บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม17%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339892 / ดาวน์โหลด: 4958
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

ท่านอิมามซอดิก ได้กล่าวอธิบายในโองการดังกล่าวว่า

 “ขอสาบานต่อพระเจ้าว่า พวกเขา(บรรดาผู้นำของเขา)มิได้ถือศีลอด และมิได้ทำการนมาซ แต่ทว่าพวกเขาได้ทำให้สิ่งที่ต้องห้าม(ฮะรอม) เป็นสิ่งที่ถูกต้อง(ฮะลาล) และสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้เป็นสิ่งที่ฮะรอม แล้วพวกเขาได้ปฏิบัติตามโดยที่ไม่เข้าใจในการกระทำของเขา “

(ตัฟซีรพะยอมกุรอาน เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๓๘๘)

ในอัล กุรอานได้กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตามว่า มิได้มีความขัดแย้งกับการปฏิบัติตามมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่พระเจ้าสั่งให้ปฏิบัติตามพระองค์ ดังนั้น การปฏิบัติตามมนุษย์ด้วยกันก็เท่ากับว่า เขาได้ปฏิบัติตามพระองค์

 อัลกุรอานกล่าวว่า

 และเรามิได้ส่งร่อซู้ลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น”

(บทอัลนิซาอ์ โองการที่ ๖๔)

 “และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด” ( บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ ๙๒ )

 “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๓๒ )

 “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย”

 ( บทอัลนิซาอ์ โองการที่ ๕๙)

๑๘๑

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ถูกทำให้เป็นสาเหตุการตั้งภาคีในการปฏิบัติตาม ก็คือ การปฏิบัติตามผู้ที่มีความขัดแย้งกับคำสั่งสอนของพระเจ้า และเช่นเดียวกัน ในวจนะก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“มิได้มีการปฏิบัติตามใดในความบาปต่อพระเจ้า โดยอันที่จริง การปฏิบัติตามนั้น เฉพาะกับความดีเท่านั้น”

 (ศอเฮียะมุสลิม เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑๔๖๙ )

ท่านอิมามอะลีกล่าวว่า

“ไม่มีการปฏิบัติตามใดของมนุษย์ในความบาปต่อพระเจ้า”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ฮิกมะฮ์ที่ ๑๖๕ )

ท่านอิมามซอดิกกล่าวว่า

“บุคคลใดก็ตามที่ปฏิบัติตามผู้อื่นในความบาป แน่นอนเขาเป็นบ่าวของผู้นั้น”

(วะซาอิลอัชชีอะฮ์ เล่มที่ ๑๘ หน้าที่ ๙๑ วจนะที่ ๘)

วจนะนี้ได้กล่าวถึง ความหมายที่กว้างของ การเคารพภักดี ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติตามผู้ที่กระทำบาป ถือว่า เป็นชนิดหนึ่งของการเคารพภักดี

๑๘๒

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

เตาฮีด ฟีย์ อิสติอานะฮ์ หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการขอความช่วยเหลือ

เตาฮีด ฟีย์ มะฮับบะฮ์ หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการให้ความรัก

เตาฮีด ฟีย์ อิฏออะฮ์ หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตามเตาฮีด ฟีย์ ตะวักกุล หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในการมอบหมายการงาน

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ความเป็นเอกานุภาพในการช่วยเหลือ ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งในความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ หมายถึง มนุษย์มีความเชื่อว่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และจากเหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในการกระทำ ทำให้เข้าใจได้ว่า เฉพาะพระเจ้าองค์เดียวที่เราจะต้องขอความช่วยเหลือ

๒.ความเป็นเอกานุภาพในการขช่วยเหลือมิได้มีความหมายขัดแย้งกับการขอความช่วยเหลือจากสิ่งที่ถูกสร้างของพระเจ้า โดยเฉพาะจากบรรดาศาสดา และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ แต่การช่วยเหลือนั้นต้องมีเงื่อนไขว่า การทำให้พวกเขาเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับพระเจ้า และมิได้มีความเป็นอิสระเสรีในตัวเอง นอกจากจะได้รับการอนุมัติจากพระองค์

๑๘๓

๓.และอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ ก็คือ ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตาม หมายถึง การยอมจำนนและปฏิบัติตามในคำสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว

พื้นฐานของความเป็นเอกานุภาพนี้ อยู่ภายใต้ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดบทบัญญัติ และการปกครอง

และด้วยกับการมีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตาม จึงได้อนุญาตให้ปฏิบัติตามบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งได้

๔.และอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ ก็คือ ความเป็นเอกานุภาพในการให้ความรัก หมายถึง มนุษย์จะต้องให้ความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว และการมีความรักต่อสิ่งอื่น เนื่องจากว่า สิ่งนั้น เป็นสิ่งสร้างที่สวยงามของพระองค์

๕.พื้นฐานหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในการให้ความรัก คือ การมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า และไม่มีขอบเขตจำกัด เพราะว่าการให้ความรักที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเกิดจากการรู้จักในความสมบูรณ์ของสิ่งนั้น และในขณะที่พระเจ้า ทรงดำรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้น พระองค์จึงควรค่าแก่การให้ความรัก และมนุษย์ทุกคนจะต้องมีความรักในพระองค์ด้วย

๖.ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในการมอบหมายการงาน คือ การที่มนุษย์ต้องมอบหมายการงานของตนต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว และด้วยกับความเป็นเอกานุภาพในการกระทำ และในการบริหาร และความเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงได้กล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องมอบหมายการงานของตนต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

๑๘๔

และการมีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพในการมอบหมาย ก็มิได้มีความหมายขัดแย้งกับการเพียรพยายามอุตสาหะ แต่มีข้อแม้ว่า สิ่งนั้นต้องถูกใช้เป็นสื่อของพระเจ้า เพื่อที่จะทำให้ความประสงค์ของพระองค์นั้นสัมฤทธิ์ผล และสิ่งนั้นก็มิได้มีความเป็นอิสระเสรีในตัวเอง

๗.นอกเหนือจากการรู้จักพระเจ้า ,ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี ทั้งหมดเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์

เหตุผลของความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีก็คือ เกิดจากการรับรู้โดยตรงของมนุษย์

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การมีประสบการณ์ในการปฏิบัติของมนุษย์ เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่า ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัตินั้น ก็เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

๘.อัล กุรอานและวจนะทั้งหลายได้กล่าวเน้นย้ำในความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ จะไม่ว่าในประเภทใดก็ตาม และยังได้เชิญชวนมนุษยชาติมาสู่การดำเนินชีวิตตามความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพอีกด้วย

๑๘๕

   บทที่ ๙

   พื้นฐานทางสติปัญญาของความเป็นเอกานุภาพในทัศนะอัลกุรอานและวจนะ

    อัลกุรอานได้อธิบายว่า ความเป็นเอกานุภาพ เกิดขึ้นจากพื้นฐานต่างๆที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งในบางโองการได้กล่าวถึง การเคารพภักดีในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวหรือความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีอยู่ควบคู่กับการรู้จักพระเจ้า ซึ่งเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา นอกเหนือจากนี้ อัลกุรอานยังได้กล่าวในหลายโองการถึงเหตุผลทางสติปัญญาในการพิสูจน์ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า  ซึ่งจะมาอธิบายในโองการเหล่านี้ มีดังนี้

   อัล กุรอานกับความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

    จากบทที่แล้วได้อธิบายถึง การรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การหลงใหลในโลกนี้ หรือการประสบพบกับปัญหาต่างๆ แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือ การมีอยู่ของมนุษย์ ดังนั้น แนวทางในการขจัดปัญหา ก็คือ การสำนึกในการมีอยู่ของพระเจ้า และการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์

๑๘๖

ซึ่งในอัล กุรอานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงแนวทางในการขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ก็คือ การเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า และการขอความช่วยเหลือจากพระองค์

อัล กุรอานกล่าวว่า 

 “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ? หากการลงโทษนั้นหรือ ที่พวกท่านจะวิงวอนหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง”  

 “มิได้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น”

 (บทอัลอันอาม โองการที่ ๔๐-๔๑)

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ดังนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นโดยสารบนเรือ พวกเขาวิงวอนต่ออัลลอฮ์เป็นผู้บริสุทธิ์ใจในการขอพรต่อพระองค์ ครั้นเมื่อพระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้ขึ้นบก แล้วพวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์”

(บทอัลอังกะบูต โองการที่ ๖๕)

จากโองการนี้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์รู้จักพระเจ้าในยามที่ประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้เองได้ และด้วยกับความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมที่มีอยู่ในตัวของเขาเขาจะนึกถึงพระองค์ในทันทีทันใด

๑๘๗

และอัล กุรอานกล่าวว่า

 “และเมื่อทุกขภัยอันใดประสบแก่มนุษย์ พวกเขาก็วิงวอนขอต่อพระเจ้าของพวกเขา โดยเป็นผู้ผินหน้ากลับไปสู่พระองค์ ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงให้พวกเขาลิ้มรสความเมตตาจากพระองค์ ณ บัดนั้นหมู่หนึ่งจากพวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระเจ้าของพวกเขา” (บทอัรรูม โองการที่ ๓๓)

โองการนี้ได้กล่าวถึง ชนกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ในยามที่ประสบกับปัญหา และหลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์แล้ว ความมืดมนได้เข้ามาครอบงำเขา และทำให้เขาลืมนึกถึงพระองค์ และได้ทำการตั้งภาคีต่อพระองค์

ในอัล กุรอาน บทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ ๑๗๑-๑๗๒ ได้กล่าวถึงความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้อธิบายไปแล้วในวิธีการทางสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และวจนะหนึ่งจากท่านอิมามบากิร (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวถึงการอธิบายในโองการนี้ไว้ว่า

 “หลังจากที่พระเจ้าได้แนะนำพระองค์ให้พวกเขา (มนุษย์ทั้งหลาย) ได้รู้จัก และแสดงตนให้รู้จัก และหากว่ามิได้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักถึงพระองค์”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๒ วจนะที่ ๓ )

๑๘๘

สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพในมุมมองของวจนะ

    นอกเหนือจากโองการของอัล กุรอานที่ได้กล่าวถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพแล้ว ก็ยังมีวจนะก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน

รายงานหนึ่งจากท่านฮิชาม บิน ซาลิม จากท่านอิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) เขาได้ถามท่านอิมามเกี่ยวกับโองการที่ ๓๐ บทอัรรูม (โองการที่กล่าวว่า “สัญชาตญาณดั้งเดิมของพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานให้แด่มนุษย์”)  ความหมายของสัญชาตญาณดั้งเดิมในโองการนี้ มีความหมายว่าอย่างไร?

ท่าน อิมามได้ตอบเขาว่า

 “สัญชาตญาณดั้งเดิมในโองการนี้ คือ ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๕๓ วจนะที่ ๑ )

จากวจนะนี้ แสดงให้เห็นว่า ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า และการเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียว เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ที่มีต่อการดำเนินชีวิตของเขา

๑๘๙

 ดั่งที่ท่านอิมามได้กล่าวอีกว่า

“พระเจ้าได้สร้างมนุษย์บนพื้นฐานของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า”

   เหตุผลทางสติปัญญาของอัลกุรอานในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

    ได้กล่าวแล้วว่า โองการของอัล กุรอาน ที่กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพ และได้มีเหตุผลในอัล กุรอานได้หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งมีดังนี้

   ๑.ความสามัคคีของจักรวาลและความเป็นระบบระเบียบ บ่งบอกว่า เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของความเป็นเอกานุภาพ

บางส่วนของโองการอัล กุรอานได้กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นระบบระเบียบของเอกภพ และอธิบายไปแล้วในบท ความเป็นเอกานุภาพในการบริหาร เกี่ยวกับการอธิบายโองการที่ ๒๒  บทอัลอัมบิยาอ์ การไม่ได้รับความเสียหายในเอกภพ แสดงให้เห็นว่า สัญลักษณ์หนึ่งของเอกานุภาพ ก็คือ ความเป็นระบบระเบียบ

และอีกโองการหนึ่งได้กล่าวเช่นกันว่า

“อัลลอฮ์มิได้ทรงตั้งผู้เป็นพระบุตรและไม่มีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับพระองค์ ถ้าเช่นนั้นพระเจ้าแต่ละองค์ก็จะเอาสิ่งที่ตนสร้างไปเสียหมด และแน่นอนพระเจ้าบางพระองค์ในหมู่พวกเขาก็จะมีอำนาจเหนือกว่าอีกบางองค์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแห่งอัลลอฮ์ ให้พ้นจากที่พวกเขากล่าวหา”

 (บทอัลมุมินูน โองการที่ ๙๑ )

๑๙๐

จากโองการนี้แสดงให้เห็นว่า หากว่าในโลกนี้ มีพระเจ้าหลายองค์ จะเกิดความวิบัติมาสู่โลกอย่างแน่นอน เพราะว่า พระเจ้าที่ได้สมมุติขึ้นมานั้น มีอำนาจเหมือนกัน และสามารถสร้างสิ่งต่างๆได้ตามความปรารถนาของแต่ละองค์ อีกทั้งยังมีความสามารถที่แตกต่างกันในการปกครอง และการบริหาร ด้วยเหตุนี้ จะไม่เห็นความเป็นระบบระเบียบหลงเหลืออยู่  แต่ในความเป็นจริง โลกนี้นั้นมีความเป็นระบบระเบียบ ซึ่งก็บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว

   ๒.เหตุผลของการชี้นำ(ฟัยฎ์และฮิดายะฮ์)

เป็นที่รู้กันดีว่า บรรดาศาสดาได้เชิญชวนมนุษย์ชาติไปสู่ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ได้กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพ และในอัล กุรอาน ก็เช่นเดียวกัน ได้กล่าวถึงเหตุผลการพิสูจน์ในหลักการนี้ไว้อย่างชัดเจน 

การสมมุติฐานในข้อพิสูจน์นี้ ก็คือ ถ้าหากว่า โลกนี้มีพระเจ้าหลายองค์ จะต้องมีการแต่งตั้งศาสนทูต เพื่อที่จะแนะนำพระเจ้าในแต่ละองค์ และในขณะเดียวกัน โลกนี้ มีบรรดาศาสนทูต ที่พวกเขาได้เชิญชวนมวลมนุษยชาติมาสู่ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “และจงถามผู้ที่เราได้ส่งมาก่อนหน้าเจ้าจากบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย เราได้แต่งตั้งพระเจ้าหลายองค์ นอกจากพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงกรุณาปราณีกระนั้นหรือ?” (บทอัซซุครุฟ โองการที่ ๔๕)

โองการนี้ได้กล่าวถึง คำถามที่ได้ถามกับบรรดาศาสนทูตถึง การเชิญชวนมาสู่การรู้จักในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวหรือในพระเจ้าหลายองค์

๑๙๑

สำหรับคำตอบก็คือ การเชิญชวนมาสู่พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวหรือความเป็นเอกานุภาพ ด้วยเหตุนี้ บรรดาศาสนทูตทั้งหลายจึงถูกแต่งตั้ง และเพื่อเชิญชวนมนุษยขาติให้รู้จักถึงพระองค์

นักอรรถาธิบายอัล กุรอานได้ให้ทัศนะที่มีความแตกต่างกันในการอธิบายความหมายของโองการนี้ว่า

บางคนกล่าวว่า เป็นคำถามที่ถามกับประชาชาติทั้งหลายในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด

อีกทัศนะหนึ่งได้กล่าวว่า ความหมายของโองการนี้ คือ การย้อนกลับไปหายังพระมหาคัมภีร์ทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า

และในอีกทัศนะหนึ่งก็กล่าวว่า โองการนี้ถูกประทานในค่ำคืนเมียะรอจ(การขึ้นสู่ฟากฟ้า)ของท่านศาสดามุฮัมมัด

ดังนั้น จุดประสงค์ของโองการนี้ คือ การเชิญชวนของบรรดาศาสดาทั้งหลายมาสู่การรู้จักในพระเจ้าองค์เดียว

อัล กุรอานกล่าวว่า

“จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด พวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่า สิ่งที่พวกท่านวิงวอนขอ นอกจากอัลลอฮ์พระเจ้าองค์เดียว และจงแสดงให้ข้าเห็นซิว่า พวกมันได้สร้างอะไรในหน้าแผ่นดิน หรือพวกมันมีส่วนร่วมในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย จงนำคัมภีร์ก่อนหน้านี้หรือร่องรอยจากความรู้(ที่เป็นหลักฐานยืนยันในการนี้) หากว่าพวกท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์จริง”(บทอัลอะฮ์กอฟ โองการที่ ๔)

โองการนี้กล่าวที่ ประโยคที่ว่า “จงนำคัมภีร์”  ซึ่งบ่งบอกถึง ไม่มีคัมภีร์ใดที่เชิญชวนประชาชาติไปสู่การตั้งภาคี และบรรดาศาสดาทุกคนก็ได้เชิญชวนประชาชาติมาสู่ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า

๑๙๒

 ดังนั้น ถ้าหากว่า ในโลกนี้ มีพระเจ้าหลายองค์ก็จะต้องส่งศาสดาของแต่ละองค์ลงมา และเชิญชวนประชาชาติให้รู้จักในแต่ละองค์ และจากช่วงแรกของโองการนี้ บ่งบอกถึง ความหมายของเหตุผลนี้ ก็คือ ถ้าหากว่า ในโลกนี้ มีพระเจ้าหลายองค์ พวกเขาจะต้องมีส่วนร่วมในการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน เพราะว่าสติปัญญาได้กล่าวว่า สิ่งที่ไม่มีส่วนร่วมในการสร้าง จึงไม่สมควรที่จะเคารพภักดีหรือเรียกสิ่งนั้นว่า เป็นพระเจ้า

กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พระเจ้าที่ไม่มีการสร้าง ไม่ถูกเรียกว่า เป็นพระเจ้า ในขณะเดียวกัน สิ่งที่พวกตั้งภาคีได้สร้างขึ้น พวกมันก็ไม่มีอำนาจในการสร้าง และก็ไม่เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นพระเจ้าด้วย

ข้อพิสูจน์ของการชี้นำและการมีอยู่ ที่ได้รับจากวจนะของอิสลาม

ดั่งวจนะของท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน)ได้กล่าวสั่งเสียแก่บุตรชายของท่านว่า

“โอ้ลูกรัก จงรู้เถิดว่า หากว่าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามีหลายองค์ ก็จะต้องส่งบรรดาศาสดาลงมาแก่เจ้า และเจ้าก็จะเห็นในร่องรอยของการปกครองของพวกเขา และการกระทำ และคุณลักษณะของพวกเขา แต่ทว่า พระผู้เป็นเจ้ามีเพียงองค์เดียว”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ จดหมายที่ ๓๑)

จากคำกล่าวของท่านอิมามอะลี ที่กล่าวว่า “จะต้องส่งบรรดาศาสดาทั้งหลายมาแก่เจ้า” บ่งบอกถึง ข้อพิสูจน์ของการชี้นำ และประโยคที่กล่าวว่า “เจ้าจะเห็นร่องรอยของพวกเขา”  ก็บ่งบอกถึง ข้อพิสูจน์ของการมีอยู่ และในวจนะนี้ยังได้กล่าวถึง ความเป็นพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีร่องรอยการสร้างให้เห็นอย่างกระจ่างชัด และมีการส่งบรรดาศาสนทูต เพื่อที่จะเชิญชวนมนุษยชาติให้รู้จักถึงพระองค์

๑๙๓

ถ้าในโลกนี้ มีพระเจ้าหลายองค์ ก็จะต้องส่งศาสนทูตของตนเองลงมา และมีร่องรอยในการสร้างให้เห็นเป็นที่ประจักษ์  และในขณะเดียวกัน โลกนี้มิได้มีสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น ในโลกนี้ จึงมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

  สรุปสาระสำคัญ

๑.อัล กุรอานได้กล่าวว่า ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และการเคารพภักดีในพระองค์ เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และโองการอัล กุรอาน เป็นหลักฐานที่สำคัญของการให้เหตุผลทางสติปัญญาถึงการพิสูจน์ในความเป็นเอกานุภาพ

๒.บางส่วนของโองการอัล กุรอานได้กล่าวถึง ในยามที่มนุษย์ประสบกับปัญหาต่างๆที่ไม่สามารถแก้ด้วยตนเองได้ เขาก็จะนึกถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นอันดับแรก เพราะว่า การรู้จักพระองค์ เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขา

๓.ความเป็นระบบระเบียบของเอกภพ เป็นเหตุผลหนึ่งของอัล กุรอานที่บ่งบอกว่า มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเป็นผู้บริหาร เพราะว่า ถ้าหากว่า มีพระเจ้าหลายองค์ ก็จะต้องเห็นการบริหารของแต่ละองค์ และก็จะเห็นว่า โลกคงมีแต่ความวุ่นวาย

๔.ทัศนะของอัล กุรอานมีความเห็นว่า บรรดาศาสดาทุกคนได้เชิญชวนมนุษยชาติมาสู่การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว เพราะว่า ถ้าหากว่า ในโลกนี้ มีพระเจ้าหลายองค์ ก็จะต้องส่งศาสนทูตมาแต่ละองค์ เพื่อที่จะเชิญชวนให้รู้จักในพระเจ้าของพวกเขา และนี่คือความหมายของ ข้อพิสูจน์ของการชี้นำ

๕.ท่านอิมามอะลี ก็เช่นกันได้กล่าวในคำสั่งเสียให้บุตรชายของเขาว่า เป้าหมายของการเชิญชวนบรรดาศาสดาทุกคน ก็เพื่อให้มนุษย์มาสู่การรู้จักในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว

๑๙๔

   บทที่ ๑๐

   ความเป็นเอกานุภาพ และการตั้งภาคี (ชิรก์) ตอนที่ หนึ่ง

    คำสองคำที่มีความหมายแตกต่างกันคือ คำว่า ความเป็นเอกานุภาพและการตั้งภาคี (ชิรก์) ความเป็นเอกานุภาพ หมายถึง การมีความเชื่อในความเอกะและความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้า และการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์

ส่วน การตั้งภาคี (ชิรก์) หมายถึง การมีความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์ และการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว  ด้วยเหตุนี้เอง การตั้งภาคีในเทววิทยาอิสลาม จึงถูกแบ่งออกเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้

๑.การตั้งภาคี ที่เป็นศัพท์วิชาการทางศาสนาและใช้ในเทววิทยาอิสลาม เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเทววิทยาอิสลามก็คือ การอธิบายในรายละเอียดของการตั้งภาคี และการสร้างความสัมพันธ์ให้เข้ากับหลักการอื่นของศาสนา

๒.จากความแตกต่างของทั้งสองคำ คือ คำว่าความเป็นเอกานุภาพ และการตั้งภาคี ดังนั้น การอธิบายในการจัดประเภทและกฏของการตั้งภาคี เพื่อที่จะมีความเข้าใจในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพ ได้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น การรู้จักในสิ่งหนึ่งต้องรู้จักในความแตกต่างของสิ่งนั้น

๑๙๕

 

   ประเภทของการตั้งภาคี

    การตั้งภาคี (ชิริก์) สามารถที่จะแบ่งออกเป็นหลาย ประเภท ดังนี้

๑.การตั้งภาคีในอาตมัน หมายถึง การมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีรูปร่าง และมีหลายองค์ ดังนั้น ประเภทนี้  จึงแบ่งออกเป็น  ๒ ประเด็นด้วยกัน

(๑.)การมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีรูปร่าง

(๒).การมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีหลายองค์

   คำอธิบาย

การตั้งภาคีในอาตมัน เป็นประเด็นแรก หมายถึง การมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีรูปร่าง ซี่งเป็นสาเหตุให้เกิดการตั้งภาคี และในบทความเป็นเอกานุภาพในอาตมันก็ได้กล่าวไปแล้ว ในการอธิบายความหมายของ การมีส่วนประกอบทางสติปัญญา และการมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีองค์เดียวในความเชื่อของมนุษย์ ก็มีจำนวนน้อย แต่ในทางตรงกันข้าม การมีความเชื่อว่าพระเจ้ามีรูปร่างนั้น มีจำนวนมากกว่า (จะกล่าวรายละเอียดใน สาเหตุของการตั้งภาคี เป็นอันดับต่อไป )

สาเหตุหนึ่งของการตั้งภาคี คือ การหลงใหลในวัตถุของมนุษย์ โดยพวกวัตถุนิยมมีความเชื่อว่า พระเจ้าต้องมีรูปร่างที่เป็นวัตถุ ดังนั้น การมีความเชื่อเช่นนี้ จึงเป็นประเภทหนึ่งของการตั้งภาคีในอาตมัน และอิสลาม เรียกพวกนี้ว่า พวกมุญัซซะมะฮ์ หมายถึง พวกที่มีความเชื่อว่า พระเจ้ามีรูปร่างที่เป็นวัตถุ

๑๙๖

ในความหมายที่สองของการตั้งภาคีในอาตมัน หมายถึง การมีความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ แต่การมีความเชื่อเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการตั้งภาคีในอาตมัน เพราะว่าในขณะเดียวกัน ที่มนุษย์คนหนึ่งได้ทำการเคารพบูชาในสิ่งต่างๆ โดยที่มีความคิดว่า สิ่งนั้นมิใช่เป็นพระเจ้า แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า และการเคารพบูชาในสิ่งนั้น เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า หรือคิดว่าสิ่งนั้นเป็นบุตรของพระองค์ หรือเป็นผู้บริหารส่วนหนึ่งของโลก แม้ว่าการมีความเชื่อเช่นนี้ เป็นสาเหตุให้เกิดการตั้งภาคีในการบริหารก็ตาม แต่ไม่ได้มีผลกระทบในการตั้งภาคีในอาตมันเลย ดังนั้น จากความหมายนี้ นั่นก็คือ การมีความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์ที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความหมายนี้ ในเชิงวิชาการด้านปรัชญา หมายถึง การมีความเชื่อในการมีอยู่ของหลายสิ่งที่จำเป็นที่ต้องมีอยู่ ในสภาพที่มิได้เป็นผลของสิ่งใดและก็มิได้เป็นสิ่งถูกสร้างของสิ่งใด

ดังนั้น การอธิบายข้างต้น แสดงเห็นได้ว่า การตั้งภาคีในอาตมันที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ มีจำนวนน้อยหรือน้อยมาก แต่ทว่าการตั้งภาคีที่เกิดขึ้นในมนุษย์ เกิดจากประเภทอื่นของการตั้งภาคี

๒.การตั้งภาคีในคุณลักษณะ หมายถึง การมีความเชื่อในการมีอยู่ของคุณลักษณะที่ไม่มีอยู่ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า ประเด็นนี้ เป็นประเด็นในเชิงวิชาการด้านปรัชญา และเป็นข้อถกเถียงกันในหมู่ของนักปรัชญากับนักเทววิทยาอิสลาม และเช่นเดียวกัน การมีความเชื่อเช่นนี้ ก็เกิดขึ้นน้อยมากเหมือนกับการตั้งภาคีในอาตมัน

๑๙๗

สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีอยู่ของคุณลักษณะที่มิได้มีอยู่ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า โดยพวกเขามีความเชื่อว่า คุณลักษณะทั้งเจ็ดประการของพระผู้เป็นเจ้าที่มิได้มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ ซึ่งกล่าวได้ว่า พวกอัชอะรีย์มีความเชื่อในการตั้งภาคีในคุณลักษณะ และในบทต่อไปจะอธิบายว่า การตั้งภาคีประเภทนี้ มิได้เป็นสาเหตุให้มนุษย์ต้องตกศาสนา ถ้าหากว่ามิได้มีความเชื่อในการตั้งภาคีในอาตมันอยู่ก็ตาม

๓.การตั้งภาคีในการกระทำ หมายถึง มีความหมายตรงกันข้ามกับความเป็นเอกานุภาพในการกระทำ และมีประเภทที่เหมือนกันกับความเป็นเอกานุภาพในการกระทำ ก็คือ การตั้งภาคีในการสร้าง ,การตั้งภาคีในการเป็นผู้อภิบาล และการตั้งภาคีในการวางกฏระเบียบ

การตั้งภาคีในการสร้าง หมายถึง การมีความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างหลายองค์ในสภาพที่ไม่มีองค์ใดมีชัยชนะเหนืออีกองค์อื่น ดั่งตัวอย่างเช่น การมีความเชื่อในผู้สร้างแห่งความดี และความชั่ว ด้วยกับการมีความเชื่อนี้ พระเจ้า เป็นผู้สร้างความดี  นั่นคือ พระเจ้าแห่งความดี ส่วนผู้ที่สร้างความชั่ว ก็คือ ซาตาน หรือ พระเจ้าแห่งความชั่ว ดังนั้น พระเจ้าแห่งความดี ทรงสร้างแต่ความดี ซึ่งมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความชั่วและพระเจ้าแห่งความชั่วก็สร้างแต่ความชั่วและไม่เกี่ยวข้องกับความดี

การมีความเชื่อแบบนี้ได้เกิดขึ้น ในศาสนามานี และศาสนาโซโรเอสเตอร์ แต่ในศาสนาอิสลามก็มิได้ยอมรับการมีความเชื่อนี้ เพราะว่าอิสลามมีความเชื่อในความเป็นเอกะในการสร้าง กล่าวคือ การมีความเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้สร้างแต่เพียงผู้เดียว

๑๙๘

การตั้งภาคีในการเป็นผู้อภิบาล ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งของการตั้งภาคีในการกระทำ ที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ได้เกิดขึ้นมากมายในหมู่กลุ่มชนและเผ่าพันธ์ของมนุษย์ และจากการตรวจสอบในความเชื่อที่เป็นการตั้งภาคี จะเห็นได้ว่า พวกเขามีความเชื่อในการเป็นผู้อภิบาลของพระเจ้าที่เป็นอิสระหลายองค์ ดั่งตัวอย่างเช่น การมีความเชื่อในการเป็นะผู้อภิบาลของลม ,ฝน ท้องฟ้า และต้นไม้ เป็นต้น

การตั้งภาคีในการวางกฏระเบียบ หมายถึง การยอมรับในการวางกฏระเบียบของสิ่งที่มิใช่พระผู้เป็นเจ้า และการปฏิบัติตามคำสอนที่มีความขัดแย้งกับคำสั่งสอนของพระองค์ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า โดยส่วนมากการเกิดขึ้นของการตั้งภาคีประเภทนี้ มาจากสาเหตุของการหันเหออกจากศาสนาในหมู่กลุ่มชนที่ปฏิบัติตามศาสนา เช่น ในกลุ่มชนที่ปฏิบัติตามศาสนาคริสตร์ โดยมีความคิดเห็นว่า โป๋ปเป็นผู้ทรงสิทธิ์และบริสุทธิ์ในการวางกฏระเบียบในเรื่องของศาสนา โดยปราศจากความผิดบาปทั้งหลาย

   การตั้งภาคีในความเป็นพระเจ้าและการเคารพภักดี

    การตั้งภาคีในความเป็นพระเจ้า หมายถึง การมีความเชื่อในการเป็นพระเจ้าของสิ่งอื่นที่มิใช่เป็นพระผู้เป็นเจ้า และการเคารพภักดีและสักการะบูชาในสิ่งนั้น

 การตั้งภาคีในการเคารพภักดี หมายถึง การเคารพภักดีต่อสิ่งอื่นที่มิใช่เป็นพระเจ้า

๑๙๙

ดังนั้น การตั้งภาคีทั้งสองประเภท จะอยู่คู่กันโดยไม่สามารถแยกออกจากกัน เพราะว่าบุคคลใดก็ตามที่มีความเชื่อในความเป็นพระเจ้าของสิ่งหนึ่ง ก็ย่อมจะต้องทำการเคารพภักดีและสักการะบูชาในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน และในบางกรณี การตั้งภาคีทั้งสองนี้อยู่คู่กับการเป็นผู้อภิบาล เพราะว่า พื้นฐานหนึ่งทางสติปัญญาของการตั้งภาคีในความเป็นพระเจ้า คือ การตั้งภาคีในการเป็นผู้อภิบาล หมายความว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามที่มีความเชื่อในการเป็นผู้อภิบาลของพระเจ้าหลายองค์ เขาก็จะต้องทำการเคารพภักดีในพระเจ้าเหล่านั้นด้วย

การตั้งภาคีในความเป็นพระเจ้า และการเคารพภักดี เกิดขึ้นในหมู่พวกตั้งภาคี ซึ่งมีด้วยกันหลายสภาพ

พวกตั้งภาคีกลุ่มหนึ่ง ได้บูชาเจว็ดที่ตนเองสร้างขึ้นมาจากหิน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ได้ทำการบูชาในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวนพเคราะห์ทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขามีความเชื่อในความสูงส่งของมัน และยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำการบูชาต่อธรรมชาติ และมีอีกบางกลุ่มที่ทำการบูชาต่อสิงสาราสัตว์ เพราะว่าพวกขาเชื่อในการมีพลังที่เหนือธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในสิ่งทั้งหลาย

ระดับขั้นของการตั้งภาคี

    การตั้งภาคีมีหลายระดับขั้น ด้วยกัน ในบางครั้ง เป็นระดับขั้นที่เปิดเผย และบางครั้ง เป็นระดับขั้นที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของมนุษย์

การตั้งภาคีในการเคารพภักดี ในระดับขั้นที่เปิดเผย หมายถึง การประกอบพิธีกรรมใดๆก็ตาม เช่น การก้มกราบ การเชือดสัตว์พลี ต่อสิ่งหนึ่งโดยที่มีความเชื่อว่า สิ่งนั้นเป็นพระเจ้า

๒๐๐

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

กล่าวคือ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ดังนั้น พระองค์มิทรงกระทำการกดขี่ และการกระทำของพระองค์ทั้งหมด มีความยุติธรรม

และยังเหตุผลอื่นๆที่ใช้พิสูจน์การมีความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งเหตุผลทั้งหมดที่ใช้นั้น ถ้าหากว่า ไม่มีหลักการความดีและความชั่ว ถือว่า เหตุผลนั้น ไม่สมบูรณ์ เช่น

สมมุติว่า ถ้าพระเจ้ากระทำการกดขี่ คาดว่า มี  สาม ปัจจัย คือ

๑.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก ความโง่เขลา

๒.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก ความต้องการ

๓.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก วิทยปัญญา

การคาดคะเนทั้งสอง ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะพระองค์ทรงเป็น วาญิบุลวุญูด(สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่) และพระองค์ทรงมีความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ ความโง่เขลา จะไม่เกิดขึ้นและความต้องการก็ไม่มีในพระองค์ด้วย และการคาดคะเนที่สาม ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง เช่นกัน เพราะการมีวิทยปัญญา หมายถึง การละทิ้งการกระทำที่ไม่ดีและน่ารังเกียจ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะกระทำการกดขี่

ด้วยเหตุนี้ การคาดคะเนทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น การกระทำทั้งหมดของพระเจ้า เป็นการกระทำที่มีความยุติธรรม

   ความยุติธรรมของพระเจ้าในอัล กุรอาน

    ในอัล กุรอาน มืได้ใช้คำว่า อัดล์(ความยุติธรรม) และคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน  แต่ได้อธิบายถึง การไม่มีความกดขี่ของพระเจ้าแทน ตัวอย่างเช่น

๔๐๑

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมแก่มนุษย์แต่อย่างใด แต่ว่ามนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง”

 (บทยูนุส โองการที่ ๔๔)

 “และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย” (บทอัลกะฮ์ฟ โองการที่ ๔๙)

 “และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์ซึ่งการอธรรมใด ๆ แก่ประชาชาติทั้งหลาย”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๐๘)

ความหมายของ คำว่า อาละมีน หมายถึง โลกทั้งหลาย มีทั้ง โลกของมนุษย์ ,ญิน และโลกของมวลเทวทูต และยังหมายถึง โลกทั้งหมดหรือสากลจักรวาล จะอย่างไรก็ตาม โองการนี้กล่าวถึง การมีความยุติธรรมของพระเจ้า ที่มีความหมายกว้างกว่า ซึ่งรวมถึง โลกทั้งหลาย

และบางโองการกล่าวถึง การมีความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า

“ อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และมลาอิกะฮ์ และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๘)

และบางโองการกล่าวถึง การมีความยุติธรรมในการกำหนดกฏเกณฑ์ของพระเจ้า

“และเรามิได้บังคับผู้ใด เว้นแต่ความสามารถของเขา และ ณ ที่เรานั้นมีบันทึก ที่บันทึกแต่ความจริง โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม” (บทอัลมุมินูน โองการที่ ๖๒)

๔๐๒

 “ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม

 (บทอัลอะอฺรอฟ โองการ ๒๙ )

เช่นเดียวกัน ในบางโองการได้ยืนยันถึง ความยุติธรรมในการตอบแทนของพระเจ้า

และเราตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมสำหรับวันกิยามะฮ์ ดังนั้นจะไม่มีชีวิตใดถูกอธรรมแต่อย่างใดเลย”

(บทอันอัมบิยาอฺ โองการที่ ๔๗)

 “และเรามิเคยลงโทษผู้ใด จนกว่าเราจะแต่งตั้งร่อซู้ลมา” (บทอัลอิสรออฺ โองการที่ ๑๕)

ใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะอธรรมแก่พวกเขาก็หาไม่ แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองต่างหาก”

(บทอัตเตาบะฮ์ โองการ ๗๐ และบทอัรรูม โองการ ๙)

โองการนี้อธิบายเกี่ยวกับ พระองค์ทรงลงโทษกลุ่มชนที่ฉ้อฉล ดังนั้น การลงโทษของพระองค์ มิใช่ว่า พระองค์ไม่มีความยุติธรรม แต่คือ ผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับจากการกระทำของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาได้กดขี่ตัวของพวกเขา และแน่นอนที่สุด พระองค์มิทรงกดขี่ผู้ใด นอกเหนือจากโองการจากอัล กุรอาน ยังมีวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์

ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า

ด้วยกับความยุติธรรม ชั้นฟ้าและแผ่นดินจึงมีอยู่ได้”

(ตัฟซีรศอฟีย์ เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๖๒๘)

๔๐๓

ท่านอิมามอะลี ได้ตอบคำถามชายคนหนึ่งในความหมายของ เตาฮีดและความยุติธรรม ว่า

“เตาฮีด คือ การไม่คิดว่า พระองค์เหมือนกับสิ่งสร้างของพระองค์ และความยุติธรรม คือ การไม่กล่าวในสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงมี”

“พระเจ้าทรงบริสุทธิ์กว่าที่จะกล่าวว่า พระองค์ทรงอธรรมกับมวลบ่าวของพระองค์ และแท้จริง พระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑๘๕)

   ข้อสงสัยในความยุติธรรมของพระเจ้า

    ในประเด็นวิทยปัญญาของพระเจ้า กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า การมีอยู่ของความยากลำบากทั้งหลาย  ,ความเจ็บปวด และการทดสอบจากภัยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายสำหรับมนุษย์  สิ่งเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการมีวิทยปัญญาของพระองค์ และดังที่ๆได้อธิบายไปแล้วถึง การมีอยู่ของวิทยปัญญาที่มนุษย์เข้าไปไม่ถึง  และความเชื่อเช่นนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง

ณ ที่นี้ จะมาตอบข้อสงสัยทั้งหลายที่เกี่ยวกับประเด็นความยุติธรรมของพระเจ้า

ก่อนที่จะตอบคำถาม ก็จะกล่าวว่า บางทีข้อสงสัยเหล่านี้ เกี่ยวกับประเด็นของวิทยปัญญาของพระเจ้า ด้วยเหมือนกัน แต่คำตอบของข้อสงสัยดังกล่าวอยู่ในประเด็นนี้

๔๐๔

   ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย

    ในบางครั้งอาจจะคิดว่า ความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย จะเข้ากับความยุติธรรมของพระเจ้าได้อย่างไร  เช่น ความแตกต่างในการสร้างของพระองค์ กล่าวกันว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าสร้าง สิ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ และสิ่งหนึ่งเป็นสัตว์ และอีกสิ่งหนึ่งเป็น พรรณพืช  และเพราะเหตุใด สัตว์ทั้งหลายและพรรณพืช จึงไม่ถูกสร้างให้เหมือนกับมนุษย์ และบางครั้ง ความแตกต่างมีอยู่ในตัวของมนุษย์เอง เช่น เพราะเหตุใด บางคนจึงตาบอด และอีกคนตาไม่บอด แต่กับมองเห็นได้เป็นอย่างดี และทำไมบางคนมีรูปร่างที่งดงาม และบางคนมีรูปร่างที่น่ารังเกียจ และด้วยเหตุใด บางคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และบางคนไม่มีเช่นนั้น และมีคำถามในทำนองเดียวกันนี้ อีกมากมาย

คำตอบ ด้วยกับหลักการดังต่อไปนี้                    

๑.ระบบของโลกแห่งธรรมชาติ เป็นระบบที่เฉพาะ มีกฏเกณฑ์ที่มั่นคงและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  หนึ่งในกฏเกณฑ์ทั้งหลาย คือ กฏของเหตุและผล ด้วยกับหลักการนี้ ทุกสิ่งที่มีอยู่ต้องมีเหตุและผลในการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น

๒.ระบบและกฏเกณฑ์ของโลกนี้ เป็นระบบที่คงที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมายความว่า  ไม่สามารถจะกล่าวว่ามีโลกอยู่ แต่ระบบและกฏเกณฑ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำนองเดียวกัน จะไม่มีน้ำตาลใดที่ไม่มีความหวาน และน้ำใดที่ไม่มีความเปียกชื้น

๔๐๕

๓.สิ่งจำเป็นของการมีระบบและกฏเกณฑ์ดังกล่าว คือ การมีความแตกต่างและความหลากหลายในสรรพสิ่งที่มีอยู่ เช่น กฏของเหตุและผล บ่งบอกถึง ผลของเหตุของสิ่งทั้งหลายนั้น มีความสมบูรณ์น้อยกว่า เหตุของสิ่งนั้น และเช่นเดียวกัน การมีความสามัคคีกันระหว่างเหตุและผล ดังนั้น เมื่อมีเหตุในการเกิดขึ้นของทารกที่ตาบอด จึงทำให้ทารกนั้นเกิดขึ้นมา มีตาที่บอด

สรุปได้ว่า การมีความแตกต่างในสรรพสิ่งที่มีอยู่เป็นสิ่งจำเป็นของระบบและกฏเกณฑ์ของโลกนี้ ซึ่งไม่มีการแยกออกจากกันได้

ด้วยเหตุนี้ เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่า การใช้คำว่า การแบ่งแยกในความแตกต่างในสิ่งทั้งหลายนั้น ไม่ถือว่า ถูกต้อง เพราะการแบ่งแยกมีอยู่ในที่ๆ มีสองสิ่ง ที่มีผลประโยชน์เหมือนกัน แต่อีกสิ่งหนึ่งมีความสามารถเหนือกว่า

ดังนั้น ความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงไม่ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ทรงมีการกดขี่และการแบ่งแยก และพระองค์มิกระทำการงานที่ไม่ดีและไร้สาระ

   ความตายกับการสูญสลาย

    อีกข้อสงสัยหนึ่งที่เกี่ยวกับความยุติธรรมของพระเจ้า คือ เรื่องของความตาย บางคนคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังความตาย เป็นการสูญสลายและการทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

คำตอบ ประการแรก ความตายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติ ที่มีความสำคัญในการดำเนินชีวิต และสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งธรรมชาตินั้น ไม่มีความเป็นถาวร

๔๐๖

ประการที่สอง ข้อสงสัยนี้ บ่งบอกถึง ความตาย คือ การสูญสลาย แต่ความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น ความตายคือ การเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งความหมายนี้มิได้มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้าแต่อย่างใด

  ความสัมพันธ์ของบาปกับการถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน

    ได้อธิบายไปแล้วถึง ทั้งสองข้อสงสัย  ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า  แต่เรื่องการลงโทษในวันแห่งการตัดสิน เกี่ยวกับความยุติธรรมในการตอบแทนของพระองค์

พื้นฐานของข้อสงสัยนี้  คือ สติปัญญาเป็นตัวกำหนดถึง ความสัมพันธ์ของความบาปกับการถูกลงโทษ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฏจราจร ไม่สมควรที่จะถูกลงโทษเหมือนผู้ที่ทำความผิดร้ายแรง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในกฏหมายอิสลามได้กำหนดว่าการลงโทษในความบาปทั้งหลายนั้น มีความรุนแรงมากทีเดียว เช่น  อัล กุรอานกล่าวว่า ผู้ที่ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา เขาจะถูกลงโทษโดยการให้อยู่ในนรกตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ การถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน ไม่มีความเหมาะสมกับบ่าวและบาปที่เขากระทำ ซึ่งเหล่านี้ มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

คำตอบ ก็คือ มีความแตกต่างกันระหว่างการลงโทษที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้นมากับการลงโทษของพระเจ้าในวันแห่งการตัดสิน เพราะว่า การลงโทษของมนุษย์ เป็นกฏหมายที่ถูกกำหนด ด้วยเหตุนี้ ในระบอบสิทธิมนุษยชน บางที การลงโทษมีมากมายในความผิดเดียว

๔๐๗

 และเช่นเดียวกัน เป้าหมายของการลงโทษในโลกนี้ เพื่อเป็นข้อเตือนใจในความผิดของตนเองและเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ครอบครัวและชนรุ่นหลังด้วย  แต่การลงโทษของพระเจ้า มิใช่การกำหนดดังกล่าว แต่เป็นผลของการกระทำที่มนุษย์ได้กระทำในโลกนี้  เช่น การดื่มยาพิษ ผลของมัน คือ การหลีกเลี่ยงจากการกระทำนั้น มิใช่ว่า การดิ่มยาพิษ มีโทษถึงตาย

บางโองการจากอัล กุรอาน กล่าวถึง ความสัมพันธ์ของการถูกลงโทษกับความบาปทั้งหลาย

และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้าและพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย”

(บทอัลกะฮ์ฟ โองการที่ ๔๙ )

“วันที่แต่ละชีวิตจะพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า และความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย แต่ละชีวิตนั้นชอบ หากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกล และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๓๐ )

ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของการลงโทษในวันแห่งการตัดสินกับการกระทำของมนุษย์ มืได ้เหมือนกับการลงโทษที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง เพื่อที่จะกล่าวว่า การลงโทษของพระเจ้านั้น มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า แต่การลงโทษของพระเจ้า คือ ผลตอบแทนในการกระทำที่ไม่ดีของมนุษย์

๔๐๘

   ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความเจ็บปวดและความยากลำบากของมนุษย์

   การมีความเจ็บปวดและความยากลำบากทั้งหลาย ความป่วยไข้ การทดสอบจากภัยธรรมชาติและภัยทางสังคม เป็นอีกข้อสงสัยหนึ่งในความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เข้ากันกับความยุติธรรมของพระเจ้า

สำหรับคำตอบ ก็คือ นอกเหนือจากที่ได้ตอบไปแล้วนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบาก เกิดขึ้นจาก สองสภาพต่อไปนี้

๑.บางส่วนของความเจ็บปวด เกิดจากการกระทำของมนุษย์และผลของการกระทำบาปของเขา ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ และบางคนเลือกที่จะปฏิบัติความชั่ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับการตอบแทนในการกระทำของเขา

ดังนั้น ผลของความเจ็บปวดและความยากลำบาก เกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์เอง ซึ่งก็มิได้มีความขัดแย้งกันกับความยุติธรรมของพระเจ้า

อัล กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหลายโองการ โดยกล่าวว่า ส่วนมากความยากลำบาก เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์เอง

๔๐๙

๒.บางส่วนของความข่มขืนไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์และไม่มีการลงโทษในวันแห่งการตัดสินด้วย เช่น ความเจ็บปวดของเด็กที่มิได้กระทำบาปใดเลย เขาจะไม่ถูกลงโทษจากพระเจ้า  ในเรื่องนี้ บรรดานักเทววิทยาอิสลามอิมามียะฮ์ เชื่อว่า ความยุติธรรมของพระเจ้า บ่งบอกถึง การทดแทนพวกเขาทั้งหลายด้วยความเจ็บปวดนี้ หมายความว่า พระองค์ทรงประทานรางวัลที่ดีงามให้กับเขา ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า เพื่อเป็นการทดแทนความเจ็บปวดที่เขาทุกข์ทรมาน  ด้วยเหตุนี้ การมีความเจ็บปวดและความยากลำบาก มิใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ความยุติธรรมอัดล์     :justice

ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์อัดล์ ตักวีนีย์

ความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติอัดล์ตัชรีอีย์

ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและลงโทษอัดล์ ญะซาอีย์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ประเด็นความยุติธรรมของพระเจ้า เป็นหนึ่งในรากฐานของหลักศรัทธาอิสลาม และเป็นหนึ่งในหลักศรัทธาทั้งห้าของศาสนาหรือสำนักคิด ความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า นอกจากมีผลในโลกทรรศน์และการรู้จักพระเจ้า ยังมีผลในการอบรมสั่งสอน สำหรับมนุษย์และสังคมด้วย

๒.บรรดานักเทววิทยาอิสลามอิมามียะฮ์และมุอฺตะซิละฮ์ ที่รู้จักกันใน อัดลียะฮ์ มีความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม สำนักคิดอัขอะรีย์ ไม่เชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า

๔๑๐

๓.รากฐานหนึ่งของความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า คือการยอมรับในหลักความดีและความชั่วทางสติปัญญา เพราะว่า ด้วยหลักการนี้ ความยุติธรรม คือ การกระทำที่ดี ความกดขี่ คือ การกระทำที่ไม่ดีและพระเจ้ามิกระทำการกระทำที่ไม่ดี และเหตุผลของฝ่ายที่ปฏิเสธความยุติธรรมของพระองค์ ถือว่า เหตุผลดังกล่าวไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้อง

๔.ความยุติธรรมมีหลายความหมาย ดังนี้

(๑) การรักษาความเท่าเทียมกันและความเสมอภาค

(๒)การรักษาไว้ซึ่งสิทธิของผู้อื่นและการออกห่างจากการแบ่งแยก

และความหมายที่ถูกต้องและสมบูรณ์คือ การวางสิ่งหนึ่งในที่ๆของมัน ในสถานที่เหมาะสมกับมัน พื้นฐานของนิยามนี้ คือ ในโลกแห่งการสร้างสรรค์และกำหนดบทบัญญัติของพระเจ้า มีทุกสิ่งที่ต้องอยุ่ในที่ๆของสิ่งนั้น และความยุติธรรมก็คือ การักษาสิ่งนั้นให้อยู่ในที่ๆของสิ่งนั้น

๕.ความยุติธรรมของพระเจ้ามี สามประเภท ดังนี้

(๑) ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์

(๒) ความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติ

(๓) ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและการลงโทษ

ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานปัจจัยยังชีพและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมให้กับสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์

๖.ความหมายของความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติ มี สอง ความหมาย ดังนี้

(๑) พระเจ้าทรงกำหนดบทบัญญัติและกฏต่างๆเพื่อทำให้มนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุก

(๒) และพระองค์มิได้รับสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติในสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถ

๔๑๑

๗.ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและการลงโทษ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงให้รางวัลที่เหมาะสมกับการกระทำของมวลบ่าวของพระองค์ ผู้ที่กระทำความดี จะได้รับรางวัลที่ดี และผู้ที่กระทำความชั่ว จะถูกลงโทษในความผิดของเขา

๘.เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามที่ใช้ในการพิสูจน์ความยุติธรรมของพระเจ้า มีความเกี่ยวข้องกับหลักความดีและความชั่วทางสติปัญญา

๙.โองการทั้งหลายของอัล กุรอานได้อธิบายถึง ความยุติธรรมของพระเจ้า และวจนะทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน

๑๐.บางกลุ่มชนมีความคิดว่า การมีความแตกต่างในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า  สำหรับคำตอบก็คือ ความแตกต่างเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติ ที่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความแตกต่างในโลกใบนี้

๑๑.ความตายของมนุษย์ มิได้หมายถึง การไม่มีและการสูญสลาย แต่มีความหมายว่า คือ การเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งมิได้มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

๑๒.การลงโทษในวันแห่งการตัดสิน คือ ผลของการกระทำของมนุษย์ และมิใช่การลงโทษที่เหมือนกับการลงโทษของมนุษย์ที่เขากำหนดกฏและระเบียบขึ้นมาเอง และไม่มีความเหมาะสมกับความผิดของผู้ที่ฝ่าฝืนสักเท่าไร

๑๓.ความยุติธรรมของพระเจ้า บ่งบอกว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบากที่ผู้มิได้กระทำความผิดต้องทนทุกข์ทรมาน เขาจะได้รับการทดแทนจากพระองค์

๔๑๒

บทที่ ๔

   การกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ (กอฎออฺและกอดัร)

 บทนำเบื้องต้น

  เรื่องการกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทาง (กอฎออฺและกอดัร) เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในเทววิทยาอิสลาม และที่รู้จักกันในประเด็นนี้ ก็คือ เรื่องของชะตาชีวิตหรือชะตากรรม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับมนุษย์และการดำเนินชีวิตของเขาโดยตรง และมิใช่ประเด็นทีเกี่ยวกับการใช้สติปัญญาของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เรื่องของชะตากรรม จึงเป็นเรื่องที่ความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ และในสังคมของมนุษย์ จนกระทั่ง บรรดานักกวีและนักประพันธ์ได้เรียบเรียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มากมาย และในทัศนะของนักปราชญ์และผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า มีความเห็นว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความรู้และความประสงค์ของพระองค์  ส่วนความเห็นของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า กล่าวว่า ชะตากรรม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากเหตุผลของวัตถุและธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า เรื่องของกอฎออฺและกอดัร จึงเป็นหลักศรัทธาหนึ่งของอิสลาม และได้มีหนังสือและตำรามากมายที่เขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้ และก็ไม่มีความแตกต่างอันใดเหลืออยู่ และจะขออธิบายถึงหลักการนี้ในมุมมองของสำนักคิดทั้งหลายในอิสลาม เป็นลำดับต่อไป

๔๑๓

    ความหมายของ กอฎออฺ และ กอดัร

   กอดัร ในทางภาษาหมายถึง ขนาด และจำนวนของสิ่งหนึ่ง ส่วนกอฏออ์ มีหลายความหมาย คือ การตัดสิน และภาวะที่แน่นอนตายตัว  ทั้งสองคำ มีคำที่มีความคล้ายคลึงกัน ถูกกล่าวในโองการและวจนะทั้งหลาย และจากนี้ไปจะอธิบายบางส่วนต่อไป

   ประเภทของกอฎออฺ และกอดัร

   เพื่อการเข้าใจให้กระจ่างชัดในประเด็นนี้ สามารถแบ่งประเภทของกอฎออฺและกอดัร ได้ สอง ประเภท ด้วยกัน

๑.กอฎออฺและกอดัร อิลมีย์ (การกำหนดสภาวะในความรู้)

๒.กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง)

เช่นเดียวกันการแบ่งประเภทของกอฎออฺและกอดัรอีกประเภท คือ ถูกแบ่งออกเป็น สอง ประเภท ดังนี้

กอฎออฺและกอดัรโดยเฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

และจะเริ่มต้นด้วยกับประเภทแรก นั่นคือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดสภาวะทางความรู้) หลังจากนั้น จะอธิบายประเภทอื่น เป็นลำดับต่อไป

๔๑๔

   กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดกฏสภาวะในความรู้)

   ความหมายของกอดัรอิลมีย์ คือ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้ในลักษณะ ,ขนาด และขอบเขตของสิ่งหนึ่งก่อนการสร้างของสิ่งนั้น ลักษณะของสิ่งที่มิใช่วัตถุ คือ ลักษณะที่มีอยู่ในตัวของสิ่งนั้น และลักษณะของสิ่งที่เป็นวัตถุ คือ นอกเหนือจากมีลักษณะที่เฉพาะตัวแล้ว ยังมีลักษณะความต้องการ เวลา ,สถานที่ ,มิติต่างๆ และขนาดและอื่นๆ ดังนั้น พระเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า สิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ มีลักษณะเป็นเช่นไร

ส่วนกอฎออฺอิลมีย์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ว่ามีความจำเป็นที่สิ่งหนึ่งต้องมีอยู่และเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัยและองค์ประกอบสมบูรณ์ หมายความว่า พระเจ้าทรงรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่จะเกิดขึ้นในสภาพใดและมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้สิ่งนั้นมีอยู่ ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระองค์ ในสิ่งที่มีอยู่ คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ จึงย้อนกลับไปหายัง ความรู้ของพระเจ้า และเป็นหนึ่งในสาขาของคุณลักษณะนี้ ด้วยกับหลักการนี้ สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงมีความรู้ในทุกสิ่งที่มีอยู่ และรู้ว่าสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไรและเกิดขึ้นในสภาพใด สิ่งเหล่านี้ ที่เรียกกันว่า ชะตากรรม

๔๑๕

กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง)

   ความหมายของกอดัรอัยนีย์ คือ การกำหนดลักษณะและคุณลักษณะที่มีอยู่ในตัวของสิ่งหนึ่ง จากพระผู้เป็นเจ้า 

ส่วนความหมายของกอฎออฺอัยนีย์ คือ พระเจ้าทรงให้ความจำเป็นกับสิ่งที่มีอยู่และทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกสิ่งที่มีอยู่ มี สอง สภาพ ดังนี้

สภาพแรก คือ การมีอยู่ของสิ่งหนึ่ง บนพื้นฐานของหลักเหตุและผล 

สภาพที่สอง คือ การมีลักษณะที่เฉพาะของสิ่งนั้น

ดังนั้น ทั้งสองสภาพ คือ ความหมายของกอฏออฺและกอดัรอัยนีย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความประสงค์ของพระเจ้า

การสังเกตุในความหมายของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มีหลายประเด็นที่ควรรู้ ดังนี้

๑.ความแตกต่างของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์กับกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ก็คือ กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มิได้มีมาก่อนสิ่งที่มีอยู่ แต่ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น

๒.กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ เป็นลักษณะหนึ่งในการสร้างของพระเจ้า และสามารถกล่าวว่า กอฎออฺและกอดัรนั้น ย้อนกลับไปหา คุณลักษณะการเป็นผู้สร้างของพระองค์

๔๑๖

๓.การกำหนดของแต่ละสิ่ง มีระดับขั้นการมีอยู่ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ การกำหนดของสิ่งที่มิได้เป็นวัตถุ คือ การกำหนดที่มีอยู่เฉพาะตัวของสิ่งนั้น แต่การกำหนดของสิ่งที่เป็นวัตถุ คือ การกำหนดในสภาวะการมีอยู่ในเวลา ,สถานที่ และคุณลักษณะอื่นๆ เช่น ความสวยงาม ,ความสมบูรณ์ และฯลฯ

   ชะตากรรมและการเลือกสรรของมนุษย์

   หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวกับกอฎออฺและกอดัร คือ ประเด็นที่มีความสัมพันธ์กับการเลือกสรรและการเป็นอิสระในการกระทำของมนุษย์ ซึ่งจากความหมายของกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ บ่งบอกว่า พระเจ้าทรงมีความรู้มาก่อนที่การกระทำทั้งหลายของมนุษย์จะเกิดขึ้น และพระองค์ทรงทราบดีว่า มีลักษณะเป็นเช่นไร และเช่นเดียวกัน กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ ก็บ่งบอกถึง ความประสงค์ของพระองค์ว่า แน่นอน ย่อมมีบทบาทต่อการเกิดขึ้นของการกระทำของมนุษย์  ด้วยสาเหตุนี้ บางคนก็คิดว่า กอฎออฺและกอดัรนั้นไม่เข้ากันกับการเลือกสรรของมนุษย์ และแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่แสดงบทบาท กลายเป็นผู้ชมการแสดงที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งเขาไม่มีอิสระในการกระทำ ดังนั้น กอฎออฺและกอดัร จึงเป็นความเชื่อของกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า ทุกการกระทำของมนุษย์ เป็นการบังคับจากพระเจ้า ในขณะที่อัล กุรอานได้เน้นย้ำในการเลือกสรรของมนุษย์ และได้ตอบข้อสงสัยของพวกผู้ตั้งภาคีที่มีความเชื่อในการบังคับ และบางทีเรียกกลุ่มหนึ่งในอิสลามว่า กอดะรียะฮ์ โดยที่พวกเขากล่าวว่า ความเชื่อในกอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์

๔๑๗

คำตอบ ที่สรุปได้ก็คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ของพระเจ้าที่มีต่อการกระทำของมนุษย์นั้น มิได้เป็นสภาพที่ไร้ขอบเขต แต่เป็นกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ต่อการกระทำที่มีคุณสมบัติครบสมบูรณ์และพร้อมที่จะเกิดขึ้น และหนึ่งในคุณสมบัติก็คือ การเลือกสรร และความประสงค์ของมนุษย์ที่มีผลทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น ดังนั้น พระเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า มนุษย์ได้กระทำการกระทำของตนเองด้วยการเลือกสรรของเขาเอง  และในสภาพเช่นนี้ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ของพระองค์ ก็มิได้มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์เลย แต่ทว่า เป็นการเน้นย้ำอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้ ความรู้ของพระเจ้า จึงครอบคลุมในการเกิดขึ้นการกระทำ(ผล)ของผู้กระทำ (เหตุ) ที่มีคุณสมบัติครบสมบูรณ์ และถ้าหากว่า ผู้กระทำที่ไม่มีอิสระในการกระทำ เช่น ไฟที่ทำให้ความร้อนเกิดขึ้นมานั้น ความรู้ของพระเจ้าจึงมีต่อการเกิดขึ้นในการกระทำที่ไม่มีการเลือกสรร หมายความว่า พระองค์ทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า การกระทำที่ไม่มีอิสระการเลือกสรร เช่น ไฟนั้น จะทำให้เกิดความร้อนในเวลาและสถานที่ได้เฉพาะ แต่ถ้าหากว่า ผู้กระทำมีการเลือกสรร เช่น การกระทำของมนุษย์ และสิ่งที่กำหนดจาก พระเจ้า คือ การเกิดขึ้นของการกระทำที่มนุษย์เป็นผู้กระทำด้วยกับการเลือกสรรของเขา

สำหรับในเรื่องของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ ก็มีคำตอบเช่นเดียวกัน ดังนั้น การเกิดขึ้นของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มิได้มีสภาพโดยตรงจากพระเจ้า แต่เป็นการเกิดขึ้นของการกระทำที่มีเหตุและผลในระบบหลักด้วยเหตุและผล และความประสงค์ของมนุษย์ เป็นหนึ่งในพื้นฐานของการกระทำที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง

๔๑๘

 กอฎออฺและกอดัรก็มีผลต่อการเกิดขึ้นของการกระทำนั้น ด้วยเหตุนี้ การกำหนดจากพระเจ้าและการเกิดขึ้นของการกระทำที่มีอิสระ มิได้มีความขัดแย้งกับการเป็นอิสระและการเลือกสรรของมนุษย์เลย

   กอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

    สิ่งที่กล่าวไปแล้ว คือ กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ที่มีต่อการเกิดขึ้นของการกระทำที่เฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรอัยนี ยังมีความหมายกว้าง ซึ่งรวมถึงกฏเกณฑ์และหลักการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม ด้วยเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิม ในกฏเกณฑ์ต่างๆที่มีอยู่ในสังคมของมนุษย์  เช่น กฏที่ว่าด้วยหลักของเหตุและผล เป็นกฏทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกอฎออฺและกอดัรของพระองค์

   กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ในอัล กุรอาน และวจนะ

   ดั่งที่ได้กล่าวไปแล้วว่า มีโองการทั้งหลายและวจนะมากมายกล่าวถึง กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า  เช่น

วจนะจากท่านอิมาม ริฎอ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

“เกาะดัร หมายถึง การกำหนดขนาดของสิ่งหนึ่งโดยพิจารณาจากการคงอยู่ และสูญสลาย ส่วนกอฏออ์ หมายถึงการเกิดที่แน่นอนของสิ่งหนึ่ง”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๕๘)

 “กอดัร หมายถึง การกำหนดขนาดจากด้านยาว,กว้าง และการคงอยู่ของสิ่งหนึ่ง

๔๑๙

หลังจากนั้นกล่าวอีกว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺทรงมีความต้องการที่จะให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น พระองค์ก็ทรงประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็ทรงกำหนด เมื่อพระองค์ทรงกำหนด พระองค์ก็ทำให้สื่งนั้นเกิดขึ้น เมื่อทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น พระองค์ก็อนุมัติ”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๑๒๒ )

อัล กุรอานกล่าวว่า

และมิเคยปรากฏแก่ชีวิตใดที่จะตายนอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น ทั้งนี้เป็นลิขิตที่ถูกกำหนดไว้”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๔๕)

“และอัลลอฮ์ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากฝุ่นดิน แล้วก็มาจากเชื้ออสุจิ แล้วทรงทำให้พวกเจ้าเป็นคู่สามีภริยา และจะไม่มีหญิงใดตั้งครรภ์และนางจะไม่คลอด เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และไม่มีผู้สูงอายุคนใดจะถูกยืดอายุออกไป และอายุของเขาก็จะไม่ถูกตัดทอน เว้นแต่อยู่ในบันทึก (ของพระองค์) แท้จริง นั่นเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์” (บทอัลฟาฏิร โองการที่ ๑๑ )

 “ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และไม่มีแม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นมันเป็นการง่ายสำหรับอัลลอฮ์”

(บทอัลหะดีด โองการที่ ๒๒)

 “ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลา ๒ วัน และทรงกำหนดในทุกชั้นฟ้าหน้าที่ของมัน”

(บทอัลฟุศศิลัต โองการที่ ๑๒ )

๔๒๐

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450