บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339919 / ดาวน์โหลด: 4959
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

ความดีงามพิเศษ :

บทขอพรของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)นั้นมีความดีงามพิเศษมากมายที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ท่าน(อฺ)เหล่านั้นมีเกียรติคุณที่ดีเด่นเป็นพิเศษกันแต่เพียงกลุ่มเดียวสำหรับความดีงามเหล่านั้นในหมู่ประชาชาตินี้

เรื่องดุอาอ์(บทขอพร)คือลักษณะพิเศษอันมากมายอีกประการหนึ่งที่บรรดาสาวกและตาบีอีนทั้งหลายไม่มีโอกาสเทียบเทียมได้เลย แม้แต่คนเดียว อีกทั้งบรรดานักปราชญ์อื่น ๆ ในรุ่นถัดมาก็ตาม กล่าวคือ ได้มีการบันทึกดุอาอ์ของแต่ละท่านไว้มากมาย ซึ่งบรรดานักปราชญ์ของเราได้เก็บ

รวบรวมไว้นับร้อยๆ เรื่องบรรดาอิมาม(อฺ)เป็นมนุษย์ที่รู้จริงเกี่ยวกับระเบียบแบบแผนที่บ่าวของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)จำเป็นจะต้องดำเนินการปฏิบัติในยามสนทนากับพระองค์ และรู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร สำหรับการถ่อมตน

การขอพึ่งพิง และตัดขาด(จากทุกสิ่งทุกอย่าง) เพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)

ในหนังสือนี้เราได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการอิบาดะฮฺโดยละเอียดของท่านอิมาม(อฺ)ผ่านมาแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการบันทึกดุอาอ์บางบทบางตอนของท่าน(อฺ)ดังนี้

๑๐๑

ดุอาอ์

บทที่ 1

เป็นบทดุอาอ์บทหนึ่งของอิมามที่ 7

“ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าฯขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และขอปฏิญานตนว่า มุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของพระองค์ แท้จริงศาสนาอิสลามย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้ ศาสนาย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ทรงวางกฎไว้ คัมภีร์ย่อมเป็นไปตามที่

พระองค์ทรงประทานให้ไว้ คำสอนย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้

แท้จริงอัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสิทธิอันชัดแจ้ง ความเจริญสิริมงคลของอัลลอฮฺพึงมีแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่าน”

“ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าฯดำรงอยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ ชีวิตของข้าฯนอบน้อมต่อพระองค์ ใบหน้าของข้าฯหันสู่พระองค์ กิจการงานของข้าฯ ขอมอบหมายยังพระองค์ ร่างกายของข้าฯขอนอบน้อมยังพระองค์ กลัวเกรงพระองค์ และมุ่งหวังต่อพระองค์ ข้าฯศรัทธาต่อคัมภีร์ของพระองค์ที่ทรงประทานมาแก่ศาสนทูตของพระองค์ที่ทรงส่งมา”

“โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงข้าฯเป็นคนยากจน ณ พระองค์ ขอได้ทรงโปรดประทานเครื่องยังชีพแก่ข้าฯโดยอย่าได้คำนวณ

แท้จริงพระองค์ทรงประทานเครื่องยังชีพให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

โดยไม่มีการคำนวณ”

๑๐๒

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง ข้าฯวิงวอนขอเครื่องยังชีพที่ดีงามทั้งหลาย และละเว้นความเลวร้ายทั้งหลาย และขอให้พระองค์อภัยโทษให้แก่ข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอความกรุณาของพระองค์ที่ทรงเป็นเจ้าของได้โปรดบันดาลให้ข้าฯได้ออกห่างจากความชั่วอันมาจากข้าฯ ด้วยความดีอันมาจากพระองค์ และขอให้พระองค์ประทานความดีอย่างมากมายที่พระองค์มิได้ประทานให้แก่บ่าวคนใดให้แก่ข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ ข้าฯขอความคุ้มครองให้พ้นจากทรัพย์สินที่เป็นตัวทดสอบ(ฟิตนะฮฺ)แก่ข้าฯ ให้พ้นจากบุตรที่เป็นศัตรูของข้าฯ ให้พ้นจากบุตรที่เป็นศัตรูของข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง พระองค์ทรงเห็นฐานะความเป็นอยู่ของข้าฯ ทรงได้ยินดุอาอ์และคำพูดของข้าฯ ทรงรู้ในความจำเป็นของข้าฯ ข้าฯขอต่อพระนามทั้งมวลของพระองค์ ได้โปรดทำให้ความ ต้องการทั้งหลายในชีวิตทางโลกนี้และปรโลกของข้าฯได้บรรลุผล”

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงข้าฯขอดุอาอ์ต่อพระองค์อันเป็นดุอาอ์ของบ่าวผู้ซึ่งด้อยในความสามารถเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก มีความทุกข์อย่างสาหัส มีความสามารถน้อยนิด และมีการงานที่ตกต่ำเป็นดุอาอ์ของผู้ที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้นอกจากพระองค์ เป็นความอ่อนแอที่ไม่มีใครช่วยได้นอกจากพระองค์

๑๐๓

ข้าฯขอความดีต่าง ๆ ทั้งมวล ขอเกียรติคุณ ขอความดีความเมตตาทั้งมวลของพระองค์ ได้โปรดเมตตาต่อข้าฯ และให้ข้าฯพ้นจากไฟนรก”

“โอ้พระองค์ ผู้ทรงบันดาลให้แผ่นดินอยู่เหนือน้ำ ทรงบันดาลให้ฟากฟ้าอยู่ในห้วงอากาศ

โอ้ผู้ทรงเอกะ ก่อนทุกสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว โอ้ ผู้ทรงเป็นหนึ่งหลังจากทุก ๆ สิ่ง โอ้ผู้ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นอย่างไร นอกจากพระองค์ และไม่มีใครรู้ซึ้งถึงอำนาจของพระองค์ นอกจากพระองค์ โอ้พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่กับกิจการงาน โอ้พระองค์ผู้ทรงให้ความช่วยเหลือ โอ้พระผู้ช่วยบรรดาผู้เดือดร้อน โอ้พระผู้ทรงตอบรับคำขอของคนเดือดร้อน โอ้พระผู้ทรงมีความเมตตาในโลกนี้และปรโลก เป็นพระผู้ทรงกรุณาปรานี โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดเมตตาข้าฯ อย่าให้ข้าฯหลงผิด และอย่าชิงชังข้าฯตลอดกาล แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการสรรเสริญยิ่ง

 โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่านเทอญ”(1)

(1) อัล-บะละดุล-อะมีน หน้า 101.

๑๐๔

ดุอาอ์

บทที่ 2

เป็นดุอาอ์ของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)หลังนมาซซุฮฺริ

ท่านมุฮัมมัด บินซุลัยมานเล่าว่า : บิดาของท่านกล่าวว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ออกเดินทางไปกับท่านอิมามอะบุลฮะซัน(อฺ) หรือมูซา บินญะอฺฟัร เมื่อท่าน(อฺ)นมาซซุฮฺริเสร็จแล้ว ท่าน(อฺ)ได้อ่านดุอฺาอ์ในขณะที่ทรุดตัวลงกราบอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ด้วยอาการเศร้าสร้อย น้ำตาหลั่งไหล ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

 “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยลิ้น ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงให้ข้าฯเป็นใบ้ก็ได้ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยตา ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯตาบอดเสียก็ได้

ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยหู หากพระองค์ทรงประสงค์อาจทางทำให้ข้าฯหูหนวกเสียก็ได้

ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยมือ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯมือด้วนเสียก็ได้ ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ด้วยเท้า ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯขาด้วนเสียก็ได้

ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯเป็นหมันเสียก็ได้ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยอวัยวะทั้งเรือนร่างที่ทรงประทานให้แก่ข้าฯ และสิ่งนี้ข้าฯไม่มีสิ่งใดๆ ตอบแทนแก่พระองค์ได้”

๑๐๕

บิดาของท่านมุฮัมมัด เล่าอีกว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นับจำนวนครั้ง ในคำที่ท่านกล่าวว่า

“อัล-อัฟว์ อัล-อัฟว์”(ขออภัย ขออภัย) ได้ 1,000 ครั้ง จากนั้นท่าน (อฺ) แนบแก้มขวาลงบนดิน แล้วข้าพเจ้าได้ยินท่าน (อฺ) กล่าวว่า

“ข้าฯล่วงเกินต่อพระองค์ด้วยความผิดของข้าฯ ข้าฯได้กระทำความชั่วและอธรรมต่อตัวของข้าฯเอง ดังนั้นได้โปรดให้อภัยแก่ข้าฯ เพราะไม่มีใครอภัยความผิดพลาดได้ นอกจากพระองค์ โอ้นายของข้าฯ โอ้นายของข้าฯ นายของข้าฯ นายของข้าฯ”

ท่าน(อฺ)ก็แนบแก้มซ้ายลงบนดิน แล้วกล่าวว่า

“โปรดให้ความเมตตาต่อผู้ทำบาป”

อ่านดังนี้สามครั้ง หลังจากนั้นท่าน(อฺ)จึงยกศีรษะขึ้น(2)

(2) อัล-บะละดุล-อะมีน หน้า 101.

๑๐๖

ดุอฺาอ์

บทที่ 3

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของอิมามมูซา(อฺ)

“โอ้ ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งหลาย โอ้ผู้ทรงได้ยินทุกเสียงสำเนียง ทั้งดังและค่อย โอ้ผู้ทรงประทานชีวิตให้หลังจากตาย ความมืดมิดอันใดย่อมไม่ครอบคลุมพระองค์เลย ภาษาอันหลากหลายย่อมไม่ทำให้พระองค์ทรงสับสน ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์วุ่นวาย”

“โอ้พระผู้ซึ่งไม่ทรงวุ่นวายด้วยดุอฺาอ์ของผู้ใดที่อ้อนวอนขอต่อพระองค์จากฟากฟ้า โอ้พระผู้ทรงบันดาลให้ทุกสิ่งที่ได้ยิน ทรงได้ยินได้ฟังและมองเห็น โอ้พระผู้ซึ่งไม่เคยผิดพลาด แม้จะมีการร้องขออย่างมากมาย”

“โอ้พระผู้ทรงดำรงชีวิตในยามที่ไม่มีสิ่งใดดำรงชีวิต โดยทรงดำรงอยู่ตลอดกาล และมั่นคงถาวร โอ้พระผู้ทรงดำรงอยู่สูงสุด แต่ซ่อนเร้นจากสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยรัศมีของพระองค์ โอ้พระองค์ ผู้ทรงบันดาลให้แสงสว่างปรากฏออกมาท่ามกลางความมืด ข้าฯขอวิงวอนต่อพระองค์ด้วย

พระนามของพระองค์ผู้ทรงเอกะ ทรงเป็นหนึ่งเดียวแห่งการพึ่งพิง โปรดประทานความเจริญแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดและอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน”

จากนั้นท่าน(อฺ)ได้วิงวอนขอในสิ่งที่ท่าน(อฺ)ต้องการ(3)

(3) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม 11 หน้า 239.

๑๐๗

ดุอฺาอ์

บทที่ 4

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

“ข้าฯขอมอบหมายตนเองยังพระองค์ ผู้ซึ่งไม่ตาย และข้าฯขอพึ่งการพิทักษ์คุ้มครอง โดยผู้ทรงเกียรติและอำนาจ ข้าฯขอความช่วยเหลือต่อผู้ทรงเกรียงไกรและมีอำนาจครอบครองข้าฯ โอ้นายของข้าฯขอยอมจำนนต่อพระองค์ ข้าฯขอมอบหมายตนต่อพระองค์ ดังนั้นขออย่าทำลายข้าฯ

ข้าฯขอพึ่งร่มเงาของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าผลักไสข้าฯ พระองค์เป็นที่พึ่งอาศัย ทรงรู้สิ่งที่ข้าฯซ่อนเร้นและเปิดเผย ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในสายตาและที่ซ่อนไว้ในจิตใจ ดังนั้นได้โปรดยับยั้งข้าฯให้พ้นจากผู้อธรรมทั้งในหมู่ญิน และหมู่มนุษย์ทั้งมวลด้วยเถิด โอ้พระผู้ทรงกรุณาปราณี ได้โปรดปกปักรักษา

ข้าฯด้วยเถิด”(4)

 (4) มะฮัจญุด-ดะอฺวาต หน้า 300.

๑๐๘

การตอบสนองต่อบทดุอฺาอ์ของท่านอิมามที่ 7

บรรดาอิมาม(อฺ)ทั้งหลายนั้นต่างใช้ชีวิตทั้งหมดในฐานะผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ตลอดระยะเวลาการปกครองของวงศ์อุมัยยะฮฺ คนทั้งหลายคาดคิดว่าในการปกครองของสมัยวงศ์อับบาซียะฮฺสิ่งนั้นคงจะบรรเทาเบาบางลงบ้างและภัยอันตรายคงจะยกเลิกจากพวกท่าน(อฺ)ไปบ้าง ซึ่งการคาดคิดของคนทั้งหลายไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเชื้อสายของกลุ่มทั้งสองใกล้เคียงกัน ประกอบกับว่า ราชวงศ์อับบาซียะฮฺนั้นแอบอ้างดำเนินการปกครองในนามของเชื้อสายท่านอิมามอฺะลี(อฺ) ธงของท่านอะบูมุสลิมอัล-คุรอซานีที่ได้เข้าไปในเมือง

คุรอซานนั้น ดำเนินการปกครองในนามของเชื้อสายท่านอฺะลี(อฺ)

การเข้าไปในเมืองคุรอซานนั้นก็ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นนอกจากเพื่อสนับสนุนลูกหลานของท่านอฺะลี(อฺ)

แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม ในเมื่อพวกอับบาซียะฮฺได้เริ่มติดตามอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ) ด้วยการลอบสังหาร คุมขัง ฯลฯ จนช่วงหนึ่งในการปกครองของพวกวงศ์นี้ ยังความรุนแรงแก่บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)ยิ่งกว่าพวกวงศ์อุมัยยะฮฺเสียอีก

บรรดาอิมาม(อฺ)จะไม่อ่านดุอฺาอ์เพื่อขอสาปแช่งบรรดาผู้อธรรม นอกจากในกรณีที่ความอธรรมถึงขีดสุดของความรุนแรงเท่านั้น เมื่อเราได้รู้ถึงเรื่องนี้จากท่าน(อฺ) เราก็สามารถประเมินสถานการณ์ที่รุนแรงอันเกิดขึ้นแก่ท่านอิมาม(อฺ)ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องขอดุอฺาอ์สาปแช่งบุคคลที่อธรรมต่อท่าน(อฺ)

๑๐๙

ในลำดับต่อไปนี้ เราจะเสนอเรื่องดุอฺาอ์ของท่านอิมามมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ)ที่ได้รับการตอบสนองจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

-1-

เจ้าของหนังสือ “นะษะรุต-ตุรรุล” ได้กล่าวไว้ว่า :

 ท่านอิมามมูซา บินญะอฺฟัร อัล-กาซิม(อฺ)นั้น มีคนแจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบว่า อัล-ฮาดี วางแผนการร้ายต่อท่าน(อฺ) ท่าน(อฺ)ได้พูดกับครอบครัวและผู้ติดตามว่า

“พวกท่านมีความคิดเห็นอะไรเสนอแนะแก่ฉันบ้าง?”

คนเหล่านั้นกล่าวว่า

“เราเห็นว่า ท่านควรออกห่างจากเขา และหลบซ่อนให้พ้นไปจากเขา เพราะความชั่วร้ายของเขานั้นจะไม่ให้ความปลอดภัยแก่ท่าน”

ท่าน(อฺ)ยิ้ม แล้วกล่าวว่า

“คนโฉดคิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะพระผู้อภิบาลได้ แน่นอน

ผู้ชนะที่แท้จริงย่อมชนะอยู่แล้ว”

หลังจากนั้นท่าน(อฺ)ยกมือขึ้นขอดุอฺาอ์ แล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มากมายเหลือเกินแล้ว สำหรับพวกศัตรูที่มุ่งหมายทำลายข้าฯ ข่มเหงรังแกข้าฯ โดยแผนการเข่นฆ่าด้วยพิษร้ายของมันจนดวงตาของข้าฯไม่เคยหลับไหล เนื่องจากคอยระแวดระไวต่อพวกมัน ครั้นเมื่อพระองค์ทรงเห็นถึงความอ่อนแอของข้าฯ ในการปกป้องโพยภัยและความเกินกำลังที่ข้าฯจะทานทนกับความเจ็บปวดได้ ขออำนาจและอานุภาพของพระองค์ได้โปรดสลัดสิ่งนั้นออกให้พ้นจากข้าฯโดยมิใช่ด้วยความสามารถและอานุภาพของข้าฯ และจงโยนเขาลงไปสู่หลุมลึกที่พวกเขาขุดล่อข้าฯให้ตกลงไปในโลกแห่งวัตถุของเขา จนห่างไกลจากความหวังในปรโลก

๑๑๐

 มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ที่ได้ทรงกำหนดความโปรดปรานของพระองค์ที่โปรยปรายแก่ข้าฯ และพระองค์มิได้ทรงปฏิเสธความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อข้าฯ

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดลงโทษเขาด้วยอำนาจของพระองค์ โปรดพลิกแผนการของเขาออกจากข้าฯ ด้วยอานุภาพของพระองค์ โปรดบันดาลภาระอันหนักหน่วงจนเกินกำลังให้แก่เขา

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดบันดาลให้ความเป็นศัตรูนั้นกลายเป็นยาบำบัดรักษาแก่ข้าฯ

และบันดาลให้ความแค้นของข้าฯที่มีต่อเขา เป็นการอภัย โปรดประทานแก่ดุอฺาอ์ของข้าฯ ด้วยการตอบรับ และโปรดรับรองคำอุทธรณ์ของข้าฯ และโปรดให้เขาสำนึกเพียงสักเล็กน้อยกับการตอบรับต่อบ่าวของพระองค์

ผู้ถูกกดขี่ แท้จริงพระองค์ทรงมีเกียรติอันยิ่งใหญ่”

ต่อจากนั้นสมาชิกครอบครัวก็ลาจากไป ครั้นต่อมาไม่นาน คนเหล่านั้นมาชุมนุมกันเพื่ออ่านจดหมายที่มีมาถึงท่านอิมามมูซา(อฺ)แจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบว่ามูซา อัล-ฮาดีนั้นได้ตายเสียแล้ว(1)

(1) อัล-ฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ หน้า 222. มุฮัจญุด-ดะอฺวาต หน้า 29.

๑๑๑

-2-

ท่านอับดุลลอฮฺ บินศอลิฮฺ ได้กล่าวว่า : ท่านศอฮิบุ้ล ฟัฎลฺ บินร่อบีอฺเล่าให้เราทราบว่า : ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าอยู่บนที่นอนพร้อมกับภรรยาของข้าพเจ้า พอตกกลางคืนข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังที่ประตูเมือง ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นยืนดู

ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวว่า

“อาจเป็นเสียงของลมพัดก็ได้”

แต่แล้วไม่ทันไร ประตูบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ขณะนั้นก็เปิดออก แล้วคนชื่อ ‘มัซรูร’ก็พรวดพลาดเข้ามา พลางกล่าวว่า

“จงยอมรับคอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด”

โดยมิได้ให้สลามแก่ข้าพเจ้าแต่ประการใด ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังมาก นึกในใจว่า ‘มัซรูร’ ผู้นี้เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตและไม่ให้สลาม ฉะนั้นย่อมไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากมาฆ่า ขณะนั้น

ข้าพเจ้ามีญุนุบอยู่จึงไม่ได้ถามอะไรเขา โดยให้เขาคอยข้าพเจ้าซึ่งต้องอาบน้ำชำระร่างกายเสียก่อน

ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวว่า

“จงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)อย่างหนักแน่น แล้วลุกออกไปเถิด”

ข้าพเจ้าจึงลุกออกไปสวมเสื้อผ้า แล้วออกมาพร้อมกับเขาจนถึงอาคาร ข้าพเจ้าได้กล่าว

สลามท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน(คอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด) ที่กำลังเอนเอกเขนกอยู่ เขารับสลาม แล้วข้าพเจ้าก็นั่งลง

เขากล่าวว่า

“ท่านกลัวมากใช่ไหม ?”

๑๑๒

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ใช่แล้ว โอ้ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”

เขาปล่อยให้ข้าพเจ้าพักสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“จงออกไปยังคุกของเรา แล้วปล่อยมูซา บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ออกมา พร้อมกับจ่ายเงินให้กับเขาสามหมื่นดิรฮัม และให้พาหนะอีกสามชุด และให้ออกเดินทางไปจากเรา ไปที่ไหนก็ได้ตามที่เขาปรารถนา”

ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน ท่านจะปล่อยตัวมูซา บินญะอฺฟัร กระนั้นหรือ ?”

เขาตอบว่า

“ใช่แล้ว”

ข้าพเจ้าทวนคำถามถึงสามครั้ง เขาก็ตอบว่า

“ใช่แล้ว ท่านต้องการจะให้ฉันผิดคำสัญญากระนั้นหรือ ?”

ข้าพเจ้าถามว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน คำสัญญาที่ว่านั้นหมายถึงอะไร ?”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ขณะที่ข้านอนอยู่บนเตียงแห่งนี้ มีสิงโตตัวหนึ่งขึ้นมาคร่อมบนหน้าอก และขย้ำตรงคอหอยของข้า มันเป็นสิงโตตัวใหญ่ชนิดที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน และมันพูดกับข้าว่า

“ท่านกักขังมูซา กาซิมด้วยกับความอธรรม”

๑๑๓

ข้าจึงพูดกับมันว่า

“ข้าจะปล่อยตัวเขาและจะมอบสิ่งของให้เขา ข้าขอทำสัญญากับ

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)

มันจึงออกไปจากหน้าอกของข้า ซึ่งแทบว่าชีวิตของข้าจะปลิดออกจากร่าง”

ท่านอับดุลลอฮฺ บินศอลิฮฺได้เล่าต่อไปว่า : แล้วข้าพเจ้าก็ออกจากที่นั่น และไปพบท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)ซึ่งกำลังอยู่ในคุก ข้าพเจ้าเห็นท่าน(อฺ)นมาซ ข้าพเจ้าจึงนั่งรอจนท่าน(อฺ)ให้สลาม

หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เข้าไป แล้วกล่าวว่า

“ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน(ฮารูน รอชีด) ฝากสลามมายังท่าน และแจ้งให้ท่านทราบถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งมา และข้าพเจ้าก็ได้นำคำสั่งนั้นมายังท่านแล้ว”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ถึงแม้ท่านจะถูกสั่งมาให้ทำอย่างอื่น ท่านก็จงกระทำเถิด”

ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า

“หามิได้ ขอสาบานต่อสิทธิของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ว่าข้าพเจ้ามิได้ถูกสั่งมาให้กระทำอย่างอื่นนอกจากสิ่งนี้”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ไม่มีความจำเป็นอันใดสำหรับข้าพเจ้าในเรื่องการมอบเสื้อผ้า ทรัพย์สิน ยานพาหนะต่างๆในเมื่อสิ่งนั้นๆ เป็นสิทธิของประชาชาติอิสลาม”

ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ท่านอย่าได้ปฏิเสธเลย”

๑๑๔

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ท่านจงกระทำในสิ่งที่ท่านต้องการเถิด”

ข้าพเจ้าได้จับมือท่านอิมาม(อฺ) แล้วนำท่าน(อฺ)ออกจากคุก จากนั้นจึงได้กล่าวกับท่าน(อฺ)ว่า

“โอ้ท่านผู้เป็นบุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)โปรดบอกข้าพเจ้าซิว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่านได้รับความเอื้อเฟื้อจากชายคนนี้เป็นสิทธิของข้าพเจ้าเหนือท่านที่จะต้องแสดงความยินดีกับท่าน และได้รับรางวัลจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.) จากผลงานอันนี้”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ฉันได้ฝันเห็นศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ในคืนวันพุธที่ผ่านมา ท่าน(ศ)บอกฉันว่า

“มูซา เอ๋ย เจ้าถูกกักขังด้วยกับความอธรรม”

ฉันตอบว่า

“ใช่แล้ว ยารอซูลุลลอฮฺ”

ท่าน(ศ)กล่าวอย่างนี้สามครั้ง แล้วท่าน(ศ)พูดอีกว่า

“หวังว่าสิ่งนี้ จะเป็นการทดสอบสำหรับพวกเจ้า และเป็นความสุขชั่วระยะหนึ่ง เจ้าจงถือศีลอดในพรุ่งนี้เช้า และจงถือติดต่อทั้งวันพฤหัสและวันศุกร์ ครั้นถึงเวลาละศีลอด เจ้าจงนมาซ 12ร็อกอะฮฺ ในทุกร็อกอะฮฺนั้น

 จงอ่านอัล-ฮัมดุ 1 ครั้ง และอ่านกุลฮุวัลลอฮุ อะฮัด 12 ครั้ง ครั้นทำ

นมาซครบ 4 ร็อกอะฮฺ

๑๑๕

แล้วจงซุญูด แล้วให้อ่านดุอฺาอ์บทหนึ่ง ดังนี้ :

“โอ้ผู้ทรงชัยชนะ ผู้ทรงได้ยินเสียงต่างๆ ทั้งหมด ผู้ทรงให้ชีวิตแก่กระดูกที่มันผุกร่อน หลังจากความตาย ข้าฯขอต่อพระนามของพระองค์

พระผู้ทรงยิ่งใหญ่ ขอพระองค์ทรงประทานพรแด่มุฮัมมัด บ่าวของพระองค์และศาสนทูตของพระองค์ และแด่บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ และโปรดได้บันดาลให้ข้าฯ ได้รับความรอดพ้นโดยเร็วพลัน”

ฉันได้กระทำอย่างนั้น แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปเหมือนที่ท่านได้เห็น(2)

(2) มะดีนะตุล-มะอาญิช หน้า 394.

คำสดุดี จากบรรดานักปราชญ์ต่ออิมามมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ)

บรรดามุสลิมทั้งหลายถึงแม้จะมีมัซฮับแตกต่างกัน แต่ก็ลงความเห็นตรงกันในเรื่องของเกียรติยศของบรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ) ตลอดทั้งยอมรับในเรื่องวิชาการ ตำแหน่งอันสูงส่ง

และความมีสถานภาพที่ใกล้ชิดต่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) นักปราชญ์ทั้งหลายต่างได้บันทึกเรื่องดังกล่าวไว้ในตำราของพวกเขาเกี่ยวกับฮะดีษต่าง ๆ ที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)กล่าวถึงท่าน(อฺ)เหล่านั้น มีการอธิบายกันถึงเกียรติประวัติ จริยธรรม ความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้ของท่าน(อฺ)เหล่านั้น

๑๑๖

ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้ผนวกบุคคลเหล่านั้นให้อยู่ควบคู่กับอัล-กุรอาน เช่น ในฮะดีษที่ว่าด้วย

 ‘อัษ-ษะก่อลัยนฺ’ (สิ่งสำคัญสองประการ) และที่อุปมาว่า

บุคคลเหล่านั้นเหมือนเรือของท่านนบีนูฮฺ(อฺ) ถ้าผู้ใดขึ้นเรือก็จะปลอดภัย ผู้ใดผลักไสก็จะพินาศล่มจม และเปรียบว่าคนเหล่านั้นเหมือนประตูอัล-ฮิฏเฏาะฮฺ ที่ถ้าหากใครเข้าไปก็จะปลอดภัย

อีกทั้งมีฮะดีษมากมายที่รายงานว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้กล่าวถึงเกียรติคุณของท่าน(อฺ)เหล่านั้นไว้

ในบทนี้เราจะเสนอคำสดุดีของบุคคลต่างๆ ที่มีต่อท่านอิมามมูซา

 กาซิม(อฺ) ดังต่อไปนี้

1. ท่านอิมามศอดิก (อฺ) ได้กล่าวว่า:

ท่านมูซา กาซิมเป็นคนรอบรู้ในกฎเกณฑ์ มีความเข้าใจจริงและรู้จักอย่างถ่องแท้ในเรื่องที่มนุษย์ทั้งหลายจำเป็น ซึ่งเรื่องนั้นๆ คนทั้งหลายขัดแย้งกันในกิจการศาสนา เขาเป็นคนมีจริยธรรมที่ดีงาม เป็นเพื่อนบ้านที่ดี และเป็นประตูบานหนึ่งในหลายๆ ประตูที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเปิดให้(1)

(1) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม 11 หน้า 234.

๑๑๗

2. ฮารูน รอชีดได้กล่าวว่า:

สำหรับมูซา กาซิมนั้น เขาคือประมุขทางศาสนาของพวกตระกูลฮาซิม(2)

(2) อันวารุล-บะฮียะฮฺ 92.

เขายังได้พูดกับมะอ์มูน ผู้เป็นบุตรชายของเขาอีกว่า

“มูซา ผู้นี้คืออิมามของมนุษยชาติ เป็นข้อพิสูจน์หนึ่งของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่มีต่อมวลมนุษย์ และเป็นค่อลีฟะฮฺของพระองค์ในหมู่ปวงบ่าวทั้งหลายของพระองค์”(3)

(3) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ 4 กอฟ เล่ม 3 หน้า 51.

เขาได้กล่าวต่อไปอีกว่า

“โอ้ลูกเอ๋ย มูซา กาซิมผู้นี้เป็นทายาททางความรู้วิชาการของบรรดานบี ถ้าเจ้าต้องการความรู้ที่ถูกต้อง ก็จงไปเอาจากเขาผู้นี้แหละ”(4)

(4) อัล-มะนากิบ เล่ม 2 หน้า 383. อะมาลี ของเชค ศ็อดดูก 307.

๑๑๘

3. มะอ์มูน กษัตริย์ในราชวงศ์อับบาซียะฮฺได้กล่าวถึงอิมามมูซา กาซิม (อฺ) ว่า:

ท่านเป็นคนเคร่งครัดในการทำอิบาดะฮฺอย่างยิ่ง ใบหน้าและจมูกของท่านมีแต่การกราบพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น(5)

(5) อันวารุล-บะฮียะฮฺ 93.

4. ท่านอีซา บินญะอฺฟัรได้เขียนจดหมายไปหาฮารูน รอชีดว่า:

ตลอดเวลาที่ท่านมูซา กาซิมอยู่ในคุกอย่างยาวนานนั้น ฉันไม่เคยเห็นเขาว่างเว้นจากการอิบาดะฮฺเลย ฉันได้จัดคนให้คอยฟังการขอดุอฺาอ์ของเขา ปรากฏว่าเขาไม่เคยขอดุอฺาอ์สาปแช่งท่านและฉันเลย และไม่เคยกล่าวถึงเราในทางที่ไม่ดี และไม่เคยขออะไรให้กับตัวเอง นอกจากการอภัยและความเมตตา(6)

(6) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ 4 ก็อฟ 3/71.

5. ท่านอะบูอฺะลี อัล-คิลาล (นักปราชญ์มัซฮับฮันบะลี) ได้กล่าวว่า:

เมื่อฉันกลุ้มใจในเรื่องใด ฉันจะไปยังสุสานของท่านอิมามมูซา กาซิมเสมอเพื่อขอการตะวัซซุล แล้วอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก็ทรงให้ความสะดวกในกิจการที่ฉันอยากได้เสมอ(7)

(7) ตารีค บัฆดาด เล่ม 1 หน้า 120.

๑๑๙

6. อิมามชาฟิอีได้กล่าวว่า:

สุสานของอิมามมูซา กาซิมคือสถานที่ที่มีความประเสริฐสูงส่งยิ่ง”(8)

(8) ตุฮฺฟะตุล-อาลิม เล่ม 2 หน้า 22.

7. ท่านอะบูฮาติมได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม คือผู้ที่น่าเชื่อถือในด้านรายงานฮะดีษ(ษิกเกาะฮฺ) และสัจจริง และเป็นผู้นำ(อิมาม)ของประชาชาติมุสลิมทั้งหลาย(9)

 (9) ตะฮุชีบุต-ตะฮฺชีบ เล่ม 10 หน้า 240.

8. ท่านอับดุรเราะฮฺมาน บินอัล-เญาซีกล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิมได้ชื่อว่าเป็นบ่าวที่มีคุณธรรม เพราะการอิบาดะฮฺ การอิจญ์ติฮาด และดำรงนมาซในยามกลางคืน และท่านเป็นคนที่มีเกียรติที่สุภาพ เมื่อท่านได้รับข่าวคราวว่า ใครกล่าวร้ายท่าน ท่านจะตอบแทนคนนั้นด้วยทรัพย์สินเสมอ(10)

(10) ศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ เล่ม 2 หน้า 103.

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

๖.หนึ่งในเหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในการเป็รผู้อภิบาล คือ ความเป็นระบบและระเบียบของโลก ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า การมีอยู่ของโลกที่มีระบบและระเบียบ บ่งบอกถึง การมีอยู่ของผู้ที่ให้ความเป็นระบบและระเบียบแก่โลก และต้องมีระบอบเดียว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า จะต้องมีผู้ที่บริหารเพียงองค์เดียว นั่นคือ พระเจ้า พระองค์เป็นผู้บริหารการงานต่างๆเพียงองค์เดียว

๗.โองการต่างๆของอัล กุรอานได้กล่าวเน้นย้ำในความเป็นสร้างของพระเจ้า และพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และนี่คือ ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในการสร้าง

๘.อัล กุรอานได้เน้นย้ำอย่างกระจ่างชัดแล้วว่า บรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลายได้ยอมรับในความเป็นเอกานุภาพในการสร้าง แต่พวกเขาไม่ยอมรับในความเป็นเอกานุภาพในการเป็นผู้อภิบาล

๙.อัล กุรอานได้เน้นย้ำว่า การมีการสร้างของสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจาก ความเป็นเอกานุภาพในการสร้างของพระเจ้าแล้ว สิ่งอื่นก็มีความสามารถในการสร้างได้เช่นกัน แต่ด้วยกับการอนุมัติจากพระองค์เท่านั้น ดั่งตัวอย่างของศาสดาอีซา(เยซู) ปาฏิหาริย์หนึ่งของท่าน คือ การปั้นนกจากดินด้วยกับการอนุมัติจากพระเจ้า

๑๐.การพิสูจน์ในความเป็นเอกานุภาพในการเป็นผู้อภิบาล ก็คือ การโต้แย้งและข้อพิพาทระหว่างบรรดาศาสดาทั้งหลายกับพวกปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น ในสมัยของศาสดาอิบรอฮีมกับกษัตริย์นัมรูดและพวกบูชาหมู่ดาวนพเคราะห์ทั้งหลาย

๑๔๑

๑๑.อัล กุรอานจากโองการที่ ๒๒ บทอัลอัมบิยาอ์ ได้กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นผู้อภิบาล และการมีระบอบปกครองแบบเดียวในโลก แสดงให้เห็นว่า มีความเป็นเอกานุภาพในการเป็นผู้อภิบาล และเช่นกัน ยังมีวจนะอื่นๆอีกมากมายที่ได้กล่าวเน้นย้ำในหลักการนี้

๑๔๒

   บทที่ ๖

   ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบและการปกครอง –ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า

 (เตาฮีด ตัชรีอียฺและฮากิมีย์ –เตาฮีด อุลูฮียฺ)

   ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง

 (เตาฮีด ตัชรีอียฺและฮากิมีย์)

    ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง เป็นอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ซึ่งก็ได้รวมอยู่ในประเภทของความเป็นเอกานุภาพในการบริหาร เป็นที่รู้กันดีว่า มนุษย์มีความต้องการ การกำหนดกฏและระเบียบในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนั้น การกำหนดกฏหรือบทบัญญัติ จะต้องมีผู้ที่กำหนดกฏต่างๆและบทบัญญัติ

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ หมายถึง การมีความเชื่อว่าพระเจ้า เป็นผู้ที่กำหนดกฏระเบียบเพียงองค์เดียว โดยที่ไม่ต้องการ การช่วยเหลือใดๆ ดังนั้น การกำหนดกฏระเบียบของพระเจ้าด้วยกับอาตมันของพระองค์ โดยถือว่าเป็นการกระทำหนึ่งของพระองค์

๑๔๓

การกำหนดกฏระเบียบของสิ่งอื่นๆก็ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากพระองค์ ส่วนการแสดงความเป็นเจ้าของใน มนุษย์ ทรัพย์สิน และการกระทำทั้งหลายของเขา ก็ถือว่า เป็นการกระทำของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน ซึ่งเห็นได้ว่า พระเจ้าคือ ผู้ทรงกรรมสิทธิ์และเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง ดังนั้น อิสลามจึงมีความเชื่อว่า พระเจ้า เป็นผู้กำหนดกฏระเบียบแต่เพียงผู้เดียว และสรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดกฏระเบียบ นอกเหนือจาก เขาจะต้องได้รับการอนุมัติจากพระเจ้าเสียก่อน เพราะฉะนั้น มิได้หมายความว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดกฏระเบียบ แต่การกำหนดกฏของมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากพระองค์

   พื้นฐานทางสติปัญญาของความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง

    การพิสูจน์ในความเป็นเอกานุภาพประเภทนี้ มีเหตุผลอยู่มากมายที่ยืนยันได้จากการใช้เหตุผลทางสติปัญญา 

ซึ่งมีดังต่อไปนี้

๑.ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า การกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง เป็นชนิดหนึ่งของการบริหารกิจการของมนุษย์ และในความเป็นเอกานาภาพในการบริหาร ได้กล่าวไปแล้วว่า ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหาร คือ พระเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้น การบริหารกิจการของมนุษย์ เช่น การกำหนดกฏ และการปกครอง ถือว่า เป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า

๑๔๔

 ส่วนสรรพสิ่งนั้น ไม่มีอำนาจในการกำหนดกฏเกณฑ์ เพราะว่า มนุษย์ไม่มีการบริหารที่เป็นอิสระเสรีในตนเอง จึงไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครองได้ด้วยตัวของเขาเอง

๒.การวางกฏเกณฑ์ และการกำหนดบทบัญญัติ ขึ้นอยู่กับความจำเป็น และการมีขอบเขตจำกัดในความเป็นอิสระเสรีต่อการใช้กฏต่างๆ และการปกครองก็เช่นเดียวกัน ซึ่งมนุษย์มิได้มีความเป็นอิสระเสรีในการกระทำของตนเอง จึงไม่มีความสามารถที่จะกำหนดบทบัญญัติขึ้นมาเองได้ ดังนั้น การมีอำนาจสิทธิ จะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พระเจ้า คือ เจ้าของอย่างแท้จริงของทุกสรรพสิ่ง และไม่มีมนุษย์คนใดเป็นเจ้าของที่แท้จริงของมนุษย์ ดังนั้น เมื่อพระเจ้า เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิในการวางกฏเกณฑ์ และการกำหนดบทบัญญัติและการปกครองก็เช่นกัน ส่วนสิ่งอื่นๆต้องได้รับอนุมัติจากพระเจ้า จึงสามารถที่จะกำหนดกฏระเบียบได้
๓.ไม่เป็นที่สงสัยเลย สำหรับผู้วางกฏเกณฑ์ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในตัวบทกฏต่างๆที่จะนำมาใช้กับมนุษย์ได้ และอีกอย่างหนึ่ง เขาต้องรู้จักในแก่นแท้และสารัตถะของมนุษย์ด้วย และต้องรู้จักแนวทางการทำให้มนุษย์พบกับความผาสุกและความสมบูรณ์ ดังนั้น ผู้ที่มีความรอบรู้ในสิ่งที่ได้กล่าวไปนั้น คือ พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง และรู้จักมนุษย์ดีกว่ามนุษย์ด้วยกันเสียอีก

๑๔๕

   ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบและการปกครองในทัศนะของอัล กุรอาน

    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ คือ ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง หมายถึง พระเจ้าเป็นผู้ทรงกรรมสิทธิเพียงองค์เดียว ในการกำหนดกฏระเบียบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคมของเขา อีกทั้งยังได้วางบทบัญญัติของพระองค์ เพื่อทำให้มนุษย์ได้นำเอาไปปฏิบัติ และพระเจ้าคือ ผู้ทรงกรรมสิทธิ์ที่มีอำนาจในการบริหารดูแลทั้งร่างกาย และทรัพย์สิน อีกทั้งกิจการต่างๆของมนุษย์ด้วย และในบางครั้งความเป็นเอกานุภาพประเภทนี้ มีความหมายตรงกับ การเป็นผู้อภิบาลในการกำหนดบทบัญญัติ

และก่อนที่จะอธิบายในทัศนะของอัล กุรอานเกี่ยวกับความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ

จะต้องมาทำความเข้าใจในความหมายของ การกำหนดกฏ กันก่อน

ในภาษาอาหรับคำว่า ตัชรีอฺ หมายถึง การกำหนดกฏและบทบัญญัติ และในอัล กุรอานก็มิได้กล่าวคำนี้ 

แต่กับกล่าวคำว่า ชะระอะ(ในรูปของกริยาในอดีตกาล) หมายถึง ได้กำหนดกฏและบทบัญญัติไปแล้ว เช่น

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นูห์ และที่เราได้ลงการวิวรณ์แก่เจ้า (มุฮัมมัด) ก็เช่นเดียวกัน” (บทอัชชูรอ โองการที่ ๑๓ )

๑๔๖

ส่วนคำว่า ฮุกุ่ม ในด้านภาษานั้นมีความหมายว่า การห้าม ,การตัดสิน และการปกครอง ซึ่งในอัล กุรอานได้กล่าวว่า การปกครองและการตัดสินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เช่น

อัล กุรอานกล่าวว่า

“การตัดสินมิได้เป็นสิทธิของใครนอกจากอัลลอฮ์” (บทยูซุฟ โองการที่ ๔๐ )

และใน อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ทุกสิ่งย่อมพินาศนอกจากพระพักต์ของพระองค์ การตัดสินนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้นและยังพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านย้อนกลับ” (บทอัลกอศอด โองการที่ ๘๘ )

จากทั้งสองโองการได้กล่าวถึง การปกครองและการตัดสินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เพียงองค์เดียวเท่านั้น

และอีกโองการหนึ่ง กล่าวถึง การปฏิบัติตามคัมภีร์เตารอต และอินญีล  (ไบเบิล) ของชาวคัมภีร์ หากว่าพวกเขาไม่ได้ตัดสินจากสิ่งที่ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็คือผู้ปฏิเสธ และผู้ฉ้อฉล

อัล กุรอานกล่าวว่า

“ใครก็ตามที่ไม่ได้ตัดสินจากสิ่งที่ประทานลงมาจากอัลลอฮ์ พวกเขาคือผู้ปฏิเสธ”

 (บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ ๔๔ )

แม้ว่าโองการนี้ จะกล่าวถึงกลุ่มชนชาวยะฮูดี และชาวคริสเตียน แต่โองการอัล กุรอานก็มิได้ถูกจำกัดกับกลุ่มชนดังกล่าว และได้รวมถึงทุกกลุ่มชนที่พวกเขาที่มิได้ใช้กฏหมายของพระเจ้า กลุ่มชนนั้นเป็นกลุ่มชนที่ฉ้อฉล อีกทั้งยังเป็นกลุ่มชนที่ปฏิเสธ

๑๔๗

ดังนั้น จากโองการที่กล่าวไปแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่า การตัดสินและการปกครอง เป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า และไม่เป็นที่อนุญาตให้มนุษย์สร้างความขัดแย้งกับการตัดสินของพระองค์

และในบางโองการได้กล่าวถึง พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ปกครอง (วะลีย์) ของมนุษย์

อัลกุรอานกล่าวว่า

“หรือว่าพวกเขาได้ยึดถือเอาคนอื่นจากพระองค์เป็นผู้ปกครอง ดังนั้นอัลลอฮ์คือผู้ปกครอง”

  ( บทอัชชูรอโองการที่ ๙ )

จากโองการนี้ แสดงให้เห็นว่า คำว่า วะลีย์ ในด้านภาษา หมายถึง ผู้ปกครอง ในโองการนี้ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ปกครอง  แสดงให้เห็นว่า การปกครองเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ดังนั้น ความหมายของโองการนี้ก็มิได้ขัดแย้งกับโองการที่ได้กล่าวว่า พระเจ้าได้แต่งตั้งมนุษย์เป็นผู้ปกครองของพระองค์ในหน้าแผ่นดิน เช่น การแต่งตั้งศาสดาดาวูดให้เป็นผู้ปกครองของพระองค์

อัลกุรอานกล่าวว่า

“โอ้ดาวูด ! เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นตัวแทนในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เจ้าจงตัดสินคดีต่าง ๆ ระหว่างมนุษย์ด้วยความยุติธรรม และอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ เพราะจะทำให้เจ้าหลงไปจากทางของอัลลอฮ์”

  (บทศอด โองการที่ ๒๖ )

จากโองการนี้ แสดงให้เห็นว่า การที่พระเจ้าจะแต่งตั้งบุคคลใดก็ตามให้เป็นผู้ปกครอง,ผู้ตัดสินและตัวแทนของพระองค์ มิได้มีขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ และในการปกครอง

๑๔๘

 ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า หลักศรัทธาของอิสลามที่มีความเชื่อในความเป็นเอกานาภาพในการปกครองได้กล่าวถึง การปกครอง เป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และการแต่งตั้งให้มนุษย์เป็นผู้ปกครองของพระองค์ ดังเช่น ตัวอย่างของท่านศาสดาดาวูด ด้วยกับเหตุผลความเป็นวัตถุของมนุษย์  พระเจ้าจึงได้แต่งตั้งตัวแทนของพระองค์ที่เป็นมนุษย์ เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นกับมนุษย์

   ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า

    ดังที่ได้กล่าวแล้ว ในบทความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะว่า ความหมายหนึ่งของหลักการนี้คือ คุณลักษณะของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระองค์ และไม่เหมือนกับสิ่งอื่นใด โดยจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สามารถที่จะแบ่งคุณลักษณะของพระเจ้าออกเป็น ๒ ประเภทได้ด้วยกัน ดังนี้

๑.คุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้าทั้งในความหมายและความเป็นจริง และไม่มีสิ่งอื่นเหมือนกับพระองค์

๒.คุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้า แม้ว่าในสิ่งอื่นๆจะมีคุณลักษณะเหล่านี้อยู่ก็ตาม แต่การมีคุณลักษณะของพระองค์ ในสภาวะที่สมบูรณ์แบบที่สุดและไม่มีขอบเขตจำกัด ส่วนการมีคุณลักษณะของสิ่งอื่นในสภาพที่มีขอบเขตและต้องพึ่งพายังพระองค์

และหนึ่งในคุณลักษณะของพระองค์ คือ การเป็นพระเจ้า ซึ่งถือว่า เป็นหนึ่งในคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ที่เกิดขึ้นในประเภทแรก กล่าวคือ เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้าเพียงอย่างเดียว

๑๔๙

คำว่า อิลาฮ์ ในภาษาอาหรับมาจากในรูปของ ฟิอาล์ และบางครั้งมีความหมายเป็นกรรม เช่น คำว่า กิตาบ หมายถึง สิ่งที่ถูกเขียน และรากศัพท์ของคำว่า อิลาฮ์นั้น มีความแตกต่างกัน แต่ตามทัศนะที่มีความเห็นตรงกัน คือ คำว่า อิลาฮ์ หมายถึง สิ่งที่ถูกเคารพสักการะบูชา

ดังนั้น ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า คือ การมีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็น สิ่งที่ถูกเคารพบูชา (มะอ์บูด) อย่างแท้จริง

อัล กุรอานกล่าวว่า

และถ้าเจ้าถามพวกเขา ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์”

(บทลุกมาน โองการที่๒๕)

พวกตั้งภาคีในคาบสมุทรอาหรับได้ยอมรับในการมีความเป็นเอกานุภาพในการสร้าง แต่พวกเขาไม่ยอมรับว่า มีความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า กล่าวคือ พวกเขามีความเชื่อว่ามีพระเจ้า เป็นผู้ที่ทรงสร้างพวกเขาและสรรพสิ่งทั้งหลาย แต่ในการเป็นพระเจ้า พวกเขากับยึดเอาสิ่งอื่นที่มิใช่พระเจ้า และสิ่งนั้นมิได้เป็นพระเจ้าไปเคารพสักการะบูชา

ดังนั้น อัล กุรอานได้เล็งเห็นความสำคัญของความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า โดยกล่าวเน้นย้ำในโองการมากมาย เพื่อที่จะขจัดความคลุมเครือจากข้อสงสัยและปัญหาของพวกตั้งภาคี และมิใช่จะเฉพาะเจาะจงกับบรรดาพวกตั้งภาคีในคาบมหาสมุทรอาหรับ แต่ยังได้รวมถึงบรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลายด้วย

ด้วยเหตุนี้ คำว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ พระเจ้าองค์เดียว เป็นคำกล่าวในการยอมรับศาสนาอิสลามและอัลกุรอานได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ,ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากฉัน ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงการมีความเป็นเอกานาภาพในการเป็นพระเจ้า

๑๕๐

 

   ทำไมต้องมีพระเจ้าองค์เดียว?

    หลังจากที่ได้อธิบายในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในความเป็นพระเจ้าไปแล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นอีกว่า ทำไมจึงต้องมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวด้วย แล้วไม่มีพระเจ้าอื่น เลยกระนั้นหรือ?

ก่อนที่จะตอบในคำถามนี้ จำเป็นที่จะต้องตอบคำถามที่ได้ถามขึ้นอีกว่า แล้วยังมีสิ่งอื่นใดที่ควรค่าแก่การเคารพภักดี นอกจากพระเจ้าเพียงองค์เดียวหรือ?

สำหรับคำตอบของคำถามนี้  ก็คือ จากการให้ความหมายของการเป็นพระเจ้า (อุลูฮียัต) จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพภักดี จะต้องไม่มีข้อบกพร่องและความผิดพลาด และสิ่งนั้นต้องมีอำนาจสูงสุดเหนือทุกสรรพสิ่งทั้งหลาย และเป็นผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ, ชี้นำมวลมนุษยชาติไปสู่ความผาสุก ,เป็นผู้สร้างทุกสรพสิ่งและเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นอย่างแท้จริง ดังนั้น  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คุณสมบัติดังกล่าวนั้นเหมาะกับพระเจ้าเพียงองค์เดียวอย่างแน่นอน และจากความเป็นเอกานุภาพในอาตมันที่ได้กล่าวถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในอาตมันของพระเจ้า และไม่มีสิ่งอื่นใดเหมือนกับอาตมันของพระองค์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์แบบและควรค่าแก่การเคารพภักดีอย่างแท้จริง

๑๕๑

   ความสัมพันธ์ของประเภทต่างๆในความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา

    หลังจากที่ได้อธิบายในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา และได้แบ่งเป็นประเภทต่างๆ  และเหตุผลการพิสูจน์ทางสติปัญญา แสดงให้เห็นว่า ประเภทต่างๆของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธานั้น มีความสัมพันธ์ต่อกันและกันและเป็นที่รู้กันดีว่า อาตมันของพระเจ้าบริสุทธิ์จากการมีส่วนประกอบ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ (วาญิบุลวูญูด)  และมีความเป็นเอกานุภาพและมีหนึ่งเดียว ส่วนในคุณลักษณะของพระองค์ก็เหมือนกับอาตมัน และนี่คือ ความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ส่วนการกระทำของพระเจ้า พระองค์ ไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือพึ่งพาสิ่งใด และนี่ก็คือ ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในการกระทำ ที่มีความสัมพันธ์ไปยังการเป็นพระเจ้า ,การบริหารกิจการ และในการสร้าง  ซึ่งสรุปได้ว่า คำสอนของศาสนาอิสลามในทุกประเภทของความเป็นเอกานุภาพ มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน

๑๕๒

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

เตาฮีด ตัชริอีย์ หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ

เตาฮีด ฮากิมียัต หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการปกครอง

เตาฮีด อุลูฮิยัต หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า

     สรุปสาระสำคัญ

๑.ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง เป็นอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครองแด่เพียงผู้เดียว ส่วนสิ่งอื่นต้องได้รับอนุมัติจากพระเจ้าก่อน จึงสามารถมีอำนาจการกำหนดบทบัญญัติ และปกครองได้

๒.ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า  และพระองค์เท่านั้นที่เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์เหนือทุกสิ่ง อีกทั้งทรงมีความรอบรู้ ดังนั้น เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดเหมาะสมที่สุดในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง

๓.ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพ หมายถึง พระเจ้าเท่านั้นที่ควรค่าต่อการเคารพภักดี ดังคำกล่าวของอิสลามที่ว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ พระเจ้าเพียงองค์เดียว”

๔.เป็นรู้กันดีแล้วว่า พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์และไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้น พระองค์คือ ผู้ที่มนุษย์จะต้องทำการเคารพภักดี และไม่มีสิ่งอื่นใดที่ควรค่าแก่การเคารพภักดี

๕.ในประเภทต่างๆของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา มีความสอดคล้องและมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันด้วย

๑๕๓

   บทที่ ๗

   ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ (เตาฮีด อะมะลีย์)

 ตอนที่ หนึ่ง

   การซึมซับของความเป็นเอกานุภาพในด้านความคิด ความเชื่อ และในด้านการปฏิบัติ

    ความคิดและความเชื่อของมนุษย์ มีผลกระทบต่อเขาในด้านการปฏิบัติ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญของมนุษย์ทุกคนที่ยอมรับ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทัศนคติของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเขา และอีกทั้งยังมีผลต่อหลักการปฏิบัติ ดังนั้น ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา เป็นหลักการที่เฉพาะเจาะจงกับความเชื่อในการรู้จักถึงพระเจ้า และความสัมพันธ์ของพระองค์กับโลก และมนุษย์ เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เติบโตมาจากอุ้งตักของอิสลาม มีความเชื่อว่า พระเจ้ามีองค์เดียว ,เป็นผู้สร้างอย่างแท้จริง เป็นพระผู้อภิบาล และเป็นพระเจ้าแห่งสากลจักวาล และพระองค์ทรงดำรงอยู่ ทั่วทุกหน ทุกแห่ง ในขณะเดียวกัน เมื่อมนุษย์มีความเชื่อเช่นนี้ แน่นอนที่สุด ความเชื่อนี้มีผลกระทบต่อการกระทำ และการปฏิบัติของเขา และนี่คือ ความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ กล่าวคือ การมีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และการปฏิบัติตามความเชื่อนี้ ด้วยเหตุนี้ ความหมายที่แท้จริงของความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ ก็คือ ผลของความเชื่อในหลักการนี้

๑๕๔

เมื่อมนุษย์มีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เขาย่อมสำนึกอยู่เสมอว่า การเคารพภักดี ,การขอความช่วยเหลือ และการมอบหมายกิจการงานต่างๆของเขา เพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามพระองค์เพียงองค์เดียวด้วย

ท่านอัลลามะฮฺชะฮีด มุเฎาะฮะรีย์ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอิสลาม กล่าวว่า

 “ระดับขั้นทั้งสามที่ผ่านมา กล่าวคือ ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา ซึ่งเป็นอีกประเภทหนึ่งของการรู้จักถึงพระเจ้า ส่วนความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีนั้น เป็นอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในด้านการปฏิบัติ และอยู่ในประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ดังนั้น ระดับขั้นดังกล่าว ถือว่าเป็นการใช้ความคิดที่ถูกต้องในระดับขั้นนี้ อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติที่เหมาะสมตรงตามความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา นั่นคือ การให้ทัศนะที่สมบูรณ์แบบที่สุด ส่วนความเป็นเอกานุภาพในด้านการปฏิบัติ ก็คือ การปฏิบัติที่นำไปสู่ความสมบูรณ์แบบด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา จึงเป็นการนำไปสู่ยังความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และความเป็นเอกานุภาพในด้านปฏิบัติ ก็เปรียบเสมือนเป็นการกระทำหนึ่งของมนุษย์ได้เช่นกัน ดังนั้น ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา จึงประดุจดั่งกับการมองเห็น ส่วนความเป็นเอกานุภาพในด้านการปฏิบัติ ก็เสมือนดั่งการเดินทางของมนุษย์นั่นเอง “

(จากหนังสือ รวบรวมผลงานประพันธ์ของท่านชะฮีด มุฏอฮะรีย์

 เล่ม ๒ หน้าที่ ๑๐๑)

๑๕๕

   คุณค่าของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา

 

    จากการให้นิยามของความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ ทำให้มีความเข้าใจได้ว่า มีความหมายที่ครอบคลุมการปฏิบัติทุกประเภท ซึ่งได้นำเอาบางประเภทของการปฏิบัติมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้

      ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี

    ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี เป็นอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ  ซึ่งการให้ความสำคัญของความหมายของหลักการนี้ ก็คือ นักการศาสนาบางคน ได้กล่าวว่า ประเภทนี้เป็นประเภทเดียวกับความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ โดยที่คิดว่า ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ มิสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆได้และถ้าหากได้กล่าวว่า ประเภทของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา คือ การรู้จักในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า หมายความว่า  การมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้น ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี จึงหมายถึง ผู้ที่เหมาะและควรค่าแก่การเคารพภักดี คือ พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และการเคารพภักดีต่อพระองค์ คือ เป้าหมายที่สูงสุดในการแต่งตั้งบรรดาศาสดา

๑๕๖

ดั่งที่ในอัล กุรอานได้กล่าวไว้ว่า

“และแน่นอนที่สุด เราได้แต่งตั้งศาสดามาทุกประชาชาติเพื่อให้พวกเขาทำการเคารพภักดีต่อฉันและออกห่างจากพวกบูชาเจว็ด” (บทอันนะหฺลิ โองการที่ ๓๖)                                                                                            

ความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์บ่งบอกว่า การเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า  เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อที่จะนำมนุษย์ไปสู่แนวทางที่เที่ยงตรงและออกห่างจากการหลงผิดทั้งมวล

   ความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดี

    ความหมายของการเคารพภักดี ในบางครั้ง ก็เป็นที่กระจ่างชัดสำหรับเรา แต่ในประวัติศาสตร์อิสลามได้บันทึกไว้ว่า มีความแตกต่างกัน เกี่ยวกับการกำหนดขอบเขตของความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี ซึ่งจะอธิบายในความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดีเป็นอันดับต่อไป

 การเคารพภักดี มาจากคำว่า “อิบาดะฮ์”ในภาษาอาหรับ หมายถึง การนอบน้อม,การแสดงความต่ำต้อย และการเคารพภักดี

อิบาดะฮ์ ในทัศนะของเทววิทยาอิสลาม หมายถึง การแสดงความต่ำต้อยและนอบน้อมต่อสิ่งที่ควรค่าแด่การเคารพภักดี (มะอ์บูด)

๑๕๗

  ดังนั้น จากความหมายของคำว่า อิบาดะฮ์ จึงหมายถึง การแสดงความนอบน้อมและความต่ำต้อย แต่มิใช่ว่าทุกการนอบน้อมเป็นการอิบาดะฮ์ ก็ด้วยกับเหตุผลที่ว่า มนุษย์ได้ใช้สติปัญญาครุ่นคิดเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งที่เขาได้นอบน้อม เพระว่ามีบุญคุณต่อเขา เช่น การนอบน้อมของลูกศิษย์ต่อครูบาอาจารย์ และการนอบน้อมของบุตรต่อบิดามารดา ทั้งหมดนั้นมิได้เรียกว่า การอิบาดะฮ์ หรือการเคารพภักดี แต่ด้วยกับการมีมารยาท ทางศีลธรรม จริยธรรม ได้บอกเตือนกับเราว่า พวกเขาเหล่านั้นมีบุญคุณต่อพวกเรา จึงจะต้องแสดงความนอบน้อม ซึ่งในอัล กุรอานได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วว่า

“และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และจงกล่าวเถิด โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาให้กับท่านทั้งสอง ดั่งที่ท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย”

(บทอัลอิสรออ์ โองการที่ ๒๔)

หากว่า การนอบน้อมให้กับทุกสิ่ง เป็นการเคารพภักดีแล้วละก็จำเป็นอย่างยิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์จะต้องบอกว่า ให้ทำการเคารพภักดีต่อสิ่งที่มิได้เป็นพระเจ้า ดังนั้น เขาก็ออกห่างจากความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เพราะ เขาได้เคารพภักดีต่อบิดามารดาและในท้ายที่สุด เขาก็เป็นผู้ที่ตั้งภาคี แต่ในความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น

๑๕๘

นักอักษรศาสตร์บางคนได้ให้ความหมายของคำว่า  อิบาดะฮ์ หมายถึง การนอบน้อม ดังนั้น ในความหมายนี้ มีความหมายที่เฉพาะเจาะจง แต่ในความเป็นจริง ความหมายนี้ยังห่างไกลจากความหมายของการเคารพภักดีอย่างแท้จริง เพราะว่า การก้มกราบ ถือว่าเป็นหนึ่งในความหมายของการเคารพภักดี  อัล กุรอานได้กล่าวถึง ครั้นเมื่ออัลลอฮ์ทรงสั่งให้มวลเทวทูตทั้งหลายทำการก้มกราบต่อท่านศาสดาอาดัมว่า

 “และครั้นเมื่อเราได้กล่าวกับมวลเทวทูตว่า พวกเจ้าจงก้มกราบต่ออาดัม ทั้งหมดได้ทำการก้มกราบ นอกจากอิบลีส” (บทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ ๓๔)

และในโองการอื่นๆได้กล่าวไว้เช่นกันถึง ท่านศาสดายูซุฟที่บรรดาพี่น้องรวมทั้งบิดาและมารดาของเขาได้ทำการก้มกราบต่อเขา

อัล กรุอานกล่าวว่า

 “และเขาได้ยกย่องพ่อแม่ของเขาขึ้นบนบัลลังก์แล้วพวกเขาก็ก้มลงคารวะ (สุญูด)”

(บทยูซุฟ โองการที่๑๐๐)

ถ้าหากว่า ระดับขั้นที่สูงสุดของการเคารพภักดี คือ การนอบน้อม ดังนั้น พระเจ้าก็ทรงสั่งให้มวลเทวทูต ทำการตั้งภาคีในการเคารพภักดี และครอบครัวของท่านศาสดายูซุฟก็เป็นผู้ตั้งภาคีด้วยเช่นเดียวกัน ความหมายดังกล่าวนี้เป็นความหมายโดยทั่วไปจากความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดี

๑๕๙

  ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดีหมายถึง การแสดงความต่ำต้อย การนอบน้อมที่มีความศรัทธาในการเป็นพระผู้เป็นเจ้า และมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ในพระองค์ เช่น การเป็นผู้สร้าง ผู้บริหาร การให้ชีวิตและให้ความตาย ให้อภัยในบาปต่างๆ และประทานปัจจัยยังชีพ ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดี คือ มนุษย์ได้แสดงออกต่อสิ่งหนึ่งที่มีคุณลักษณะของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยแสดงความเป็นบ่าว และความต่ำต้อย และการแสดงความเคารพสักการะบูชาในสิ่งนั้นด้วย

และถ้าหากว่าการนอบน้อมของมนุษย์มิได้มีความเชื่อในสิ่งดังกล่าว ก็ไม่เรียกการนอบน้อมนั้นว่า เป็นการเคารพภักดี

ท่านอิมามโคมัยนี (ขอความเมตตาพึงมีแด่ท่าน )ได้กล่าวว่า

“คำว่า อิบาดะฮ์ ในภาษาอาหรับ หมายถึง การยอมรับสิ่งหนึ่งเป็นพระเจ้าที่ควรค่าต่อการเคารพภักดี ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าองค์ใหญ่หรือองค์เล็กก็ตาม”

(กัชฟุลอัซรอร หน้าที่ ๒๙)

   ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีที่มีอยู่ในหมู่มุสลิม

    ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี เป็นหลักการที่สำคัญของมนุษย์ ดั่งที่โองการของอัลกุรอานได้กล่าวและเน้นย้ำไว้อย่างมากมาย และไม่มีความขัดแย้งหรือความแตกต่างกันในหลักการนี้ ในสำนักคิดทั้งหลายของอิสลาม

๑๖๐

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450