคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน ก็มีความแตกต่าง เช่นกัน เพราะว่ามนุษย์คนหนึ่ง มีความเชื่อที่แตกต่างไปจากอีกคนในเรื่องของการจินตนาการหรือการสร้างมโนภาพของพระเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นตามแนวความคิดของเขา ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การมีความเชื่อในพระเจ้าและคุณลักษณะ (ซิฟัต) ของพระองค์ จึงมีผลต่อการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติของมนุษย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การมีความศรัทธาในพระเจ้า ทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้นมีคุณค่า และการใช้ชีวิตของเขานั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น  

๑๔

 

  ความจำเป็นในการรู้จักพระเจ้า

  การรู้จักพระเจ้า เป็นหนึ่งในความเชื่อของมนุษย์ที่มีมาแต่เดิมตามสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขา ซึ่งความเชื่อนี้อยู่ควบคู่มาตั้งแต่กับการถือกำเนิดของมนุษย์ ดังนั้น การรู้จักสัญชาตญาณดั้งเดิม เป็นการรู้จักสภาพเบื้องต้นและเป็นขั้นตอนแรกในการรู้จักพระองค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การรู้จักพระเจ้าในลักษณะเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการรู้จักพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการรู้จักพระองค์

บรรดานักเทววิทยาอิสลาม ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรู้จักพระเจ้า พวกเขาได้นำเอาเหตุผลต่างๆมากมายมาพิสูจน์ถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ ซึ่งจะขอนำบทพิสูจน์ดังกล่าวมาเสนอ เพื่อเป็นตัวอย่าง ดังนี้

๑.การสกัดกั้นภยันตรายและผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สรุปก็คือ ในบทพิสูจน์นี้ บรรดานักเทววิทยาอิสลามได้กล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้า ได้ส่งบรรดาศาสดามาในทุกประชาชาติเพื่อชี้นำและตักเตือนมวลมนุษยชาติ และเชิญชวนพวกเขาไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ และถ้าหากว่า พวกเขามิได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของศาสดาทั้งหลาย จะพบกับภยันตรายและผลเสียที่จะได้รับ และหากว่าเขาไม่ศรัทธาในคำสั่งสอนของบรรดาศาสดา ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า คำสอนของพวกเขานั้น มีความถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงก็ได้

๑๕

และในสภาพเช่นนี้ ความคิดที่เกิดขึ้นในสติปัญญาของเขาที่ว่า ถ้าหากว่าการเชิญชวนของบรรดาศาสดานั้นเป็นจริงและถูกต้อง ผลที่จะได้รับจากการไม่เชื่อฟังในคำสอนของพวกเขา คือ การได้รับการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และเขาจะได้รับภยันตรายจากการที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของบรรดาศาสดาเหล่านั้น  โดยกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ สติปัญญาของมนุษย์เนั้นย้ำเตือนเสมอว่า ให้เขาหลีกเลี่ยงออกห่างจากภยันตรายและผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น และเมื่อมนุษย์คาดว่า การที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของบรรดาศาสดา พวกเขาจะถูกลงโทษจากพระเจ้านั้นเช่นกัน ด้วยกับความจำเป็นนี้ จึงต้องหลีกเลี่ยงจากอันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น  และจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเจ้า และคุณลักษณะของพระองค์ เพราะถ้าหากว่า พระเจ้ามีอยู่จริง นั่นก็หมายความว่า การเชิญชวนของบรรดาศาสดานั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วย และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงออกห่างจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นนี้ มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามคำสอนของบรรดาศาสดา นั่นเอง

๒.การสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ (ผู้มีบุญคุณ)

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกๆคนต่าง ได้รับปัจจัยยังชีพอันมากมายมหาศาล ซึ่งพวกเขานั้นมิได้เป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพให้แก่กันและกัน หรือนำพาปัจจัยยังชีพมาพร้อมกับการถือกำเนิดของพวกเขาเอง แต่ทว่าพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพเหล่านั้นให้แก่พวกเขา ในขณะที่สติปัญญาของมนุษย์กล่าวเสมอว่า จำเป็นที่จะต้องสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่มีบุญคุณต่อเขา และพระผู้เป็นเจ้า คือ ผู้ที่มีบุญคุณและเป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพให้เขา ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ต้องการที่จะตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีบุญคุณ ก็จำเป็นต้องรู้จักผู้มีบุญคุณเสียก่อน ซึ่งผู้นั้น ก็คือ พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง

๑๖

 และพระองค์ คือ ผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้กับมนุษย์รวมถึงบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังนั้น การรู้จักพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง และสติปัญญาได้กล่าวย้ำว่า มนุษย์จำเป็นที่จะต้องรู้จักผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ นั่นก็คือ การรู้จักพระเจ้า 

๑๗

   ระดับขั้นของการรู้จักพระเจ้า

   สิ่งสำคัญในการรู้จักพระเจ้าคือ เมื่อพูดถึง การรู้จักพระองค์ สามารถจะตีความได้หลายความหมาย  ซึ่ง ณ ที่นี้ จะแบ่งประเภทของระดับขั้นในการรู้จักพระเจ้า ได้ดังนี้

๑.การรู้จักอาตมันของพระเจ้า

บางครั้ง การรู้จักพระเจ้า หมายถึง การรู้จักอาตมันของพระองค์

มีคำถามได้ถามขึ้นว่า  การรู้จักพระเจ้าในสภาพเช่นนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่? และมนุษย์จะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร?

คำตอบ บรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามได้มีความเห็นตรงกันว่า การรู้จักพระเจ้าในสภาพเช่นนี้นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาได้ยกเหตุผลการใช้สติปัญญา , อัล กุรอาน และวจนะของศาสดา (ซ็อลฯ) ว่า การรู้จักอาตมันของพระองค์นั้น มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ทว่าทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาก็เช่นเดียวกัน ไม่มีความสามารถที่จะรู้จักถึงอาตมันที่แท้จริงของพระองค์ได้

เหตุผลทางสติปัญญา ก็คือ บรรดานักปรัชญาอิสลามได้กล่าวว่า แท้จริงอาตมันและตัวตนของพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุด และมีความสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ตัวตนของสิ่งที่ถูกสร้างอื่นๆตลอดจนมนุษย์นั้น มีขอบเขตจำกัดและมีที่สิ้นสุด

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การมีความรู้ หมายถึง การรู้จักสิ่งที่ต้องการที่จะรู้ซึ่งต้องมีผู้ที่ให้ความรู้ และสิ่งที่ถูกรับรู้  ดังนั้น สิ่งที่มีขอบเขตและมีที่สิ้นสุด เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นผู้ให้ความรู้ในสิ่งที่ไม่มีขอบเขต ในขณะที่มนุษย์คือ สิ่งถูกสร้างของพระเจ้า ซึ่งมีขอบเขตและมีที่สิ้นสุด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักแก่นแท้แห่งอาตมันของพระองค์

๑๘

๒.การรู้จักสถานะการมีอยู่ของพระเจ้า ซึ่งอีกระดับขั้นหนึ่งในการรู้จัก หมายถึง การรู้จักว่า พระเจ้ามีอยู่จริง  และการรู้จักในสภาพนี้ทำให้มนุษย์ผู้ศรัทธาออกห่างจากกลุ่มชนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าและกลุ่มชนที่สงสัยในการมีอยู่ของพระองค์ ซึ่งการรู้จักพระเจ้าจะนำเขาไปสู่ความเป็นผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง ดังนั้น การรู้จักในสภาพนี้นั้น มีความเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ และยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการรู้จักในระดับขั้นอื่นๆของพระเจ้า อีกด้วย และในการอธิบายถึงพระเจ้าก็มีความแตกต่างระหว่างผู้ที่รู้จักพระองค์ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่มีความเชื่อเหมือนกัน นั่นก็คือ การรู้จักพระองค์ในฐานะที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง และประเสริฐที่สุด

๓.การรู้จักคุณลักษณะและการกระทำของพระเจ้า ซึ่งก็เป็นระดับขั้นหนึ่งในการรู้จักพระองค์ คือ หลังจากที่มนุษย์ยอมรับว่าพระเจ้ามีอยู่จริงแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องรู้จักในคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์ และในระดับขั้นที่ผ่านมา ได้อธิบายถึงความแตกต่างของมนุษย์ผู้ศรัทธาและได้แยกพวกเขาออกจากบรรดาผู้ปฏิเสธ และผู้ที่สงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้าไปแล้ว ซึ่งในระดับขั้นนี้ นักเทววิทยาอิสลามก็มีทัศนะต่างๆในการรู้จักถึงคุณลักษณะของพระองค์ที่แตกต่างกัน จนเป็นสาเหตุก่อให้เกิดสำนักคิดต่างๆ ในเทววิทยาอิสลาม ไม่ว่าเป็นสำนักคิดอัชอะรีย์,มุอฺตะซิละฮ์และชีอะฮ์ อีกทั้งยังมีความแตกต่างระหว่างศาสนาต่างๆ อีกด้วย เช่น ศาสนาอิสลามกับศาสนาคริสต์ ซึ่งชาวคริสเตียนนั้นมีความเชื่อในบางส่วนแห่งการมีอยู่ของคุณลักษณะบางประการในพระเจ้า กล่าวคือ พวกเขามีความเชื่อในเรื่องตัษลีษ (หมายถึงคุณ ๓ ประการในพระเจ้า ได้แก่ พระบิดา ,พระบุตร และพระจิต) และพวกเขาเชื่อในเรื่องการตะญัดซุด (การมีรูปร่างของพระเจ้า) ชาวคริสเตียนกล่าวว่า สิ่งนี้เป็นคุณลักษณะหนึ่งของพระเจ้า

๑๙

 แต่ในศาสนาอิสลามมิได้มีความเชื่อเช่นนั้นหรือบางสำนักคิดเทววิทยาของอิสลามมีความเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีรูปร่างหน้าตา แต่บรรดามุสลิมส่วนใหญ่มิได้มีความเชื่อในการมีรูปร่างของพระองค์แต่อย่างใด  พวกเขาเชื่อในความบริสุทธิ์ของพระองค์ทรงปราศจากการมีรูปพรรณสัณฐาน  ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ส่วนมากของความแตกต่างที่เกิดขึ้นบนหลักศรัทธาที่เกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้านั้น เกิดขึ้นมาจากความแตกต่างในการรู้จักคุณลักษณะของพระองค์เสียเป็นส่วนใหญ่

ฉะนั้น ประเด็นต่อไปที่จะกล่าวถึง คือ การมีอยู่ของพระเจ้า หลังจากนั้นจะอธิบายในเรื่องของคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์ แต่ก่อนที่จะอธิบายถึงเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า  จะขอกล่าวบทนำในการรู้จักถึงการมีอยู่ของพระองค์ ภายใต้หัวข้อ การแสวงหาพระเจ้า และการรู้จักพระองค์

  แนวทางการแสวงหาพระเจ้าและรู้จักพระองค์

  การแสวงหาพระเจ้าและการรู้จักพระองค์มีหลายวิธีการ  ซึ่งมนุษย์ทุกคนต่างมีวิธีการมากมายในการแสวงหาพระเจ้า โดยไม่อาจคำนวณนับได้หมายความว่า โดยส่วนตัวแล้วมนุษย์มีวิธีการในการแสวงหาพระเจ้าตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า  “วิธีการรู้จักพระเจ้า มีมากมาย ประดุจการมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้”

นักปรัชญาและเทววิทยาอิสลามได้แบ่งวิธีการรู้จักพระเจ้า ออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ  ๒ กลุ่ม ดังนี้

๑.วิธีการใช้เหตุผลหรือทัศนะ

๒.การรู้แจ้งและการปฏิบัติ

๒๐

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

9. ท่านคอฏีบ อัล-บัฆดาดีได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ท่านเคยได้รับข่าวว่า ชายคนหนึ่งกล่าวร้ายท่าน ท่านจึงได้จัดส่งสัมภาระชุดหนึ่งไปให้เขาคนนั้นซึ่งมีเงิน 1,000 ดีนารฺ และท่านยังเก็บเงินไว้ในสัมภาระอื่นอีกสามจำนวน คือ

 300 ดีนารฺ, 400 ดีนารฺ, 200 ดีนารฺ จากนั้นท่านก็นำไปแบ่งที่มะดีนะฮฺ จากการที่ท่านอิมามมูซา กาซิมทำเช่นนี้ สามารถช่วยให้คนทั้งหลายมีความเป็นอยู่ดีขึ้น (11)

(11) ตารีค บัฆดาด เล่ม 13 หน้า 28.

10. ท่านอฺะลี บินมุฮัมมัด บินอะฮฺมัด อัล-มาลีกี ได้กล่าวถึงเกียรติคุณของท่านอิมามมูซาว่า:

ในส่วนของความมีเกียรติ อันบริสุทธิ์ และลักษณะอันดีงามของท่านนั้น เราขอยืนยันว่า ท่านมีความสูงส่งที่สุด คนชั้นผู้นำในด้านนี้ยังต้องสยบให้แก่ท่าน(12)

 (12) อัล-ฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ หน้า 217.

๑๒๑

11. ท่านยูซุฟ บินฟะซาฆีลี หลานของท่านอิบนุ อัล-เญาซีได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิมนั้นเป็นผู้ได้รับฉายานามอันดีเลิศว่า กาซิม มะอ์มูน ฏ็อยยิบ และซัยยิด คนทั่วไปเรียกท่านว่า “อะบุลฮะซัน” และท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น “อับดุศศอลิฮฺ” (บ่าวที่ทรงคุณธรรม) เพราะการทำอะมั้ลอิบาดะฮฺ และนมาซในยามค่ำคืน ท่านอิมามมูซา เป็นคนสุภาพอ่อนน้อม ที่ได้รับฉายานามว่า “กาซิม” ก็เพราะเมื่อท่านทราบว่าใครกล่าวร้ายท่าน ท่านก็จะตอบแทนเขาผู้นั้นได้รับทรัพย์สินเสมอ (13)

(13) ตัซกิเราะตุล-ค่อวาศ หน้า 196.

12. ท่านกะมาลุดดีน มุฮัมมัด บินฏ็อลฮะฮฺ อัช-ชาฟิอี ได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม คืออิมามผู้ยิ่งใหญ่ สูงส่งเหลือล้ำ เป็นมุจญ์ตะฮิดผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมในการอิจญ์ติฮาด เป็นผู้มีชื่อเสียงในการอิบาดะฮฺอย่างยิ่ง มั่นคงในการปฏิบัติตามศาสนา

เป็นผู้ได้รับการยกย่องในด้านความมีเกียรติ ท่านทำการซุญูดและ

ทำนมาซมากเป็นพิเศษในยามกลางคืน ใช้เวลาในยามกลางวันด้วยการบริจาคทานและถือศีลอด ท่านเป็นคนสุภาพ และตอบแทนความชั่วด้วยการทำความดีสนองตอบการกลั่นแกล้งด้วยการให้อภัย ท่านประกอบการ

อิบาดะฮฺอย่างมากมายจนได้รับฉายานามว่า “บ่าวที่มีคุณธรรม” เป็นที่รู้จักกันในอิรักด้วยฉายานามว่า “บาบุ้ลฮะวาอิจญ์อิลัลลอฮฺ”(เป็นที่พึ่งในกิจการที่ต้องขอจากอัลลอฮฺ) โดยบรรดาผู้อาศัยการตะวัซซุลจากท่าน

๑๒๒

เป็นอันสรุปได้ว่า ณ อัลลอฮฺ(ซ.บ.)แล้วท่านคือ ผู้ล้ำหน้าในด้านสัจจะที่ไม่มีการสิ้นสลาย(14)

(14) มะฏอลิบุซซุอูล หน้า 83.

13. ท่านอะฮฺมัด บินยูซุฟ อัด-ดะมัชกี อัล-ก็อรมานี ได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม คือ อิมามที่ยิ่งใหญ่ มีความดีเลิศ เป็นข้อพิสูจน์ ท่านใช้เวลากลางคืนโดยการนมาซ และใช้เวลากลางวันโดยการถือศีลอด ท่านได้ชื่อว่า “กาซิม” ก็เพราะความอดกลั้นอย่างเหลือหลาย และไม่ตอบโต้ผู้ที่ละเมิดต่อท่าน เป็นที่รู้จักอย่างดีในประเทศอิรัก ด้วยฉายานามว่า

‘บาบุ้ลฮะวาอิจญ์’ เพราะท่านเป็นที่พึ่งในกิจการที่ต้องขอจาก

อัลลอฮฺ(ซ.บ.) โดยบรรดาผู้ขอตะวัซซุลจากท่านไม่เคยผิดหวังเลย ท่านมีเกียรติมีคุณความดีที่สูงส่งยิ่งนัก(15)

(15) อัคบารุด-ดุวัล หน้า 112.

14. ท่านมุฮัมมัด บินอะฮฺมัด บินอัซ-ซะฮะบี ได้กล่าวว่า:

ท่านมูซา กาซิม เป็นนักวิชาการและเป็นบ่าวที่ดีเลิศที่สุดคนหนึ่ง สุสานของท่านอยู่ที่เมืองแบกแดด ท่านเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 183 ท่านมีอายุได้ 55 ปี (16)

 (16) มีซานุล-เอียะอฺติดาล เล่ม 3 หน้า 209.

๑๒๓

15. ท่านอิบนุซาอีได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามกาซิม คือ ผู้มีคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ มีเกียรติศักดิ์สูงส่งยิ่ง ท่านทำนมาซตะฮัจญุดอย่างมากมาย ท่านเด็ดเดี่ยวจริงจังในการอิจญ์ติฮาดเป็นที่ยอมรับว่า ท่านมีเกียรติอย่างยิ่ง เป็นที่รู้อยู่ทั่วไปในด้านการทำอิบาดะฮฺ เป็นคนเคร่งครัดในด้านการปฏิบัติศาสนกิจ ยามกลางคืนท่านจะเพียรอยู่แต่ในการซุญูดและนมาซ ท่านใช้เวลาในยามกลางวันด้วยการบริจาคทานและถือศีลอด(17)

(17) มุคตะศ็อร ตารีคุล-คุละฟาอ์ หน้า 39.

16. ท่านมุอ์มิน อัช-ชิบลันญีได้กล่าวว่า:

ท่านมูซา กาซิมเป็นคนที่ทำอิบาดะฮฺมากที่สุดสำหรับคนสมัยของท่าน เป็นผู้มีความรู้สูงสุด เป็นคนโอบอ้อมอารีที่สุด เมื่อครั้งที่ชาวมะดีนะฮฺ

ขาดแคลน ท่านได้นำเงินดิรฮัม และเงินดีนารฺจำนวนมากไปแจกจ่ายแก่คนเหล่านั้นถึงบ้านเรือนในยามกลางคืน และได้ให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างนี้เช่นกัน จนกระทั่งคนทั้งหลายไม่รู้ว่า สิ่งของเหล่านี้มาถึงเขาจากทางใด และพวกเขาไม่รู้ในเรื่องนี้เลย จนกระทั่งท่านเสียชีวิตและดุอฺาอ์ที่ท่านอ่านมากที่สุดได้แก่

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงข้าฯ ขอความสุขสบายในยามพบกับความตาย และขอการอภัยในยามได้รับการสอบสวน”(18)

 (18) นูรุล-อับศอร หน้า 218

๑๒๔

17. ท่านอับดุลวะฮาบ อัช-ชะอฺรอนีได้กล่าวว่า:

ท่านคือหนึ่งในบรรดาอิมามทั้งสิบสอง ท่านคือบุตรของท่านอิมาม

ญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด บินอฺะลี บินฮุเซน บินอฺะลี บินอะบีฏอลิบ

(ขอให้อัลลอฮฺทรงปิติยินดีต่อท่านเหล่านั้น) ท่านได้รับฉายานามว่า

“อับดุศศอลิฮฺ” (บ่าวที่มีคุณธรรม) ท่านทำการอิบาดะฮฺอย่างมากมาย และทำหน้าที่อิจญ์ติฮาด ท่านนมาซในยามกลางคืน เมื่อท่านได้รับข่าวว่าใครกล่าวร้ายท่าน ท่านก็จะส่งทรัพย์สินไปให้คนนั้นเสมอ (19)

(19) อัฏ-ฏ่อบะกอตุ้ล-กุบรอ หน้า 33.

18. ท่านอับดุลลอฮฺ อัช-ชิบรอวี อัช-ชาฟิอีกล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้ออันยิ่งใหญ่ บิดาของท่านคือ

อิมามญะอฺฟัรมีความรักต่อท่านเป็นอย่างยิ่ง เคยมีคนถามท่านว่า

“ท่านรักมูซามากขนาดไหน ?”

ท่านตอบว่า

“ฉันรักเขามากถึงขนาดที่ไม่อยากมีลูกคนอื่นอีก เพื่อที่ว่าจะไม่มีใครมีส่วนร่วมกับเขาในการได้รับความรักจากฉัน”(20)

(20) อัล-อิตติฮาฟ บิฮุบบิล-อัซรอฟ หน้า 54.

๑๒๕

19. ท่านมุฮัมมัด เคาะวาญะฮฺ อัล-บุคอรีกล่าวว่า:

คนหนึ่งจากบรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺนั้นได้แก่ ท่านอะบุลฮะซัน

มูซา อัล-กาซิมบินญะอฺฟัร อัศ-ศอดิก(อฺ) ขออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีความยินดีต่อท่านในฐานะที่เป็นคนทำอิบาดะฮฺ เป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนประเสริฐ เป็นคนสุภาพ เป็นผู้มีบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ มีความรู้มาก

 ท่านได้รับฉายานามว่า “อับดุศศอลิฮฺ” (บ่าวที่มีคุณธรรม) ทุกวันท่านจะซุญูดต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) เป็นเวลานาน หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นจวบจนดวงอาทิตย์คล้อย

ท่านเคยส่งทรัพย์สินไปให้คนที่กล่าวร้ายท่านถึง 1,000 ดีนารฺ

คอลีฟะฮฺมะฮฺดี บุตรของมันศูรฺ ได้เรียกท่านให้เดินทางจากเมืองมะดีนะฮฺ แล้วจับตัวท่านไปกักขัง มะฮฺดีหลับฝันเห็นท่านอฺะลี(ผู้ซึ่งอัลลอฮฺทรงให้เกียรติต่อใบหน้าของเขา)มากล่าวว่า

“มะฮฺดีเอ๋ย พวกเจ้าหวังหรือว่า พวกเจ้าจะได้มีอำนาจปกครอง หากว่าพวกเจ้าก่อความเสียหายในหน้าแผ่นดิน และจะจัดการตัดขาดบรรดาญาติมิตรของพวกเจ้า”

แล้วมะฮฺดีก็ปล่อยตัวท่านออกจากคุก(21)

(21) ยะนะบีอุล-มะวัดดะฮฺ หน้า 459.

๑๒๖

20. ท่านอับดุลลอฮฺ บินอัซอัด อัล-ยาฟิดีกล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา เป็นคนมีคุณธรรม เป็นผู้ทำอิบาดะฮฺตลอดเวลา

 เป็นคนประเสริฐ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย และเป็นผู้มีบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ ท่านคือหนึ่งในบรรดาอิมามทั้งสิบสองอันเป็นมะอฺศูมในความเชื่อของ

พวกอิมามียะฮฺ ท่านได้รับฉายานามว่า “อับดุศศอลิฮฺ” (บ่าวที่มีคุณธรรม)

เพราะการทำอิบาดะฮฺและการอิจญ์ติฮาดของท่าน ท่านเป็นคนโอบอ้อมอารี ท่านเคยได้ข่าวว่า มีคนกล่าวร้ายท่าน ท่านจึงส่งทรัพย์สินไปให้คนนั้น 1,000 ดีนารฺ (22)

 (22) มิรอาตุล-ญินาน เล่ม 1 หน้า 394.

21. ท่านมุฮัมมัด อะมีน อัซ-ซุวัยดี ได้กล่าวว่า:

ท่านคืออิมามผู้มีบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ มีความดีงามอย่างมากมาย

ท่านทำนมาซในยามกลางคืน ถือศีลอดในยามกลางวัน ท่านได้รับฉายานามว่า “กาซิม” เพราะท่านไม่โต้ตอบคนละเมิด ท่านมีความดีเด่นเป็นพิเศษ เกียรติยศของท่านมีมากมาย จนเราไม่อาจกล่าวถึงในที่นี้ให้ครบถ้วนได้(23)

(23) ซะบาอิกุซ-ซะฮับ หน้า 73.

๑๒๗

22. ท่านมะฮฺมูด บินวะฮับ อัล-กอรอฆูลี กล่าวว่า:

เขาคือ มูซา บินญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด บาเก็ร บิน อฺะลี ซัยนุล อฺาบิดีน

 บินฮุเซน บิน อฺะลี บิน อะบีฏอลิบ(ขอให้อัลลอฮฺทรงประทานความยินดีแก่พวกท่านทุกคน) สมญาของท่านคือ “อะบุลฮะซัน” ท่านมีฉายานามทั้ง 4 ว่า กาซิม, ศอบิร, ศอลิฮฺ, อามีน แต่ชื่อที่หนึ่งนั้นเลื่องลือที่สุด

 ท่านมีบุคลิกลักษณะสมส่วน เป็นทายาทของผู้เป็นบิดา ในด้านความรู้ความเข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้ มีความสมบูรณ์พร้อมและมีเกียรติ ท่านได้รับฉายานามว่า “กาซิม” เพราะท่านมีความอดกลั้น และมีความสุภาพอ่อนโยนเป็นที่รู้กันในหมู่ชาวอิรัคว่า ท่านเป็นประตูแห่งการขอสิ่งที่ต้องการจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ท่านคือคนที่ทำอิบาดะฮฺมากที่สุดในหมู่ชนสมัยนั้น เป็นคนมีความรู้สูงที่สุดและเรียบร้อยที่สุด (24)

(24) เญาฮะร่อตุล-กะลาม หน้า 139.

23. ท่านอฺะลี ญะลาลุล-ฮุซัยนีได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิมเป็นศูนย์รวมแห่งวิชาฟิกฮฺ วิชาการศาสนา พิธีกรรมศาสนา และมีความสุภาพเรียบร้อง อดทนโดยไม่มีใครเกินท่านได้เลย(25)

(25) อัล-ฮุเซน เล่ม 2 หน้า 207.

๑๒๘

24. ท่านมุฮัมมัด อะมีน ฆอลิบุฏ-ฏอวีลกล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม เป็นเชื้อสายของท่านอฺะลี เป็นสุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านการสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ท่านทำอิบาดะฮฺมากที่สุด จนกระทั่งบรรดาชาวมุสลิมทั้งหลายให้ชื่อท่านว่า “อัลอับดุศ-ศอลิฮฺ” (บ่าวผู้มีคุณธรรม) ท่านได้รับฉายานามอีกว่า ‘สุภาพบุรุษที่มีคุณธรรม’

ท่านมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับท่านมูซา บุตรของอิมรอน ตามที่ปรากฏชื่อในอัล-กุรอาน ท่านอิมามมูซา อัล-กาซิม เป็นคนมีเกียรติสูงส่งยิ่ง(26)

(26) ตารีคุ้ล-อะละวียีน หน้า 158

25. ท่านยูซุฟ อิสมาอีล อัน-นะบะฮานีได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม เป็นอิมามผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาประมุขของเราในสายอะฮฺลุลบัยตฺ ผู้ทรงเกียรติเป็นหลักชัยของอิสลาม (ขอให้อัลลอฮฺทรงประทานความชื่นชมแก่พวกท่านทุกคน) เราได้รับคุณประโยชน์โดยความจำเริญยิ่งของท่านเหล่านั้น เราขอตายเพื่อความรักพวกท่าน และความรักต่อทวดของพวกท่าน ผู้เป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่(ศ)(27)

(27) ญามิอุกะรอมาติล-เอาลียาอ์ เล่ม 2 หน้า 269.

๑๒๙

26. ดร. ซะกี มุบาร็อก ได้กล่าวว่า :

ท่านมูซา บิน ญะอฺฟัรเป็นประมุขคนหนึ่งในบรรดาประมุขทั้งหลายแห่งตระกูลฮาชิม ท่านเป็นอิมามระดับแนวหน้าในด้านความรู้ทางศาสนา(28)

(28) ชะเราะฮฺ ชะฮฺรุล-อาดาบ เล่ม 1 หน้า 132.

27. ดร. อับดุลญับบารฺได้กล่าวว่า :

ท่านอิมามมูซา กาซิมคือท่านอิมามมูซา บิน ญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด บิน

อฺะลี บิน ฮุเซน บิน อฺะลีบิน อะบีฏอลิบ เป็นคนมีประวัติดีเด่นในด้านความสมถะ นอบน้อมและมีจริยธรรม ท่านได้รับฉายานามว่า “กาซิม” เพราะท่านทำดีตอบแทนคนที่ทำความชั่วให้แก่ท่าน(29)

(29) ฮารูน ร่อชีด เล่ม 1 หน้า 188.

28. ดร. มุฮัมมัด ยูซุฟได้กล่าวว่า :

เราสามารถกล่าวได้ว่า บุคคลแรกที่เขียนวิชาฟิกฮฺคือ อิมามมูซา กาซิม ผู้ซึ่งได้เสียชีวิตในคุก เมื่อปี ฮ.ศ. 183 และที่ท่านเขียนตอบคำถามต่าง ๆ ภายใต้หัวข้อเรื่อง “อัล-ฮะลาล วัล-ฮะรอม” (30)

 (30) อัล-ฟิกฮุล-อิสลามี มัดค่อลุนลิดิรอซะติล-มุอามะลาต หน้า 160.

๑๓๐

บทส่งท้าย

ของอิมามที่ 7

หลายหน้าที่ผ่านไปคือ บทสรุปรวบยอดของอัตชีวประวัติของท่าน

อิมามมูซา อัล-กาซิม(อฺ) คือ การร้อยเรียงอย่างง่ายๆ ถึงส่วนหนึ่งของ

วิทยปัญญาอันสูงเด่น และคำพูดอันล้ำค่าของท่านอิมาม(อฺ)

และในท้ายที่สุดได้มีการยกคำกล่าวสรรเสริญ สดุดีของบรรดาอุละมาอ์และนักปราชญ์ที่มีต่อท่านอิมามผู้ทรงเกียรติ(อฺ) การยอมรับความยิ่งใหญ่ต่อตำแหน่งของท่านอิมาม(อฺ)

การยืนยันถึงเกียรติคุณอันจำรัสของท่านอิมาม(อฺ)ที่ออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกของพวกเขา

เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ก็คือ

- ขอให้พวกเราได้เพียรพยายามดำเนินรอยตามวิถีชีวิตซึ่งท่านอิมามผู้บริสุทธิ์ (อฺ) ได้ปูทางไว้

- ขอให้พวกเราได้ยึดเอาวิถีชีวิตของท่าน (อฺ) เป็นแนวทางสำหรับการดำเนินชีวิตที่เป็นรูปธรรมของพวกเราทุกคน

- ขอให้พวกเราได้น้อมรับเอาคำพูดและคำสั่งเสียของท่าน (อฺ) เป็นเหตุผลหลักสำหรับการทำให้ชีวิตของเราสูงเด่นยิ่งขึ้น เป็นแนวประพฤติปฏิบัติของเรา เป็นบันไดสำหรับการไต่ขึ้นสู่ความสูงส่งของเรา

๑๓๑

และสิ่งอื่นๆ ที่เหมาะสมสำหรับข้าพเจ้า และท่านที่ไม่ได้มุ่งมาดกล่าวออกมา

“อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือ”

“จงกล่าวเถิด(โอ้มุฮัมมัด) อัลลอฮฺทรงมองเห็นการกระทำของพวกเจ้าทุกคน รอซูลและบรรดามุอ์มิน(ผู้ศรัทธา)ก็มองเห็นเช่นกัน พวกเจ้าจะต้องย้อนกลับไปยังพระผู้ซึ่งรอบรู้ในเรื่องเร้นลับ และประจักษ์พยานทั้งหลาย จนกระทั่งพระองค์ได้ตอบแทนผลแห่งการกระทำที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติมา(ไม่ว่าดีหรือเลว”

(อัต-เตาบะฮฺ: 105)

๑๓๒

Table of Contents

สารบัญ

บทนำ.. 2

ชีวประวัติของอิมามมูซา บิน ญะอฺฟัร(อฺ) 5

บทบัญญัติการเป็นค่อลีฟะฮฺของท่านอิมามที่ 7. 9

ข้อบัญญัติที่ 1. 11

ข้อบัญญัติที่ 2. 12

ข้อบัญญัติที่ 3. 12

ข้อบัญญัติที่ 4. 13

ข้อบัญญัติที่ 5. 13

อิบาดะฮฺ :รูปจำลองแห่งการภักดีของอิมามกาซิม(อฺ) 14

วิถีชีวิต :อันควรสรรเสริญของอิมามที่ 7. 21

คุณธรรมต่อผู้ยากไร้ของอิมามมูซา กาซิม(อฺ) 28

มรดกอิสลามอันอมตะจากคำสั่งเสียของอิมามที่ 7. 33

คำสั่งเสียที่ 1ต่อบุตรของอิมามที่ 7. 33

คำสั่งเสียที่ 2 ต่อบรรดาชีอะฮฺของอิมามที่ 7. 34

คำสั่งเสียที่ 3 ต่อบรรดาชีอะฮฺของอิมามที่ 7. 35

คำสั่งเสียที่ 4 ต่อบรรดาชีอะฮฺของอิมามที่ 7. 35

คำสั่งเสียที่ 5ต่อฮิชาม บินฮะกัม (ร.ฎ.) ของอิมามที่ 7. 36

สาส์นของอิมามมูซา กาซิม(อฺ) 57

บทเรียนอันสูงค่า 57

สาส์นฉบับที่ 1. 57

สาส์นฉบับที่ 2. 58

สาส์นฉบับที่ 3. 58

สาส์นฉบับที่ 4. 60

สุภาษิต : 61

คำสอนแห่งจริยธรรมของอิมามกาซิม(อฺ) 61

สุภาษิตที่ 1. 62

สุภาษิตที่ 2. 62

สุภาษิตที่ 3. 62

สุภาษิตที่ 4. 63

สุภาษิตที่ 5. 63

สุภาษิตที่ 6. 63

สุภาษิตที่ 7. 64

สุภาษิตที่ 8. 64

สุภาษิตที่ 9. 64

สุภาษิตที่ 10. 65

สุภาษิตที่ 11. 65

สุภาษิตที่ 12. 65

สุภาษิตที่ 13. 65

สุภาษิตที่ 14. 66

สุภาษิตที่ 15. 66

สุภาษิตที่ 16. 66

สุภาษิตที่ 17. 66

สุภาษิตที่ 18. 67

สุภาษิตที่ 19. 67

สุภาษิตที่ 20. 67

สุภาษิตที่ 21. 67

สุภาษิตที่ 22. 67

สุภาษิตที่ 23. 68

สุภาษิตที่ 24. 68

สุภาษิตที่ 25. 68

ถาม~ตอบของอิมามที่ 7. 69

ถาม~ตอบ. 69

เรื่องที่ 1. 69

ถาม~ตอบ. 71

เรื่องที่ 2. 71

ถาม~ตอบ. 75

เรื่องที่ 3. 75

ถาม~ตอบ. 77

เรื่องที่ 4. 77

ถาม~ตอบ. 78

เรื่องที่ 5. 78

ถาม~ตอบ. 78

เรื่องที่ 6. 78

ถาม~ตอบ. 79

เรื่องที่ 7. 79

ถาม~ตอบ. 80

เรื่องที่ 8. 80

ถาม~ตอบ. 81

เรื่องที่ 9. 81

ถาม~ตอบ. 83

เรื่องที่ 10. 83

ถาม~ตอบ. 89

เรื่องที่ 11. 89

ถาม~ตอบ. 90

เรื่องที่ 12. 90

ถาม~ตอบ. 92

เรื่องที่ 13. 92

ถาม~ตอบ. 97

เรื่องที่ 14. 97

ถาม~ตอบ. 99

เรื่องที่ 15. 99

ความดีงามพิเศษ : 101

บทขอพรของอิมามมูซา กาซิม(อฺ) 101

การขอพึ่งพิง และตัดขาด(จากทุกสิ่งทุกอย่าง) เพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) 101

ดุอาอ์. 102

บทที่ 1. 102

เป็นบทดุอาอ์บทหนึ่งของอิมามที่ 7. 102

ดุอาอ์. 105

บทที่ 2. 105

เป็นดุอาอ์ของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)หลังนมาซซุฮฺริ. 105

ดุอฺาอ์. 107

บทที่ 3. 107

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของอิมามมูซา(อฺ) 107

ดุอฺาอ์. 108

บทที่ 4. 108

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ) 108

การตอบสนองต่อบทดุอฺาอ์ของท่านอิมามที่ 7. 109

คำสดุดี จากบรรดานักปราชญ์ต่ออิมามมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ) 116

บทส่งท้าย. 131

ของอิมามที่ 7. 131

๑๓๓

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450