บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339944 / ดาวน์โหลด: 4960
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

   บทที่ ๘

   คำตรัสกล่าวของพระเจ้า (กะลาม อิลาฮียฺ)

   บทนำเบื้องต้น

    หลังจากที่อธิบายในคุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้าไปแล้ว จะมาอธิบายกันในคุณลักษณะที่สำคัญที่มีอยู่ในการกระทำของพระองค์ ซึ่งในความเป็นจริง ก็คือ จำนวนของคุณลักษณะของพระเจ้านั้น มีอยู่จำนวนมากเหลือที่จะคณานับได้ ดั่งเช่น ความเป็นผู้ทรงสร้าง,ผู้ทรงกรรมสิทธิ์,ผู้ทรงอภิบาล,ผู้ทรงเมตตาปราณีเสมอ,ผู้ทรงให้อภัยยิ่ง ,ผู้ทรงชี้นำ,ผู้ทรงให้ความไว้วางใจ,ผู้ทรงให้การปกครอง,ผู้ทรงให้การช่วยเหลือ,ผู้ทรงให้ชีวิต,ผู้ทรงการขอบคุณ และ ฯลฯ

คุณลักษณะที่ถูกกล่าวในอัล กุรอานนั้น บ่งบอกถึง คุณลักษณะที่มีอยู่ในการกระทำของพระเจ้า ซึ่งก็มีจำนวนมาก ซึ่งบรรดานักเทววิทยาอิสลามได้ให้ความคิดเห็นว่า สมควรที่จะพูดคุยกันในประเด็นที่เกี่ยวกับ คุณลักษณะในการกระทำของพระเจ้า แต่สิ่งที่ได้หยิบยกมาอ้างนั้น มีเพียงคุณลักษณบางส่วนเท่านั้น โดยใช้วิธีการอธิบายของบรรดานักเทววิทยาในอดีต ซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับนักเทววิทยาอิสลามร่วมสมัย

๓๒๑

   ความเป็นจริงของคำตรัสกล่าวของพระเจ้าคืออะไร?

    พระเจ้า เป็นผู้พูดหรือผู้ตรัสกล่าว ดังนั้น การพูดหรือการตรัสกล่าว จึงเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพระองค์ นั่นก็คือ สิ่งที่บรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดทั้งหลายมีความเห็นตรงกัน แต่มีการโต้แย้งในรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งจะกล่าวได้ว่า การโต้แย้งของพวกเขานั้น เกิดขึ้นมาจาก ๒ ประเด็นหลัก ดังนี้

๑.การอธิบายในความหมายของ คำพูด หรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้า

๒.แหล่งกำเนิดหรือบ่อเกิดของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า นักวิชาการบางคนได้บอกว่า คำตรัสกล่าวของพระองค์นั้น มีมาแต่เดิม และบางคนได้บอกว่า มิได้มีมาแต่เดิม แต่ทว่าคำพูดของพระองค์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่

หากพึงสังเกตุในประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดข้อกังขากันในหมู่นักวิชาการในสำนักคิดทั้งหลายของอิสลาม ก็คือ เรื่องการอธิบายใน คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดสงครามระหว่างกัน ด้วยกับการไม่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงของ คำตรัสกล่าวของพระองค์  และในบทนี้ จะขอกล่าวถึง ความหมายของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า กันก่อน แล้วจึงค่อยมาอธิบาย สาเหตุการเกิดขึ้นของคำตรัสกล่าวในพระเจ้า และในประเด็น คำตรัสกล่าวของพระเจ้าในมุมมองของอัล กุรอานและวจนะ เป็นอันดับต่อไป

๓๒๒

   ความหมายของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า

    การอธิบายความหมายของ คำพูดหรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้านั้น มีการให้ทัศนะต่างๆจากบรรดานักเทววิทยาอิสลามและมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ดังนี้

๑.บรรดานักเทววิทยาอิสลาม กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า คำพูดหรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้า  หมายถึง การแสดงออกด้วยเสียงและตัวอักษร และมีความเชื่อว่า เสียงและอักษรดังกล่าวนั้น  เป็นคุณลักษณะที่มีมาแต่เดิม และอยู่ในอาตมันของพระองค์ และพวกเขายังมีความเชื่ออีกว่า ปกของอัล กุรอานนั้น ก็มีมาแต่เดิม และนี่คือ ทัศนะของสำนักคิดฮัมบะลีย์

๒.กลุ่มนี้ ได้กล่าวว่า คำพูดหรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้า หมายถึง การแสดงออกด้วยเสียง และอักษรที่มีในอาตมันของพระองค์ และเป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่

๓.ทัศนะที่สามได้กล่าวว่า คำพูดหรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้า หมายถึง การแสดงออกด้วยเสียงและตัวอักษรที่มิได้มีในอาตมันของพระองค์ และเป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ และเป็นการกระทำ และสิ่งสร้างของพระองค์ ทัศนะนี้เป็นทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์

๔.กลุ่มหนึ่งของสำนักคิดอัชอะรีย์ได้กล่าวว่า คำพูดหรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้า หมายถึง คุณลักษณะที่อยู่ในอาตมันของพระองค์ ที่มิใช่ความรู้ และความประสงค์ พวกเขาเรียก คุณลักษณะนี้ว่า กะลามนัฟซี หมายถึง การแสดงออกด้วยเสียงและตัวอักษรที่มีมาแต่เดิม และเป็นคุณลักษณะที่อยู่ในอาตมันของพระเจ้า และมิใช่คำสั่ง หรือเป็นการห้าม และการบอกเล่า หรือการเรียกร้อง

๓๒๓

การวิเคราะห์ในทัศนะที่ได้กล่าวผ่านไปแล้วนั้น จะกล่าวได้ว่า ทัศนะที่หนึ่งกับสองนั้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะว่าการให้ความคิดเห็นนี้ เป็นการแสดงออกด้วยเสียงและตัวอักษรที่เป็นวัตถุในสิ่งที่มิใช่วัตถุ เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเสียงและตัวอักษรจะมีมาแต่เดิมหรือเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ก็ตาม และทัศนะของอัชอะรีย์ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง ปัญหาของทัศนะนี้ก็คือ การยอมรับ กะลามนัฟซีว่า มีความหมายที่มิใช่ความรู้ และความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ และจะกล่าวได้ว่าในความเป็นจริงนั้น จากความเชื่อของสำนักคิดอัชอะรีย์ พวกเขาได้ยอมรับว่า กะลามนัฟซี ก็คือ ความหมายเดียวกันกับความรู้และความประสงค์ของพระเจ้า  ซึ่งไม่สามารถแยกคุณลักษณะเหล่านี้ออกจากกันได้

ด้วยเหตุนี้ ทัศนะที่ถูกต้องก็คือ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า หมายถึง การแสดงออกด้วยเสียงและตัวอักษร บางครั้งในสิ่งที่เป็นวัตถุ เช่น ต้นไม้ และในบางครั้งมาจากบรรดาเทวทูต และบางครั้งมาในสภาพอื่น นอกเหนือจากนี้ ทัศนะนี้ยังเป็นทัศนะของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในสำนักคิดชีอะฮ์ อิมามียะฮ์ ซึ่งมีทัศนะคล้ายกับทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์

ท่านอัลลามะห์ มัจลิซีย์ ได้กล่าวว่า

“สำนักคิดชีอะฮ์อิมามียะฮ์มีความเชื่อว่า กะลามของพระเจ้า เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ที่ประกอบด้วยเสียงและตัวอักษรที่มิได้มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ และความหมายของ การเป็นผู้ตรัสกล่าวของพระเจ้า คือ การเกิดขึ้นด้วยเสียงและตัวอักษรในสิ่งที่เป็นวัตถุ” (บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๕๐)

๓๒๔

สิ่งที่ควรจำก็คือ มีความแตกต่างกันระหว่างคำตรัสกล่าวของพระเจ้ากับคำพูดของมนุษย์ นั่นก็คือ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ไม่ต้องการวัตถุและอุปกรณ์ในการสื่อสาร เพราะว่า การมีอยู่ของสิ่งดังกล่าว เป็นคุณลักษณะของสิ่งที่เป็นวัตถุ และพระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากการเป็นวัตถุ

จะสรุปได้ว่า ความหมายของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า คือ ถ้อยคำที่ถูกบันทึกหรือได้ยิน บ่งบอกถึง ความประสงค์ของพระองค์ และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน ดั่งเช่น สรรพสิ่งที่มีอยู่ เป็นสิ่งสร้างหรือเป็นการกระทำ และเป็นคุณลักษณะหนึ่งในการกระทำของพระองค์

   ทุกสรรพสิ่งคือ ดำรัส ของพระเจ้า

    บางทีความหมายของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้านั้น มีความหมายกว้างกว่าตัวอักษรและเสียง ซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึง สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็คือ ทุกสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำของพระเจ้าเท่านั้น  แต่ยังหมายถึง ทุกการกระทำของพระองค์ คือ คำตรัสกล่าวของพระองค์ด้วย และได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า เราจะกล่าวว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่ คือ คำตรัสกล่าวของพระเจ้าได้อย่างไร ? ในขณะที่ความหมายของคำว่า คำตรัสกล่าว หมายถึง ตัวอักษรที่ถูกบันทึกหรือถูกรายงาน

๓๒๕

สำหรับคำตอบที่ง่ายและสั้น ก็คือ เมื่อเราได้พิจารณาความหมายของ ตัวอักษร หมายถึง การรายงานที่ได้รับจากความหมายที่ผู้พูดต้องการจะสื่อสาร ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงของ คำพูด คือ การรายงานและการแสดงออก  กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การกระทำของคนหนึ่ง แสดงว่า คนนั้นเป็นผู้กระทำ และยังบ่งบอกถึง คุณลักษณะของผู้กระทำอีกด้วย และความแตกต่างกันระหว่างสิ่งทั้งสอง ก็คือ การแสดงถึงตัวอักษร เป็นชนิดหนึ่งของการบ่งบอกที่ถูกกำหนดขึ้นมา และในขณะที่การแสดงออกด้วยการกระทำ เป็นชนิดหนึ่งของการบ่งบอกที่มีมาจากการใช้สติปัญญา ด้วยเหตุนี้ จะกล่าวได้ว่า ความหมายของ คำพูด นั้นมีความหมายที่กว้างและได้รวมถึงการกระทำของพระเจ้าด้วย เพราะว่า ทุกการกระทำ บ่งบอกถึง คุณลักษณะต่างๆและจุดประสงค์ของผู้กระทำ และในอัล กุรอานและวจนะได้กล่าวเน้นย้ำในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้น โองการทั้งหลายของพระเจ้า คือ คำตรัสกล่าวและดำรัสของพระองค์

   กะลาม ลัฟซีย์ กะลาม นัฟซีย์ และ กะลามเฟียะลีย์

 (ประเภทต่างๆของคำตรัสกล่าวของพระเจ้า)

 จากสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว จะกล่าวได้ว่า กะลาม (คำตรัสกล่าว) สามารถที่จะแบ่งได้ เป็น ๓ ประเภท ดังนี้

๓๒๖

๑.กะลาม ลัฟซีย์ หมายถึง ตัวอักษรและเสียงที่ถูกถ่ายทอดมาจากพระเจ้า เพื่อให้ผู้ฟังได้รับทราบในความประสงค์ของพระองค์

๒.กะลาม นัฟซีย์ หมายถึง ความหมายหนึ่งที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า และมิใช่ความรู้และความประสงค์ของพระองค์ ซึ่งกะลาม ลัฟซีย์ก็เกิดขึ้นจากกะลามประเภทนี้

๓.กะลาม เฟียะลีย์ หมายถึง สิ่งสร้างทั้งหลาย คือ การกระทำของพระเจ้า ที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระองค์

ในระหว่างประเภททั้งสามของกะลาม ประเภทแรกและประเภทที่สามซึ่งเป็นที่ถูกยอมรับ ส่วนประเภทที่สองนั้น จากคำอธิบายของสำนักคิดอัชอะรีย์ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ

   การมีมาแต่เดิมและการเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ของ

คำตรัสกล่าวของพระเจ้า

   ในศตวรรษที่สองของอิสลาม ประเด็นหนึ่ง ที่เป็นปัญหากันมากในมุสลิม  ก็คือ ประเด็นของอัล กุรอาน ซึ่งเสมือนคำตรัสกล่าวของพระเจ้า จึงได้มีคำถามว่า อัล กุรอาน เป็นสิ่งที่มีแต่เดิมหรือเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่?

อะห์ลุลฮะดีษ (กลุ่มชนที่ยึดถือวจนะของท่านศาสดาอย่างเดียว) และสำนักคิดฮัมบะลีย์ และสำนักคิดอัชอะรีย์ มีความเชื่อเหมือนกันว่า อัล กุรอาน เป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิม โดยที่พวกเขาได้กล่าวว่า ผู้ที่ไม่ยอมรับในความเชื่อนี้ คือผู้ปฏิเสธ และในทางตรงกันข้าม สำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ กล่าวว่า

อัล กุรอาน เป็นสิ่งที่เพิ่งมีมาใหม่และมิได้มีมาแต่เดิม

๓๒๗

 ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทัศนะของพวกเขา มีความขัดแย้งกับทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ ตามที่ได้อธิบายความหมายของ คำตรัสกล่าว(กะลาม)ของพระเจ้า ไปแล้ว  และการไม่ยอมรับในความหมายที่กล่าวว่า กะลาม หมายถึง กะลาม นัฟซี นั้น ก็เช่นกันว่า ทัศนะที่กล่าวว่า อัลกุรอาน เป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิม ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะถ้ากล่าวกันว่า กะลามของพระเจ้า หมายถึง ตัวอักษรและเสียง หรือสิ่งที่มีอยู่ แน่นอนที่สุด กะลามก็เป็นสิ่งที่เพิ่งมีมา และหากกล่าวว่า กะลาม คือ คำพูดและคำตรัสกล่าวของพระเจ้า ก็หมายความว่า ได้ยอมรับในการเพิ่งมีมาของกะลาม เพราะว่า คำตรัสกล่าว คือ คุณลักษณะหนึ่งในการกระทำของพระองค์ ที่เกิดจากการแสดงออกด้วยตัวอักษรและเสียง หรือ การเกิดขึ้นของสิ่งที่มีอยู่ในความเป็นจริง และเป็นทราบกันดีว่า คุณลักษณะในการกระทำของพระเจ้านั้น เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งมีมา  ด้วยกับสาเหตุที่ว่า ที่มาของการกระทำของพระองค์ คือ การเพิ่งเกิดขึ้นของการกระทำ และด้วยกับเหตุผลของสำนักคิดที่ยอมรับว่า กะลามของพระเจ้า เป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิม  เป็นเหตุผลที่ไม่แข็งแรง และไม่มีพื้นฐานทางสติปัญญา และการวิเคราะห์และตรวจสอบเหตุผลทั้งหลายนั้น ใช้เวลามาก

ซึ่งจะอธิบายในภายหลังต่อไป ดังนั้น ทัศนะที่ถูกต้อง ซึ่งบรรดาผู้นำที่บริสุทธิ์ได้กล่าวเน้นย้ำ และทัศนี้เป็นที่ยอมรับ ในหมู่นักเทววิทยาอิสลามสำนักคิดชีอะฮ์ นั่นก็คือ กะลามของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เพิ่งมีมาใหม่

๓๒๘

   เหตุผลของการเป็นผู้ตรัสกล่าวของพระเจ้า

   หลังจากที่ความหมายของ คำว่า คำพูดหรือกการตรัสกล่าวของพระเจ้านั้น เป็นที่กระจ่างชัด สำหรับเราแล้ว จะมาอธิบายกันในเหตุผลของการเป็นผู้พูด หรือ ผู้ตรัสกล่าวของพระองค์ และในระหว่างเหตุผลทั้งหลายของนักเทววิทยาอิสลามที่ได้พิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงมีคุณลักษณะนี้  มีเหตุผลหนึ่ง ซึ่งมีดังนี้

ในประเด็นของการมีพลังอำนาจของพระเจ้า ได้กล่าวไปแล้วว่า พลังอำนาจของพระองค์นั้น มีอยู่ในทุกสิ่งที่เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพา โดยกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า การเกิดขึ้นของตัวอักษรที่ถูกบันทึก หรือไได้ยิน เป็นการกระทำที่ต้องพึ่งพา ดังนั้น การเกิดขึ้นของตัวอักษรและเสียง ก็คือ คำพูดหรือการตรัสกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในจากมีพลังอำนาจของพระองค์ ดั่งที่ท่านมุฮักกิก ตูซีย์ ได้กล่าวว่า

“การมีพลังอำนาจของพระเจ้าต่อสิ่งทั้งหลาย บ่งบอกถึง การมีอยู่ของกะลามในพระองค์”

(กัชฟุลมุรอด หน้าที่ ๓๑๕)

๓๒๙

   คุณลักษณะ การตรัสกล่าว ในอัล กุรอานและวจนะ

   คำว่า กะลาม (คำตรัสกล่าว) ที่เป็นคุณลักษณะของพระเจ้า มิได้ถูกกล่าวไว้ในอัล กุรอาน  แต่ได้ใช้ในรูปแบบของ กริยาของพระเจ้า เช่น โองการนี้ที่ได้กล่าวถึง ศาสดามูซา ว่า

“และอัลลอฮ์(พระเจ้า) ทรงตรัสกับมูซาอย่างเปิดเผย” (บทอันนิซา โองการที่ ๑๖๔)

นอกจากนี้ โองการนี้ได้กล่าวว่า กะลามมุลลอฮ์ แปลว่า คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ในสามครั้งด้วยกัน และกล่าวว่า คำกล่าวของฉัน เพียงครั้งเดียว และในบางครั้งก็กล่าวเช่นกันว่า ตัวอักษรของพระผู้อภิบาลของเจ้า และตัวอักษรของอัลลอฮ์ (พระเจ้า) จากสิ่งดังกล่าวนั้น สามารถจะบอกได้ว่า พระเจ้าทรงมีคุณลักษณะการเป็นผู้พูด หรือผู้ตรัสกล่าว

และบางโองการของอัลกุรอาน กล่าวถึง กะลาม ลัฟซี ว่า

เมื่อเขาได้มาที่มัน (ไฟ) ได้มีเสียงเรียกจากริมที่ลุ่มทางด้านขวา ในสถานที่ที่มีความจำเริญ ณ ที่ต้นไม้ ว่า โอ้มูซาเอ๋ย ! แท้จริงข้าคืออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก” (บทอัลกอศ็อด โองการที่ ๓๐)

โองการนี้ กล่าวถึง การสนทนาของพระเจ้ากับศาสดามูซา และจากการสนทนานี้ ทำให้มีความเข้าใจได้ว่า ศาสดามูซาได้ยินตัวอักษรที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า

และในโองการหนึ่ง ก็ได้กล่าวถึง  มีอยู่สาม ประเภทในการสนทนาของพระเจ้ากับมนุษย์

๓๓๐

และไม่เป็นการบังควรแก่มนุษย์คนใดที่จะให้อัลลอฮ์ตรัสแก่เขาเว้นแต่โดยทางวะฮีย์ยฺ(การวิวรณ์) หรือโดยทางเบื้องหลังม่าน หรือโดยที่พระองค์จะส่งทูตมา แล้วเขา (มะลัก) ก็จะนำวะฮีย์ยฺมาตามที่พระองค์ทรงประสงค์โดยบัญชาของพระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงปรีชาญาณ

  (บทอัชชูรอ โองการที่ ๕๑)

โองการดังกล่าวได้อธิบายถึงการมีอยู่ของประเภททั้งสามในการสนทนาของพระเจ้า ศึ่งมีดังนี้

๑.การสนทนาโดยผ่าน การวิวรณ์ โดยไม่ใช้สื่อในการสื่อสาร ในสภาพเช่นนี้ ความหมายของการสนทนานั้น ได้เกิดขึ้นในบุคคลที่สื่อสารกับพระเจ้า

๒.การสนทนาโดยผ่านการวิวรณ์ที่เกิดขึ้นโดยสื่อ หมายถึง บรรดาเทวทูต เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานลงมา เพื่อเป็นผู้สื่อสารของพระองค์

๓.การสนทนาที่เกิดขึ้นจากการได้ยิน และไม่เห็นผู้พูด

นอกจากความหมายของการเป็นผู้พูด หรือผู้ตรัสกล่าวของพระเจ้า อัล กุรอานยังได้กล่าวอีกว่า ทุกสรรพสิ่ง เป็น ตัวอักษรของพระองค์

บางครั้ง ศาสดาอีซาถูกเรียกว่า ดำรัสของพระเจ้า

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ แท้จริง อัล-มะซีฮ์ อีซาบุตรของมัรยัมนั้น เป็นเพียงร่อซู้ลของอัลลอฮ์และเป็นเพียงดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์ เท่านั้น”

 ( บทอันนิซาอ์ โองการที่ ๑๗๑ )

และเช่นกัน บางครั้งทุกสรรพสิ่งและปัจจัยยังชีพของพระเจ้า เป็นตัวอักษรของพระองค์

๓๓๑

กล่าวอีกว่า

“และหากว่าต้นไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินเป็นปากกาหลาย ๆ ด้าม และมหาสมุทร (เป็นน้ำหมึก) มีสำรองไว้อีกเจ็ดมหาสมุทร พจนารถของอัลลอฮ์ก็จะยังไม่หมดสิ้นไป แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ”

(บทลุกมาน โองการที่ ๒๗)

ด้วยเหตุนี้ อัล กุรอานได้กล่าวใน ความหมายของกะลามของพระเจ้าว่า หมายถึง ดำรัสที่ได้ยินและเป็นสิ่งสร้างของพระองค์ นอกเหนือจากนี้ บางโองการของอัล กุรอาน ยังได้กล่าวอีกว่า กะลามของพระเจ้านั้น เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ และมิใช่เป็นคุณลักษณะที่มีมาแต่เดิม

อัล กุรอานกล่าวว่า

ไม่มีข้อตักเตือนใหม่ ๆ จากพระเจ้าของเขามายังพวกเขา เว้นแต่ว่าพวกเขาจะรับฟังมันและพวกเขาได้ล้อเล่นไปด้วย” (บทอัลอัมบิยา โองการที่ ๒)

และอีกโองการหนึ่ง ได้กล่าวว่า อัล กุรอาน คือ ข้อตักเตือนของพระเจ้า ดั่งในโองการที่ ๙ บทอัลฮิจร์ ดังนั้น ความหมายของข้อตักเตือนดังกล่าว ก็คือ อัล กุรอาน และเป็นข้อตักเตือนที่มีมาใหม่ และนั่นก็คือ ถ้อยคำของอัลกุรอาน

และบางส่วนของวจนะ ก็ได้กล่าวถึง ประเด็นของการมีมาแต่เดิมและการเพิ่งมีมาใหม่ของกะลามของพระเจ้า ซึ่งบางครั้งบรรดาอิมามได้ห้ามมิให้สานุศิษย์ของท่าน ถกเถียงกันในประเด็นนี้ เพราะว่า จะทำให้ประเด็นนี้ ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งของหลักศรัทธา กลายเป็นประเด็นทางการเมืองไปได้ และจะเกิดการสู้รบกันทั้งสองฝ่าย

๓๓๒

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า อิมามริฎอได้กล่าวกับสาวกคนหนึ่งของท่านว่า สำหรับคำตอบ เกี่ยวกับอัล กุรอาน ก็คือ

“เป็นคำตรัสของพระเจ้า ที่เจ้าจะต้องไม่ฝ่าฝืนและไม่ต้องการการชี้นำจากสิ่งอื่นใด นอกจากอัล กุรอานเท่านั้น เพื่อเจ้าจะได้ไม่หลงทาง”

[๑](อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๓๐ วจนะที่ ๒ )

อิมามฮาดีย์ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน)ได้กล่าวว่า

“ไม่มีผู้สร้างใด นอกจากอัลลอฮ์ และนอกจากพระองค์ คือ สิ่งถูกสร้าง ในขณะที่อัลกุรอาน คือ คำตรัสของพระองค์ และอย่าได้ตั้งชื่อให้กับอัลกุรอาน เพราะจะทำให้เจ้านั้น เป็นผู้หลงทาง”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๓๐ วจนะที่ ๔ )

รายงานจากท่านอิมามซอดิก ว่า

อะบูบะซีร ได้ถามท่านอิมามว่า พระเจ้าเป็นผู้พูด หรือผู้ตรัสกล่าวที่มีมาแต่เดิมใช่หรือไม่?

อิมามได้ตอบกับเขาว่า

“คำตรัสของพระเจ้า เป็นคุณลักษณะที่มีมาใหม่ พระองค์ทรงมีอยู่และมิได้เป็นผู้พูด หรือผู้ตรัสกล่าว หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงสร้างคำตรัสขึ้นมา”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๖๘)

๓๓๓

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

กะลาม อิลาฮีย์ หมายถึง คำพูดหรือคำตรัสกล่าวของพระเจ้า

 : Speech of God

กะลาม ลัฟซีย์  หมายถึง ตัวอักษรและเสียงที่ถูกถ่ายทอดมาจากพระเจ้า เพื่อให้ผู้ฟังได้รับทราบในความประสงค์ของพระองค์ :  Uttered speech

กะลาม นัฟซี   หมายถึง การรายงานของ ความหมายหนึ่งที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า และมิใช่ความรู้และความประสงค์ของพระองค์

:Speech of the soul

กะลามเฟียะลี   หมายถึง สิ่งสร้างทั้งหลายของพระเจ้า เป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระองค์

: Speech of act

   สรุปสาระสำคัญ

๑.บางสำนักคิดให้ความหมาย คำตรัสกล่าวของพระเจ้าว่า คือการเปล่งเสียงและแสดงตัวอักษรที่เกิดขึ้นจากอาตมันของพระองค์ ดังนั้นทัศนะนี้ ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะการมีตัวอักษรและเสียง เป็นคุณลักษณะของสิ่งที่เป็นวัตถุ ในขณะที่พระเจ้า มิได้เป็นวัตถุ

๒.สำนักคิดอัชอะรีย์ ได้กล่าวว่า คำตรัสของพระเจ้า คือ กะลามนัฟซี ซึ่งหมายถึง  ความหมายที่เกิดขึ้นจากอาตมันของพระองค์ และมิใช่ความรู้และความประสงค์และมิใช่ตัวอักษรและเสียงด้วย

๓๓๔

๓.ทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะจากการอธิบายของพวกเขา กะลามนัฟซี จะเป็นไปไม่ได้ นอกจาก ความรู้และความประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น

๔.ความหมายที่แท้จริงของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ก็คือ พระองค์ทรงสร้างตัวอักษรและเสียงในสิ่งทั้งหลาย  และสิ่งเหล่านี้มิได้มีมาแต่เดิม เหมือนอาตมันของพระองค์ แต่ตัวอักษรและเสียง เป็นสิ่งที่ถูกสร้างและเพิ่งมีมาใหม่ และการเป็นผู้ตรัสกล่าวของพระเจ้านั้น ก็แตกต่างกับการเป็นผู้พูดของมนุษย์ ซึ่งไม่มีความต้องการสื่อในการสื่อสาร

๕.ที่ได้กล่าวไปแล้วใน ความหมายของคำตรัสกล่าว คือ คำที่บ่งบอกในความหมาย และบางครั้งมีความหมายที่กว้างออกไปอีก และรวมถึงทุกสรรพสิ่ง เป็นดำรัสของพระเจ้า  เพราะว่า พระเจ้า คือ ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง  และทุกการกระทำบ่งบอกว่า จะต้องมีผู้กระทำ

๖.กล่าวได้ว่า ความหมายของ กะลาม (คำกล่าว)นั้นมีด้วยกัน สาม ความหมาย กล่าวคือ กะลามลัฟซี ,กะลามนัฟซีและกะลามเฟียะลี และจากความหมายทั้งสามของ กะลาม ความหมายที่สองไม่เป็นที่ยอมรับในสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์และชีอะฮ์อิมามียะฮ์

๗. และเมื่อความหมายของ กะลาม (คำกล่าว) เป็นที่กระจ่างชัดแล้ว และทัศนะที่กล่าวว่า กะลามนัฟซีก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า คำตรัสกล่าวของพระเจ้า เหมือนกับสิ่งสร้างของพระองค์ คือ เป็นสิ่งที่เพิ่งมีมาใหม่ และทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ที่ได้กล่าวว่า กะลามเป็นสิ่งมีมาแต่เดิมนั้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง

๘.อัล กุรอานได้กล่าวถึง คำตรัสกล่าวของพระเจ้าในความหมายที่เป็นทั้ง กะลามลัฟซีและกะลามเฟียะลี และในวจนะได้กล่าวว่า คำตรัสกล่าว เป็นสิ่งที่เพิ่งมีมาใหม่

๓๓๕

   บทที่ ๙

   ความสัตย์จริงของพระเจ้า-ความเป็นวิทยปัญญาของพระเจ้า

   บทนำเบื้องต้น

    ในบทที่แล้วได้อธิบายถึงคำพูด ( กะลาม) ของพระเจ้า ซึ่งมีคำถามเกิดขึ้นว่า การตรัสของพระเจ้านั้น มีความเป็นสัตย์จริง หรือ มีการคาดคิดกันว่า มีการมุสาในคำพูดของพระองค์กระนั้นหรือ?

สำหรับคำตอบ คือ เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า บรรดามุสลิมมีความเชื่อว่า คำพูดของพระเจ้า ไม่มีข้อคลางแคลงใดและไม่มีการโกหกในคำพูดของพระองค์

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การกล่าวโกหกในพระเจ้านั้น เป็นการกระทำที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ทัศนะของสำนักคิดทั้งหลายของอิสลามมีความเห็นตรงกันว่า ความสัตย์จริง เป็นคุณลักษณะหนึ่งในอาตมันของพระเจ้า มีความหมายว่า คำพูดของพระองค์ตรงกับความเป็นจริง

การให้ความสำคัญในคุณลักษณะการมีความสัตย์จริงในคำพูดของพระเจ้า จะเห็นได้ว่า คุณลักษณะนี้ เป็นพื้นฐานหนึ่งในการไว้วางใจของมนุษย์ต่อการเชิญชวนบรรดาศาสดา เพราะว่า ถ้าหากว่า คำพูดของพวกเขา ไม่ตรงกับความเป็นจริง การไว้วางใจและความถูกต้องก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นคำพูดของพวกเขา ต้องเป็นจริงและมีความสัตย์จริง และตรงกับความเป็นจริง

๓๓๖

   ความสัตย์จริง เป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำ?

   มีคำถามว่า คุณลักษณะ ความสัตย์จริง เป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำ

คำตอบ คือ เราต้องดูว่า เราให้ความหมายของกะลาม(คำพูด)ของพระเจ้าว่าอย่างไร?

สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในกะลาม นัฟซีย์ กล่าวว่า คุณลักษณะกะลาม(คำพูด)เป็นคุณลักษณะในอาตมันและคุณลักษณะความสัตย์จริง ก็เป็นคุณลักษณะในอาตมันด้วย

ดั่งที่ได้กล่าวแล้วว่า การมโนภาพของคุณลักษณะกะลาม นัฟซีย์ที่ไม่ย้อนกลับไปยัง คุณลักษณะความรู้และความประสงค์ของพระเจ้านั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าในสภาพนี้ ถ้าหากว่าความหมายของกะลามในทัศนะของอัชอะรีย์ คือ ความรู้ของพระเจ้า ดังนั้น ความหมายของคุณลักษณะความสัตย์จริง คือ ความรู้ของพระองค์ตรงกับความเป็นจริง  และถ้าหากความหมายของกะลาม คือ ความประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้น คุณลักษณะความสัตย์จริงก็ไม่มีความหมาย เพราะว่า ความหมายของความประสงค์ที่มีความสัตย์จริงนั้น ไม่มีอย่างแน่นอน

และถ้าหากกะลาม เป็นคุณลักษณะในการกระทำ แน่นอนที่สุด คุณลักษณะความสัตย์จริง ก็เป็นคุณลักษณะในการกระทำด้วยเช่นกันและได้อธิบายแล้วว่า กะลาม เป็นคุณลักษณะในการกระทำของพระเจ้า ดังนั้น คุณลักษณะความสัตย์จริง ก็เป็นคุณลักษณะในการกระทำเช่นเดียวกัน

๓๓๗

   เหตุผลของนักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความสัตย์จริงของพระเจ้า

   ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า การพิสูจน์คุณลักษณะ ความสัตย์จริง  โดยการอ้างเหตุผลจากอัล กุรอานและวจนะ ผลที่ได้รับก็คือ การเป็นวัฏจักรของเหตุผลทั้งหลายเพราะว่า อัลกุรอานและวจนะ มีความเป็นสัตย์จริงและถ้ากล่าวว่า พระเจ้ามีความสัตย์จริง โดยการพิสูจน์จากอัล กุรอานก็เท่ากับการพิสูจน์การมีอยู่ตนเองด้วยกับตนเอง ซึ่งก็ถือว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จะเหลือเพียงเหตุผลเดียวที่พิสูจน์ว่า พระเจ้า มีคุณลักษณะความสัตย์จริง ก็คือ เหตุผลของการใช้สติปัญญา

บรรดานักเทววิทยาอิสลาม มีความเห็นที่แตกต่างกันในเหตุผลทางสติปัญญา ซึ่งสาเหตุของความเห็นทั้งหลายนั้นมาจาก การให้ทัศนะในการยอมรับและการไม่ยอมรับในการมีอยู่ของความดีและความชั่วทางสติปัญญา

นักเทววิทยาอิสลามที่ยอมรับในการมีอยู่ของความดีและความชั่วทางสติปัญญา กล่าวว่า สติปัญญาสามารถที่จะแยกแยะสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีออกจากกันได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ข้อพิสูจน์หรือคำสอนของศาสนา และการประทานวิวรณ์จากพระเจ้า และสติปัญญายังได้กำหนดอีกว่า พระเจ้าไม่ทรงกระทำการงานที่ไม่ดี

เพราะว่า มีความขัดแย้งกับการใช้สติปัญญา ผู้ที่ยอมรับในทัศนะนี้ คือ บรรดานักเทววิทยาสำนักคิดอิมามียะฮ์และมุอฺตะซิละฮ์ ส่วนสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ผู้ที่ไม่ยอมรับทัศนะนี้

เหตุผลของผู้ที่ยอมรับในทัศนะการมีอยู่ของความดีและความชั่วทางสติปัญญา มีดังนี้

การโกหกและการมุสา เป็นการกระทำที่ไม่ดี และพระเจ้าไม่ทรงกระทำการงานที่ไม่ดี ดังนั้น พระองค์ไม่ทรงเป็นผู้มุสา ด้วยเหตุนี้ ความจำเป็นของความสัตย์จริงของพระเจ้า มาจากคำตรัสกล่าวของพระองค์ และด้วยกับความหมายที่ตรงกันข้ามระหว่าง ความสัตย์จริงกับการมุสา ทำให้มีความเข้าใจได้ว่า พระเจ้ามีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวในสิ่งที่เป็นจริง

ท่านอัลลามะฮ์ ฮิลลีย์ ได้กล่าวว่า

การปฏิเสธการกระทำที่ไม่ดีในพระเจ้า บ่งบอกถึงความสัตย์จริงของพระองค์

จะเห็นได้ว่า เหตุผลนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของสำนักคิดอัชอะรีย์ เพราะว่า พวกเขาไม่ยอมรับในพื้นฐานของการมีอยู่ของความดีและความชั่วทางสติปัญญา ด้วยเหตุนี้ นักเทววิทยาบางคนในสำนักคิดอัชอะรีย์ได้อ้างเหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผลนี้ในการพิสูจน์ว่า พระเจ้าเป็นผู้ตรัสจริง ดังนี้

การโกหกและการมุสา เป็นข้อบกพร่อง และพระเจ้าไม่ทรงมีข้อบกพร่องในพระองค์ ดังนั้น การโกหกและการมุสา เป็นสิ่งที่ไม่มีในพระองค์

๓๓๘

   ความสัตย์จริงของพระเจ้าในอัล กุรอาน

   อัล กุรอานได้กล่าวไว้ในโองการทั้งหลายมากมาย เกี่ยวกับ ความเป็นผู้ตรัสจริงของพระเจ้า

และเรามาหาท่านด้วยเรื่องจริงและแท้จริงเราเป็นผู้ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน

  (บทอัลฮิจร์ โองการที่ ๖๔)

และบางโองการกล่าวว่า กะลามของพระเจ้า เป็นคำพูดที่ตรัสจริงที่สุด“และใครเล่าที่จะมีคำพูดจริงยิ่งกว่าอัลลอฮ์” (บทอันนิซาอ์ โองการที่๘๗)

และใครเล่าที่มีคำพูดจริงยิ่งไปกว่าอัลลอฮ์” ( บทอันนิซาอ์ โองการที่ ๑๒๒)

ความหมายของ การเป็นผู้ตรัสจริงของพระเจ้า ก็คือ  เมื่อได้เปรียบเทียบกับคำพูดของผู้ที่กล่าวจริง จะเห็นได้ว่า คำตรัสกล่าวของพระองค์ เป็นคำกล่าวที่น่าเชื่อถือมากที่สุด

และบางโองการได้กล่าวย้ำในเรื่องนี้ ว่า เป็น สัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับมนุษย์ เช่น สัญญาของพระองค์ ในการช่วยเหลือบรรดามุสลิมในสงครามอุหุด

พระองค์ทรงตรัสว่า

“และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงให้สัญญาของพระองค์สมจริงแก่พวกเจ้าแล้ว”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๕๒)

๓๓๙

และพระองค์ทรงตรัสอีกว่า

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงผิดสัญญา” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๙ และบทอัรเราะด์ โองการที่ ๓๑)

หลังจากที่ได้อธิบายในความหมายของคุณลักษณะ ความสัตย์จริงไปแล้ว จะมาอธิบายกันในความหมายของ ความเป็นวิทยปัญญา เป็นอันดับต่อไป

   ความหมายของ วิทยปัญญา

    คุณลักษณะหนึ่งของพระเจ้า คือ ฮิกมะฮ์ (วิทยปัญญา)  และมีหลายความหมายด้วยกัน ดังนี้

๑.ความหมายหนึ่งของ ฮิกมะฮ์ คือ การรู้จักสารัตถะของสรรพสิ่ง และด้วยกับการมีคุณลักษณะความรอบรู้ของพระเจ้า  ดังนั้น ความหมายนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่ใช้กับพระองค์ และความหมายนี้ยังย้อนกลับไปหายัง คุณลักษณะความรอบรู้ของพระเจ้า จะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ฮิกมะฮ์ เป็นหนึ่งในความรอบรู้ของพระองค์

๒.อีกความหมายหนึ่งของ ฮิกมะฮ์ คือ ผู้กระทำได้กระทำการกระทำของเขาด้วยกับเป้าหมายและจุดมุ่งหมายที่ถูกยอมรับ ดังนั้นการมีคุณลักษณะนี้ เป็นที่ขัดแย้งกัน

ซึ่งบรรดานักเทววิทยาสำนักคิดอัชอะรีย์มีความขัดแย้งกับทัศนะนี้  และเราจะอธิบายในภายหลังเกี่ยวกับประเด็นนี้

๓.อีกความหมายหนึ่งของ ฮิกมะฮ์ คือ การกระทำของผู้กระทำในเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบและมั่นคง และพระเจ้าทรงเป็นผู้ฮะกีมในความหมายด้วยเช่นกัน

๓๔๐

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

เพราะว่า ด้วยกับการมีพลังอำนาจและความประสงค์ของพระองค์ และอยู่ใต้อำนาจการตัดสินของพระองค์ จึงเป็นการกระทำของพระองค์ และการมีอยู่ของมนุษย์และการกระทำของเขา เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  และการเข้าใจในทั้งสองความสัมพันธ์นั้นมีความยากลำบาก และเพื่อการเข้าใจง่าย จึงได้นำตัวอย่างมาเปรียบเทียบ เช่น บางทีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของการกระทำของพระเจ้า กับการกระทำของมนุษย์ เหมือนกับความสัมพันธ์ของนักเขียนกับปากกาของเขา ดังนั้นการเขียน เป็นการกระทำของผู้เขียนและเป็นการกระทำของมือที่จับปากกา

แต่การเปรียบเทียบนี้ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะว่า มือของผู้เขียนมิได้มีความเป็นอิสระ ส่วนประเด็นของเรา เป็นประเด็นที่การกระทำมีความเป็นอิสระ และอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ  ชายคนหนึ่งทิ่มือทั้งสองของเขาใช้งานไม่ได้ เขาต้องใช้มือที่แพทย์ได้สร้างมันขึ้นมา และมีความสามารถเคลื่อนไหวมือของเขาไปตามทิศทางที่เขาต้องการ  และสมมุติว่า มีคนหนึ่งถือกุญแจในการเปิดให้เครื่องจักรนั้นทำงาน และถ้าเขาไม่กดสวิทต์นั้น

เครื่องจักรก็ไม่ทำงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่า การกระทำนี้มีความสัมพันธ์กับทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นผู้เปิดสวิทต์ และอีกคนมีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวมือทั้งสองของเขา ตามความประสงค์ของเขา

๔๔๑

   ทัศนะอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ในอัล กุรอานและวจนะ

   ทัศนะของบรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดอิมามียะฮ์ เป็นทัศนะที่สอดคล้องกับโองการทั้งหลายของ

อัล กุรอาน

ซึ่งอัล กุรอานได้กล่าวว่า มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตนเอง เช่น ในโองการต่อไปนี้

และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ” (บทอัลกะฮฟ์ โองการที่ ๒๙ )

 “และบรรดาผู้ศรัทธา บรรดาลูกหลานของพวกเขาจะดำเนินตามพวกเขาด้วยการศรัทธา เราจะให้ลูกหลานของพวกเขาอยู่ร่วมกับพวกเขา และเราจะไม่ให้การงานของพวกเขาลดหย่อนลงจากพวกเขาแต่อย่างใด แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาขวนขวายไว้”

 (บทอัฏฏูร โองการที่ ๒๑ )

 “แท้จริงเราได้ชี้แนะแนวทางให้แก่เขาแล้ว บางทีเขาก็เป็นผู้กตัญญู และบางทีเขาก็เป็นผู้เนรคุณ”  (บทอัลอินซาน โองการที่ ๓ )

 “ผู้ใดกระทำความดีก็จะได้แก่ตัวของเขา และผู้ใดกระทำความชั่วก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง และพระเจ้าของเจ้านั้นมิทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์” (บทอัลฟุศศิลัต โองการที่ ๔๖ )

๔๔๒

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีโองการมากมายที่กล่าวถึง ทุกการกระทำของทุกสิ่ง ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากพระเจ้า และความต้องการของมนุษย์ ก็ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากพระองค์ ดั่งโองการเหล่านี้

“และพวกเจ้าจะไม่ประสงค์สิ่งใด เว้นแต่ อัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลกจะทรงประสงค์”

(บทอัตตักวีร โองการที่ ๒๙)

“จงกล่าวเถิดว่า (มุฮัมมัด) ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใด ๆ และโทษใด ๆ ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันได้ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น” (บทอัลอะอฺรอฟ โองการที่ ๑๘๘)

 “และมิเคยปรากฏว่าชีวิตใดจะศรัทธา เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และพระองค์จะทรงลงโทษแก่บรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา” (บทยูนุส โองการที่ ๑๐๐ )

จะเห็นได้ว่า อัล กุรอานได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่ยอมรับทัศนะญับร์และทัศนะตัฟวีฎ มีเพียงทัศนะเดียวที่ถูกต้อง นั่นคือ ทัศนะของอิมามียะฮ์ ซึ่งได้รวมทั้งการกระทำของมนุษย์และการกระทำของพระเจ้า

นอกเหนือจากนี้ ยังมีโองการอื่นอีกที่กล่าวยืนยันถึงการกระทำหนึ่งที่เป็นทั้งการกระทำของพระเจ้าและของมนุษย์ เช่น โองการนี้ที่กล่าวว่า

“พวกเจ้ามิได้ฆ่าพวกเขา แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากที่ทรงฆ่าพวกเขา และเจ้ามิได้ขว้างดอกขณะที่เจ้าขว้าง แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากที่ขว้าง” (บทอัลอัมฟาล โองการที่ ๑๗ )

๔๔๓

โองการนี้ใช้คำว่า เจ้ามิได้ขว้างปา ในขณะที่ขว้างปา จะเห็นได้ว่า กริยา เช่น การขว้างปา เป็นทั้งการกระทำของศาสดาและเป็นการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า  จากคำกล่าวนี้ซึ่งตรงกับการอธิบายของทัศนะอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์  เพราะทัศนะนี้ได้กล่าวว่า การกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์ เป็นการกระทำของเขา และการกระทำของพระเจ้า

นอกจากโองการเหล่านี้ ยังมีวจนะที่ยืนยันในทัศนะของอิมามียะฮ์อีกด้วย เช่น

วจนะจากท่านอิมามบากิร และท่านอิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านทั้งสอง)

“แท้จริง อัลลอฮ์ ทรงมีเมตตากว่าที่จะบังคับให้มวลบ่าวของพระองค์กระทำความผิดและบาปทั้งหลาย แล้วก็ทรงลงโทษพวกเขา และพระองค์ทรงมีเกียรติกว่าที่จะประสงค์ในสิ่งหนึ่ง แล้วสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น

หลังจากนั้น ได้ถามอิมามทั้งสองว่า

ในระหว่างการบังคับกับกอดัร(การกำหนดสภาวะและชะตากรรม)ของมนุษย์ ยังมีระดับขั้นอื่นอีกใช่หรือไม่?

อิมามทั้งสองตอบว่า

ใช่ ยังมีอีกระดับขั้นหนึ่ง ที่กว้างกว่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน”

(อัตเตาฮีด ศอดูก บาบที่ ๕๙  วจนะที่ ๓ หน้าที่ ๓๖๐ )

๔๔๔

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ญับร์ หมายถึง การบังคับ: Compulsion

อิคติยาร หมายถึง เจตจำนงเสรี: Free will

กัสบ์   หมายถึง การได้มาด้วยอำนาจ  Acquision

ตัฟวีฎ  หมายถึง การมอบอำนาจในการงานต่อพระเจ้า: Empowerment

อัมรุนบัยนะอัมร็อยน์  หมายถึง แนวทางสายกลาง

   

   สรุปสาระสำคัญ

๑การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ญับร์และอิคติยาร) เป็นประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นข้อวิพากษ์กันในหมู่ของบรรดานักวิชาการอิสลาม โดยเฉพาะในสำนักคิดทั้งหลายของเทววิทยา จะเห็นได้ว่า มี ๒ ทัศนะที่สำคัญในประเด็นนี้

(๑.)ทัศนะของกลุ่มที่มีความเชื่อในญับร์(การบังคับ)และได้กล่าวว่า ตนไม่มีอิสระเสรีในการกระทำ

(๒.) ทัศนะของกลุ่มที่เชื่อในอิคติยาร (การเป็นอิสระ) กล่าวว่า มนุษย์มีอิสระเสรีในการกระทำ

๒.เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ มิได้มีจำกัดเฉพาะกับเทววิทยาอิสลามเท่านั้น แต่ในศาสตร์และวิชาการทั้งหลายของอิสลาม ก็มีความสัมพันธ์ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน บางครั้ง เรื่องของญับร์และอิคติยารเกี่ยวข้องกับเทววิทยา และปรัชญาอิสลาม และบางครั้ง เรื่องนี้ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษยศาสตร์ด้วย

๔๔๕

 

๓.เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ ในมุมมองของประวัติศาสตร์เทววิทยาอิสลาม มีด้วยกัน

๓ ทัศนะที่สำคัญ ดังนี้

๑.ทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ญับร์ หมายถึง พวกเขามีความเชื่อว่า มนุษย์ถูกบังคับให้กระทำจากพระเจ้าในทุกการกระทำ

๒.ทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮฺ คือ ตัฟวีฎ  หมายถึง พวกเขามีความเชื่อว่า พระเจ้าได้มอบหมายกระทำให้กับมนุษย์ และพระองค์มิได้มีบทบาทใดในการกระทำของเขา

๓.ทัศนะของสำนักคิดอิมามียะฮ์ ก็คือ อัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ หมายถึง การเชื่อว่ามนุษย์มีอิสระในการกระทำ

ซึ่งทัศนะนี้ได้รับมาจากวจนะของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติพึงมีแด่พวกท่าน)ที่ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีการบังคับจากพระเจ้าและการมอบหมายจากพระองค์ นอกจากการมีระหว่างสองสิ่ง (การบังคับกับการมอบหมาย)

๔. มนุษย์ทุกคนมีความรู้สึกว่า ตนเองมีอิสระและเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ ด้วยเหตุนี้ เมื่อสามารถตอบข้อสงสัยบางประการที่เกี่ยวกับ การเป็นอิสระในการกระทำของตน จนในที่สุด ก็ยอมรับว่า การกระทำของเขา เป็นการบังคับจากพระเจ้า

๕.พื้นฐานหนึ่งของสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ความรู้ที่มาดั้งเดิมของพระเจ้า และความสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์  ซึ่งมิได้มีความขัดแย้งกับการกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์

๔๔๖

๖.อีกพื้นฐานหนึ่งของทัศนะญับร์ ก็คือ ความประสงค์อันสมบูรณ์และไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อว่า ทุกการกระทำที่มีอยู่ และการกระทำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีบทบาทในการกระทำของเขา และไม่มีอิสระ ตรงกันข้ามกับทัศนะนี้ คือ ทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ ที่มีความเชื่อว่า การกระทำของมนุษย์มิได้เป็นความประสงค์ของพระเจ้า

๗.ความเป็นจริงก็คือ ความประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งการกระทำของมนุษย์ด้วย เพราะว่า สิ่งที่สร้างสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์ คือ ความประสงค์ของพระองค์ แต่การกระทำของมนุษย์ ในสภาพที่มีความเป็นอิสระ

กล่าวอีกนัยก็คือ พระเจ้าทรงประสงค์ในการกระทำที่เป็นอิสระของมวลบ่าวของพระองค์ และให้เขาปฏิบัติการกระทำของพวกเขา และตัดสินใจด้วยตนเอง

๘.ทัศนะของญับร์ เมื่อได้เปรียบเทียบกับมโนธรรมของมนุษย์ จะเห็นได้ว่า มีความขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ สำนักคิดอัชอะรีย์จึงได้ให้ทัศนะใหม่ นั่นคือ กัสบ์ เพื่อปกป้องและรักษาความเชื่อของทัศนะญับร์ และมีการอธิบายในทัศนะนี้มากมายและแตกต่างกันในหมู่นักเทววิทยาในสำนักคิดนี้ ซึ่งแต่ละทัศนะมีข้อบกพร่อง

๙.สำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ เล็งเห็นว่า การรักษาความยุติธรรมของพระเจ้า  จึงมีความเชื่อในการตัฟวีฎ (การมอบหมาย) เพราะว่า การลงโทษของผู้กระทำความผิดและบาปทั้งหลาย ที่เรียกว่า เป็นความยุติธรรมของพระเจ้า ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีอำนาจที่เป็นอิสระในการกระทำของตนเอง

และเหตุผลหรือหลักฐาน ถ้าหากว่ามีความถูกต้อง ก็คือ ใช้พิสูจน์ความไม่ถูกต้องของทัศนะญับร์เท่านั้น

๔๔๗

๑๐.ทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ญับร์ (การบังคับ) และทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ คือ ตัฟวีฎ ทั้งสองทัศนะถือว่า ไม่ถูกต้อง และมีทัศนะที่สาม ก็คือ ทัศนะของสำนักคิดอิมามียะฮ์ ที่มีความเชื่อว่า มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตนเอง และการกระทำของเขาอยู่ใต้อำนาจ ความรู้ ความประสงค์ของพระเจ้า  นี่คือ ความหมายของทัศนะอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์ กล่าวคือ การกระทำของมนุษย์ ในมุมมองหนึ่งเป็นการกระทำของเขา และอีกมุมหนึ่ง คือการกระทำของพระเจ้า  ซึ่งมิได้มีความหมายว่า มนุษย์ถูกบังคับให้กระทำ

๑๑.โองการทั้งหลายของอัล กุรอานได้กล่าวยืนยันว่า มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตนเอง และบางโองการกล่าวว่า ความประสงค์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระเจ้า  ซึงตรงกันกับทัศนะของอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์

๔๔๘

                            สารบัญ

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม. ๑

การรู้จักพระเจ้า ๑

คำนำ... ๒

คำนิยามของอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) ๔

คำอธิบาย. ๔

วิธีการศึกษาในอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) ๗

สาเหตุที่เรียกวิชาเทววิทยาอิสลามว่า อิลมุลกะลาม. ๙

ขอบเขตของเทววิทยาอิสลาม. ๑๐

ภาคที่หนึ่ง. ๑๒

การรู้จักพระเจ้า ๑๒

บทที่ ๑ การรู้จักพระเจ้า ๑๓

เนื้อหาทั่วไป. ๑๓

ความสำคัญของการรู้จักพระเจ้า ๑๔

ความจำเป็นในการรู้จักพระเจ้า ๑๕

ระดับขั้นของการรู้จักพระเจ้า ๑๘

แนวทางการแสวงหาพระเจ้าและรู้จักพระองค์. ๒๐

วิธีการทั่วไป และวิธีการโดยเฉพาะ. ๒๒

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๓

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๔

บทที่ ๒. ๒๖

วิธีการฟิฏรัต(สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) ๒๖

บทนำเบื้องต้น. ๒๖

ฟิฏรัต ความหมายด้านภาษา และเชิงวิชาการ. ๒๗

การอธิบายความหมายของการมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฏรัต. ๒๘

คำอธิบาย. ๒๙

การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของอัล กุรอาน. ๓๓

การรู้จักพระเจ้า  เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของวจนะ. ๓๖

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๗

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๘

บทที่ ๓. ๔๐

ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก. ๔๐

อะไร คือ ความเป็นระบบและระเบียบ?. ๔๒

เหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ. ๔๓

คำอธิบายในข้ออ้างหลัก. ๔๔

คำอธิบายในข้ออ้างรอง. ๔๕

ข้อสรุป. ๔๖

ความเป็นระบบและระเบียบในทัศนะของอัล กุรอาน. ๔๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๕๕

สรุปสาระสำคัญ.. ๕๕

บทที่ ๔. ๕๗

เหตุผลทางสติปัญญา : ข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน. ๕๗

(สิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ และสิ่งต้องพึ่งพา) ๕๗

ประโยชน์ของเหตุผลทางสติปัญญา ๕๘

ตัวบทของข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน (สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่และสิ่งที่ต้องพึ่งพา) ๕๙

การอธิบายในข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน (สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่และสิ่งที่ต้องพึ่งพา) ๖๒

คุณลักษณะลำดับแรกและคุณลักษณะลำดับรอง. ๖๓

อัล กุรอานกับความต้องการของสิ่งมีชีวิตยังพระเจ้า ๖๕

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๖๖

สรุปสาระสำคัญ.. ๖๗

ภาคที่สอง. ๖๙

เตาฮีด (ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า) ๖๙

บทที่ ๑ ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า ๗๐

เนื้อหาทั่วไป. ๗๐

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่มีกล่าวไว้ในศาสนาอื่นๆ. ๗๑

ความหมายทางภาษาของ เตาฮีด. ๗๓

ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎี ความศรัทธา และการปฏิบัติ. ๗๓

ความหมายในเชิงวิชาการของ ความเป็นเอกานุภาพ. ๗๔

อีกสองความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพ. ๗๕

ความเป็นเอกานุภาพในมุมมองของเทววิทยาอิสลาม. ๗๖

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในมุมมองของอัลกุรอาน และวจนะ. ๗๗

ความสำคัญของความเป็นเอกานุภาพในศาสนาอิสลามและศาสนาอื่น. ๗๘

ศัพท์ทางวิชาการท้ายบท. ๘๑

สรุปสาระสำคัญ.. ๘๑

บทที่ ๒. ๘๓

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ตัวตนของพระเจ้า ๘๓

ความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ในมุมมองต่างๆ.. ๘๔

ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า ๘๖

เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ๘๘

เหตุผลของการไม่มีส่วนประกอบในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า ๘๘

คำอธิบาย. ๘๙

การพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าและการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์  ๙๒

เหตุผลที่หนึ่ง  : ความสมบูรณ์แบบที่สุดและความไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า ๙๒

เหตุผลที่สอง  : การปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิด. ๙๔

เหตุผลที่สาม   : การปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์. ๙๕

ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริงและในจำนวนเลข. ๙๖

(วะฮ์ดัตฮะกีกีย์และวะฮ์ดัตอะดาดีย์) ๙๖

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน(เตาฮีด ซาตีย์) ในอัล กุรอาน. ๙๗

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน(เตาฮีด ซาตีย์) ในวจนะ. ๙๙

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๐๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๐๒

บทที่ ๓. ๑๐๕

ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้าในคุณลักษณะ. ๑๐๕

(เตาฮีด ซิฟาตีย์) ๑๐๕

บทนำเบื้องต้น. ๑๐๕

ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมายและความเป็นจริง. ๑๐๗

ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ. ๑๐๘

เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ. ๑๐๙

เหตุผลที่หนึ่ง. ๑๐๙

เหตุผลที่สอง. ๑๑๑

เหตุผลที่สาม. ๑๑๒

ความแตกต่างทางด้านความหมายของคุณลักษณะ (ซิฟัต) ๑๑๔

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองทางประวัติศาสตร์. ๑๑๕

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองของวจนะ. ๑๑๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๒๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๒๐

บทที่ ๔. ๑๒๒

ความเป็นเอกานุภาพใน กิริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่หนึ่ง. ๑๒๒

บทนำเบื้องต้น. ๑๒๒

บทบาทของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำในมุมมองของโลกทรรศน์. ๑๒๓

การกระทำของสิ่งถูกสร้างอยู่ภายใต้การกระทำของผู้สร้าง. ๑๒๔

บทบาทของสื่อกลางในการเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า ๑๒๗

ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ และเจตจำนงเสรีของมนุษย์. ๑๒๘

เหตุผลในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ... ๑๓๐

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๓๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๓๒

บทที่ ๕. ๑๓๔

ความเป็นเอกานุภาพในกริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่สอง. ๑๓๔

บทนำเบื้องต้น. ๑๓๔

ความเป็นเอกานุภาพในการสร้าง(เตาฮีด ฟีย์คอลิกียะฮ์) ๑๓๔

ความเป็นเอกานุภาพในการอภิบาล. ๑๓๕

เหตุผลการพิสูจน์ความเป็นเอกานุภาพในการอภิบาล. ๑๓๖

ความเป็นเอกานุภาพในกริยา การกระทำ ในอัล กุรอาน และวจนะ. ๑๓๗

ความสำคัญของความเป็นเอกานุภาพในการอภิบาล. ๑๔๐

(เตาฮีด รุบูบีย์) ในทัศนะของอัล กุรอาน. ๑๔๐

ข้อพิพาทของบรรดาศาสดาในความเป็นเอกานุภาพการอภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า ๑๔๒

เหตุผลในหลักความเป็นเอกานุภาพการอภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า ๑๔๕

การบริหารการงานของสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้สร้าง. ๑๔๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๔๙

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๔๙

บทที่ ๖. ๑๕๒

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบและการปกครอง –ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า ๑๕๒

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง. ๑๕๒

พื้นฐานทางสติปัญญาของความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง  ๑๕๓

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบและการปกครองในทัศนะของอัล กุรอาน  ๑๕๕

ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า ๑๕๘

ทำไมต้องมีพระเจ้าองค์เดียว?. ๑๖๐

ความสัมพันธ์ของประเภทต่างๆในความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา ๑๖๑

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๖๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๖๒

บทที่ ๗. ๑๖๓

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ (เตาฮีด อะมะลีย์) ๑๖๓

การซึมซับของความเป็นเอกานุภาพในด้านความคิด ความเชื่อ และในด้านการปฏิบัติ. ๑๖๓

คุณค่าของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา ๑๖๕

ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี. ๑๖๕

ความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดี. ๑๖๖

ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีที่มีอยู่ในหมู่มุสลิม. ๑๖๙

ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้ากับการเคารพภักดี. ๑๗๒

ความเป็นเอกานุภาพในด้านการปฏิบัติในอัล กุรอานและวจนะ. ๑๗๓

ชาวคัมภีร์กับการเคารพภักดีในพระเจ้าองค์เดียว. ๑๗๕

ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีกับความเป็นเอกานุภาพในการบริหาร  ๑๗๕

การตั้งภาคีที่ซ่อนในการเคารพภักดี. ๑๗๖

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๗๗

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๗๗

บทที่ ๘. ๑๗๙

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ ตอนที่ สอง. ๑๗๙

ความเป็นเอกานุภาพในการช่วยเหลือ (เตาฮีด อิสติอานะฮ์) ๑๗๙

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตาม(เตาฮีด อิฏออะฮ์) ๑๘๒

ความเป็นเอกานุภาพในการให้ความรัก. ๑๘๓

ความเป็นเอกานุภาพในการมอบหมายกิจการงาน. ๑๘๕

ความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพ. ๑๘๖

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตามในทัศนะของอัล กุรอาน. ๑๘๘

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๙๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๙๒

บทที่ ๙. ๑๙๕

พื้นฐานทางสติปัญญาของความเป็นเอกานุภาพในทัศนะอัลกุรอานและวจนะ. ๑๙๕

อัล กุรอานกับความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ๑๙๕

สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพในมุมมองของวจนะ. ๑๙๘

เหตุผลทางสติปัญญาของอัลกุรอานในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ๑๙๙

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๐๓

บทที่ ๑๐. ๒๐๔

ความเป็นเอกานุภาพ และการตั้งภาคี (ชิรก์) ตอนที่ หนึ่ง. ๒๐๔

ประเภทของการตั้งภาคี. ๒๐๕

คำอธิบาย. ๒๐๕

การตั้งภาคีในความเป็นพระเจ้าและการเคารพภักดี. ๒๐๘

ระดับขั้นของการตั้งภาคี. ๒๐๙

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๑๑

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๑๑

บทที่ ๑๑. ๒๑๓

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และการตั้งภาคี ตอนที่ ๒. ๒๑๓

ความเป็นเอกานุภาพ และการตั้งภาคีในประวัติศาสตร์. ๒๑๓

สาเหตุและองค์ประกอบที่ทำให้มนุษย์มีการตั้งภาคี. ๒๑๘

การตั้งภาคีกับความบาป. ๒๒๑

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๒๒

บทที่ ๑๒. ๒๒๔

การตั้งภาคีในทัศนะอัล กุรอานและวจนะ. ๒๒๔

สาเหตุที่ทำให้มีการตั้งภาคีในทัศนะของอัล กุรอาน. ๒๒๖

วิธีการตอบโต้ของอัล กุรอานต่อการตั้งภาคี. ๒๓๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๓๓

ภาคที่ สาม. ๒๓๔

คุณลักษณะของพระเจ้า ๒๓๔

บทที่ ๑ คุณลักษณะของพระเจ้า ๒๓๕

เนื้อหาทั่วไป. ๒๓๕

พระนาม คุณลักษณะ การกระทำของพระเจ้า ๒๓๖

คุณลักษณะของพระเจ้าในเทววิทยาอิสลาม. ๒๓๘

ประเภทของคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๔๐

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๔๔

บทที่ ๒. ๒๔๖

การรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๔๖

ความเป็นไปได้ต่อการรู้จักถึงคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๔๖

การวิเคราะห์และตรวจสอบในทัศนะของพวกตะอ์ตีล. ๒๔๘

และตัชบิฮ์. ๒๔๘

แนวทางในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๕๑

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด. ๒๕๓

การอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๕๔

การหยุดนิ่ง(เตากีฟ) ของนามทั้งหลายและคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๕๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๕๙

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๕๙

บทที่ ๓. ๒๖๑

อัล กุรอานกับการอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๖๑

คุณลักษณะของพระเจ้าในมุมมองของวจนะ. ๒๖๔

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๖๖

บทที่ ๔. ๒๖๗

ความรู้ของพระเจ้า (อิลม์ อิลาฮีย์) ๒๖๗

ความรู้ คือ อะไร?. ๒๖๗

ความรู้โดยตรงและความรู้โดยผ่านสื่อ. ๒๖๘

ระดับขั้นความรู้ของพระเจ้า ๒๖๙

ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า ๒๖๙

เหตุผลของ ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า ๒๗๐

ความรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลายก่อนการเกิดขึ้น. ๒๗๑

ความรู้ของพระเจ้าหลังการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง. ๒๗๓

ความรู้ในอาตมัน และความรู้ในการกระทำ... ๒๗๔

ความรู้ของพระเจ้าในรายละเอียดของสรรพสิ่ง. ๒๗๕

ความรู้ของพระเจ้าและเจตจำนงเสรีของมนุษย์. ๒๗๗

ความรู้ของพระเจ้า ในมุมมองของอัล กุรอาน. ๒๗๘

การพิสูจน์ความรู้ของพระเจ้า ๒๗๘

ความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า ๒๗๙

ความรู้ในสิ่งที่เร้นลับของพระเจ้า ๒๘๑

ความรู้ของพระเจ้าในมุมมองของวจนะ. ๒๘๒

ความรู้โดยเฉพาะและทั่วไปของพระเจ้า ๒๘๓

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๘๔

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๘๔

บทที่ ๕. ๒๘๗

พลังอำนาจของพระเจ้า (กุดรัต อิลาฮีย์) ๒๘๗

ความหมายทางภาษาของ คำว่า กุดรัต (พลังอำนาจ) ๒๘๗

ความหมายของ พลังอำนาจของพระเจ้า (กุดรัต อิลาฮียฺ) ๒๘๙

การพิสูจน์ พลังอำนาจของพระเจ้า ๒๙๐

อานุภาพของพระเจ้า ๒๙๑

สิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้น (มุฮาล) อยู่ภายใต้การมีพลังอำนาจของพระเจ้าใช่หรือไม่?. ๒๙๒

การมีพลังอำนาจของพระเจ้าในการกระทำที่ไม่ดี. ๒๙๖

พลังอำนาจของพระเจ้าในมุมมองของอัล กุรอานและวจนะ. ๒๙๘

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๐๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๐๐

บทที่ ๖. ๓๐๒

การมีชีวิตของพระเจ้า ๓๐๒

การมีชีวิตอยู่ของสรรพสิ่ง. ๓๐๒

ความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า ๓๐๔

เหตุผลของการมีชีวิตของพระเจ้า ๓๐๕

การมีมาแต่เดิมและความเป็นอมตะและนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า ๓๐๙

การอธิบาย การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า ๓๑๐

เหตุผลของ การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า ๓๑๑

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๑๓

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๑๓

บทที่ ๗. ๓๑๕

ความประสงค์ของพระเจ้า (อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์) ๓๑๕

ความหมายความเป็นจริงของความประสงค์ของมนุษย์. ๓๑๖

ทัศนะต่างๆของนักเทววิทยาอิสลามในการอธิบายความหมาย. ๓๑๗

ความประสงค์ของพระเจ้า ๓๑๗

ความประสงค์ในอาตมันของพระเจ้าและในการกระทำของพระองค์. ๓๑๘

การมีมาดั้งเดิมหรือการเพิ่งเกิดขึ้นมาของความประสงค์ในพระเจ้า ๓๒๑

ความแตกต่างกันระหว่างความประสงค์,ความต้องการและการเลือกสรร. ๓๒๒

เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความประสงค์ของพระเจ้า ๓๒๓

ความประสงค์ในการสร้างสรรค์และการกำหนดบทบัญญัติ(อิรอดะฮ์ ตักวีนีย์ และตัชริอีย์) ๓๒๔

ความประสงค์และความต้องการของพระเจ้า ในอัลกุรอานและวจนะ. ๓๒๕

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๓๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๓๐

บทที่ ๘. ๓๓๒

คำตรัสกล่าวของพระเจ้า (กะลาม อิลาฮียฺ) ๓๓๒

บทนำเบื้องต้น. ๓๓๒

ความเป็นจริงของคำตรัสกล่าวของพระเจ้าคืออะไร?. ๓๓๓

ความหมายของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ๓๓๔

ทุกสรรพสิ่งคือ ดำรัส ของพระเจ้า ๓๓๖

กะลาม ลัฟซีย์ กะลาม นัฟซีย์ และ กะลามเฟียะลีย์. ๓๓๗

(ประเภทต่างๆของคำตรัสกล่าวของพระเจ้า) ๓๓๗

การมีมาแต่เดิมและการเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ของ. ๓๓๘

คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ๓๓๘

เหตุผลของการเป็นผู้ตรัสกล่าวของพระเจ้า ๓๔๐

คุณลักษณะ การตรัสกล่าว ในอัล กุรอานและวจนะ. ๓๔๑

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๔๕

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๔๕

บทที่ ๙. ๓๔๗

ความสัตย์จริงของพระเจ้า-ความเป็นวิทยปัญญาของพระเจ้า ๓๔๗

บทนำเบื้องต้น. ๓๔๗

ความสัตย์จริง เป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำ?. ๓๔๘

เหตุผลของนักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความสัตย์จริงของพระเจ้า ๓๔๙

ความสัตย์จริงของพระเจ้าในอัล กุรอาน. ๓๕๑

ความหมายของ วิทยปัญญา ๓๕๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๕๖

บทที่ ๑๐. ๓๕๘

คุณลักษณะที่ไม่มีในพระเจ้า ๓๕๘

บทนำเบื้องต้น. ๓๕๘

เหตุผลในการพิสูจน์คุณลักษณะที่ไม่มีของพระเจ้า ๓๕๙

เหตุผลของการมองไม่เห็นพระเจ้าด้วยกับสายตา ๓๖๕

คุณลักษณะที่ไม่มีในพระเจ้า ในทัศนะอัล กุรอาน. ๓๖๖

พระเจ้าคือ ผู้ที่ไม่ต้องการสถานที่อยู่อาศัย. ๓๖๖

การมองไม่เห็นพระเจ้า ๓๖๘

คุณลักษณะที่ไม่มีในพระเจ้า ในมุมมองของวจนะ. ๓๗๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๗๓

ภาคที่สี่. ๓๗๕

การกระทำของพระเจ้า ๓๗๕

บทที่ ๑. ๓๗๖

ความดี และ ความชั่วทางสติปัญญา ๓๗๖

เนื้อหาโดยทั่วไป การกระทำของพระเจ้า ๓๗๖

ความดี และ ความชั่วทางสติปัญญา ๓๗๗

ความแตกต่างระหว่างอัดลียะฮ์กับอัชอะรีย์ในความดี และความชั่วทางสติปัญญา ๓๘๐

เหตุผลของสำนักคิดอัชอะรีย์ในการปฏิเสธความดีและความชั่วทางสติปัญญา ๓๘๒

ผลที่ได้รับของการมีความเชื่อในความดีและความชั่วทางสติปัญญา ๓๘๔

ความดีและความชั่วทางสติปัญญา ในมุมมองของอัล กุรอาน. ๓๘๔

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๘๖

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๘๖

บทที่ ๒. ๓๘๙

วิทยปัญญาของพระเจ้า คือ เป้าหมายสูงสุดในการกระทำของพระองค์. ๓๘๙

บทนำเบื้องต้น. ๓๘๙

เป้าหมายของผู้กระทำกับการกระทำ... ๓๙๐

เหตุผลของการมีวิทยปัญญาของพระเจ้า ๓๙๒

เหตุผลของสำนักคิดอัชอะรีย์ในการปฏิเสธการมีเป้าหมายในการกระทำของพระเจ้า ๓๙๒

วิทยปัญญาของพระเจ้าในทัศนะของอัล กุรอาน. ๓๙๔

วิทยปัญญาของพระเจ้ากับความชั่วร้าย. ๓๙๖

๑.การมีขอบเขตในความรู้ของมนุษย์. ๓๙๗

๒.เป้าหมายที่สูงสุดในการสร้างมนุษย์. ๓๙๘

๓. ผลประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว. ๓๙๘

๔.บทบาทของมนุษย์ที่มีต่อการเกิดขึ้นของความชั่วร้าย. ๓๙๙

ปรัชญาการเกิดขึ้นของความชั่วร้าย. ๔๐๐

๑.การพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ.. ๔๐๐

๒.การทดสอบจากพระเจ้า ๔๐๑

๓.เป็นคติเตือนใจและเป็นการปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล. ๔๐๒

๔.การไม่รู้คุณค่าในปัจจัยยังชีพของพระเจ้า ๔๐๓

ปรัชญาการทดสอบ ในทัศนะของวจนะ. ๔๐๔

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๐๖

บทที่ ๓. ๔๐๘

ความยุติธรรมของพระเจ้า (อัดล์ อิลาฮียฺ) ๔๐๘

บทนำเบื้องต้น. ๔๐๘

ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยปัญญากับความยุติธรรม. ๔๑๐

ความยุติธรรมตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดีและความชั่วทางสติปัญญา ๔๑๐

ความหมายของความยุติธรรม (อัดล์) ๔๑๑

ประเภทของความยุติธรรมของพระเจ้า ๔๑๒

ความยุติธรรมของพระเจ้า ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ด้วยกัน มีดังนี้. ๔๑๒

เหตุผลทางสติปัญญาในการพิสูจน์ความยุติธรรมของพระเจ้า ๔๑๓

ความยุติธรรมของพระเจ้าในอัล กุรอาน. ๔๑๔

ข้อสงสัยในความยุติธรรมของพระเจ้า ๔๑๗

ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย. ๔๑๘

ความตายกับการสูญสลาย. ๔๑๙

ความสัมพันธ์ของบาปกับการถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน. ๔๒๐

ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความเจ็บปวดและความยากลำบากของมนุษย์. ๔๒๒

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๔๒๓

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๒๓

บทที่ ๔. ๔๒๖

การกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ (กอฎออฺและกอดัร) ๔๒๖

บทนำเบื้องต้น. ๔๒๖

ความหมายของ กอฎออฺ และ กอดัร. ๔๒๗

ประเภทของกอฎออฺ และกอดัร. ๔๒๗

กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดกฏสภาวะในความรู้) ๔๒๘

กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง) ๔๒๙

ชะตากรรมและการเลือกสรรของมนุษย์. ๔๓๐

กอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป. ๔๓๒

กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ในอัล กุรอาน และวจนะ. ๔๓๒

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๔๓๖

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๓๗

บทที่ ๕. ๔๓๙

การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ญับรฺวะอิคติยาร) ๔๓๙

บทนำเบื้องต้น. ๔๓๙

คำอธิบาย. ๔๓๙

ขอบเขตของเรื่อง การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์. ๔๔๐

การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ที่ถูกกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์อิสลาม. ๔๔๒

มโนธรรมของมนุษย์บ่งบอกถึงการเป็นอิสระเสรี. ๔๔๓

การวิเคราะห์ในทัศนะญับร์ (การบังคับจากพระเจ้า) ๔๔๔

ทัศนะกัสบ์. ๔๔๙

การตรวจสอบในทัศนะตัฟวีฎ (การมอบอำนาจในกิจการต่อพระเจ้า) ๔๕๑

จุดประสงค์ของพวกมุอฺตะซิละฮ์ ต่อการมีความเชื่อในทัศนะตัฟวีฎ. ๔๕๒

ทัศนะของอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ (แนวทางสายกลาง) ๔๕๓

ทัศนะอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ในอัล กุรอานและวจนะ. ๔๕๕

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๔๕๘

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๕๘

๔๔๙

๔๕๐