บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339906 / ดาวน์โหลด: 4959
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

   ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมายและความเป็นจริง

(วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์และวะฮ์ดัตอัยนีย์)

    ในขณะที่มีการกล่าวกันว่า ความเป็นหนึ่งเดียวที่มีในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้ากับคุณลักษณะของพระองค์ นั้นมีความหมายเป็นหนึ่งเดียวกัน (วะฮ์ดัต) ดังนั้น ความเป็นหนึ่งเดียว(วะฮ์ดัต) ดังกล่าวมีความหมายว่าอย่างไร? และเราสามารถแบ่งออกเป็นได้ กี่ประเภทด้วยกัน

ซึ่งจะกล่าวได้ว่า เราสามารถแบ่งประเภทของความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดัต )ได้ ๒ ประเภท ด้วยกัน มีดังต่อไปนี้

๑. ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมาย  (วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์)

๒. ความเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นจริง (วะฮ์ดัตอัยนีย์)

 วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์ หมายถึง คำสองคำที่มีความแตกต่างกันในตัวอักษร แต่ในด้านความหมายนั้น มีความหมายเดียวกัน เช่น ในภาษาอาหรับ คำว่า วุญูด คือ การมีอยู่ และคำว่าเกาน์ ก็แปลว่า  การมีอยู่ ด้วยเช่นกัน

 ดังนั้น วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์ จึงถูกนำไปใช้ในด้านของความหมายของคำเท่านั้น

ส่วนวะฮ์ดะฮ์อัยนี หมายถึง คำสองคำที่มีสองความหมาย แต่ว่ามีตัวอย่างอันเดียวกันในความเป็นจริงหรือภายนอก เช่น คำว่า คัมภีร์ของมุสลิม และคำว่า ปฏิหาริย์ของท่านศาสดามุฮัมมัด ดังนั้น สองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงนั้น มีตัวอย่างอันเดียวกัน  นั่นคือ

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เป็น คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม

๑๐๑

   ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว สามารถบอกได้ถึง ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ซึ่งในระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า และในระหว่างคุณลักษณะประการหนึ่งกับอีกคุณลักษณะประการอื่นๆของพระองค์ นั้นมีความหมายที่แตกต่างกัน

 ในอีกนัยหนึ่ง กล่าวได้ว่า มีความเป็นวะฮ์ดัตอัยนี กล่าวคือ ในความเป็นจริง นั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า  ในความหมายของอาตมันกับคุณลักษณะ เช่น ความรอบรู้ อานุภาพ ก็มีความแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง ความรอบรู้ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับคุณลักษณะบางประการของพระเจ้า คือ คุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณลักษณะใน กิริยา การกระทำ อีกทั้ง คุณลักษณะซุบูตีย์ (คุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้า) ก็ตรงกันข้ามกับคุณลักษณะซัลบีย์ (คุณลักษณะที่ไม่มีในพระองค์)อย่างเห็นได้ชัด

เราสามารถแบ่งประเด็นต่างๆของความเป็นเอกานาภาพในคุณลักษณะของพระเจ้า ได้ด้วยกัน ๓ ประเด็นหลัก นั่นก็คือ

๑.ประเด็นแรก อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า ที่มีความหมายที่แตกต่างกัน

๒.ประเด็นที่สอง อาตมันกับคุณลักษณะที่มีในอาตมันของพระองค์ ที่ในความเป็นจริงนั้น มีตัวอย่างหนึ่งเดียวเท่านั้น

๑๐๒

๓.ประเด็นที่สาม คุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันกับคุณลักษณะประการอื่นของพระองค์ และในความเป็นจริงก็มีตัวอย่างหนึ่งเดียวเช่นกัน

หากพึงสังเกตุว่า ในประเด็นสุดท้าย ซึ่งก็เป็นประเด็นเดียวกันกับประเด็นที่สอง เพราะว่า การที่มีการกระทำหลายอย่างในสิ่งหนึ่ง แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งเดียวที่มีหลายกริยา การกระทำด้วยเช่นกัน และเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่สิ่งหนึ่งจะมีความแตกต่างในตัวตนของสิ่งนั้นเอง

   เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

    ดั่งที่ได้อธิบายในความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะผ่านไปแล้ว จะมาอธิบายกันในเหตุผลที่ใช้พิสูจน์ในหลักการนี้ บรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม มีเหตุผลในการพิสูจน์ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ  ๓ เหตุผล ด้วยกัน ดังนี้

เหตุผลที่หนึ่ง

เหตุผลนี้ประกอบด้วย ๒ ข้อพิสูจน์เบื้องต้น คือ

๑.การมีความสมบูรณ์ที่สุด(กะมาล มุตลัก)ในพระผู้เป็นเจ้า  บ่งบอกถึง การมีความสัมพันธ์จากอาตมันไปยังคุณลักษณะของพระองค์ ในสภาพที่มีความสมบูรณ์ที่สุด

๒.การมีความสมบูรณ์ที่สุดในสิ่งหนึ่ง  หมายถึง การมีความสัมพันธ์ของสิ่งนั้นด้วยกับตัวของมันเอง โดยที่ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด

๑๐๓

ผลที่จะได้รับของข้อพิสูจน์ดังกล่าวนี้ ก็คือ : ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งบ่งบอกถึง อาตมันของพระองค์ และคุณลักษณะทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้น นอกจากคุณลักษณะเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยอาตมันของพระองค์เท่านั้น

สิ่งที่ได้รับจากเหตุผลนี้ ก็คือ ความเป็นหนึ่งและความเป็นเอกานุภาพของคุณลักษณะ และอาตมันของพระเจ้า

การเปรียบเทียบกันระหว่างข้อถกเถียง และโต้แย้งในข้อพิสูจน์นี้ เป็นที่กระจ่างชัดโดยที่ไม่มีความต้องใช้การพิสูจน์ใดๆจากการวิเคราะห์ในความหมายของ กะมาล มุตลัก (ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขต) หมายถึง ความสมบูรณ์ที่มีอยู่ในทุกภาวะด้วยกับตัวของตนเองโดยมีความสัมผัสสะกับคุณลักษณะทั้งหลาย ในอีกมุมมองหนึ่ง กล่าวว่า การเปรียบเทียบกันระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า มี ๒ สภาพด้วยกัน ดังนี้

สภาพแรก ความเป็นหนึ่งและเอกะในสิ่งทั้งสอง กล่าวคือ ทั้งในอาตมันของพระเจ้ากับคุณลักษณะของพระองค์ หมายความว่า สภาพนี้ เป็นระดับขั้นที่อาตมันมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีขอบเขตจำกัด

สภาพที่สอง ความแตกต่างในอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า

๑๐๔

   เหตุผลที่สอง

    องค์ประกอบของเหตุผลนี้ มีดังต่อไปนี้

๑.อาตมันของพระเจ้า เป็นวาญิบุลวุญูด (ความจำเป็นที่ต้องมีอยู่) และเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย ส่วนสิ่งอื่น เป็นมุมกินุลวุญูด (ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้) และยังเป็นผลของปฐมเหตุอีกด้วย

๒.ความสมบูรณ์ทั้งหมดของผลขึ้นอยู่กับต้นเหตุของมัน

๓.ถ้าหากว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะของพระเจ้า มิได้ผ่านยังอาตมันของพระองค์ ก็หมายถึง ในอาตมันของพระเจ้านั้น มีข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ผลหรือข้อสรุปที่จะได้รับ ก็คือ จากองค์ประกอบที่หนึ่งและที่สองของเหตุผลนี้ ได้กล่าวถึง อาตมันของพระเจ้าว่า มีความสมบูรณ์ที่สุด และองค์ประกอบที่สาม ก็กล่าวว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะทั้งหลายนั้น จะต้องเกิดมาจากอาตมันของพระองค์เท่านั้น และก็หมายความว่า จะต้องมีความเป็นหนึ่งหรือความเป็นเอกานุภาพอยู่อีกด้วย

สามารถสรุปได้ว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะที่มีในอาตมันของพระเจ้านั้น จะต้องมีความสมบูรณ์ในตัวของตัวเอง และความไม่สมบูรณ์หรือข้อบกพร่องจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะว่าอาตมันของพระองค์เป็นปฐมเหตุของผลทั้งหลาย และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ แสดงให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่คุณลักษณะของพระเจ้าจะไม่มีความสมบูรณ์อยู่เลย ดังนั้น กล่าวได้ว่า คุณลักษณะของพระเจ้าต้องมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีขอบเขตจำกัด อีกทั้งเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกานุภาพกับอาตมันของพระองค์ด้วย

๑๐๕

   เหตุผลที่สาม

    ถ้าหากว่า คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้มีความเป็นหนึ่งเดียว หรือเป็นเอกานุภาพกับอาตมันของพระองค์แล้วไซร้ จะเกิดการสมมุติฐานได้ สองประเด็น ด้วยกัน ดังนี้

๑.คุณลักษณะของพระเจ้าต้องเป็นส่วนหนึ่งในอาตมันของพระองค์

๒.คุณลักษณะของพระเจ้าต้องเกิดจากภายนอกอาตมันของพระองค์

สมมุติฐานแรก ถือว่าเป็นโมฆะและไม่ถูกต้อง เพราะว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีส่วนประกอบและได้พิสูจน์ในบท ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้วว่า อาตมันของพระองค์นั้นไม่มีส่วนประกอบใดทั้งสิ้น

และจากสมมุติฐานที่สอง ก็ถือว่าเป็นโมฆะและไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสมมุติฐานว่า ถ้าคุณลักษณะของพระเจ้าเกิดจากภายนอกจริง คุณลักษณะนั้นจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ หรือสิ่งที่สามารถมีอยู่ ถ้าเป็นสิ่งแรก ก็เป็นสาเหตุให้เกิดมีพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งความเชื่อนี้ขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า และถ้าคุณลักษณะของพระองค์ เป็นสิ่งที่สามารถมีอยู่ จะเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วอะไร เป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งได้อธิบายไปแล้วว่า ทุกสิ่งที่เป็นสิ่งที่สามารถมีอยู่ ไม่ว่าในสภาพใดก็ตาม เป็นผลของสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ทั้งสิ้น และถ้าหากว่าเหตุผลการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น เกิดจากสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่หลายๆอย่าง ที่เป็นสาเหตุให้มีพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งก็มีความขัดแย้งกับเตาฮีดในอาตมันของพระเจ้าเช่นกัน เพราะฉะนั้น การสมมุติฐานทั้งหมด ถือว่าเป็นโมฆะ และคงเหลือเพียงสมมุติฐานเดียวก็คือ คุณลักษณะของพระเจ้าเกิดจากภายนอกอาตมัน และเป็นผลของอาตมัน

๑๐๖

 ดังนั้น การยอมรับในสมมุติฐานนี้ ก็คือ พระเจ้าไม่มีคุณลักษณะใดๆอยู่เลย เช่น พระองค์ไม่มีชีวิต ไม่มีพลานุภาพ ไม่มีความสามารถ ในตอนแรกได้เอาคุณลักษณะทั้งหลายเหล่านี้มาจากภายนอกอาตมันของพระองค์ แล้วนำไปใช้กับสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ การสมมุติฐานนี้ ก็ถือว่าเป็นโมฆะเช่นกัน เพราะว่า ด้วยกับกฏของเหตุและผล ได้กล่าวไปแล้วว่า เหตุของผลทั้งหลายจะไม่มีคุณสมบัติของผลของมัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปราศจากความสมบูรณ์แล้วเอาความสมบูรณ์นั้นไปให้กับสิ่งอื่น เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ สำหรับพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ไม่มีชีวิตอยู่และไม่มีพลานุภาพ และไม่มีความสามารถแล้ว พระองค์จะเป็นผู้ทรงสร้างชีวิตทั้งหลายได้อย่างไร?

สามารถสรุปได้ว่า สมมุติฐานที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ และการสมมุติฐานระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า มีความแตกต่างกัน ก็เป็นโมฆะเช่นเดียวกัน ผลลัพท์คือ ระหว่างอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ในความเป็นจริง เป็นสิ่งเดียวกัน แต่มีความหมายที่แตกต่างกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สติปัญญาของมนุษย์ยอมรับในการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงบริสุทธิ์ และมิได้มีขอบเขตจำกัด ซึ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของคุณลักษณะที่มากมายในพระองค์ เช่น ความรู้ ความสามารถ การมีชีวิต และได้นำไปใช้กับอาตมันของพระเจ้าซึ่งในความเป็นจริงก็มิได้มีความแตกต่างกันเลย

๑๐๗

   ความแตกต่างทางด้านความหมายของคุณลักษณะ (ซิฟัต)

    ได้กล่าวไปแล้วว่า ในความเป็นจริงของอาตมัน และคุณลักษณะของพระเจ้านั้น มีความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะ ซึ่งในคุณลักษณะของพระองค์ก็มิได้มีความแตกต่างกับอาตมัน และมิได้เป็นส่วนประกอบใดของอาตมัน แต่ในอาตมันและคุณลักษณะมีความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะ 

ประเด็นหลักของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ  ก็คือ การยืนยันด้วยเหตุผลถึงความแตกต่างในความหมายระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะ เพราะว่าบุคคลใดก็ตามที่ใช้สติปัญญาเพื่อเข้าใจใน

ความหมายของคุณลักษณะ เช่น ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ ความสามารถและอื่นๆ  ซึ่งทั้งหมดนั้นมีความหมายแตกต่างกัน  ดั่งเช่น ชาวอาหรับได้เรียกพระเจ้าว่า ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงความสามารถ บ่งบอกถึงความหมายที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง มีตัวตนหนึ่งเดียว

๑๐๘

                      

   ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองทางประวัติศาสตร์

    บรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดทั้งหลายของอิสลามมีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับคุณลักษณะกับการให้ความสัมพันธ์ไปยังอาตมันของพระเจ้า ซึ่งมีดังนี้

๑.ทัศนะที่มีความเชื่อว่า คุณลักษณะกับอาตมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันตามความเป็นจริง แต่ในความหมายมีความแตกต่างกัน ทัศนะนี้  เป็นทัศนะของสำนักคิดชีอะฮ์อิมามียะฮ์ และสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์บางคน ซึ่งมีเหตุผลมากมายจากการใช้สติปัญญา และวจนะของอิสลามที่พิสูจน์ในทัศนะนี้

๒.ทัศนะที่มีความเชื่อในการมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้า และความไม่เหมือนกันของคุณลักษณะกับอาตมัน ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ ที่กล่าวว่า คุณลักษณะในพระเจ้ามีความเหมือนกันกับคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้างและมีความแตกต่างกับอาตมัน หมายความว่า คุณลักษณะของพระองค์นั้นมีมาแต่เดิม แต่คุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างมิได้มีมาแต่เดิม

ความผิดพลาดของทัศนะนี้ ก็คือ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างคุณลักษณะของพระเจ้ากับคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง และการยอมรับว่า คุณลักษณะมีมาแต่เดิมเหมือนกับอาตมัน ซึ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งที่มีมาแต่เดิมหลายสิ่ง และเป็นสาเหตุทำให้เกิดการตั้งภาคี

๑๐๙

 กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีอยู่ของสิ่งเจ็ดประการที่มีมาแต่เดิมเหมือนกับอาตมันของพระเจ้า นั่นก็คือ คุณลักษณะเจ็ดประการ ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ และฯลฯ และในทัศนะนี้ได้ยอมรับว่า พระเจ้ามีความต้องการในความสมบูรณ์ของพระองค์ ซึ่งมีความขัดแย้งกับการไม่มีความต้องการใดของพระองค์ แต่ในทัศนะของความเป็นเอกานุภาพได้กำหนดไว้ว่า อาตมันของพระเจ้ามีหนึ่งเดียวและมีมาแต่เดิม ส่วนสิ่งทั้งหลายนอกเหนือจากพระองค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ และเป็นสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ 

๓.ทัศนะที่มีความเชื่อในการเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ของคุณลักษณะของพระเจ้า และความไม่เหมือนกันของคุณลักษณะและอาตมัน ทัศนะนี้เป็นทัศนะของสำนักคิดกะรอมียะฮ์ ที่กล่าวว่า คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้มีมาแต่เดิม กล่าวคือ คุณลักษณะของพระเจ้าเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ และมิได้เหมือนกันกับอาตมัน ดังนั้น ทัศนะนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ ด้วยกับเหตุผลต่างๆทางสติปัญญาที่ได้อธิบายไปแล้ว

๔.ทัศนะที่มีความเชื่อในการเป็นตัวแทน (นิยาบัต) ของอาตมันจากคุณลักษณะ ทัศนะนี้เป็นทัศนะของนักเทววิทยาในสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์บางคน เช่น อะบูอะลีและอะบูฮาชิม ญุบบาอีย์

 (ผู้ก่อตั้งสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์) และทัศนะของ อับบาด บิน สุลัยมาน พวกเขากล่าวว่า พระเจ้าทรงปราศจากคุณลักษณะที่สมบูรณ์ เช่น ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ ในขณะเดียวกันอาตมันของพระองค์ก็ได้แสดงผลของคุณลักษณะทั้งหลายนั้นออกมา ตัวอย่างเช่น อาตมันของพระเจ้าทรงปราศจากคุณลักษณะความรู้ แต่การกระทำต่างๆของพระองค์ เป็นการกระทำของผู้ที่มีความรู้

๑๑๐

ดังนั้น เหตุผลของทัศนะนี้ ก็คือ พวกเขาไม่ยอมรับในทัศนะที่สาม เพราะว่า มีความขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพ และในขณะเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ในความเป็นจริงของคุณลักษณะทั้งหลายที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า ทัศนะนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะเช่นกัน เพราะว่าถ้ายอมรับในทัศนะนี้ก็เท่ากับมีความเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีความสมบูรณ์ เช่น การมีความรู้ ความสามารถ การมีชีวิต เป็นต้น

   ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองของวจนะ

    ได้อธิบายไปแล้วว่า ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ หมายถึง การมีความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะกับอาตมันของพระเจ้าในความเป็นจริง แต่ในความหมายนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้น คุณลักษณะของพระเจ้าก็เหมือนกันกับอาตมันของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีความแตกต่างกันในอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ 

ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในสุนทรโรวาทหนึ่งเกี่ยวกับความสวยงามในความเป็นจริงของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ความว่า

 “พระเจ้า พระองค์ผู้ซึ่งมีคุณลักษณะที่ไม่มีขอบเขตจำกัดและไม่สามารถจะพรรณาในคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ได้”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

๑๑๑

หลังจากนั้นท่านอิมามได้อธิบายถึงความสมบูรณ์ของความบริสุทธิ์ใจในการรู้จักพระเจ้าและเตาฮีด(ความเป็นเอกานุภาพ)ว่า

“ความสมบูรณ์ของความเป็นเอกานุภาพ คือ การมีความบริสุทธิ์ใจต่อพระเจ้า และความสมบูรณ์ของความบริสุทธิ์ใจ คือ การไม่ปฏิเสธการมีคุณลักษณะในพระองค์ เพราะว่า การมีอยู่ของคุณลักษณะ บ่งบอกถึงสิ่งทำให้คุณลักษณะเกิดขึ้น และการมีของสิ่งที่ทำให้คุณลักษณะเกิดขึ้น มิใช่เป็นการมีคุณลักษณะ”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

ท่านอิมามอะลีกล่าวอีกว่า

”บุคคลใดก็ตามที่ได้ทำให้พระเจ้ามีคุณลักษณะ ก็เท่ากับว่าเขาได้เข้าใกล้ชิดต่อพระองค์ และใครก็ตามที่เขาได้เข้าใกล้ชิดพระองค์ ก็เท่ากับเขาได้ทำให้พระเจ้ามีหลายองค์ และใครก็ตามที่ทำให้พระเจ้ามีหลายองค์ก็เท่ากับว่าเขานั้นไม่รู้จักพระองค์”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

ท่านอิมามริฎอ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

”พระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงสูงส่ง พระองค์ทรงมีความรอบรู้ ,ความสามารถ, มีชีวิต, ได้ยิน, มองเห็น และ มีมาแต่เดิม

๑๑๒

 ฉัน (ผู้รายงาน) ได้ถามท่านอิมามว่า โอ้บุตรแห่งศาสนทูต กลุ่มชนหนึ่งได้พูดกันว่า พระองค์อัลลอฮ์มิได้ทรงมีความรู้, สามารถ, มีชีวิต, ได้ยิน, มองเห็น และ มีมาแต่เดิม

ท่านอิมามได้ตอบกับเขาว่า “ใครก็ตามที่มีความเชื่อเช่นนี้ แน่นอนที่สุดเขาได้ยืดเอาพระเจ้าอื่นเคียงข้างพระองค์อัลลอฮ์และตำแหน่งวิลายะฮ์ (ความเป็นผู้นำ) ของเราจะไม่ไปถึงเขา และท่านอิมามได้กล่าวอีกว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงมีความรู้, ความสามารถ, มีชีวิต ได้ยิน, มองเห็น และมีมาแต่เดิมด้วยกับอาตมันของพระองค์ และพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่บรรดาพวกตั้งภาคีและพวกที่คิดว่าพระองค์มีรูปร่าง”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๑๑ วจนะที่ ๓ )

 จากวจนะของท่านอิมามริฎอ ได้บ่งบอกถึง คุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้าที่มีมาแต่เดิม อาทิ เช่น ความรอบรู้, ความสามารถและ การมีชีวิต ผู้รายงานได้ถามอิมามเกี่ยวกับกลุ่มชนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า การมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้าและความไม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ อิมามได้ตอบว่า การมีความเชื่อเช่นนี้ เป็นสาเหตุของการตั้งภาคีและการเชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ส่วนการมีอยู่ของคุณลักษณะในพระเจ้าได้เกิดขึ้นด้วยกับอาตมันของพระองค์ และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมัน

๑๑๓

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ซิฟาตซาตีย์ หมายถึง คุณลักษณะที่มีในอาตมัน                                  

ซิฟาต คอริญีย์ หมายถึง คุณลักษณะที่มีในภายนอก

เตาฮีด ซิฟาตีย์ หมายถึง       ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

วะฮ์ดัต มัฟฮูมีย์ หมายถึง     ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมาย

วะฮ์ดัต อัยนีย์  หมายถึง       ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า คุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้ามีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์หรือไม่?

๒.ความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดัต) สามารถแบ่งออกเป็น สองประเภท

(๑.)ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมาย (วะฮ์ดัต มัฟฮูมีย์) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของคำทั้งสองคำ

(๒.)ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง (วะฮ์ดัต อัยนีย์) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง แต่ในความหมายแตกต่างกัน

๓.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะมี ๓ ประเด็นหลัก ดังนี้

(๑.)อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้าในความหมายที่แตกต่างกัน

(๒.)อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้าในความจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน

(๓.)คุณลักษณะของพระเจ้ากับคุณลักษณะประการอื่นในความเป็นจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และเหมือนกัน

๑๑๔

๔.การปฏิเสธการมีส่วนประกอบในอาตมันของพระเจ้า เป็นประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๕.มีหลายเหตุผลทางสติปัญญาที่ใช้ในการพิสูจน์ถึงความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๖.การพิจารณาความหมายทางภาษาของคุณลักษณะในพระเจ้า บ่งบอกถึงความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทัศนะของความเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของคุณลักษณะในพระเจ้านั้น มีความขัดแย้งกับการเข้าใจทางภาษาของคุณลักษณะในมนุษย์

๗.สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้า และมีความหมายที่แตกต่างกันกับอาตมันของพระองค์ ความเชื่อนี้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการตั้งภาคี และความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์

๘.ทัศนะของนักเทววิทยาบางคนในสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ มีความเชื่อในอาตมันของพระเจ้าว่าไม่มีคุณลักษณะประการใด พวกเขากล่าวว่า  อาตมันของพระองค์มีผลที่มีคุณลักษณะ ในขณะที่ไม่มีคุณลักษณะประการใด ดังนั้น การยอมรับในทัศนะนี้ มีความเชื่อในความไม่สมบูรณ์ในอาตมัน และการไม่มีคุณลักษณะในพระองค์

๙.ท่านอิมามอะลีได้กล่าวในสุนทรโรวาทหนึ่งในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ว่า

 “คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้อยู่นอกเหนือจากอาตมันของพระองค์ และใครก็ตามที่มีความเชื่อว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะอยู่ภายนอกอาตมันของพระองค์ แน่นอนที่สุดเขานั้นไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง”

๑๐.ท่านอิมามอะลี ริฎอ ได้กล่าวเน้นย้ำว่า การมีความเชื่อในการมีคุณลักษณะของพระเจ้าที่มีความหมายที่แตกต่างกันกับอาตมัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการตั้งภาคี และได้เปรียบพระเจ้าเหมือนกับสิ่งที่มีชีวิตในโลก หมายถึง พระองค์มีรูปร่างและสรีระ

   บทที่ ๔

   ความเป็นเอกานุภาพใน กิริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่หนึ่ง

   บทนำเบื้องต้น

    ตามทัศนะของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลาม มีความเห็นว่า พระเจ้าทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด และทรงเป็นแหล่งที่มาของอากัปกิริยา การกระทำ เช่น การสร้าง  , การประทานปัจจัยยังชีพ ,การบริหารกิจการงานทั้งหลาย, การมีเมตตาปรานี และอื่นๆ ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้น เป็นการกระทำของพระองค์

เมื่อได้สังเกตุในสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลก จะพบว่า มีกิริยา การกระทำเกิดขึ้นมากมาย  ซึ่งทั้งหมดของการกระทำจะต้องมีแหล่งที่มาหรือสาเหตุในการเกิดขึ้น เช่น สภาพการเป็นสะสาร ,การเจริญเติบโตของพรรณพืช, การเกิดขึ้นของสัตว์ และการถือกำเนิดของมนุษย์ หากมองดูอย่างผิวเผิน จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆในโลกนี้ เกิดขึ้นจากการกระทำของหลายผู้กระทำและในทัศนะของความเป็นเอกานุภาพในอิสลาม มีความเชื่อว่า ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ต้องมีแหล่งที่มาอันเดียวกัน และพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้กระทำการงานเหล่านั้นเพียงองค์เดียว และไม่มีผู้กระทำ (ฟาอิล) ใดที่เป็นอิสระเสรี นอกจากพระองค์

๑๑๕

 ดังนั้น ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ จึงหมายถึง

๑.การมีความเชื่อว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำเพียงองค์เดียว ในการกระทำทั้งหลาย โดยที่ไม่มีผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์

๒.การมีความเชื่อว่า การกระทำของพระเจ้า เป็นการกระทำที่เป็นอิสระเสรี ส่วนการกระทำของสิ่งอื่นๆ มิได้มีความเป็นอิสระเสรีเหมือนกับการกระทำของพระองค์ และการกระทำเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยกับความประสงค์ตามเจตนารมณ์ของพระองค์เท่านั้น ดังนั้น การสร้างทุกสรรพสิ่ง  ,การให้ปัจจัยยังชีพ, การบริหารการงานทั้งหลาย และอื่นๆ เป็นการกระทำของพระเจ้าแต่เพียงองค์ดียว โดยที่ไม่มีการช่วยเหลือจากผู้อื่น

   บทบาทของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำในมุมมองของโลกทรรศน์

    ความหมายที่กว้างของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ซึ่งครอบคลุมไปถึงทุกการกระทำที่มีอยู่ในสากลจักวาล  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับจักวาล ดังนั้น การเชื่อหรือไม่เชื่อในความเป็นเอกานุภาพประเภทนี้ จึงมีผลต่อโลกทรรศน์และวิสัยทรรศน์ของมนุษย์ทุกคน เมื่อมนุษย์มีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำแล้ว มนุษย์จะมีความเชื่อในอานุภาพ และความประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลาใดก็ตามที่มนุษย์มองไปในทุกทิศทาง  ก็จะพบกับพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นอานุภาพของพระองค์ครอบคลุมไปทั่วทุกสรรพสิ่งที่มีในโลกนี้และในจักวาล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนดั่งจักวาล หรือสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเล็กที่สุดเหมือนกับอะตอม ทั้งหมดนั้น อยู่ภายใต้อานุภาพของพระเจ้าทั้งสิ้น

๑๑๖

ด้วยเหตุนี้ การมีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพนิกริยา การกระทำ จึงมีผลต่อโลกทรรศน์ และในความคิด ความศรัทธา ยังรวมทั้งในการปฏิบัติของมนุษย์อีกด้วย ซึ่งจะอธิบายในรายละเอียดของประเด็นเหล่านี้ เป็นอันดับต่อไป

   การกระทำของสิ่งถูกสร้างอยู่ภายใต้การกระทำของผู้สร้าง

    ความหมายที่ลึกซึ้งของ ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ หมายถึง การกระทำทั้งหมดของสรรพสิ่ง เป็นการกระทำของพระเจ้าเพียงองค์เดียว โดยเกิดขึ้นจากอาตมันอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และเมื่อได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ได้มีคำถามและข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย เช่น ถ้ายอมรับว่า มีความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำแล้ว การกระทำของสิ่งอื่น จะเป็นอย่างไร ? และทุกวันนี้ เราก็ได้เห็นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ที่ตัวของมันเป็นผู้กระทำการกระทำของมันขึ้นมาเอง เช่น เราได้เห็นไฟว่า มันมีความร้อน และได้เห็นแม่เหล็ก ว่า มันมีแรงดึงดูดที่สามารถดึงเอาเศษเหล็กทั้งเล็กใหญ่ไปยังตัวของมันได้, พวกพืชก็ได้รับอาหารจากใต้พื้นดิน ,สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็ได้ออกไปหาอาหารด้วยกับตัวของมัน แม้แต่มนุษย์เองก็เป็นผู้กระทำกิจการงานต่างๆด้วยตัวเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้ความสัมพันธ์ของการกระทำเหล่านี้ไปยังพระเจ้าได้อย่างไร?  ถ้าเรายอมรับในการกระทำทั้งหลายเป็นการกระทำของพระองค์ เราก็ต้องปฏิเสธการกระทำของสิ่งอื่นด้วยหรือไม่?  หรือว่ายังมีหนทางอื่นอีกที่ยืนยันในการกระทำของสิ่งเหล่านั้นว่าอยู่ภายใต้การกระทำของพระเจ้าหรือไม่?

๑๑๗

สำหรับคำตอบของคำถามเหล่านี้ ต้องมาพิจารณาในทัศนะต่างๆของบรรดานักวิชาการว่า ได้มีความเห็นกันอย่างไร

 ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามได้จัดแบ่งการกระทำของพระเจ้าออกเป็น สอง ประเภทได้ ด้วยกัน ดังนี้

๑.การกระทำที่เป็นแนวนอน หมายถึง มีผู้กระทำหลายคนในการกระทำหนึ่ง ที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับการกระทำนั้น มีความเสมอภาคกัน ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือของหลายคน ในการยกสิ่งของชิ้นหนึ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในสภาพเช่นนี้ การกระทำหนึ่ง จึงมีผู้กระทำหลายคน

๒.การกระทำที่เป็นแนวตั้ง หมายถึง การกระทำของหลายคน ที่มีผลต่อการกระทำหนึ่ง และในบางส่วนมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ ซึ่งในการกระทำนี้มีผู้กระทำสองคน คือ ผู้กระทำโดยตรง (ฟาอิล มุบาชิร) และผู้กระทำโดยใช้สื่อ (ฟาอิล บิซตัซบีบ)

ผู้กระทำโดยตรง คือ ผู้ที่ทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น แต่การกระทำนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านผู้กระทำอีกคนหนึ่ง คือ ผู้กระทำโดยใช้สื่อ จากประเภททั้งสองของการกระทำ การเปรียบเทียบการกระทำของพระเจ้ากับการกระทำของสิ่งที่ถูกสร้าง กล่าวคือ การกระทำของพระองค์ คือ การกระทำที่เป็นแนวตั้ง เหมือนกับการนั่งและการเดินของคนๆหนึ่งซึ่งเขาเป็นผู้กระทำเองโดยตรง แต่ไม่ใช่ว่าการกระทำของเขา จะอยู่นอกเหนืออำนาจของพระเจ้า ถ้าหากว่าการกระทำของเขาไม่ได้เกิดขึ้นด้วยอำนาจของพระองค์แล้ว แน่นอนที่สุดการกระทำนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น จากความแตกต่างของการกระทำที่เป็นแนวนอนกับการกระทำที่เป็นแนวตั้ง ทำให้มีความเข้าใจในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

๑๑๘

 แต่ในความเป็นจริงนั้น การเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำนั้น มีความยากและละเอียดอ่อน ซึ่งจะพยายามทำให้มีความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น โดยการอาศัยตัวอย่างต่างๆ ทั้งที่เป็นการกระทำที่เป็นแนวนอนและการกระทำที่เป็นแนวตั้ง เช่น ความสัมพันธ์ของจิตกับร่างกายของมนุษย์ โดยการสมมุติฐาน เช่น การเขียนของมนุษย์ ในขณะที่เขาคิดว่า เขานั้นเป็นผู้กระทำโดยตรง แต่ความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น การกระทำดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้จากการมีความสัมพันธ์ของจิตไปสู่ร่างกายของเขา ด้วยกับการใช้มือเป็นสื่อในการเขียน ซึ่งการกระทำนั้นเกิดขึ้นในสภาพที่เป็นแนวตั้ง เพราะฉะนั้นในสภาพเช่นนี้ ผู้ที่กระทำโดยตรง คือ มือของมนุษย์ การเกิดขึ้นได้โดยการสั่งงานหรือได้รับคำสั่งจากจิต ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวไปสู่การจับปากกาแล้วเอามาเขียนลงบนกระดาษ

ซึ่งจะเห็นได้ว่า การกระทำของพระเจ้ากับการกระทำของสิ่งถูกสร้างนั้น มีความสัมพันธ์คล้ายคลึงกันกับความสัมพันธ์ของจิตกับร่างกายของมนุษย์ กล่าวคือ การกระทำของสิ่งถูกสร้างมีความสัมพันธ์ไปสู่การกระทำของพระเจ้า โดยสรุปได้ว่า  การจำกัดของการกระทำที่เป็นอิสระเสรีในพระเจ้ากับการให้มีความสัมพันธ์กับการกระทำอื่นที่มิได้มาจากพระเจ้า ถือว่า ไม่ถูกต้อง

ด้วยเหตุนี้ ก็สามารถที่จะให้ความสัมพันธ์ของกระทำนั้นไปสู่พระเจ้า และสิ่งถูกสร้างได้โดยปราศจากความขัดแย้งและข้อผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น

๑๑๙

   บทบาทของสื่อกลางในการเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า

    มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้าหากว่าพระเจ้ามีความเป็นอิสระเสรีในการกระทำของพระองค์ โดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด แล้วทำไมในการเกิดขึ้นของการกระทำบางสิ่งบางอย่างต้องใช้สื่อกลางในการกระทำด้วย เช่น ในการสร้างหรือการบันดาล ซึ่งเป็นการกระทำหนึ่งของพระเจ้า แต่ทว่าการเกิดขึ้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้องผ่านปัจจัยและองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิเช่น การได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ ต้นไม้ต้นนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ก็คือ สภาพในกิริยา การกระทำของพระเจ้า สามารถแบ่งออกเป็น ๒ สภาพ ด้วยกัน ดังนี้

๑.สภาพของโลกเหนือธรรมชาติ หมายถึง โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุและสสาร ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า  จึงไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆหรือปัจจัยใด เพียงเพราะความประสงค์ของพระองค์เท่านั้น การกระทำนั้นก็จะเกิดขึ้นในทันทีทันใด  สภาพนี้จึงถูกเรียกว่า โลกแห่งการกระทำ

 (อาลัม มุน อัมร์)

๒. สภาพของโลกแห่งธรรมชาติ คือ โลกที่เกี่ยวข้องกับวัตถุหรือสสาร ถูกเรียกว่า โลกแห่งการสร้างสรรค์ (อาลัม มุน ค็อลก์)

ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำของพระเจ้า ในสภาพเช่นนี้ จึงมีความต้องการเงื่อนไขและปัจจัยอื่นๆ เพราะว่า การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นวัตถุด้วยกับกฏระบบและระเบียบของโลก หากว่าการเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นวัตถุ ปราศจากการมีอยู่ของเงื่อนไขหรือปัจจัยอื่นใด สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

   เหตุผลของ ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า

   นอกเหนือจาก เหตุผลโดยทั่วไปที่ใช้ในการพิสูจน์ถึงการมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด ยังมีเหตุผลที่เฉพาะกับการพิสูจน์ในความรู้ในอาตมันของพระเจ้า  ซึ่งกล่าวได้ว่า เหตุผลนี้เกิดมาจากหลักของปรัชญา มีอยู่ด้วยกัน ๒ ข้อพิสูจน์ ดังนี้

๑.ทุกสิ่งที่เป็นอวัตถุ มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง และมีความรู้ในตัวเอง ซึ่งในหลักการของปรัชญาได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่เป็นวัตถุ มีรูปร่าง และรูปแบบ และมีการเปลี่ยนแปลง และมิได้มีความรู้ในตัวเอง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เป็นวัตถุ จึงไม่มีความรู้ในตัวเอง ส่วนสิ่งที่ไม่เป็นวัตถุหรืออวัตถุ ด้วยกับเหตุผลความบริสุทธิ์และไม่มีรูปร่าง จึงมีความรู้ในตัวเอง

๒.การมีของพระเจ้า เป็นสิ่งที่มิได้เป็นวัตถุ ข้อพิสูจน์นี้ได้พิสูจน์ในคุณลักษณะที่ไม่มีอยู่ในพระเจ้าแล้วว่า พระองค์มิได้มีรูปร่างและหน้าตา และมิได้เป็นวัตถุ ดังนั้น พระองค์จึงมีความรู้ในตัวเอง เพราะว่า พระองค์เป็นสิ่งที่มิได้เป็นวัตถุ และสิ่งที่มิได้เป็นวัตถุ ก็มีความรู้ในตัวเอง

๒๖๑

   ความรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลายก่อนการเกิดขึ้น

    หลังจากที่ได้อธิบายใน ความรู้ในอาตมันของพระเจ้าไปแล้ว จะมาอธิบายในระดับขั้นที่สองของความรู้ของพระเจ้า นั่นก็คือ ความรู้ในสรรพสิ่งก่อนการเกิดขึ้น มีคำถามเกิดขึ้น จากบรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลามว่า ระดับขั้นความรู้ประเภทนี้ในพระเจ้า เป็นความรู้ในรูปแบบที่มีรายละเอียด หรือเป็นความรู้เพียงบางส่วนเท่านั้น?

ความหมายของ ความรู้บางส่วน หมายถึง ก่อนการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง พระเจ้ามิได้มีความรู้ในรายละเอียดของแต่ละสิ่ง ทว่ามีความรู้หนึ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็นความรู้ในรายละเอียดได้ สำหรับการเข้าใจในความรู้บางส่วน ตัวอย่างเช่น ความรู้ของนักเลขาคณิต เพราะว่า ความรู้ในคณิตศาสตร์ คือ ความรู้ในกฏและการอนุมานตามหลักการของคณิตศาสตตร์ ดังนั้น นักเลขาคณิต รู้จักกฏของคณิต แต่ถ้าไม่มีโจทย์มาให้แก้ ก็เท่ากับกฏต่างๆนั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้ และก็เช่นเดียวกันกับความรู้บางส่วนของพระเจ้า ส่วนความรู้ในรายละเอียด หมายถึง พระเจ้ามีความรู้ก่อนการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งในรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด

สำหรับคำตอบ ซึ่งมีความสลับซับซ้อน และจะต้องอธิบายรายละเอียดที่ลึกซึ้ง และจะต้องใช้กฏและหลักการของปรัชญาและตรรกศาสตร์มายืนยัน  มีอยู่ ๒ เหตุผลที่ใช้ในการพิสูจน์ความรู้ในระดับขั้นนี้

๒๖๒

๑.เหตุผลที่หนึ่ง กล่าวคือ เหตุผลนี้ต้องใช้หลักการงของปรัชญามาเพื่อยืนยัน โดยที่กล่าวว่า ความรู้ในเหตุที่สมบูรณ์ของสิ่งหนึ่ง ก็คือ เหตุของสิ่งนั้น และความรู้ในสิ่งหนึ่ง ก็คือ ผลของสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดที่มีเหตุที่สมบูรณ์ เมื่อนั้นต้องมีผล หรือผลทั้งหลายอยู่อย่างแน่นอน ข้อพิสูจน์ต่อไปของ เหตุผลนี้ คือ อาตมันของพระเจ้า เป็นเหตุที่สมบูรณ์ที่สุดของสรรพสิ่งที่มีอยู่

และข้อพิสูจน์สุดท้าย ซึ่งได้กล่าวไปในประเด็นก่อนหน้านี้ แล้วว่า พระเจ้า มีความรู้ในอาตมันของพระองค์ 

ดังนั้น จากข้อพิสูจน์ทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่า พระเจ้า มีความรู้ในอาตมันของพระองค์ และอาตมันของพระองค์ ก็เป็นเหตุที่สมบูรณ์ที่สุดของสรรพสิ่งที่มีอยู่ และความรู้ในเหตุที่สมบูรณ์ คือ ความรู้ไปยังผลของสิ่งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ พระเจ้ามีความรู้ในอาตมันของพระองค์ หมายความว่า พระองค์มีความรู้มาแต่เดิม และความรู้ของพระองค์ ก็เป็นเหตุของการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ดังนั้น ก่อนการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง พระเจ้ามีความรู้ ด้วยกับความรู้ของพระองค์ในอาตมันของพระองค์

๒.เหตุผลที่สอง เหตุผลนี้ เป็นเหตุผลที่เกี่ยวกับเทววิทยามากกว่าเหตผลที่แล้ว และมีความคล้ายคลึงกับทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก

เมื่อสังเกตในโลก จะเห็นได้ว่า โลกนี้มีกฏและระเบียบ ซึ่งในแต่ละองค์ประกอบของโลก ก็มีความเป็นระบบและระเบียบ และมีจุดมุ่งหมายอันเป็นหนึ่งเดียว

๒๖๓

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา และจากกฏของการมีผล และสิ่งถูกสร้าง แสดงให้เห็นว่า ต้องมีเหตุ และต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนี้ ความเป็นระบบระเบียบและมีจุดมุ่งหมายของโลก ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนการสร้างของผู้สร้าง เขาจะต้องมีความรู้ในปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด เพราะสติปัญญาได้กล่าวว่า  เป็นไม่ได้ที่ผู้สร้างปรากฏการณ์ที่มีระบบระเบียบ จะไม่มีความรู้ในการสร้างของตนเอง

ส่วนมากของบรรดานักเทววิทยาอิสลาม ในการพิสูจน์ความรู้ของพระเจ้าก่อนการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ได้ใช้เหตุผลพิสูจน์และยืนยัน เช่น ท่านมุฮักกิก ตูซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ตัจรีดุลเอียะติกอด ว่า ความเป็นระบบระเบียบ บ่งบอกว่า เป็นเหตุผลหนึ่งของการมีความรู้ของพระเจ้าในสรรพสิ่ง

   ความรู้ของพระเจ้าหลังการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง

    ระดับขั้นที่สามของความรู้ของพระเจ้า  คือ ความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่งหลังการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านั้น

สำหรับการพิสูจน์เหตุผลของความรู้ในระดับขั้นนี้ มีเหตุผลดังต่อไปนี้  ข้อพิสูจน์ของเหตุผลนี้ มีดังนี้

๑.พระผู้เป็นเจ้า คือ ปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย และสรรพสิ่งอื่น คือ ผลของพระองค์

๒.จากหลักปรัชญาได้อธิบายไว้ว่า การมีอยู่ของผล ต้องขึ้นอยู่กับเหตุของมัน และผลก็ไม่มีความเป็นอิสระเสรีในตัวเอง

๒๖๔

๓.ความจำเป็นของการมีอยู่ของผล ขึ้นอยู่กับเหตุของมันนั้นก็คือ ผลต้องอยู่คู่กับเหตุ เพราะว่า ถ้ามีเหตุแล้วไม่มีผล ดังนั้น ความหมายนี้ ก็คือ ผลมีอยู่อย่างเป็นอิสระเสรีในตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ผลจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีเหตุ

ความรู้คือ การมีอยู่ของสิ่งที่ถูกรู้ในผู้รับรู้ เพราะฉะนั้น ทุกการเกิดขึ้นของเหตุ ต้องมีความรู้ในผลของมันด้วย

และผลที่ได้รับจากข้อพิสูจน์นี้ ก็คือ พระผู้เป็นเจ้า มีความรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก เพราะทั้งหมดนั้น คือ ผลของพระองค์ และเหตุของสรรพสิ่ง มีความรู้ในผลที่จะเกิดขึ้น

   ความรู้ในอาตมัน และความรู้ในการกระทำ

    ได้กล่าวแล้วว่า ในบทนำเบื้องต้น  กล่าวคือ คุณลักษณะของพระเจ้า มีอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน ดังนี้

๑.ความรู้ในอาตมัน                        

๒.ความรู้ในกิริยา การกระทำ

ซึ่งขณะนี้ ได้กล่าวถึง ระดับขั้นของความรู้ในพระเจ้าว่า มี ๓ ระดับขั้น และจะมาดูกันว่า ระดับขั้นใด เป็น ความรู้ในอาตมัน และระดับขั้นใด เป็น ความรู้ในกิริยา การกระทำ จากการตรวจสอบในระดับขั้นทั้งสามของความรู้ในพระเจ้า ทำให้เข้าใจได้ว่า ระดับขั้นที่หนึ่งและที่สองเป็น ความรู้ในอาตมัน และระดับขั้นที่สาม เป็นความรู้ในกิริยา การกระทำ

๒๖๕

   ความรู้ของพระเจ้าในรายละเอียดของสรรพสิ่ง

    ประเด็นที่สำคัญ ประเด็นหนึ่งในความรู้ของพระเจ้า คือ พระองค์มีความรู้ในรายละเอียดของทุกสิ่ง หรือพระองค์มีความรู้ในบางส่วนของสรรพสิ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พระองค์มีความรู้ในสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาที่ถูกกำหนด และสถานที่หนึ่ง หรือพระองค์มีความรู้ในเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาที่ถูกกำหนด และในสถานที่หนึ่ง หรือว่ามิได้เป็นเช่นนั้น

เมื่อได้พิจารณาในความรู้ของพระเจ้าหลังการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง  จะกล่าวได้ว่า สำหรับคำตอบ ก็คือ พระเจ้ามีความรู้ในสิ่งดังกล่าว แต่นักเทววิทยาอิสลาม บางคนได้ปฏิเสธ ความรู้นั้นของพระองค์ โดยที่เขาเชื่อว่า พระองค์มีความรู้ในรายละเอียดของสารัตถะของสรรพสิ่ง เหตุผลของเขา ในการยืนยันว่า พระเจ้าไม่มีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง ซึ่งบางส่วนของเหตุผลทั้งหลายนั้น จะตรวจสอบและวิเคราะห์ ซึ่งมีดังนี้

๑.ความไม่คงที่ของสรรพสิ่ง หมายถึง เหตุผลหนึ่งของผู้ที่ปฏิเสธความรู้ของพระเจ้าในรายละเอียดปลีกย่อยของสรรพสิ่ง คือ สรรพสิ่งเหล่านั้น อยู่ในสภาพที่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ถ้าหากพระเจ้ามีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง หมายความว่า ความรู้ของพระองค์ ต้องตรงกับความเป็นจริง

และในขณะที่สรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงและความไม่คงที่ ดังนั้น ความรู้ของพระเจ้า ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาตมันของพระองค์ ต้องมีความรู้ และความรู้ของพระองค์ก็มีการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน อาตมันของพระเจ้านั้น มิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะมีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง

๒๖๖

พื้นฐานของเหตุผลนี้ ก็คือ ถ้าหากว่า พระเจ้ามีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง ความรู้ของพระองค์ เป็น ความรู้โดยผ่านสื่อ หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ก็คือ การเปลี่ยนแปลงในอาตมันของพระเจ้า และถ้าหากพระเจ้ามีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง ความรู้ของพระองค์ ก็เป็นความรู้โดยตรง ดังนั้น พระองค์ก็มีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง และในสภาพเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง เป็นสาเหตุให้ความรู้ของพระองค์ มีการเปลี่ยนแปลง  แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ เกี่ยวกับคุณลักษณะในกริยา การกระทำ และมิได้เป็นสาเหตุให้อาตมันของพระเจ้ามีการเปลี่ยนแปลง

ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในคุณสมบัติที่เฉพาะกับคุณลักษณะในกิริยา การกระทำของพระเจ้า ก็คือ เมื่อสิ่งถูกสร้างของพระองค์มีการเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ การกระทำของพระองค์ ดังนั้น คุณลักษณะในกิริยา การกระทำของพระองค์ ก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงในอาตมันของพระองค์

จึงขอกล่าวสรุปได้ว่า พระเจ้ามีความรู้ในรายละเอียดของสรรพสิ่ง นั่นก็คือ การมีอยู่ของสรรพสิ่ง ณ พระองค์  และการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ก็คือ การเปลี่ยนแปลงในกิริยา การกระทำ

๒.การเป็นสื่อของความรู้ในสรรพสิ่ง เหตุผลหนึ่งของผู้ที่ปฏิเสธความรู้ของพระเจ้าในรายละเอียดของสรรพสิ่ง ก็คือ การมีความรู้นี้ ต้องใช้สื่อในการรับรู้ และในขณะที่พระผู้เป็นเจ้า ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านั้น

๒๖๗

สำหรับคำตอบ ก็คือ จะกล่าวได้ว่า การใช้สื่อในการรับรู้จากความรู้นี้ มิใช่เป็นแก่นแท้หรือสารัตถะของสิ่งนั้น ซึ่งจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แต่ทว่า การรับรู้ประเภทนี้ เกิดขึ้นในโลกแห่งธรรมชาติ เช่น มนุษย์ที่มีความรู้สึก และใช้ประโยชน์จากอวัยวะของร่างกายและสื่ออุปกรณ์อื่นที่เป็นวัตถุ

แต่สำหรับพระเจ้านั้น มีความแตกต่างกับมนุษย์อย่างสิ้นเชิง เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือธรรมชาติ และความรู้ของพระองค์ก็เป็นความรู้โดยตรง อีกทั้งพระองค์ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่งด้วย

   ความรู้ของพระเจ้าและเจตจำนงเสรีของมนุษย์

   คุณสมบัติหนึ่งในความรู้ของพระเจ้า เช่นเดียวกับคุณลักษณะของพระองค์ คือ ความสมบูรณ์ของคุณลักษณะ ของพระองค์หมายถึง ความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมถึงทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตกาล,ปัจจุบันและในอนาคตที่จะเกิดขึ้น

ด้วยเหตุนี้ พระเจ้า จึงมีความรู้ในทุกสิ่งมาแต่เดิม และมีความรู้ในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จนถึงวันสิ้นโลก เช่น พระองค์มีความรู้ในการกระทำของมนุษย์ว่า เขาจะทำอะไร และจะไม่ทำอะไร ในอนาคต ดังนั้น ในกรณีนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต โดยกล่าวกันว่า พื้นฐานของความรู้ของพระเจ้าในการกระทำของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น มีความขัดแย้งกับเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (จะตอบปัญหานี้ ในประเด็น การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์)

๒๖๘

   ความรู้ของพระเจ้า ในมุมมองของอัล กุรอาน

    โองการทั้งหลายมากมายของอัล กุรอานได้กล่าวถึง ความรู้ของพระเจ้า โดยกล่าวว่า อะลีม (ผู้ทรงรอบรู้ในทุกสิ่ง),ซะมีอ์ (ผู้ทรงได้ยิน) และบะซีร (ผู้ทรงมองเห็น) นอกเหนือจากนี้ บางส่วนของโองการทั้งหลายได้กล่าวถึง คุณลักษณะที่เฉพาะในความรู้ของพระเจ้า โดยกล่าวว่า อาลิมุลฆ็อยบ์ (ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เร้นลับ) และอัลลามุลฆุยูบ (ผู้ทรงรอบรู้มากที่สุดในสิ่งที่เร้นลับทั้งหลาย) ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า การอธิบายในรายละเอียดของโองการทั้งหลายนั้น จะต้องใช้เวลายาวนาน และยังสามารถเรียบเรียงเป็นหนังสือหรือบทความได้ แต่ในที่นี้ จะขออธิบายเพียงบางส่วนของโองการเหล่านี้

  การพิสูจน์ความรู้ของพระเจ้า

   การพิสูจน์ความรู้ของพระเจ้าจากโองการทั้งหลายของอัล กุรอาน โดยส่วนมากได้กล่าวถึง การพิสูจน์คุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุดของพระองค์

อัล กุรอานกล่าวว่า

“พระผู้ทรงสร้างจะมิทรงรอบรู้ดอกหรือ ? พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนผู้ทรงตระหนักยิ่ง”

(บทอัลมุลก์ โองการที่๑๔)

๒๖๙

จากโองการนี้ แสดงให้เห็นว่า เป็นคำถามที่ได้ถามกับมนุษย์เกี่ยวกับ พระผู้ทรงสร้างว่า พระองค์มิทรงมีความรอบรู้กระนั้นหรือ?  ด้วยเหตุนี้ อัล กุรอานได้อธิบายในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน โดยที่กล่าวว่า ในระหว่างพระผู้ทรงสร้างกับการมีความรู้ในการสร้าง เป็นความสัมพันธ์ประเภทหนึ่ง ดังนั้น พระผู้ทรงสร้างสิ่งหนึ่งก่อนการสร้างในสิ่งนั้น จะต้องมีความรู้ในสิ่งนั้น และพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง จากโองการนี้ได้พิสูจน์ในความรู้ของพระเจ้าก่อนการสร้างและหลังการสร้างของพระองค์ และพระองค์ทรงมีความรู้ในกาลและเวลา ,ในทุกสรรพสิ่ง เพราะว่า ทุกสรรพสิ่ง คือ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

   ความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า

    อัล กุรอานได้อธิบายคุณลักษณะความรู้ของพระเจ้า และกล่าวเน้นย้ำว่า พระองค์ทรงมีความรู้ที่สมบูรณ์ที่สุดและไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า คือ หนึ่งในหลักศรัทธาของมนุษย์ต่อการรู้จักถึงคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ และมีบทบาทที่สำคัญต่อการรู้จักถึงพระองค์ และการมีความเชื่อในความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด ยังมีผลต่อในการพัฒนาการทางด้านจิตของมนุษย์ ในการมอบหมายการงานแด่พระองค์ และการมีความเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีความรู้ในทุกกิจการงานที่เปิดเผยและซ่อนเร้นของมนุษย์ แม้แต่ความตั้งใจ และจุดประสงค์ของมนุษย์ พระองค์ก็ทรงรอบรู้ด้วยเช่นกัน

๒๗๐

อัล กุรอานได้กล่าวในความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่า

 “และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุกสิ่ง” (บทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ ๑๘๒ และบทอัตตะฆอบุน โองการที่ ๑๑)

บางโองการได้กล่าวถึง ความรู้ของพระเจ้า ในสิ่งที่มีอยู่ในโลก

“พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่เข้าไปในแผ่นดินและสิ่งที่ออกมาจากแผ่นดิน และสิ่งที่ลงมาจากฟากฟ้าและสิ่งที่ขึ้นไปสู่ฟากฟ้า และพระองค์ทรงอยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนใด และอัลลอฮ์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”

(บทอัลหะดีด โองการที่ ๔)

จากโองการนี้ได้กล่าวว่า พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ตาม แสดงให้เห็นว่า พระองค์นั้นอยู่กับมนุษย์ทุกคนมาโดยตลอด และพระองค์ทรงมองเห็นกิจการงานต่างๆของพวกเขา

อัล กุรอานกล่าวว่า

“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านปกปิดสิ่งที่อยู่ในอกของพวกท่าน หรือเปิดเผยมันก็ตาม อัลลอฮ์ก็ย่อมรู้ถึงสิ่งนั้นดีและทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และทุกสิ่งอยู่ในแผ่นดิน และอัลลอฮนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๒๙ )

๒๗๑

   ความรู้ในสิ่งที่เร้นลับของพระเจ้า

   บางโองการของอัล กุรอาน ได้กล่าวถึง พระเจ้าว่า พระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เร้นลับ

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ความรู้แห่งวันอวสานมีอยู่ ณ พระองค์ และพระองค์ทรงประทานฝนให้หลั่งลงมาและพระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่อยู่ในครรถ์มารดา และไม่มีชีวิตใดรู้ สิ่งที่จะหามาได้ในวันพรุ่งนี้

และไม่มีชีวิตใดรู้ว่า ณ แผ่นดินใดจะตาย แท้จริง อัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน”

(บทลุกมาน โองการที่ ๓๔)

โองการนี้ได้กล่าวถึง สิ่งเร้นลับที่พระเจ้าทรงรู้ มีดังนี้

๑.พระองค์ทรงรู้ในวันอวสานของโลก

๒.พระองค์ทรงรู้ในวันที่ฝนหลั่งลงมา

๓.พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในครรถ์มารดา

๔.พระองค์ทรงรู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

๕.พระองค์ทรงรู้ในสิ่งที่กำลังจะตาย

และในวจนะทั้งหลายก็ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า ความรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งห้า เป็นกุญแจนำไปสู่ความรู้ของพระเจ้า

สิ่งที่ควรสังเกตก็คือ มโนทัศน์หรือความหมายของ ความเร้นลับ เป็นความหมายที่ต้องการความสัมพันธ์ไปยังสิ่งที่มีอยู่ แต่สำหรับพระเจ้า ความรู้ในสิ่งเร้นลับ เป็นสิ่งเปิดเผย ณ พระองค์ เพราะว่า พระองค์ทรงมีความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีสิ่งใดที่ความรู้ของพระองค์ไปไม่ถึง ด้วยเหตุนี้ ความรู้ในสิ่งเร้นลับของพระเจ้า ก็คือ ความรอบรู้ในสิ่งที่มนุษย์นั้นไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น

๒๗๒

   ความรู้ของพระเจ้าในมุมมองของวจนะ

    ประเด็นเรื่องความรู้ของพระเจ้า ที่ถูกกล่าวไว้ในวจนะทั้งหลาย เป็นสิ่งหนึ่งที่บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์นั้นได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก บางวจนะได้กล่าวถึง ความรู้ของพระเจ้าว่า มีมาแต่เดิม

ดั่งวจนะของท่านอิมาม อะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

“พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะ สุนทรโรวาทที่ ๑๕๒)

บางวจนะได้กล่าวในความรู้ของพระเจ้าในสิ่งที่มีอยู่ก่อนการเกิดขึ้นและหลังการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น

ดั่งวจนะของท่านอิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) กล่าวว่า

“อัลลอฮ์ คือ พระผู้อภิบาลของเรา  พระองค์ทรงมีอยู่แต่เดิม และความรู้ คือ อาตมันของพระองค์ ในขณะที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ่น หลังจากนั้น พระองค์ได้ทำให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น และพระองค์ทรงรู้ในสิ่งทั้งหลายนั้น”

[๑]  (อุศูลอัลกาฟีย์ เล่มที่หนึ่ง หน้าที่ ๑๐๗)

และยังมีวจนะอื่นๆอีกที่ได้กล่าวในความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า

จากท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

 “พระองค์ทรงรู้ในเสียงร้องของสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในหุบเขาและท้องทะเลทราย และทรงรู้ในบาปต่างๆของบรรดาบ่าวของพระองค์ ที่กระทำในที่ลับ และพระองค์ทรงรู้ในหมู่ปลาทั้งหลายที่เวียนว่ายในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล และ พระองค์ทรงรู้ในคลื่นที่พัดพา”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะ สุนทรโรวาทที่ ๑๙๗)

๒๗๓

และเช่นกัน ได้มีรายงานจาก ท่านอิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) เป็นคำตอบให้กับของชายคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า  “การสรรเสริญทั้งมวล จงมีแด่อัลลอฮ์ และด้วยกับการมีขอบเขตในความรู้ของพระองค์”

ท่านอิมามได้กล่าวกับเขาว่า

 “เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้นะ เพราะความรู้ของพระเจ้านั้น ไม่มีขอบเขตจำกัด” [๑]

   ความรู้โดยเฉพาะและทั่วไปของพระเจ้า

    บางวจนะยังได้กล่าวในความรู้ของพระเจ้าว่ามีอยู่  ๒ ประเภท  ดังนี้

๑.ความรู้โดยเฉพาะเจาะจง

๒.ความรู้โดยทั่วไป กล่าวคือ ความรู้ที่มีอยู่ในพระเจ้ากับมวลเทวทูต,บรรดาศาสดา และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์

ท่านอิมามบากิร (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

 “แท้จริง อัลลอฮ์ทรงมีความรู้ที่ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพระองค์ และพระองค์ทรงมีความรู้และมวลเทวทูต,บรรดาศาสดาและเราก็มีความรู้ในสิ่งนั้นๆ”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่๑๐ วจนะที่ ๑)

และยังมีวจนะอื่นอีกมากมายที่ได้กล่าวถึง สองคุณลักษณะของพระเจ้าที่บ่งบอกถึง ความรู้ของพระองค์ นั่นก็คือ คุณลักษณะการได้ยิน และการมองเห็น และยังได้กล่าวอีกว่า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากความรู้ที่ได้รับจากการได้ยินและการมองเห็นโดยการใช้สื่อ ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

“พระองค์ทรงได้ยินโดยไม่ต้องใช้หู และพระองค์ทรงมองเห็นโดยที่ไม่ต้องใช้ตา”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่๑๐ วจนะที่ ๑

๒๗๔

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ความรู้ (อิลม์ ) : Knowledge

ความรู้โดยตรง (อิลม์ ฮุฎูรีย์)   Immediate knowledge

ความรู้โดยผ่านสื่อ (อิลม์ ฮุซูลีย์ ) Empirical knowledge

ความรู้ในสิ่งเร้นลับ (อิลมุลฆ็อยบ์): Occultism

ความรู้โดยเฉพาะเจาะจง (อิลมุลคอซ)

ความรู้โดยทั่วไป (อิลมุลอาม)

  สรุปสาระสำคัญ

๑.ความรู้หรือการรับรู้ สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้

 ๑.ความรู้โดยตรง ๒.ความรู้โดยผ่านสื่อ

ความรู้โดยตรง  หมายถึง ความรู้ที่ไม่ได้รับรู้จากการเข้าใจในความหมายหรือการมโนภาพของคำๆหนึ่ง ดังนั้น ความรู้โดยตรง มีความหมายว่า การรับรู้ของสิ่งที่รู้เกิดขึ้นโดยตรงกับผู้รู้

ความรู้โดยผ่านสื่อ หมายถึง ความรู้ที่รับรู้จากการเข้าใจในความหมายและการมโนภาพ 

๒.ความหมายที่สมบูรณ์ของ ความรู้ คือ การรับรู้ของสิ่งที่รู้กับผู้รู้ ดังนั้น ความหมายนี้ไม่มีคำจำกัดความและข้อบกพร่องใดๆ สามารถจะนำไปใช้กับความรู้ของพระเจ้าได้

๒๗๕

๓.ส่วนมากของบรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลามมีความเชื่อว่า ความรู้ของพระเจ้า คือ ความรู้โดยตรง เพราะว่า ความรู้ของพระองค์ไม่ใช่ความรู้โดยผ่านสื่อ ความหมายของความรู้โดยผ่านสื่อ คือ ความรู้นั้นมีผลสะท้อนที่ย้อนกลับไปหายังผู้รู้และการยอมรับการมโนภาพของความหมายนั้น ซึ่งทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นในพระเจ้า

๔.ระดับขั้นความรู้ของพระเจ้า มี ๓ ระดับขั้น

๑.ความรู้ในอาตมัน

๒.ความรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลายก่อนการเกิดขึ้น

๓.ความรู้ของสรรพสิ่งหลังการเกิดขึ้น

๕.เหตุผลการพิสูจน์ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า คือ ทุกสิ่งที่เป็นอวัตถุ มีความรู้ในตัวเอง และพระเจ้าเป็นสิ่งอวัตถุ ดังนั้น พระองค์มีความรู้ในตนเอง

๖.อาตมันของพระเจ้า เป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย และเช่นกัน ความรู้ในเหตุ จะต้องมีความรู้ในผลของเหตุนั้นด้วย ดังนั้น ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า เป็นสาเหตุให้เกิดความรู้ของพระองค์ในสรรพสิ่งก่อนการเกิดขึ้น เพราะสรรพสิ่ง คือ ผลทั้งหลายของพระองค์

๗.พื้นฐานทางสติปัญญาของ ความรู้ของพระเจ้าในสรรพสิ่งหลังการเกิดขึ้น คือ ผลของเหตุ ต้องมีอยู่ด้วยกันทั้งคู่ และสรรพสิ่ง คือ ผลทั้งหลายของพระเจ้า ดังนั้น สรรพสิ่งมีอยู่กับพระองค์ และความหมายของ ความรู้ ก็คือ การมีอยู่ของสิ่งที่รับรู้ในผู้รู้

๘.พระเจ้าทรงรับรู้ในทุกสิ่งโดยที่ไม่ต้องการวัตถุในการรับรู้และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอาตมันของพระองค์

๙.มีโองการต่างๆมากมายที่ได้กล่าวถึง ความรู้ของพระเจ้า และคุณลักษณะ ความรอบรู้ ,ผู้รอบรู้ในสิ่งเร้นลับ

๒๗๖

๑๐.อัล กุรอาน ในโองการที่กล่าวว่า  “พระผู้ทรงสร้างจะมิทรงรอบรู้ดอกหรือ ? พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนผู้ทรงตระหนักยิ่ง” (บทอัลมุลก์ โองการที่๑๔) พิสูจน์ได้ว่า ความรู้ของพระเจ้าในสิ่งที่มีอยู่ด้วยกับการสร้างสรรค์ของพระองค์

๑๑.อัล กุรอานได้กล่าวในความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า และพระองค์ทรงรอบรู้การงานทั้งหลาย และทรงรอบรู้ในสิ่งที่อยู่ในเจตนาของมนุษย์ และอัล กุรอานได้กล่าวอีกว่า พระองค์ทรงรู้ในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้หรือในสิ่งเร้นลับ

๑๒.วจนะทั้งหลายได้กล่าวถึง ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า และความรู้โดยเฉพาะของพระองค์ และความรู้โดยทั่วไปของพระองค์ และบางวจนะกล่าวว่า ความรู้ของพระเจ้า ในสิ่งที่ได้ยินและมองเห็น โดยปราศจากการใช้สื่อทั้งหลาย

๒๗๗

   บทที่ ๕

   พลังอำนาจของพระเจ้า (กุดรัต อิลาฮีย์)

    พลังอำนาจของพระเจ้า เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ ซึ่งโองการต่างๆของอัลกุรอานได้กล่าวว่า พระเจ้า เป็นผู้ทรงมีพลังอำนาจ(กอดีร ,กอดิร)

และเช่นเดียวกัน หนึ่งในคุณลักษณะทั้งหลายที่มีอยู่ในมนุษย์  คือ พลังอำนาจ และความสามารถ ด้วยเหตุนี้ ความหมายของ การมีพลังอำนาจ และการไม่มีพลังอำนาจหรือไร้ความสามารถ เป็นความหมายที่กระจ่างชัด และเพื่อจะเข้าใจในความหมายของคุณลักษณะการมีพลังอำนาจในพระเจ้า จึงต้องอธิบายความหมายของการมีพลังอำนาจก่อน

   ความหมายทางภาษาของ คำว่า กุดรัต (พลังอำนาจ) 

    บรรดานักเทววิทยาอิสลาม ได้ให้ความหมายของ คำว่า กุดรัต (พลังอำนาจ) ไว้มากมาย ซึ่งความหมายหนึ่งที่รู้จักกันดี ก็คือ ผู้มีความสามารถ กล่าวคือ บุคคลหนึ่งมีความสามารถที่จะกระทำการงานใดการงานหนึ่ง หรือจะไม่กระทำการงานนั้น ดังนั้น บุคคลที่กระทำการงานใดการงานหนึ่งหรือไม่กระทำการงานอันนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับ ความประสงค์และความต้องการของบุคคลนั้นด้วย

๒๗๘

 เพราะฉะนั้น การงานใดก็ตามที่ผู้กระทำไม่มีความประสงค์ที่จะกระทำการงานนั้น  การงานนั้นก็จะไม่ถูกเกิดขึ้น ดังนั้น ผู้กระทำ(ฟาอิล)ได้เป็นผู้กระทำการงานหนึ่ง(เฟียล)ที่ไม่มีพลังอำนาจ(กุดรัต)  การงานอันนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น เหมือนกับไฟที่ไม่มีความร้อน

และจากความหมายข้างต้น ซึ่งมีคุณสมบัติที่พิเศษ ดังนี้

๑.การมีพลังอำนาจในการกระทำการงานหนึ่ง  มิได้หมายความว่า การงานนั้นจะต้องเกิดขึ้น แต่หมายความว่า ผู้กระทำ(ฟาอิล) เขามีความสามารถที่จะไม่กระทำหรือละทิ้งการงานอันนั้นได้

๒.ผู้กระทำมีความสามารถก่อนที่จะกระทำการงานใดการงานหนึ่ง  และมีคุณลักษณะพลังอำนาจอยู่ด้วยเช่นกัน ทัศนะมีความเห็นที่มีความขัดแย้งกับทัศนะที่กล่าวว่า ผู้กระทำมีคุณลักษณะพลังอำนาจในขณะที่ได้กระทำการงานใดการงานหนึ่ง

ความถูกต้องของทัศนะนี้ก็คือ เมื่อได้พิจารณาในความหมายของ พลังอำนาจ และย้อนกลับไปดูสภาพภายในของมนุษย์ มีความเข้าใจได้ว่า ก่อนการเกิดขึ้นของการกระทำ ผู้กระทำมีความสามารถที่จะกระทำการงานนั้นได้  ในขณะเดียวกัน ในสภาพภายในของมนุษย์ ก่อนที่จะกระทำการงานใดก็ตาม เขานั้นมีความสามารถที่จะกระทำ แม้ว่าการงานนั้นยังไม่เกิดขึ้นมาก็ตาม

๓.การมีพลังอำนาจ เกิดขึ้นด้วยกับ ๒ กริยา การกระทำ คือ การกระทำ และการละทิ้งในการงานใดการงานหนึ่ง

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เมื่อใดที่กล่าวถึง การมีพลังอำนาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  มีความหมายว่า ผู้กระทำนั้นมีความสามารถที่จะกระทำหรือไม่กระทำการงานนั้นก็ได้

๒๗๙

ทัศนะหนึ่งของนักเทววิทยาอิสลาม ได้กล่าวว่า การมีพลังอำนาจของบุคคลหนึ่งนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการกระทำนั้นได้เกิดขึ้นมาเสียก่อน

๔.ความหมายของการมีพลังอำนาจและความอ่อนแอ เป็นความหมายหนึ่งที่เหมือนความหมายของ การมีและการไม่มี ดังนั้น ผู้กระทำตามธรรมชาติ เช่น ความร้อนจากไฟที่ไม่มีทั้งพลังอำนาจ และไม่มีความอ่อนแออยู่ด้วยกัน

   ความหมายของ พลังอำนาจของพระเจ้า (กุดรัต อิลาฮียฺ)

   หลังจากที่ได้อธิบายความหมายของ คำว่า พลังอำนาจไปแล้ว ดังนั้น ความหมายของ พลังอำนาจของพระเจ้า มีความหมายว่าอย่างไร และความหมายโดยทั่วไปของ พลังอำนาจ ที่นำมาใช้กับพระเจ้าได้หรือไม่?

จากความหมายของ คำว่า พลังอำนาจ สามารถใช้กับพระเจ้าได้ ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งที่แสดงถึงข้อบกพร่องและการมีขอบเขตจำกัด ด้วยเหตุนี้ ความหมายของ พลังอำนาจของพระเจ้า ก็คือ ถ้าพระเจ้ามีความประสงค์ที่จะกระทำการงานใดก็จะเกิดขึ้น ทันทีทันใด และถ้าพระองค์มีความประสงค์ที่จะละทิ้ง การงานนั้นก็จะถูกละทิ้งในเวลานั้น

สิ่งที่มิอาจลืมได้ นั่นก็คือ เมื่อเราสังเกตุในตัวของเราเอง จะพบว่า เรานั้นมีพลังอำนาจ หมายความว่าอย่างไร?  ก็หมายความว่า การมีพลังอำนาจของเราที่จะกระทำหรือไม่กระทำหรือละทิ้งการงานใดการงานหนึ่งได้ โดยการงานนั้นเกิดขึ้นจากจุดประสงค์ที่อยู่ภายนอก และเราก็ไม่สามารถเปรียบเทียบการมีพลังอำนาจของมนุษย์กับการมีพลังอำนาจของพระเจ้าได้ เพราะว่า พระเจ้า มีพลังอำนาจในอาตมันของพระองค์ กล่าวคือ การมีพลังอำนาจ คือ อาตมันของพระองค์

๒๘๐

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450