บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339962 / ดาวน์โหลด: 4960
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

๒.การมีส่วนประกอบภายนอก หมายถึง การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งที่มีส่วนประกอบภายนอก คือ การมีส่วนประกอบของสิ่งหนึ่งที่เป็นชิ้นส่วนอยู่ภายนอก  เช่น ส่วนประกอบของร่างกายแยกออกเป็น สสารและรูปร่าง ,การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นสสารและวัตถุ เป็นตัวอย่างของการมีส่วนประกอบภายนอก

๓. การมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ หมายถึง การมีส่วนประกอบของสิ่งหนึ่งในสภาพที่มีปริมาณ, ขนาด ความกว้าง, ความยาวและส่วนสูง ดังนั้น การมีส่วนประกอบชนิดนี้ ไม่ได้มีอยู่ในสภาวะจริงของสิ่งหนึ่ง แต่ทว่าส่วนประกอบของสิ่งนั้นกำลังจะกลายเป็นสภาวะจริง หลังจากที่ได้รวมเอาส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกัน จึงกลายสภาพเป็นสภาวะจริง  และนักปรัชญาอิสลามบางคนได้กล่าวว่า การมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ เป็นอีกชนิดหนึ่งของการมีส่วนประกอบภายนอก เพราะว่า สิ่งนั้นมีส่วนประกอบที่เกิดขึ้นภายนอก และมิได้เกิดขึ้นจากการใช้สติปัญญาเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ความแตกต่างของทั้งสองชนิดนี้ ก็คือ การมีส่วนประกอบภายนอกและในด้านปริมาณ คือการมีส่วนประกอบที่มีสภาวะจริงและกำลังจะกลายเป็นสภาวะจริง ถ้าหากสิ่งนั้นมีส่วนประกอบภายนอก ถือว่าเป็นสภาวะจริง แต่ถ้าหากสิ่งนั้นมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ ถือว่ากำลังจะกลายเป็นสภาวะจริง

๘๑

   เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

   หลังจากได้อธิบายชนิดต่างๆของการมีส่วนประกอบไปแล้ว ณ ที่นี้ จะขอกล่าวถึง เหตุผลต่างๆที่บอกถึงการไม่มีทุกชนิดของการมีส่วนประกอบในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก่อนที่จะอธิบายในเหตุผลเหล่านั้น จะกล่าวได้ว่า เหตุผลที่บรรดานักเทววิทยาอิสลามใช้พิสูจน์ในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าคือ การปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิดในอาตมันของพระองค์ และนอกเหนือจาก เหตุผลของนักเทววิทยา, นักปรัชญาและนักรหัสยวิทยาอิสลามแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกที่ใช้พิสูจน์ในเตาฮีด เช่นเดียวกัน

   เหตุผลของการไม่มีส่วนประกอบในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

    การพิสูจน์ในความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่า อาตมันของพระองค์ ไม่มีส่วนประกอบทุก  ชนิดของการมีส่วนประกอบ และมิได้มีเหตุผลเดียวที่ใช้ในการพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระองค์ แต่ในความเป็นจริง ก็คือ ยังมีเหตุผลมากมายที่พิสูจน์ถึงอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าว่า ไม่มีส่วนประกอบใดในอาตมันของพระองค์

๘๒

๑.การปฏิเสธการมีส่วนประกอบภายนอก

    คำอธิบาย

    เมื่อใดก็ตามที่สิ่งหนึ่งมีส่วนประกอบ สิ่งนั้นก็จะต้องมีชิ้นส่วน และสิ่งนั้นจะมีอยู่ได้ก็ขึ้นอยู่กับการมีชิ้นส่วนของมัน และการที่สิ่งนั้นไม่มีชิ้นส่วน หมายถึง การไม่มีอยู่ของสิ่งนั้น ซึ่งสติปัญญาได้บอกว่า ส่วนประกอบทุกส่วนของสิ่งหนึ่ง  คือ การมีอยู่ของสิ่งนั้น  การเกิดขึ้นของส่วนประกอบก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น หมายความว่า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องมีส่วนประกอบที่เกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น  การมีอยู่ของสิ่งที่มีส่วนประกอบ หมายความว่า การมีอยู่ของสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการเกิดขึ้นของส่วนประกอบ เพราะฉะนั้น การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ในสภาพที่เป็นไปไม่ได้ว่าจะต้องมีส่วนประกอบ เพราะว่าการมีส่วนประกอบนั้นมีความขัดแย้งกับความจำเป็นต้องมีอยู่ของพระองค์

 ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าสมมุติว่า พระผู้เป็นเจ้ามีส่วนประกอบ หมายความว่า พระองค์มิได้เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ แต่พระองค์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น จึงจะมีอยู่ได้ แต่ในความเป็นจริง พระองค์ คือสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้น จึงเป็นที่กระจ่างชัดว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีส่วนประกอบใด นอกจากอาตมันของพระองค์เท่านั้น

๘๓

๒.การปฏิเสธการมีส่วนประกอบในด้านสติปัญญา

เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่มีความเข้าใจง่ายในการพิสูจน์ถึงการปฏิเสธการมีส่วนประกอบในพระผู้เป็นเจ้า

  คำอธิบาย

   เมื่อสิ่งหนึ่งประกอบด้วย สกุล(ญินซ์) และลักษณะความแตกต่าง(ฟัศล์) เช่น มนุษย์ประกอบด้วย ความเป็นสัตว์กับการพูดได้ ดังนั้น สัตว์จึงเป็นสกุล และการพูดได้ ก็เป็นลักษณะความแตกต่าง และมนุษย์คือ สัตว์ที่พูดได้ และสิ่งที่ประกอบจากการมี(วุญูด)และสสาร(มาฮียัต) เช่น การมีอยู่ของมนุษย์จากการมีและการเป็นสสาร ทั้งหมดนั้น เป็นคุณสมบัติของสสาร

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  สติปัญญาของมนุษย์นั้นมีความคุ้นเคยกับการมีอยู่ของสสาร และด้วยกับความแตกต่างกันในคุณสมบัติทั้งหลายของสสาร ทำให้ได้รับความหมายของคำว่า สกุล (ญินซ์) และลักษณะความแตกต่าง (ฟัศล์) ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้นำเอาทั้งสองคำประกอบเข้าด้วยกัน

ดังนั้น การที่สิ่งหนึ่งประกอบด้วย สกุล และลักษณะความแตกต่าง  สิ่งที่ประกอบด้วยการมีอยู่กับสสาร ทั้งหมดนั้น คือ การมีส่วนประกอบของสสาร และได้กล่าวไปแล้วว่า อาตมันของพระผู้เป็นเจ้านั้น ทรงมีอยู่อย่างบริสุทธิ์และมิได้เป็นสสาร ดังนั้น การมีอยู่ของพระองค์จึงไม่มีส่วนประกอบดังที่กล่าวมา

๘๔

๓.การปฏิเสธการมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่มีความเข้าใจง่ายในการพิสูจน์ถึงอาตมันของพระเจ้าว่า ไม่มีส่วนประกอบในด้านปริมาณ

    คำอธิบาย

   ถ้าหากสมมุติว่า พระผู้เป็นเจ้ามีส่วนประกอบในด้านปริมาณแล้วละก็ ส่วนประกอบนั้นก็จะเป็นมุมกินุลวุญูด( สิ่งที่ต้องพึ่งพา) หรือจะเป็นวาญิบุลวุญูด (สิ่งทีจำเป็นต้องมีอยู่) และถ้าส่วนประกอบนั้น เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพา ส่วนประกอบทั้งหมดไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ต้องมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น อาตมันของพระเจ้า จึงเป็นทั้งสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ สิ่งที่ต้องพึ่งพาในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่ สิ่งหนึ่งจะเป็นทั้งสองสิ่งพร้อมกัน และถ้าสมมุติว่า พระเจ้ามีส่วนประกอบที่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี(วาญิบุลวุญูด) ก็เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่า การมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ หมายถึง การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในสภาวะที่ยังกลายไม่เป็นจริง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้สำหรับการมีอยู่ของสิ่งที่จำเป็นต้องมี และมิได้มีเป็นสภาวะเป็นจริง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ เป็นคุณลักษณะหนึ่งของร่างกาย ซึ่งร่างกายเป็นสสาร และมีรูปร่าง ในขณะเดียวกัน อาตมันของพระผู้เป็นเจ้ามิได้เป็นสสารและมีรูปร่าง เพราะฉะนั้น จากเหตุผลดังกล่าว ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า อาตมันของพระผู้เป็นเจ้า มิได้มีส่วนประกอบในด้านปริมาณ

๘๕

  การพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าและการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์

   หลังจากที่ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว บัดนี้  จะมาพิสูจน์ในเหตุผลของความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์

ความเป็นหนึ่งเดียวในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า (เตาฮีดซาตีย์วาฮิดีย์) หมายถึง อาตมันของพระองค์ มีหนึ่งเดียวและไม่มีพระเจ้าอื่นใดอยู่เคียงข้างพระองค์

การพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า มีเหตุผลอยู่มากมาย แต่จะขอนำมากล่าวสัก ๓ เหตุผล ซึ่งมีดังนี้

    เหตุผลที่หนึ่ง  : ความสมบูรณ์แบบที่สุดและความไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า

    ข้ออ้างแรกของเหตุผลนี้ คือ อาตมันของพระเจ้านั้น ไม่มีที่สิ้นสุด และขอบเขตจำกัด แต่มีสภาพที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าจากความจำเป็นที่ต้องมีอยู่ของพระองค์ได้กำหนดไว้ว่า อาตมันของพระองค์จะปราศจากความสมบูรณ์ไปไม่ได้ และถ้าหากว่าพระองค์มิได้มีความสมบูรณ์ในอาตมันก็เท่ากับว่าพระองค์ มีความต้องการ และเมื่อเป็นเช่นนี้อาตมันของพระองค์ก็มีความบกพร่องและไม่มีความสมบูรณ์ ดังนั้น การมีความต้องการก็คือ ความไม่สมบูรณ์ และความบกพร่อง ซึ่งสิ่งนี้มีความขัดแย้งกับความจำเป็นที่ต้องมีของพระองค์

๘๖

  ถ้าสมมุติว่า มีพระเจ้าอยู่สององค์ ในระหว่างพระเจ้าสององค์ก็ต้องมีความแตกต่างกัน และหากว่าไม่มีความแตกต่างกันในพระเจ้าสององค์ การสมมุติฐานที่บอกว่า มีพระเจ้าสององค์ก็จะไม่เกิดขึ้น และในสภาพเช่นนี้การสมมุติฐานที่จะเกิดขึ้นมีด้วยกัน ๒ สมมุติฐาน ดังนี้

สมมุติฐานแรก คือ พระเจ้าองค์หนึ่งมีความแตกต่างที่อีกองค์ไม่มี เช่น พระเจ้าองค์หนึ่งมีความสมบูรณ์ และอีกองค์หนึ่งไม่มีความสมบูรณ์ ในสภาพเช่นนี้ เป็นรู้กันดีว่า พระเจ้าที่แท้จริง คือพระเจ้าองค์แรก มิใช่พระเจ้าองค์ที่สอง เพราะว่า พระเจ้าองค์ที่สองนั้น มีความบกพร่องและไม่มีความสมบูรณ์ จึงไม่สามารถจะเป็นพระเจ้าได้ ดังนั้น ในสมมุติฐานนี้ ได้พิสูจน์ในความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า และการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์

สมมุติฐานที่สอง คือ การมีอยู่ของพระเจ้าทั้งสองพระองค์ที่มีความสมบูรณ์เหมือน แต่มีความแตกต่างที่พระเจ้าอีกพระองค์ไม่มี นั่นก็คือ พระเจ้าองค์หนึ่งมีความสมบูรณ์ที่ไม่เหมือนกับอีกองค์หนึ่ง ดังนั้นในสภาพเช่นนี้ พระเจ้าทั้งสององค์มิได้เป็นพระเจ้าที่แท้จริง เพราะว่า มีความขัดแย้งกับสมมุติฐานข้างต้น เหตุผลก็คือ การมีอยู่ของพระเจ้าทั้งสององค์เกิดจากการมีและการไม่มี ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากการมีส่วนประกอบทุกชนิด

    ด้วยเหตุนี้  การสมมุติว่าพระเจ้ามีหลายองค์ จึงหวนกลับไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า และในสมมุติฐานที่สอง ก็ได้นำพาไปสู่การมีส่วนประกอบในพระเจ้า ข้อสรุปจากสมมุติฐานนี้ก็คือ การคิดและจิตนาการว่า มีพระเจ้าหลายองค์ เป็นการจินตนาการไม่เข้ากับการใช้เหตุผลทางปัญญา และในบางทีอาจจะกล่าวได้ว่า มีการสมมุติฐานอื่นเกิดขึ้นอีก เป็นสมมุติฐานที่สาม นั่นก็คือ สมมุติว่า พระเจ้าทั้งสององค์มีความสมบูรณ์เหมือนกัน เหตุผลก็คือดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า

๘๗

 สมมุติฐานนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าการมีอยู่หลายอย่างต้องมีความแตกต่างกัน และการสมมุติว่า พระเจ้ามีสององค์ที่มีความสมบูรณ์เหมือนกัน ก็มีความขัดแย้งกับสมมุติฐานแรกที่ได้กล่าวไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง การมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า มีความขัดแย้งกับความจำเป็นที่ต้องมีอยู่และความสมบูรณ์แบบของพระเจ้า

    เหตุผลที่สอง  : การปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิด

    ถ้าสมมุติว่า มีพระเจ้าสององค์ที่เป็นวาญิบุลวุญูด (สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่) เหมือนกัน และได้อธิบายไปแล้วว่า สมมุติฐานว่ามีพระเจ้าหลายองค์ บ่งบอกถึงการมีความแตกต่างระหว่างพระเจ้าทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราพูดว่า มีหนังสือสองเล่ม ดังนั้น ความหมือนกันคือ ความเป็นหนังสือ แต่ว่ามีความแตกต่างกันในขนาดของเล่ม, สี,สถานที่จัดพิมพ์ ฯลฯ เพราะฉะนั้น การสมมุติว่า มีพระเจ้าหลายองค์ จึงหมายความว่า พระเจ้าสององค์มีความเหมือนกันในความจำเป็นต้องมีอยู่ และมีความแตกต่างในความเป็นพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้เอง การสมมุติฐานข้างต้น บ่งบอกว่า หนึ่งในพระเจ้าทั้งสองมีความเหมือนและความแตกต่างอยู่ด้วยกัน และนี่คือสาเหตุที่ทำให้อาตมันของพระเจ้า มีส่วนประกอบ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า อาตมันของพระเจ้าไม่มีส่วนประกอบใดทั้งสิ้น ดังนั้น การสมมุติว่า มีพระเจ้าหลายองค์ จึงเป็นสาเหตุทำให้อาตมันของพระเจ้ามีส่วนประกอบ และการมีส่วนประกอบในพระองค์ เป็นการกระทำที่เป็นไปไม่ได้ และการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์ก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเช่นเดียวกัน

๘๘

    เหตุผลที่สาม   : การปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์

    การปฏิเสธการมีของพระเจ้าหลายองค์ เป็นหนึ่งในเหตุผลของเตาฮีด และมีคำอธิบายมากมายในเหตุผลนี้ และจะกล่าวได้ว่า ในขณะที่สมมุติว่า มีพระเจ้าอยู่สององค์ การสมมุติฐาน จึงมีด้วยกัน ๓ สภาพ ดังนี้

๑.พระเจ้าองค์หนึ่งมีความสามารถเหนืออีกพระองค์หนึ่ง หมายความ พระเจ้าองค์หนึ่งสามารถที่จะต่อสู้กับอีกพระองค์หนึ่งได้ ในสภาพเช่นนี้ พระเจ้าที่แท้จริงคือ พระเจ้าองค์แรกที่มีความสามารถเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง

๒.พระเจ้าทั้งสองพระองค์มีความสามารถเหมือนกัน

๓.พระเจ้าทั้งสองพระองค์ไม่มีความสามารถใดๆเลย

ดังนั้น การสมมุติฐานทั้งสองสภาพก็มีความขัดแย้งกับการสมมุติฐานแรก คือ การมีอยู่ของพระเจ้าทั้งสองพระองค์ เพราะว่าในสภาพที่สอง แสดงให้เห็นถึงความปราชัยของบรรดาพระเจ้าทั้งหลาย และในสภาพที่สามก็แสดงให้เห็นถึง ความไร้สามารถของพระเจ้าทั้งหลาย ซึ่งทั้งสองสภาพนั้น มีความขัดแย้งกับวาญิบุลวุญูด (สิ่งจำเป็นต้องมีอยู่) ของพระเจ้า

 ด้วยเหตุนี้ การสมมุติฐานว่ามีพระเจ้าหลายองค์ จึงมีความเป็นไปไม่ได้

๘๙

    ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริงและในจำนวนเลข

 (วะฮ์ดัตฮะกีกีย์และวะฮ์ดัตอะดาดีย์)

  ในตอนท้ายของบทนี้ มีประเด็นสำคัญที่จะต้องขอกล่าวย้ำ คือ ส่วนมากของมนุษย์ ได้คิดว่าความหมายของความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า (วะฮ์ดัต) เป็นความหมายเดียวกับความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนเลข (วะฮ์ดัตอะดาดีย์)  เช่น ความหมายของความเป็นหนึ่งในพระเจ้าว่า มีความหมายเดียวกันกับความหมายของ คำว่า พระอาทิตย์ดวงหนึ่ง หรือโลกใบหนึ่ง ถ้าหากว่าได้ไตร่ตรองอย่างละเอียด และนำเอาคำสอนของอัล กุรอานและวจนะ มาเป็นบรรทัดฐาน จะได้รับในความหมายที่ลึกซึ้งของความเป็นหนึ่งเดียวในพระเจ้า ซึ่งบางครั้ง เรียกว่า ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง

(วะฮ์ดัตฮะกีกีย์) ความหมายของความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนเลข

(วะฮ์ดัตอะดาดีย์) คือ ในกรณีของสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้ในความหมายโดยรวมที่สามารถบอกถึงจำนวนของมันได้ เช่น ถ้าบอกว่า สิ่งนั้นมีอันเดียว และจะสมมุติว่าสิ่งนั้นมีสองหรือสามอันก็ได้ เพราะว่าจากจำนวนนับมีตัวเลขหลายตัวด้วยกัน และในส่วนของความหมายของความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นในความจริง (วะฮ์ดัตฮะกีกีย์) มีหมายความว่า สิ่งนั้นถูกใช้ในความหมายที่มีอันเดียวโดยไม่สามารถที่จะสมมุติว่า มีสองหรือสามได้ ดังนั้น จากการพิจารณาในความหมายของความเป็นหนึ่ง (วะฮ์ดัต) ทำให้เข้าใจได้ว่า ความหมายของความเป็นหนึ่งในอาตมันของพระเจ้า มิใช่ความเป็นหนึ่งในจำนวนเลข แต่คือความเป็นหนึ่งในความจริง ก็คือ ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นจริง และไม่มีสองหรือมีสาม  ดังนั้น ความหมายของความเป็นหนึ่งเดียวในอาตมันของพระเจ้า คือ ความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีขอบเขตจำกัด และไม่มีสิ่งอื่นเคียงข้างพระองค์

๙๐

  ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน(เตาฮีด ซาตีย์) ในอัล กุรอาน

  ในบทที่ผ่านมาได้อธิบายแล้วว่า ประเภทแรกของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎี(เตาฮีด นะซอรีย์) คือ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า(เตาฮีด ซาตีย์) ซึ่งอธิบายได้  ๒ ความหมาย ด้วยกัน ดังนี้

๑.ความเชื่อในความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระเจ้า เรียกว่า เตาฮีด อะฮะดีย์

๒.ความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวในอาตมัน และการปฏิเสธการตั้งภาคีใดๆ ได้เรียกว่า เตาฮีด วาฮีดีย์ เพราะว่า ความเชื่อในการตั้งภาคีเกิดขึ้นมากมายเคียงข้างพระเจ้า เช่น การมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์

อัล กุรอานได้เน้นย้ำในความหมายที่สองไว้อย่างมาก และแม้ในโองการทั้งหลายจะกล่าวถึง เตาฮีดอะฮะดีย์ และความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระเจ้าก็ตาม และยังได้กล่าวถึง การมีความเชื่อของมนุษย์ในพระเจ้าหลายองค์ และการตั้งภาคีต่อพระเจ้า

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินอีกทั้งทรงมองเห็น” ( บทอัชชูรอ โองการที่ ๑๑ )

จากโองการนี้ แสดงให้เห็นว่า ตามหลักไวทยากรณ์ภาษาอาหรับกล่าวว่า โองการนี้ได้ปฏิเสธทุกชนิดของความเหมือนกันในพระผู้เป็นเจ้า แต่ทว่าการอธิบายในความหมายที่ละเอียดอ่อนของประโยคก่อนโองการนี้ มีความแตกต่างกันระหว่างนักอรรถาธิบายอัลกุรอาน คือ ความแตกต่างในอักษร กาฟ ในประโยคที่กล่าวว่า “เหมือนพระองค์” เป็นอักษรที่ใช้แสดงถึง การเหมือนกันของสิ่งหนึ่งและมีความหมายว่า เหมือนกัน ดังนั้น การกล่าวสองคำพร้อมกัน บ่งบอกถึงการเน้นย้ำ

๙๑

และนักวิชาการบางคนได้กล่าวว่า อักษรกาฟ ในที่นี้เป็นอักษรที่ใช้การเน้นย้ำ และบางคนได้กล่าวว่า คำว่า มิสลิฮี มีความหมายว่า อาตมันของพระเจ้า ดังนั้น ความหมายของโองการนี้ คือ อาตมันของพระองค์นั้น ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นได้เ พราะว่าสิ่งทั้งหลายนั้น มีที่สิ้นสุด และมีขอบเขต

และในโองการอื่นๆยังได้กล่าวในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าไว้อีกว่า

 “จงกล่าวเถิดว่า พระองค์ คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ อัลลอฮ์ทรงเป็นที่พึ่งพา พระองค์ไม่ทรงประสูติ(ผู้ใด)และไม่ทรงถูกประสูติ(จากสิ่งใด) และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ในเอกภพ”

 (บทอัตเตาฮีด โองการที่ ๑-๔)

จากโองการแรก แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าได้สั่งให้ศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ประกาศให้ชัดเจนว่า พระเจ้ามีองค์เดียวคือ อัลลอฮ์ และบรรดานักอรรถาธิบายอัล กุรอานได้กล่าวว่า คุณลักษณะ “อะฮัด” และ”วาฮิด”  มีความแตกต่างกัน คำว่า “อะฮัด” บ่งบอกถึง ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระเจ้า และคำว่า”วาฮิด” บ่งบอกถึง ความเป็นเอกะของพระองค์

 กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  โองการสุดท้ายของบทอัตเตาฮีด ได้กล่าวว่า การไม่เสมอเหมือนผู้ใดของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จากโองการนี้ แสดงให้เห็นถึง การปฏิเสธการตั้งภาคีทั้งหลาย และเป็นการพิสูจน์ว่า มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

อัล กุรอานกล่าวว่า

“มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ คือ อัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะและผู้ทรงพิชิตเหนือทุกสิ่ง”

(บทอัซซุมัร โองการที่ ๔)

๙๒

ทัศนะของนักอรรถาธิบายอัล กุรอานบางคนได้กล่าวว่า การที่สองคุณลักษณะของพระเจ้า(คือ ความเป็นเอกานุภาพ และผู้ทรงพิชิตเหนือทุกสิ่ง) อยู่คู่กัน แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีสิ่งที่มีขอบเขตจำกัดแล้วละก็ สิ่งนั้นจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่ไม่มีขอบเขตและมีความนิรันดร์ นั่นก็คือ อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่า พระองค์ คือสิ่งที่มีอยู่ที่ไม่มีขอบเขต และมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น คุณลักษณะทั้งสอง กล่าวคือ ความเป็นเอกานุภาพและผู้พิชิต บ่งบอกถึงประเภทของวะฮ์ดัตอัยนีย์ (เอกภาพในความจริง) และมิได้บ่งบอกในประเภทของวะฮ์ดัตอะดาดีย์ (ความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนเลข)

เพราะการคาดว่า พระเจ้ามีหลายองค์นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และด้วยกับสิ่งที่เป็นเอกภาพในจำนวนเลข คือ สิ่งที่มีขอบเขต ดังนั้น จากโองการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าไม่มีสิ่งที่อยู่เคียงข้างพระองค์ และเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าพระเจ้ามีหลายองค์

   ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน(เตาฮีด ซาตีย์) ในวจนะ

   วจนะของบรรดาอิมามผู้นำ ผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติพึงมีแด่พวกท่าน) ที่ได้กล่าวถึง ความเอกานุภาพในอาตมัน เช่น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ)  กล่าวว่า

“พวกเจ้า จงรู้จักพระเจ้าในสภาพที่พระองค์ไม่ทรงเหมือนกับสิ่งใดและไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเดชานุภาพ พระองค์เป็นพระองค์แรก และเป็นองค์สุดท้าย ผู้ที่อยู่ทั้งภายนอกและภายใน ไม่สิ่งใดเหมือนพระองค์

๙๓

 นี่คือการรู้จักถึงพระเจ้าที่แท้จริง”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๑๔)

ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้อธิบายในวจนะนี้ว่าความไม่เหมือนกับสิ่งใดของพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นยังได้อธิบายในการมีอยู่ของคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ ต่อมาก็ได้อธิบายถึงความเป็นเอกานุภาพ และในตอนท้ายได้กล่าวว่า พระเจ้านั้นไม่เหมือนกับสิ่งใดที่มีอยู่ในโลก

และวจนะหนึ่งจากท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ท่านอิมามได้ตอบคำถามของชายคนหนึ่งในสงครามญะมัล ที่ถามท่านเกี่ยวกับความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า โดยที่ท่านตอบว่า ความเป็นเอกานุภาพ มีด้วยกัน ๔ ความหมาย ซึ่งสองความหมายนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับพระองค์ มีใจความว่า

 “ส่วนอีกสองความหมายที่ไม่อนุญาตให้ใช้กับพระองค์ได้นั้น คือ คำกล่าวของผู้ที่กล่าวว่า พระเจ้ามีพระองค์เดียวแต่เขาหมายถึง ในจำนวนเลข ความหมายนี้ไม่เป็นที่อนุญาต เพราะว่า พระองค์ไม่มีจำนวนสองและไม่มีจำนวนเลข.................และคำกล่าวที่พวกเขากล่าวว่า พระเจ้าเป็นหนึ่งจากประชาชาติ ดังนั้น ความหมายนี้ก็ไม่เป็นที่อนุญาตด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าได้ทำให้พระองค์เหมือนกับสิ่งอื่น และแน่นอนที่สุด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งต่างๆเหล่านั้น

ส่วนความหมายที่เหลือของเตาฮีด คือ คำกล่าวของผู้ที่กล่าวว่า พระเจ้า ทรงเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ และคำกล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งในด้านความหมาย หมายความว่า พระเจ้าไม่มีการแบ่งชนิดต่างๆของการมีอยู่ในพระองค์ จากการเหตุผลทางสติปัญญาหรือการสร้างมโนภาพก็ตาม นี้แหละคือ พระเจ้า พระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงส่ง”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๓ วจนะที่ ๓)

๙๔

จากคำกล่าวของท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) แสดงให้เห็นว่า สองความหมายของวะฮ์ดัตที่ไม่เป็นที่อนุญาตให้ใช้กับพระผู้เป็นเจ้า คือ ความหมายของวะฮ์ดัตอะดาดีย์ (ความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนเลข) เพราะ ความหมายนี้ หมายถึง ความเป็นหนึ่งที่จะต้องมีจำนวนสองและสามและจำนวนเลขอื่นตามมา และถ้าหากว่า ไม่มีจำนวนเลขอื่น ก็มีความเป็นไปได้ว่า จะต้องมีสอง อย่างแน่นอน และอีกความหมายหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพ ที่ไม่เป็นที่อนุญาต ก็คือ ในความหมายของสิ่งหนึ่ง เมื่อได้เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น เช่น นาย ก เขาเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ เมื่อได้เปรียบเทียบกับสิ่งอื่นที่มีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้น ความหมายนี้ไม่สามารถที่จะใช้กับพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะว่า พระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดเสมือนพระองค์ และท่านอิมามอะลี ยังได้กล่าวอีกว่า และยังมีอีกสองความหมายที่อนุญาตให้ใช้กับพระเจ้าได้ นั่นคือ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน และความบริสุทธิ์จากการมีส่วนประกอบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนประกอบในสติปัญญา ,ภายนอก,ภายในและอื่นๆ

ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ยังได้ปฏิเสธ วะฮ์ดัตอะดาดีย์ (ความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนเลข) โดยได้กล่าวว่า

 “พระเจ้าทรงเป็นเอกะ มิใช่ด้วยกับจำนวนเลข และพระองค์ทรงเป็นนิรันดร์และไม่มีที่สิ้นสุด”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะ สุนทรโรวาทที่ ๑๘๕)

รายงานจากท่านอิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ว่า สาวกคนหนึ่งได้ถามท่านอิมามเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “อัลลอฮุอักบัร”ว่ามีความหมายว่าอย่างไร?

๙๕

 ชายคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า อัลลอฮุอักบัร  หมายถึง พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหนือทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ท่านอิมามได้ตอบว่า ความหมายของอัลลอฮุอักบัร คือ อัลลอฮ์ พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่เหนือการพรรณาทั้งหลาย

    ศัพท์วิชาการท้ายบท

เตาฮีดซาตีย์  หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

เตาฮีดนะซอรีย์ หมายถึง เตาฮีดในทฤษฎีศรัทธา

ตัรกีบอักลีย์  หมายถึง การมีส่วนประกอบในด้านสติปัญญา

ตัรกีบคอรีญี่  หมายถึง การมีส่วนประกอบภายนอก

ตัรกีบมิกดาดีย์   หมายถึง การมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ

วะฮ์ดัตอะดาดีย์ (หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนตัวเลข

วะฮ์ดัตฮะกีกีย์  หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง

    สรุปสาระสำคัญ

๑.ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีศรัทธา สามารถที่จะแบ่งออกเป็น สาม ประเภท ก็คือ

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระเจ้า, ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ และความเป็นเอกานุภาพในกริยา การกระทำของพระองค์

๒.ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระเจ้า คือ ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระองค์ หมายความว่า การไม่มีส่วนประกอบ และการไม่มีการตั้งภาคีใดๆในอาตมันของพระเจ้า ความหมายแรก เรียกว่า

 เตาฮีด อะฮะดีย์ ความหมายที่สอง เรียกว่า เตาฮีด วาฮิดีย์

๙๖

๓.รากฐานของ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระเจ้าที่มีกล่าวไว้ในอัล กุรอาน และวจนะของท่านศาสดาและบรรดาอิมามผู้นำ ผู้บริสุทธิ์ได้อธิบายไปแล้วนั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ เและนักวิชาการอิสลามก็มีความเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้นป

๔.การมีส่วนประกอบมีด้วยกัน สาม ชนิด

(๑).การมีส่วนประกอบในด้านสติปัญญา เช่น การมีส่วนประกอบของสิ่งหนึ่งจากการมีและการไม่มี ,การมีส่วนประกอบจากการมีและสสาร และการมีส่วนประกอบจากสกุลและลักษณะความแตกต่าง

(๒).การมีส่วนประกอบภายนอก เช่น การมีส่วนประกอบของร่างกายจากวัตถุและรูปร่าง

(๓).การมีส่วนประกอบในด้านปริมาณ เช่น การมีส่วนประกอบของร่างกายจากชิ้นส่วนที่ยังไม่เป็นสภาวะจริง

๕.อาตมันของพระเจ้าไม่มีส่วนประกอบทั้งสามชนิด ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนประกอบ ทางสติปัญญา ,ภายนอก และในด้านปริมาณ และมีเหตุผลต่างๆมาพิสูจน์ได้ว่า พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีส่วนประกอบดังกล่าว

๖.ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และการไม่มีการตั้งภาคีใดๆ สามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยกับเหตุผลทางสติปัญญา

๗.ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า มิได้หมายความว่า ความเป็นหนึ่งเดียวหรือเอกภาพในจำนวนเลข แต่ทว่าหมายความว่า ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง ดังนั้น การจินตนาการว่ามีพระเจ้าหลายองค์ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และสติปัญญาก็ไม่ยอมรับ

๙๗

๘.อัล กุรอานได้เน้นย้ำในความเป็นเอกานุภาพหรือความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า โดยได้กล่าวว่า พระเจ้าไม่เสมอเหมือนกับสิ่งใด และในบทอัตเตาฮีดก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า พระเจ้า คืออัลลอฮ์ ผู้ทรงเป็นเอกะและไม่มีสิ่งอื่นใดเสมอเหมือนพระองค์

๙.โองการอัล กุรอานได้กล่าวถึงคุณลักษณะกอฮารียัต

(ผู้ทรงพิชิตเหนือทุกสิ่ง) หลังจาก คุณลักษณะความเป็นเอกานุภาพ แสดงให้เห็นว่า ความหมายของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า คือ ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง

๑๐.ท่านอิมามอะลีได้ตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นเอกานุภาพของ

พระผู้เป็นเจ้าว่า ความเป็นเอกานุภาพของพระองค์ มิได้หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในจำนวนเลข และความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า หมายถึง การปฏิเสธการเสมอเหมือน และการปฏิเสธทุกชนิดของการมีส่วนประกอบในพระองค์

๑๑.วจนะของท่านอิมามซอดิก ได้รายงานว่า ความหมายของคำว่า

อัลลอฮุอักบัร คือ อัลลอฮ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์เหนือการพรรณาทั้งปวง

๙๘

   บทที่ ๓

   ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้าในคุณลักษณะ

 (เตาฮีด ซิฟาตีย์)

   บทนำเบื้องต้น

    ได้กล่าวไปในบทที่แล้วว่า ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า สามารถที่จะแบ่งได้ ๒ ประเภท ก็คือ ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา และความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ

ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา ก็สามารถแบ่งออกได้ หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งมีดังนี้

๑.ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน (เตาฮีด ซาตีย์)

๒.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ (เตาฮีด ศิฟาตีย์)

๓ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ(เตาฮีด อัฟอาลีย์)

ได้อธิบายในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันผ่านไปแล้ว และจะมาอธิบายกันในความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ เป็นอันดับต่อไป

ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า อาตมันของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยกับเหตุผลทางสติปัญญาความจำเป็นที่ต้องมีอยู่ (วาญิบุลวุญูด) จะต้องมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุดในอาตมันของพระองค์ และขณะที่อาตมันของพระองค์ มีคุณลักษณะที่มีความสมบูรณ์ พระองค์จะปราศจากคุณลักษณะเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

๙๙

 เพราะถ้าหากว่าพระองค์ทรงปราศจากคุณลักษณะเหล่านั้น ก็แสดงว่าคุณลักษณะของพระองค์มีข้อบกพร่อง และมีขอบเขตจำกัด เช่น คุณลักษณะ ความรอบรู้ ความสามารถ พลังอำนาจ การมีชีวิต และ อื่นๆ ทั้งหมดของคุณลักษณะดังกล่าวมีอยู่ในอาตมันของพระองค์ และเป็นคุณลักษณะที่มีความสมบูรณ์ที่สุด อีกทั้งยังเป็นคุณลักษณะที่ไม่มีขอบเขตจำกัด

หลังจากนั้น ได้มีคำถามเกิดขึ้นอีกว่า อะไรคือ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่าง คุณลักษณะที่มีความสมบูรณ์ที่สุด กับอาตมันของพระเจ้า ? แล้วคุณลักษณะเหล่านั้น เป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระองค์หรือไม่? แล้วคุณลักษณะเหล่านั้น ได้เกิดขึ้น หลังจากการมีมาของอาตมันของพระองค์หรือไม่

สำหรับคำตอบของคำถามเหล่านี้  ถ้าหากต้องการความชัดเจนในคำตอบ ให้สังเกตุในการมีอยู่ของคุณลักษณะในมนุษย์ จะเห็นว่า บางคุณลักษณะมิได้มีอยู่ภายนอกตัวของเขา แต่ทว่า คุณลักษณะนั้นมีอยู่ภายในตัวของเขา เช่น ความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะหนึ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ และคุณลักษณะนี้ก็เป็นหนึ่งเดียวในตัวเขาด้วย และคุณลักษณะนี้มิได้เกิดขึ้นหลังจากตัวเขา และยังมีคุณลักษณะอื่นๆ อีก ที่เกิดขึ้นหลังจากมนุษย์ เช่น คุณลักษณะ ความดีใจ ความโกรธ ซึ่งในตัวมนุษย์มิได้มีคุณลักษณะเหล่านี้ และ ในความเป็นจริง ความดีใจ และความโกรธ มิได้มีอยู่ในตัวมนุษย์ และจะมาอธิบายกันในประเด็นคุณลักษณะของพระเจ้า และคุณลักษณะที่มีอยู่ในพระองค์นั้นเป็นเช่นไร? 

และก่อนที่จะตอบคำถามนี้ จะมาอธิบายในบทนำเบื้องต้นก่อน เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจในคำตอบมากยิ่งขึ้น

๑๐๐

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

ดังนั้น ถ้าหากว่า การใช้สติปัญญาในสัญลักษณ์ทั้งหลายของพระเจ้า ไม่เป็นผลดีกับเราแล้ว ทำไมอัล-กุรอานจึงได้เชิญชวนมนุษย์ให้ใช้สติปํญญาด้วย

๒.อิสลามมีความเชื่อว่า การเคารพภักดีต่อพระเจ้า ถือเป็นเป้าหมายที่สูงสุดในการสร้างสรรค์ของพระองค์ ดังโองการที่ได้กล่าวว่า

 “เรามิได้สร้างมนุษย์และญินมาเพื่ออื่นใด นอกจากการเคารพภักดีต่อข้าเท่านั้น”

“และเราได้ส่งศาสนทูตมาทุกประชาชาติเพื่อทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์”

และโองการต่างๆที่มีความหมายคล้ายคลึงกันนี้ ก็มีอีกมากมาย และการเคารพภักดีในสิ่งที่ไม่รู้ในตัวตนและคุณลักษณะของสิ่งนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำการเคารพภักดีในสิ่งที่ตนเองนั้นไม่รู้จักในสิ่งที่เคารพภักดี สมมุติว่า เช่น เราไม่รู้ในความหมายของการมีพลังอำนาจ แล้วจะร้องขอความช่วยเหลือกันทำไมละ  ดังนั้น การเกิดขึ้นของการเคารพภักดี ต้องเริ่มต้นด้วยกับการรู้จักถึงสิ่งที่ต้องให้การเคารพภักดีเสียก่อน

เหตุผลที่ผิดพลาดของพวกตะอฺตีลก็คือ พวกเขามีความสับสนในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และการไม่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงในคุณลักษณะของพระองค์ และเช่นเดียวกัน ทัศนะของพวกตัชบิฮ์ก็ถือว่า ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะว่าพวกเขามีความขัดแย้งกับความเชื่อในคุณลักษณะที่ไม่มีอยู่ในพระเจ้า

๒๔๑

   แนวทางในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า

    เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่า มนุษย์นั้น มีความสามารถรู้จักถึงคุณลักษณะของพระเจ้าได้ ด้วยกับการรับรู้โดยผ่านสื่อ เพราะฉะนั้น แนวทางในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า จึงมีด้วยกัน หลายแนวทาง ซึ่งมีดังนี้

๑.แนวทางในการใช้สติปัญญา เป็นแนวทางหนึ่งในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า โดยการใช้หลักการทางปรัชญา และตรรกศาสตร์มาพิสูจน์ในการมีอยู่ของคุณลักษณะของพระองค์ ซึ่งในบทก่อนๆได้กล่าวไปแล้วว่า พระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ และเป็นปฐมของเหตุทั้งหลาย  และจากการใช้สติปัญญาทำให้มีความเข้าใจในคุณลักษณะของพระเจ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น และการยอมรับว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะที่จำเป็นที่ต้องมีอยู่ หมายความว่า พระองค์นั้นไม่มีร่างกายและชิ้นส่วน

๒.แนวทางในการศึกษา และวิจัยสิ่งที่อยู่ในจักรวาล  ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า เช่น ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก บ่งบอกถึง การมีอยู่คุณลักษณะความรู้ของพระเจ้า และการอยู่คงที่ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ บ่งบอกถึง การมีอยู่คุณลักษณะวิทยปัญญาของพระองค์

๒๔๒

ความแตกต่างในแนวทางแรกและแนวทางที่สอง ก็คือ

๑.ข้อพิสูจน์ที่นำมาใช้ในแนวทางแรก เป็นหลักการปรัชญาและตรรกศาสตร์

๒.ข้อพิสูจน์ที่ใช้ในแนวทางที่สอง  เป็นการใช้วิทยาศาสตร์เป็นหลัก โดยอาศัยหลักการของปรัชญาและตรรกศาสตร์มาช่วยเช่นกัน

ดังนั้น แนวทางที่สอง เป็นแนวทางที่อัล กุรอานได้กล่าวเน้นย้ำและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และก็เป็นวิธีการของบรรดานักเทววิทยาอิสลามด้วยเช่นกัน

๓.แนวทางที่สาม เป็นแนวทางที่ใช้จากการอธิบายจากอัล กุรอานและวจนะในอิสลาม

โดยอัล กุรอานได้กล่าวถึง การมีอยู่ของพระเจ้า ,สภาวะการเป็นศาสนทูตของท่านศาสดามุฮัมมัด ,การมีอยู่คุณลักษณะของพระเจ้า และประเด็นใดก็ตามที่สติปัญญาไปไม่ถึง เราสามารถหาคำอธิบายได้จากอัลกุรอานและในวจนะ

๔.แนวทางที่สี่ เป็นแนวทางที่เฉพาะกับกลุ่มชนกลุ่มหนึ่ง เรียกแนวทางนี้ว่า แนวทางรหัสยนิยม หมายถึง การมองเห็นพระเจ้าในอีกมิติหนึ่งที่พ้นจากญาณวิสัย ซึ่งการรู้จักในแนวทางนี้ได้ จากการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในคำสั่งสอนของศาสนา

๒๔๓

   พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด

   ได้อธิบายแล้วว่า สติปัญญาได้ทำให้พระเจ้ามีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะอธิบายและพิสูจน์ในการมีคุณลักษณะของพระองค์

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ จากการพิสูจน์ทางสติปัญญาในคุณลักษณะความจำเป็นที่ต้องมีอยู่และความเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย ยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ยิ่ง และไม่มีข้อบกพร่องใดในอาตมันของพระองค์  ซึ่งจะขอกล่าวสัก ๒ เหตุผลของความสมบูรณ์ในคุณลักษณะของพระเจ้า

เหตุผลที่หนึ่ง มี หลายองค์ประกอบด้วยกัน ซึ่งมีดังนี้

๑.คุณลักษณะต่างๆเช่น ความรู้ ,พลังอำนาจ , ความประสงค์ และการมีชีวิต ทั้งหมดนั้นเป็นคุณลักษณะที่สมบูรณ์ เพราะสติปัญญาได้กล่าวว่า ความรอบรู้ เมื่อได้เปรียบเทียบกับความไม่รู้ ก็คือ ความสมบูรณ์ และความไม่รู้ เมื่อได้เปรียบเทียบกับความรู้ คือ ความบกพร่อง

๒.สรรพสิ่งที่มีอยู่ มีคุณลักษณะต่างๆที่สมบูรณ์ แม้ว่าบางส่วนจะไม่มีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ก็ตาม เช่น ความเป็นวัตถุ เพราะฉะนั้น การมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ แสดงว่าสิ่งนั้นต้องมีอยู่

๓.พระเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง เป็นสิ่งมีอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด และไม่มีสารัตถะ นั่นก็คือ การมีขอบเขตของพระองค์

๔.ตามหลักการหนึ่งของปรัชญา กล่าวว่า ทุกคุณลักษณะที่มีในพระเจ้า หมายความว่า จำเป็นจะต้องมีอยู่ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่พระองค์จะต้องมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์

๒๔๔

เหตุผลที่สอง ความเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย

ข้อพิสูจน์ของเหตุผลนี้ ซึ่งมีดังนี้

๑.พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้มีสิ่งทั้งหลาย กล่าวคือ พระองค์เป็นปฐมเหตุ และสิ่งต่างๆเป็นผลของเหตุ

๒.ด้วยกับหลักการหนึ่งของปรัชญาที่ได้กล่าวว่า กฏของเหตุและผล อธิบายไว้ว่า ผู้ที่เป็นปฐมเหตุ ต้องมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ หมายความว่า ทุกระดับขั้นของความสมบูรณ์มีอยู่ในพระเจ้า

๓.พระเจ้า เป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลายและมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด

๔.คุณลักษณะต่างๆเช่น ความรู้, พลังอำนาจ,และการมีชีวิตนั้น มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า ในสภาพที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุด

ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย และพระองค์มีคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบที่สุด

   การอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า

    ประเด็นหลักที่สำคัญของคุณลักษณะของพระเจ้า คือ การอธิบายความหมายคุณลักษณะของพระองค์

ความหมายของผู้รอบรู้และผู้มีพลังอำนาจ ในประโยคที่ได้กล่าวว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงรอบรู้ และเป็นผู้ทรงมีพลังอำนาจ มีความหมายว่าอย่างไร? และความหมายนั้นมีความหมายเดียวกันกับความหมายของผู้รู้และผู้มีพลังอำนาจในมนุษย์ใช่หรือไม่?

๒๔๕

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ก็คือ เป็นคำถามที่ยากจะตอบได้ เพราะถ้าหากว่า เรายอมรับในความหมายของคุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้านั้นก็หมายความว่า คุณลักษณะของพระองค์มีความหมายเดียวกับความหมายของคุณลักษณะที่มีอยู่ในตัวมนุษย์แล้วละก็เท่ากับว่าเราได้ยอมรับความเชื่อของพวกตัชบิฮ์

ในขณะเดียวกันเรากล่าวว่า พระเจ้า พระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งใดที่มีในโลก ดังนั้น สามารถจะกล่าวว่า จากเหตุผลของหลักปรัชญาและตรรกศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า ความหมายของคุณลักษณะในพระเจ้านั้น ไม่เหมือนกันกับความหมายของคุณลักษณะในมนุษย์ ดังนั้น ความหมายของคุณลักษณะในพระเจ้าจึงไม่เหมือนกับความหมายของคุณลักษณะในมนุษย์

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คำที่นำมาใช้ต้องไม่มีความขัดแย้งกับหลักตรรกศาสตร์ และความหมายของคุณลักษณะก็คือ ในความหมายที่ปรัชญาและตรรกศาสตร์ได้ยืนยันและรับรอง

ได้อธิบายแล้วว่า ความเชื่อของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ที่ได้กล่าวว่า มนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะรู้จักในคุณลักษณะของพระเจ้าได้  เพราะไม่สามารถอธิบายในความหมายของคุณลักษณะของพระองค์ได้ ดังนั้น พวกเขาคือ พวกตะอฺตีล  และพวกเขากล่าวว่า สติปัญญาของมนุษย์ไปไม่ถึงการรู้จักพระเจ้า

บัดนี้ จะมาดูกันว่า ยังมีแนวทางใดบ้าง ที่จะรู้จักในคุณลักษณะของพระเจ้าได้  และคำถามนี้ในอดีตก็เคยถามมาแล้ว ในแวดวงของบรรดานักเทววิทยาอิสลาม

๒๔๖

สำหรับคำตอบก็คือ มีหลายทัศนะด้วยกัน แต่จะขอกล่าวเพียงทัศนะเดียว และเป็นทัศนะที่บรรดานักปรัชญาและบรรดานักเทววิทยาอิสลามยอมรับ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า มนุษย์มีคุณลักษณะต่างๆมากมาย เช่น ความรู้,พลังอำนาจ การมีชีวิต และเมื่อได้เปรียบเทียบกับความไม่รู้,ความอ่อนแอ คุณลักษณะทั้งหมดนั้น เป็นคุณลักษณะที่มีความสมบูรณ์

และเมื่อเป็นเช่นนี้ อันดับแรก ต้องมาไตร่ตรองอย่างละเอียดในความหมายของคุณลักษณะที่มีความสมบูรณ์กันก่อน  และหลังจากนั้น ก็มาทำการรู้จักในคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวของคุณลักษณะเหล่านั้น เช่น การเพิ่งมีอยู่ ,การสูญสลาย,ความต้องการสื่อ และการยอมรับความผิดพลาด เ ป็นต้นฯ และต่อมาก็นำเอาคุณสมบัติทั้งหมดนั้นแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ ดังนั้น ความรู้ จะมีความจำกัดและขอบเขต และถ้าหากว่ามีคุณสมบัติที่ได้กล่าวไปแล้ว ความรู้ของมนุษย์ ก็เป็นความรู้ที่เพิ่งมีมาและเกิดขึ้น ความรู้อันนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะหมดไป หรือสูญสลาย และการรับเอาความรู้ต้องผ่านจากสื่อทั้งหลาย และความรู้มีความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ได้กล่าวไปนั้น บ่งบอกถึง ความมีขอบเขตในคุณลักษณะความรู้ของมนุษย์ ส่วนความรู้ของพระเจ้านั้น มีความแตกต่างจากความรู้ของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง เพราะว่า ความรู้ของมนุษย์มีที่สิ้นสุดและมีความผิดพลาด แต่ความรู้ของพระองค์นั้น ไม่มีที่สิ้นสุด และความผิดพลาดใดเกิดขึ้นเลย

๒๔๗

   การหยุดนิ่ง(เตากีฟ) ของนามทั้งหลายและคุณลักษณะของพระเจ้า

    บรรดานักเทววิทยาอิสลาม บางสำนักคิด มีความเชื่อว่า นามทั้งหลายและคุณลักษณะของพระเจ้านั้น มีการหยุดนิ่ง ความหมายของการหยุดนิ่ง ก็คือ การยอมรับการกล่าวนามและการอธิบายเกี่ยวกับพระเจ้า ที่มีความจำกัดในอัล กุรอานและวจนะเท่านั้น หมายความว่า การรู้จักพระเจ้าได้ ด้วยกับนามและคุณลักษณะทั้งหลายที่กล่าวไว้ในอัล กุรอานและวจนะ ก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว เพราะว่า สติปัญญาของมนุษย์ไปไม่ถึงการรู้จักในพระองค์อย่างแท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า มีนักเทววิทยา สำนักคิดหนึ่งได้กล่าวว่า พวกเรามีความเชื่อว่า ไม่มีการหยุดนิ่งในการรู้จักพระเจ้าจากอัลกุรอานและวจนะ แต่สามารถที่จะกล่าวนามของพระเจ้า ด้วยกับเงื่อนไขที่ว่าต้องไม่เกิดความเป็นขอบเขตในคุณลักษณะเหล่านั้น และจากประเด็นการอธิบายความหมายของคุณลักษณะของพระเจ้า และหนึ่งในคุณลักษณะของพระองค์ก็คือ การไม่มีความผิดพลาดและข้อบกพร่อง บ่งบอกว่า สติปัญญาได้อนุญาตให้มนุษย์อธิบายคุณลักษณะของพระเจ้าตามความต้องการของเขาได้ ดังนั้น ไม่มีเหตุผลใดจากการใช้สติปัญญาที่กล่าวว่า มีการหยุดนิ่งในนามและคุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้า

บรรดานักเทววิทยาที่ยอมรับในความเชื่อการหยุดนิ่งในนามและคุณลักษณะของพระองค์นั้น ซึ่งในความเป็นจริง พวกเขามิได้มีเหตุผลใดมายืนยัน เพียงแต่กล่าวอ้างในโองการดังต่อไปนี้

๒๔๘

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “และสำหรับอัลลอฮ์ พระองค์ทรงมีพระนามทั้งหลายอันสวยงาม แล้วพวกเจ้าจงเรียกหาพระองค์ด้วยพระนามเหล่านั้น และจงปล่อยบรรดาผู้ที่ทำให้เฉไฉในพระนามของพระองค์ พวกเขาจะถูกตอบแทนในสิ่งที่ได้กระทำไป”(บทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ ๑๘๐)

พวกเขาได้กล่าวว่า ความหมายของการปล่อยบรรดาผู้ที่เฉไฉจากการกล่าวพระนาม คือ การไม่อนุญาตให้กล่าวพระนามอื่นที่ไม่มีในอัล กุรอาน เพราะว่า การกระทำเช่นนี้ พวกเขาจะถูกตอบแทนด้วยการลงโทษจากพระเจ้า ดังนั้น ทัศนะการหยุดนิ่ง ถือว่า เป็นทัศนะที่ถูกต้อง

นอกเหนือจากนี้ ได้มีวจนะอีกมากมายที่กล่าวถึง การห้ามมิให้อธิบายเกี่ยวกับพระเจ้าที่มิได้ถูกกล่าวใน

อัล กุรอาน เช่น วจนะจากท่านอิมามกาซิม (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

 “แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่เหนือการอธิบายในความเป็นจริงของพระองค์ ดังนั้น พวกเจ้าจงอธิบายพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์อธิบายไว้ และจงออกห่างจากสิ่งที่นอกเหนือจากนั้น”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๐๒ )

 จากวจนะทั้งหลายที่มีจำนวนมากมาย แสดงให้เห็นว่า แม้ทัศนะของการหยุดนิ่ง จะไม่ถูกต้องก็ตาม แต่ให้เราหลีกเลี่ยงจากการไม่กล่าวพระนามที่มิได้ถูกกล่าวในอัล กุรอานและวจนะ

๒๔๙

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ตะอ์ตีล       :     Agnosticism

ตัชบิฮ์   :    Anthropomorphism

การหยุดนิ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า(เตากีฟ ซิฟาต)

   สรุปสาระสำคัญ

๑.พวกตะอ์ตีล มีความเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักถึงพระเจ้า เพราะว่าสติปัญญาไปไม่ถึงและไม่มีความสามารถที่จะรู้จักความเป็นจริงของพระองค์ได้ แต่เพียงยอมรับว่า มีคุณลักษณะของพระเจ้าที่ถูกกล่าวไว้ในอัล กุรอานและวจนะ

๒. พวกตัชบิฮ์ มีความเชื่อว่า เป็นไปได้ที่จะรู้จักถึงพระเจ้า เพราะว่าสติปัญญามีความสามารถที่จะรู้จักพระองค์ได้และความหมายของคุณลักษณะของพระองค์เหมือนกับคุณลักษณะของมนุษย์และไม่มีความแตกต่างกันเลย

๓.มีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่กล่าวว่า ทัศนะของพวกตะอ์ตีลนั้น ไม่ถูกต้อง เช่น อัล กุรอานจากโองการทั้งหลาย ได้เชิญชวนมนุษย์ไปสู่การใช้ความคิดในโองการที่กล่าวถึงคุณลักษณะของพระเจ้า และการเคารพภักดีนั้นต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักผู้ที่จะทำการเคารพภักดีด้วยเช่นเดียวกัน และทัศนะของอิสลามกล่าวว่า การรู้จักพระเจ้าเป็น ความสมบูรณ์หนึ่งของมนุษย์ทุกคน และการรู้จักที่ดีที่สุด คือ การรู้จักพระองค์โดยตรง

๔.ความเชื่อของพวกตัชบิฮ์ ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะว่ามีความขัดแย้งกับคุณลักษณะที่ไม่มีอยู่ในพระเจ้า

๒๕๐

๕.มนุษย์ยังมีหลายวิธีการและแนวทางในการรู้จักถึงคุณลักษณะของพระเจ้า

วิธีการทางสติปัญญา หมายถึง การใช้เหตุผลในการรู้จักถึงคุณลักษณะประการหนึ่งของพระองค์

วิธีการค้นคว้าในหลักและกฏความระบบและระเบียบของโลก เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการรู้จักคุณลักษณะของพระองค์

วิธีการศึกษาจากอัล กุรอานและวจนะ ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

อีกวิธีการหนึ่งในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า คือ วิธีการทางรหัสยนิยม เป็นวิธีการของบางสำนักคิดในอิสลาม โดยพวกเขารู้จักคุณลักษณะของพระเจ้าได้ด้วยกับตาแห่งปัญญา มิใช่จากตาเนื้อ

๖.จากเหตุผลต่างๆได้พิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้า มีคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบที่สุด และทุกคุณลักษณะก็บ่งบอกถึง การมีอยู่ที่มีความสมบูรณ์ของพระองค์ ซึ่งมิได้มีขอบเขตจำกัด และมีที่สิ้นสุด

๗.การหลีกเลี่ยงของพวกตะอ์ตีลและตัชบิฮ์ในการอธิบายถึงคุณลักษณะของพระเจ้า ก็คือ การอธิบายคุณลักษณะของพระองค์ที่มีความหมายเหมือนกับคุณลักษณะของมนุษย์ แต่มีความแตกต่างกันตรงที่คุณลักษณะของมนุษย์นั้นมีขอบเขตจำกัด ส่วนคุณลักษณะของพระเจ้าไม่มีขอบเขตและที่สิ้นสุด

๘.แม้ว่าจะไม่มีเหตุผลที่ยืนยันชัดเจนจากอัล กุรอานว่า ทัศนะการหยุดนิ่งนั้น มีความถูกต้อง แต่ยังได้มีวจนะทั้งหลายที่กล่าวถึง ความถูกต้องของทัศนะนี้ ด้วยเหตุนี้ เป็นการดีที่สุดให้เราหลีกเลี่ยงจากการไม่กล่าวพระนามและคุณลักษณะที่มิได้ถูกกล่าวไว้ในอัล กุรอาน

๒๕๑

   บทที่ ๓

   อัล กุรอานกับการอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า

    กล่าวไปแล้วว่า ไม่มีวิธีการใดที่จะรู้จักในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าได้  แต่มีวิธีการเดียวที่จะรู้จักถึงพระองค์ คือ การรู้จักด้วยนามทั้งหลายและคุณลักษณะของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในเป้าหมายของอัล กุรอาน คือ การทำให้มนุษย์รู้จักพระเจ้าให้ลึกที่สุดเท่าที่จะมากได้ และโองการต่างๆของอัล   กุรอานยังได้กล่าวถึง คุณลักษณะของพระองค์ เป็นจำนวนหลายร้อยกว่าโองการ และกล่าวถึง คุณลักษณะของพระเจ้าโดยตรง และยังได้กล่าวนามทั้งหลายของพระองค์อีกด้วย

ดังนั้น จงจำไว้เถิดว่า การรู้จักพระเจ้า จากคุณลักษณะของพระองค์นั้น เป็นวิธีการรู้จักที่ยิ่งใหญ่ และการศึกษาและวิเคราะห์ในคุณลักษณะของพระองค์อย่างละเอียด จะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เพราะว่า ถ้าหากว่ามีความผิดพลาด ก็จะเป็นเหมือนกับความเชื่อของพวกตัชบิฮฺ 

อัล กุรอานได้อธิบายถึง คุณลักษณะของพระองค์ว่า ไม่เหมือนกับทัศนะของพวกตัชบิฮ์

 อัล กุรอานกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะรู้จักอาตมันของพระเจ้า  และเช่นกันความรู้ของมนุษย์ก็ไปไม่ถึง สารัตถะที่แท้จริงของพระองค์

อัล กุรอานกล่าวว่า

“พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา และสิ่งต่าง ๆที่อยู่ลับหลังพวกเขาและความรู้ของพวกเขาไม่อาจจะเท่าเทียมความรู้ของพระองค์ได้” (บทฏอฮา โองการที่ ๑๑๐)

๒๕๒

และ กล่าวอีกว่า

“พระเจ้าผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงทำให้มีคู่ครองแก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้าเอง และจากปศุสัตว์ทรงให้มีคู่ผัวเมีย ด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงแพร่พันธุ์พวกเจ้าให้มากมาย ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น”

( บทอัชชูรอ โองการที่ ๑๑)

ด้วยกับความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ได้กล่าวไปแล้วว่า โองการเหล่านี้กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระองค์ และ ยังได้ปฏิเสธการมีอยู่ของอาตมันอื่นเคียงข้างพระองค์ และการไม่เหมือนกันของคุณลักษณะของพระองค์กับคุณลักษณะของสิ่งอื่น

 ด้วยเหตุนี้ โองการนี้ กล่าวถึง พระผู้เป็นเจ้า มีอาตมันที่บริสุทธิ์ และไม่มีที่สิ้นสุด และในคุณลักษณะของพระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งใด และเช่นเดียวกัน จากโองการสุดท้ายของบทอัตเตาฮีด ก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า พระเจ้าไม่เหมือนกับสิ่งใด

อัล กุรอานยังได้กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากทัศนะของพวกตัชบิฮ์ และความไม่ถูกต้องของทัศนะนี้แล้ว และโองการต่างๆ ยังได้กล่าวอีกว่า พระเจ้าทรงไม่มีคุณลักษณะในด้านลบในอาตมันของพระองค์ เช่น พระองค์ไม่มีที่พำนักและกาลเวลา

และอัล กุรอานได้กล่าวไว้เช่นกันอีกว่า พระเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งที่มนุษย์ได้ทำให้เหมือน

๒๕๓

อัล กุรอานกล่าวว่า

“และพวกเขาได้ให้มีขึ้นแก่อัลลอฮ์ ซึ่งบรรรดาภาคีแห่งญิน ทั้งๆที่พระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา แต่พวกเขาอุปโลกน์ให้แก่พระองค์ซึ่งบรรดาบุตรชาย และบรรดาบุตรหญิง โดยปราศจากความรู้พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวให้ลักษณะต่อพระองค์”

 (บทอัลอันอาม โองการที่ ๑๐๐ )

และกล่าวอีกว่า

“พวกเขามิได้ให้เกียรติอัลลอฮ์ ตามที่ควรจะให้เกียรติต่อพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพโดยแท้จริง” (บทอัลฮัจญ์ โองการที่ ๗๔ )

โองการเหล่านี้ได้กล่าวถึง ประตูแห่งการรู้จักพระเจ้า ได้ถูกปิดลง และมนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะรู้จักถึงพระองค์ได้ นอกจากการหยุดนิ่งจากการใช้สติปัญญา ดังนั้น ทัศนะนี้ถือว่า เป็นโมฆะ เพราะจากโองการทั้งหลายที่กล่าวถึง ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจากการเหมือนของคุณลักษณะของพระองค์กับคุณลักษณะของสิ่งอื่น และมีโองการอีกมากมายที่กล่าวถึง พระนามและคุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้า

ด้วยเหตุนี้ อัลกุรอานได้เชิญชวนมนุษย์ทุกคนให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองในสัญลักษณ์ต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า และได้กล่าวในคุณลักษณะของพระองค์ว่า ไม่เหมือนกับทัศนะของพวกตัชบิฮ์และตะอ์ตีล แต่ยังมีแนวทางสายกลางในการรู้จักถึงคุณลักษณะของพระองค์ นั่นคือ มนุษย์สามารถรู้จักคุณลักษณะของพระองค์ได้ และคุณลักษณะของพระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่ในโลก

๒๕๔

   คุณลักษณะของพระเจ้าในมุมมองของวจนะ

   จากการศึกษาในหลักฐานการบันทึก ทำให้เข้าใจได้ว่า แนวทางของวจนะในอิสลาม เหมือนกับแนวทางของอัล กุรอานในการอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า ดังเช่น วจนะหนึ่ง ของท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) เกี่ยวกับการอธิบายในความหมายของอัล กุรอาน โองการที่ ๑๑๐ บทฏอฮา

อิมามอะลีกล่าวว่า

“ไม่มีสรรพสิ่งใดที่จะมีความรู้ในพระเจ้าได้ เพราะว่า พระองค์ ผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงส่ง ได้ประทานม่านกั้นมาปิดในสายตาแห่งปัญญา ดังนั้น ไม่มีความคิดใดที่จะไปถึงการรู้จักพระองค์ และไม่มีหัวใจใดที่จะพิสูจน์การมีอยู่ของพระองค์ และพวกเจ้า อย่าได้กล่าวคุณลักษณะของพระองค์ นอกจากสิ่งที่กล่าวไปแล้ว  พระองค์ทรงไม่เหมือนกับสิ่งใด อีกทั้งพระองค์ทรงได้ยิน และทรงมองเห็น”

(ตัฟซีร นูรุล อัซซะกะลัยน์ เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๓๙๔ )

ท่านอิมามได้อธิบายในคุณลักษณะของพระเจ้าว่า ไม่มีสิ่งถูกสร้างใดที่จะมีความรู้ในอาตมันของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์

๒๕๕

ท่านอิมามได้กล่าวในบทเทศนา ที่มีนามว่า อิชบาฮ์ ว่า

“พวกเขากล่าวโกหกว่าพระเจ้า เหมือนกับบรรดาเจว็ดที่พวกเขาสักการะบูชา และสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ของสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย อีกทั้งพวกเขาคิดว่า พระองค์มีรูปร่าง และได้เปรียบพระองค์เหมือนกับสิ่งถูกสร้างที่มีพลังมหาศาล”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะ สุนทรโรวาทที่ ๙๑)

ด้วยเหตุนี้เอง อัล กุรอานได้อธิบายว่า ไม่ยอมรับในทัศนะของพวกตัชบิฮ์และตะอ์ตีล และยังมีวจนะทั้งหลายที่กล่าวถึงเรื่องนี้ เช่น วจนะของท่านอิมามอะลี ที่กล่าวว่า

“สติปัญญาของมนุษย์ไปไม่ถึงขอบเขตของคุณลักษณะของพระเจ้า และพวกเขาไม่ถูกปกปิดจากการรู้จักพระองค์”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะ สุนทรโรวาทที่ ๔๙)

นอกเหนือจากนี้ ในวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่าน เกี่ยวกับ การรู้จักพระเจ้า ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของพระองค์ไว้ด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์มีความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าด้วยกับคุณลักษณะของพระองค์

๒๕๖

   สรุปสาระสำคัญ

๑.อัล กุรอานได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ไม่มีความรู้ใดที่จะรู้จักในอาตมันที่แท้จริงของพระเจ้าได้

๒.ตามทัศนะของอัล กุรอาน ถือว่า พวกตัชบิฮ์ มีทัศนะที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่า โองการทั้งหลายได้กล่าวปฏิเสธว่า พระเจ้าเหมือนกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และโองการอื่นอีกก็ได้กล่าวว่า พระเจ้าไม่มีคุณลักษณะในด้านลบ เช่น พระองค์ไม่มีที่พำนักกาลเวลา และไม่มีที่สิ้นสุด

๓.ความเชื่อของพวกตะอ์ตีล ก็ถือว่า ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน ซึ่งในมุมมองของอัล กุรอาน  ได้เชิญชวนมนุษย์ให้ใช้ความคิดในสัญลักษณ์ทั้งหลายของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ จะกล่าวได้ว่า ตามทัศนะของอัล กุรอาน กล่าวว่า เป็นที่อนุญาตให้มนุษย์รู้จักคุณลักษณะของพระองค์ได้

๔.วจนะทั้งหลายได้กล่าวว่า ทัศนะของพวกตัชบิฮ์และตะอ์ตีล ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง และยังกล่าวอีกว่า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ซึ่งบ่งบอกถึง การรู้จักพระองค์นั้น มีความเป็นไปได้

๒๕๗

   บทที่ ๔

   ความรู้ของพระเจ้า (อิลม์ อิลาฮีย์)

    ความรู้ คือ หนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า  และในทัศนะของอิสลามได้กล่าวว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่งและทุกกิจการในเอกภพนี้ และจะกล่าวในภายหลังว่า ความรู้ เป็น คุณลักษณะที่มีในอาตมัน (ซิฟัต ซาตีย์) และเป็นคุณลักษณะในกิริยา การกระทำ (ซิฟัต เฟียะลีย์) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความรู้ของพระเจ้านั้น มีระดับขั้นที่แตกต่างกัน บางส่วนเป็นคุณลักษณะที่มีในอาตมัน และบางส่วนเป็น คุณลักษณะในกิริยา การกระทำ

   ความรู้ คือ อะไร?

    เป็นที่รู้กันดีว่า คำว่า ความรู้ (อิลม์ )นั้น มีความหมายที่ชัดเจนโดยที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เพราะว่า ความรู้ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ เหมือนกับความรู้สึกสัมผัสภายในของเขา หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีความรู้มาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้น ก็มีความรู้ขึ้นมา ดังนั้น ความรู้ จึงหมายถึง การรับรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เมื่อได้เปรียบเทียบความรู้ของมนุษย์กับความรู้ของพระเจ้า จะเห็นได้ว่า ความรู้ของมนุษย์นั้นมีขอบเขตที่จำกัด ส่วนความรู้ของพระเจ้า เป็นความรู้ที่ไม่มีขอบเขต และไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่า ความรู้ของมนุษย์เกิดขึ้นจากการรับรู้ด้วยกับประสาทสัมผัสจากสิ่งที่อยู่ภายนอกและภายใน เช่น การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นความรู้ที่มิได้มีมาแต่ดั้งเดิม และก็สามารถที่ทำลายและสูญสลายได้

  ส่วนความรู้ของพระเจ้า เป็นความรู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด เป็นความรู้ที่มีมาแต่ดั้งเดิมและไม่ต้องใช้สื่อในการรับรู้

๒๕๘

ความรู้โดยตรงและความรู้โดยผ่านสื่อ

   ได้กล่าวแล้วว่า ความรู้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสอง ประเภท ความรู้โดยตรง และความรู้โดยผ่านสื่อ สิ่งที่รับรู้ในความรู้โดยตรง คือ ตัวของตนเอง ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ถูกรับรู้ในความรู้โดยผ่านสื่อ คือ การมโนภาพจากการใช้สติปัญญา กล่าวคือ สิ่งหนึ่งต้องใช้การมโนภาพ จึงจะไปสู่การรับรู้นั้นได้ ดังนั้น ความรู้ของมนุษย์ในการรู้จักตนเอง ความรู้ในความรู้สึกภายใน เช่น ความรู้สึกกลัว ,โกรธ, ความรัก เป็นความรู้โดยตรง  ส่วนความรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า กล่าวคือ การมองเห็นด้วยตา การได้รับกลิ่นด้วยจมูก การได้ลิ้มรสด้วยปาก การสัมผัสด้วยมือ  การได้ยินด้วยหู และความรู้ที่เกิดจากการใช้เหตุผลทางสติปัญญา เป็นความรู้โดยผ่านสื่อ  และจากการแบ่งประเภทข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า ความหมายของ ความรู้ คือ การมีอยู่ของ สิ่งที่ถูกรับรู้(มะอ์ลูม) ใน ผู้รับรู้ (อาลิม) ความหมายนี้มีความสมบูรณ์ เพราะว่า สามารถใช้ได้ทั้งสองประเภทของความรู้ กล่าวคือ ความรู้โดยตรง และความรู้โดยผ่านสื่อ  และจากความหมายนี้ ได้รวมถึงความรู้ของสรรพสิ่งที่มีอยู่ และความรู้ของพระเจ้า ในเวลาที่เรากล่าวว่า ความรู้ของพระเจ้า หมายถึง พระองค์ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง และมาตรฐานของความรู้ของพระเจ้า ก็คือ การมีอยู่ในอาตมันของพระองค์ และการมีอยู่ของสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม จึงมีความเห็นตรงกันว่า ความรู้ของพระเจ้า เป็น ความรู้โดยตรง ด้วยกับเหตุผลที่ว่า ความรู้โดยผ่านสื่อนั้น เกิดขึ้นจากการมโนภาพของสิ่งหนึ่ง ที่เรียกว่า สิ่งถูกรับรู้ เพราะผู้รับรู้มีความต้องการรู้ในสิ่งที่รับรู้ ในขณะเดียวกัน ความรู้ของพระเจ้า มิได้มีความต้องการมโนภาพ แต่สิ่งที่รับรู้นั้นได้เกิดขึ้นในพระองค์

๒๕๙

   ระดับขั้นความรู้ของพระเจ้า

    หลังจากที่ได้อธิบายในความหมายของ ความรู้ ไปแล้ว ตอนนี้ จะมาอธิบายเกี่ยวกับ ระดับขั้น ความรู้ของพระเจ้า

ความรู้ของพระเจ้า ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ระดับขั้น

๑.ความรู้ในอาตมันหรือตัวตน

๒.ความรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลาย

ความรู้ในสรรพสิ่ง ก็แบ่งออกอีก สอง ระดับขัึ้น

๑.ความรู้ก่อนการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง

๒.ความรู้หลังการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง

สามารถสรุปได้ว่า ความรู้ของพระเจ้ามี ๓ ระดับขั้น

๑.ความรู้ในอาตมันของพระองค์

๒.ความรู้ในสรรพสิ่งก่อนการเกิดขึ้น

๓.ความรู้ในสรรพสิ่งหลังการเกิดขึ้น

 

   ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า

   ความหมายของ ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า หมายถึง การมีอยู่ของอาตมันในพระเจ้า ดังนั้น มาตรฐานในความรู้ของพระเจ้า ก็คือ การมีอยู่ และก่อนที่จะพิสูจน์ในระดับขั้นของความรู้นี้ สิ่งที่ควรรู้ ซึ่งมีดังนี้

มนุษย์ไม่มีความรู้ในตัวตนของพระเจ้า  และเช่นกัน คุณลักษณะของพระองค์ แต่มนุษย์รู้จักพระองค์ได้ ด้วยกับความหมายที่ได้รับรู้จากความรู้โดยผ่านสื่อ

๒๖๐

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450